ธรรมะสาระ > สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน

เกี่ยวกับ พระศรีอริยะเมตตรัย จากพุทธองค์

(1/2) > >>

TCnapa:
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค - หน้าที่ 54
       
   [๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี รสเหล่านี้คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง        น้ำอ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิ้น
ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์ มีอายุ      ๑๐ ปี หญ้ากับแก้  จักเป็นอาหารอย่างดี ดูกรภิกษุ
ทั้งหลายเปรียบเหมือนข้าวสุก     ข้าวสาลีระคนกับเนื้อสัตว์ จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้
ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย     ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ก็จักเป็นอาหารอย่างดี ฉันนั้น
เหมือนกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี กุศลกรรมบถ ๑๐ จักอันตรธานไป
หมดสิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ จักรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ   ๑๐ ปี
แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนทำกุศลจักมีแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย   ในเมื่อมนุษย์มี
อายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติชอบในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบใน
สมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่      ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขา
เหล่านั้นก็จักได้รับการบูชา และ    ได้รับการสรรเสริญ เหมือนคนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบ
ในบิดา ปฏิบัติ   ชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน         
ตระกูล ในบัดนี้ ฯ     
 
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า
นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา    ของท่านที่เคารพทั้งหลาย
สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ  ๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความ
พยาบาท ความคิดร้าย ความ คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับ
มารดาก็ดี บิดากับ   บุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิด
ความ     อาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพรานเนื้อเห็นเนื้อ
เข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้น
เหมือนกัน ฯ


      [๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัปสิ้น ๗ วัน
มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง   หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของ
พวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม    นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมี           ความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่า
ฆ่าเรา อย่ากระนั้น  เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา
มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้   ระหว่าง
เกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด    ๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป
เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ  ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน
จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่
หรือๆ ฯ           
     
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้น จักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา ถึงความ
สิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระนั้นเลยเราควร
ทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทาน กุศลธรรมนี้แล้ว
ประพฤติ เขาจักงดเว้นจากปาณาติบาต จักสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่
สมาทานกุศลธรรม เขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง  จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง
เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี ฯ         
   
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นสัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา เจริญด้วยอายุบ้าง
เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่า กระนั้นเลย เราควรทำกุศลยิ่งๆ
 ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นจาก   อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้น  จากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา
ควรละพยาบาท ควรละมิจฉาทิฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คืออธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม       
อย่ากระนั้นเลยเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบในสมณะ
ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ควรประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน    ตระกูล ควรสมาทาน
กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดาปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบ
ในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติ   อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทาน
กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะ   เหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วย
อายุบ้าง จักเจริญด้วย  วรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง
บุตรของคน
         ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุเจริญ
ขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ
๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี  จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี
บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี
บุตรของคนมีอายุ ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี 
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฯ   
       
       [๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมี  อายุ ๕๐๐ ปี
จึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ
๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑    ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อ
มนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จัก       มั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่
บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย      ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก
จักยัดเยียดไป    ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ   
     
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก เป็นราชธานี
มีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน   คับคั่ง และมีอาหาร
สมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี    ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง
๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ     

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนาม
ว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม
เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต    ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง
สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑  ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑
 คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น  ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ
มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดย
ธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ

   
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี  ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่น
ยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา
และมนุษย์   ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น
จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้   แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว
ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้
รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วย
ปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์
ให้รู้ตามอยู่
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม    ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์  บริบูรณ์สิ้นเชิง บริบูรณ์สิ้นเชิง
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหาร ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ  
 

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่  พระเจ้ามหาปนาทะ
ทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญ ทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า
คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จักทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้า
กาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรง   ผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระ
นามว่า เมตไตรย์อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่
แต่ผู้เดียว  ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์  อัน
ยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ  ต้องการ อันเป็นที่สุด
แห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ในทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ     

raponsan:

หลังจากลุ้นมานาน และแล้วคุณครูนภา ก็ตั้งกระทู้จนได้ แต่ไม่ยักบอกว่า

เกิดจากแรงบันดาลอะไร มีจุดประสงค์ใด หรือในวาระอะไร ผมสงสัยเยอะหน่อย

อย่าได้ถือกัน จะบอกความลับให้อย่างหนึ่ง "ผมมีพุทธจริตครับ"

นานๆโพสต์ที ขอมอบพวงมาลัยให้คุณครูนภาเป็นกำลังแรงใจ :25: :25: :25:


kittisak:
ว่าจะหาอ่านเรื่องนี้ หลายครั้งแล้ว

วันนี้ ได้อ่านแล้ว ขอบใจ หนูนภา มาก ๆ

    อ่านแล้วก็ต้องวิจารณ์ ซะหน่อย


อ้างถึง>>>>ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสมควรมีสามีได้ <<<<
รู้สึกใจหาย ว่าชีวิตมนุษย์ ในสมัยนั้นมีชีิวิต ที่สั้นเหลือเกิน ( ไม่อยากเิกิดในยุคนี้ )

มี สามีตั้งแต่อายุ 5 ปี ( โอ อนาถจริง ๆ )

อ้างถึง>>>> ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า
นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา    ของท่านที่เคารพทั้งหลาย
สัตว์ โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด<<<<
ยิ่งตรงนี้ ยิ่งอนาถ มาก ๆ วัฒนธรรม หายหมดแล้ว ( ยิ่งไม่อยากเกิดในยุคนี้เลย )

อ้างถึง>>>>ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัปสิ้น ๗ วัน
มนุษย์ เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง   หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของ
พวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม    นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ<<<<
จักเกิดฆ่ากันอย่างเลือดเย็น 7 วัน  ( อธิษฐานไม่เกิดในยุคนี้ หลบไปเป็นเทวดาก่อน )

อ้างถึง>>>>เพราะเหตุที่
สมาทานกุศลธรรม เขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง  จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง
เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี<<<<

ข้อความนี้สำคัญมาก พระพุทธองค์ ทรงชี้แจง บุคคลที่มีศีลจักมีอายุ 10 ปี เป็น 20 ปี ( แต่จะ้เริ่มที่บุตร )

อ้างถึง>>>>ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุเจริญ
ขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ
๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี  จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี
บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี
จักมีอายุ เจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี
บุตรของคนมีอายุ ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี<<<<

อ่านตรงนี้แล้ว ยิ่งใจหายมากขึ้น คือ มนุษย์จักพัฒนาการอายุ จนกระทั่งมีอายุยืนถึง 80000 ปี
พระพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระศรีอาริยเมตตรัย จึงจักมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป


เมื่ออ่านแล้วคำนวณ ก็ไม่ใช่ อย่างที่เราเคยเข้าใจว่า

พระพุทธศาสนา สิ้น 5000 ปีแล้ว จึงมีพระพุทธเจ้า

อ่านตรงนี้แล้ว จึงรู้ได้ว่า ต้องรอกันอีกเป็น แสน ๆ ปี กว่ามนุษย์ จักมีอายุ 80000 ปี ทีเดียว

ดังนั้น ผมอ่านแล้ว ก็เลยรีบไปถอนคำอธิษฐาน ขอเป็นพระอรหันต์ ในพระพุทธเจ้า พระองค์ฺีนี้ดีกว่า

ยังมีใจความสำคัญ ที่สำคัญมาก ๆ
อ้างถึง>>>>ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก
จักยัด เยียดไป    ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น<<<<
ประชากร จะมีอยู่จำนวนมากมาย เพราะคนไม่ตายกันง่าย ๆ มีอายุยืน

แต่พิจารณาให้ดี แล้ว คนตาย ก่อนกำหนดจะมีหรือป่าว

เหมือนช่วงเรา กำหนดไว้ที่ 80 - 150 ปี ก็มีคนตายก่อนกำหนดเยอะ ( จะเหมือนกันหรือป่าว ก็ไม่รู้ )


อ้างถึง>>>>ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงพระนาม
ว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม
เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต    ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง
สมบูรณ์ด้วย แก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑  ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑
 คฤหบดี แก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น  ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ
มี รูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดย
ธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้อง ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต<<<<

อ่านตอนนี้ เกือบทำให้ผมเข้าใจว่า พระศรีอริยะเมตตรัย นั้นเป็นพระเจ้าสังขะ หรือ พระโอรส

แต่ พระศรีอริยะเมตตรัย นั้นในนี้ไม่ปรากฏ ทั้งชาติ ตระกูล

แต่ พระเจ้าสังขะ จักทรงสละราชสมบัติ ออกผนวชในสำนัก ของ พระศรีอริยะเมตตรัย



ดังนั้น เพื่อความเป็นผู้พ้น จากผู้ต่ำต้อย มาเป็นผู้กระจอก คนดี และบุรุณอาชาไนย

ก็ไม่ควรประมาท ในภพภูมิ ชาตินี้ เพราะข้างหน้านั้น ดูเหมือนจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสียแล้ว

เจตนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแสดงพระสูตรนี้ ( สำหรับผมคิดว่า )พระองค์ต้องการให้เห็นว่า

หนทางข้างหน้า ของพุทธภูมิ จักมีความลำบากมาก อีกเป็น แสน ๆ ปี ทีเดียว


ควรที่เราทั้งหลาย ไม่ประมาท แล้วบำเพ็ญ เนกขัมมะบารมี ในชาตินี้ และิสิ้นสุดการเกิดในชาตินี้



อนุโมทนา ด้วยครับกับเรื่องนี้

 :25:

















หมวยจ้า:
อ้างถึง>>>>ดังนั้น เพื่อความเป็นผู้พ้น จากผู้ต่ำต้อย มาเป็นผู้กระจอก คนดี และบุรุณอาชาไนย

ก็ไม่ควรประมาท ในภพภูมิ ชาตินี้<<<<

อ่านตอนแรก ก็งง ๆ อยู่ ลุง กิติศักดิ์ เอาคำพวกนี้มาจากที่ไหน ต้องตามไปอ่านที่กระทู้ ของคุณปุ้ม ด้วยนะคร้า

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=724
 :25: :25: :25:

หมวยจ้า:
อ้างถึง>>>>๑๐ ปี หญ้ากับแก้  จักเป็นอาหารอย่างดี ดูกรภิกษุ
ทั้งหลายเปรียบเหมือน ข้าวสุก     ข้าวสาลีระคนกับเนื้อสัตว์ จักเป็นอาหารอย่างดี <<<<
อ่านตรงนี้แล้ว มนุษย์จะกิน หญ้ากับแก้ เหมือน วัว เลย

 :25: :25: :25:

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป