ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้...อุปกิเลส ๑๖  (อ่าน 14496 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

๗. วัตถูปมสูตร
ว่าด้วยข้ออุปมาด้วยผ้า

             [๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว.


             [๙๒] พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมองมลทินจับ
ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้น
พึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมไม่ดี มีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์
ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.

             ผ้าที่บริสุทธิ์สะอาด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นใส่ลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง
สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นของมีสีที่เขาย้อมดี มีสีสด ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะ
ผ้าเป็นของบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.


อุปกิเลส ๑๖
            [๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่าไหน เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต [คือ]

     - อภิชฌาวิสมโลภะ [ละโมบไม่สม่ำเสมอ คือความเพ่งเล็ง]
     - พยาบาท [ปองร้ายเขา]
     - โกธะ [โกรธ]
     - อุปนาหะ [ผูกโกรธไว้]
     - มักขะ [ลบหลู่คุณท่าน]
     - ปลาสะ [ยกตนเทียบเท่า]
     - อิสสา [ริษยา]
     - มัจฉริยะ [ตระหนี่]
     - มายา [มารยา]
     - สาเฐยยะ [โอ้อวด]
     - ถัมถะ [หัวดื้อ]
     - สารัมภะ [แข่งดี]
     - มานะ [ถือตัว]
     - อติมานะ [ดูหมิ่นท่าน]
     - มทะ [มัวเมา]
     - ปมาทะ [เลินเล่อ]


เหล่านี้เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิต.


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  บรรทัดที่ ๑๑๓๖ - ๑๒๓๖.  หน้าที่  ๔๘ - ๕๑.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=1136&Z=1236&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=91
ขอบคุณภาพจาก http://3.bp.blogspot.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 08, 2011, 08:11:19 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านเนื้อหา แล้วเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากคะ ในเรื่องของกรรมฐาน

 :c017:............................................................................................... :c017:

โดยปกติ ตั้งแต่ติดตามเว็บ มัชฌิมา มาเป็นเวลาปีกว่า ..........................................................
คุณ nathaponson  ปกติก็ให้บทความธรรมะ ที่ประทับใจมาตลอด ..............................................................................

ติดตามบทความของท่านมาด้วยดีคะ


ขอบคุณ ที่รับฟังความเห็นคะ


 :25: :25: :25:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 09, 2011, 11:54:02 am โดย ครูนภา »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร

Namo

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 206
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
madchima มัชฌิมา ทางสายกลาง อริยมรรค
 :smiley_confused1:
 
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายวรรค
วัตถูปมสูตร ว่าด้วยข้ออุปมาด้วยผ้า

             
อรรถกถาวัตถูปมสูตร

  ถ้าหากมีคำถามสอดเข้ามาว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงกระทำคำอุปมาไว้ด้วยผ้าอันเศร้าหมองแล้ว.

               ตอบว่า เพื่อทรงแสดงว่าความพยายามมีผลมาก.

               เปรียบเหมือนผ้าที่เศร้าหมอง เพราะมลทินที่ปลิวมาเกาะ เมื่อซักอีกครั้งย่อมขาวสะอาด เพราะตามปกติเป็นของขาวสะอาดอยู่แล้ว ความพยายามใน (การซัก) ผ้านั้นจะไร้ผล ดุจความพยายามใน (การฟอก) ขนแกะที่ดำธรรมชาติ (ให้ขาวสะอาด) หามิได้ฉันใด.

               แม้จิตที่เศร้าหมองเพราะกิเลสทั้งหลายที่จรมาก็ฉันนั้น (คือ) ก็ตามปกติ จิตนั้นย่อมเป็นธรรมชาติที่สะอาดทีเดียว ในวาระปฏิสนธิจิตและภวังคจิต.

               สมดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๕
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นธรรมชาติประภัสสร ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลสที่จรมา.

   
ฯลฯ.........ฯลฯ...........ฯลฯ



               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอุปกิเลส จึงทรงแสดงโลภะไว้เป็นอันดับแรก.
               ตอบว่า เพราะโลภะนั้นเกิดขึ้นก่อนเพื่อน.

               จริงอยู่ เมื่อสัตว์ทั้งปวงเกิดขึ้นในภพใดภพหนึ่งโดยที่สุดแม้ในภูมิสุทธาวาส โลภะย่อมเกิดขึ้นก่อนเพื่อนด้วยอำนาจความยินดีในภพ ต่อจากนั้น อุปกิเลสนอกนี้มีพยาบาทเป็นต้น ย่อมเกิดตามควรแก่ปัจจัยเพราะอาศัยปัจจัยที่ควรแก่ตน และไม่ใช่แก่อุปกิเลสของจิต ๑๖ อย่างนี้เท่านั้น เกิดขึ้น แต่พึงทราบว่าโดยนัยนี้ ย่อมเป็นอันรวมเอากิเลสแม้ทั้งหมดทีเดียว.

               [๙๔] พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ด้วยคำอธิบายเพียงเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความผ่องใส จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ส โข โส ภิกฺขเว ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิติ วิทิตฺวา แปลว่า รู้อย่างนี้.
               บทว่า ปชหติ ความว่า ละ (อุปกิเลสแห่งจิต) ด้วยอริยมรรคด้วยอำนาจแห่งสมุจเฉทปหาน.
               ในบทว่า ปชหติ นั้น พึงทราบการละมีอยู่ ๒ อย่าง คือ (ละ) ตามลำดับกิเลส และตามลำดับมรรค. (จะอธิบายการละ) ตามลำดับกิเลสก่อน.

               กิเลส ๖ เหล่านี้คือ อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภโดยไม่ชอบธรรมคือความเพ่งเล็ง) ถัมภะ (หัวดื้อ) สารัมภะ (แข่งดี) มานะ (ถือตัว) อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) มทะ (มัวเมา) ย่อมละได้ด้วยอรหัตตมรรค.

               กิเลส ๔ เหล่านี้คือ พยาปาทะ (ความพยาบาท) โกธะ (ความโกรธ) อุปนาหะ (ความผูกโกรธไว้) ปมาทะ (เลินเล่อ) ย่อมละด้วยอนาคามิมรรค.

               กิเลส ๖ เหล่านี้คือ มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน) ปลาสะ (ตีเสมอ) อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ตระหนี่) มายา (มารยา, เจ้าเล่ห์) สาเถยยะ (โอ้อวด) ย่อมละด้วยโสดาปัตติมรรค.


               ส่วนการละตามลำดับมรรคจะอธิบายดังต่อไปนี้:-
               กิเลส ๖ เหล่านี้ คือ มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน) ปลาสะ (ตีเสมอ) อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ตระหนี่) มายา (มารยา, เจ้าเล่ห์) สาเถยยะ (โอ้อวด) ย่อมละด้วยโสดาปัตติมรรค.

               กิเลส ๔ เหล่านี้ คือ พยาปาทะ (ความพยาบาท) โกธะ (ความโกรธ) อุปนาหะ (ความผูกโกรธไว้) ปมาทะ (เลินเล่อ) ย่อมละด้วยอนาคามิมรรค.

               กิเลส ๖ เหล่านี้คือ อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภโดยไม่ชอบธรรมคือความเพ่งเล็ง) ถัมภะ (หัวดื้อ) สารัมภะ (แข่งดี) มานะ (ถือตัว) อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) มทะ (มัวเมา) ย่อมละด้วยอรหัตตมรรค.


               แต่ในที่นี้กิเลสเหล่านี้จะถูกฆ่าด้วยโสดาปัตติมรรค หรือถูกฆ่าด้วยมรรคที่เหลือก็ตาม ถึงกระนั้นพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำเป็นต้นว่า บุคคลย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้ ทรงหมายเอาการละด้วยอนาคามิมรรคนั่นเอง.


  ฯลฯ.........ฯลฯ...........ฯลฯ

อ้างอิง http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=91
ขอบคุณภาพจาก http://glitter.kapook.com/,www.firodosia.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

tcarisa

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 524
  • ก้าวน้อย แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เห็นภาพ สักว่านั่น คือ ภาพ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา

ผู้โพสต์ น่าจะสื่อตรงนี้ มั้งคะ ครูนภา

 :hee20hee20hee:
บันทึกการเข้า
เราเป็นหน่ออ่อน ที่รอการเติบโต
จึงขอสั่งสมบารมีธรรม เพื่อพระนิพพาน

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อุปกิเลส หรือ จิตตอุปกิเลส ๑๖ (ธรรมเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งทีทำให้จิตขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก ดุจผ้าเปรอะเปื้อนสกปรก ย้อมไม่ได้ดี)

๑. อภิชฌาวิสมโลภะ (คิดเพ่งเล็งอยากได้ โลภไม่สมควร, โลภกล้า จ้องจะเอาไม่เลือกควรไม่ควร)
๒. พยาบาท (คิดร้ายเขา)
๓. โกธะ (ความโกรธ)
๔. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ)
๕. มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน, ความหลู่ความดีของผู้อื่น, การลบล้างปิดซ่อนคุณค่าความดีของผู้อื่น)
๖. ปลาสะ (ความตีเสมอ, ยกตัวเทียมท่าน, เอาตัวขึ้นตั้งขวางไว้ ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน)
๗. อิสสา (ความริษยา)
๘. มัจฉริยะ (ความตระหนี่ )
๙. มายา (มารยา)
๑๐. สาเถยยะ (ความโอ้อวดหลอกเขา, หลอกด้วยคำโอ้อวด)
๑๑. ถัมภะ (ความหัวดื้อ, กระด้าง)
๑๒. สารัมภะ (ความแข่งดี, ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะกัน)
๑๓. มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน )
๑๔. อติมานะ (ความถือตัวว่ายิ่งกว่าเขา, ดูหมิ่นเขา)
๑๕. มทะ (ความมัวเมา)
๑๖. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเล่อ)


ข้อ ๒ มีต่างออกไป คือ ในธัมมทายาทสูตร เป็น โทสะ (ความคิดประทุษร้ายเขา)


อ้างอิง
ม.มู.๑๒/๙๓/๖๕.
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจาก www.oknation.net
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านเนือ้หา แล้วเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากคะ ในเรื่องของกรรมฐาน

 แต่ภาพที่สื่อออกมานั้นไม่ได้สื่อในเรื่องกรรมฐาน เลยนะคะ และดเหมือนเจาะจง ให้เรื่องของสีเหลือง ทีรุมทำร้าย กับสีแดงที่นอนแผ่ กับพื้น

โดยปกติ ตั้งแต่ติดตามเว็บ มัชฌิมา มาเป็นเวลาปีกว่า ภาพเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไม่เคยมีโพสต์มาประกอบนะคะ
คุณ nathaponson  ปกติก็ให้บทความธรรมะ ที่ประทับใจมาตลอด อยากให้พิจารณาเปลี่ยนภาพประกอบด้วยนะคะ

ติดตามบทความของท่านมาด้วยดีคะ



เห็นภาพ สักว่านั่น คือ ภาพ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนของเรา

ผู้โพสต์ น่าจะสื่อตรงนี้ มั้งคะ ครูนภา

 :hee20hee20hee:

     สิ่งที่ผมรออยู่ก็คือ ความเห็นที่มีค่าของคุณ fasai (ฟ้าใส) (ขอโทษที่เอ่ยนาม)

     สี กับ ธาตุ(ดิน น้ำ ไฟ ลม) มีอิทธิพลกับมนุษย์เพียงไร คราวนี้ได้พิสูจน์กัน
     ขอให้พิจารณา อินทรีย์ ๕ (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ใครขาดอะไร 



    just take it easy....my freind

      :08: :25: :49: ;)

     "จิตนี้เป็นธรรมชาติประภัสสร ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองไป เพราะอุปกิเลสที่จรมา"
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

GodSider

  • ผู้อุปถัมภ์
  • กำลังแหวกกระแส
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 121
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สติ เป็น ธรรมเครื่องตื่นอยู่ อันดับแรก

พึงระวังใจ เป็นสิ่งที่ต้องเตือนเป็นลำดับสอง

กุศล เป็นสิ่งที่ต้องเสริมให้เข้มแข็ง

 ในโลกนี้ ยังมีเรื่องที่ฝึกให้อดกลั้น อดทน อยู่อีกมาก

  ผู้ปรารถนา นิพพาน พึงวางใจเป็นกลาง ให้สงบ มองเห็นตามความเป็นจริง ว่านี้ก็เป็น สัจจะ อีกอันหนึ่ง

  เป็น ทุกขสัจจะ ที่มองเห็นชัดผมมองเรื่องนี้แล้ว

 
   ถ้าจะตอบว่า วันนี้เขาเดินมาตบหัวเรา แล้ว ก็พูดว่า ผู้ภาวนาต้องมีกรรมฐาน ละกิเลส แล้วก็เดินจากไป

 เมื่อเขาจากไป ด้วยถ้อยคำที่เป็นพุทธพจน์แล้ว สิ่งหนึ่งของผู้ปฏิบัติ จะเห็นอะไร ในแก่นธรรมนั้นบ้าง.....


    สมุทัยสัจจะ ตัวแรก ก็คือ ความอยากชนะ มานะทิฏฐิ เป็นตัวจุดประกายโทสะ เมื่อตัดสินใจใช้โทสะอันเกิดจาก
การมานะทิฏฐิ ที่อยากชนะ

     สิ่งที่ตามมา ก็ คือ ไม่มีธรรมใดเป็นข้อยุติ

  ดังนั้นสิ่งที่อยากให้มอง ก็คือ ความรู้สึกที่อยาก ชนะ นั่นแหละ คือเหตุ

  พระทะเลาะกัน ทีี่เห็นมาก็ใช้ อรรถธรรมะที่เรียกว่า พุทธพจน์ ทุ่มใส่กัน ก็เห็นมามากแล้ว

  ผู้ภาวนาธรรม ทะเลาะกัน ก้เพราะจุดประกาย ความไม่ยินยอม นี้แหละครับ

  สรุป โปรดมอง ธรรมะ คือ ธรรม มีเหตุปัจจัยเพียงเพื่อสยบกิเลส ดับกิเลสเป็นส่วนบุคคล พ้นจากสังสารวัฏ นี้เป็นส่วนบุคคล เมื่อเราเข้าใจ ก็ไม่ต้องไปแบกโลก นะครับ

  :34: :bedtime2:
บันทึกการเข้า
สุดเขต เสลดเป็ด ไกลสุดกู่ ใกล้แค่ ปลายจมูก

เท่ากับผลรวม

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 169
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ดูกรกัสสปะ สัทธรรมปฏิรูป ไม่เกิดขึ้นในโลกเพียงไร การอันตรธานแห่งพระสัทธรรม ก็ไม่มีตราบนั้น เมื่อใดสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลก กัสสปะ เมื่อนั้น การสูญสิ้นแห่งพระสัทธรรมย่อมมี เหมือนทองแท้ย่อมไม่อันตรธาน ตราบเท่าที่ทองเทียมยังไม่เกิดขึ้น เมื่อทองเทียมเกิด ทองแท้ก็ย่อมหายไป

                     ดูกรกัสสปะ ปฐวีธาตุ-อาโปธาตุ-เตโชธาตุ-วาโยธาตุ หาทำให้พระศาสนาเสื่อม ไปไม่ ที่แท้ โมฆบุรุษที่เกิดขึ้นในพระศาสนานี้ต่างหากที่ทำให้พระศาสนาเสื่อมหายไป ดุจ เรือจะจมลงก็เพราะต้นหน กัสสปะ การเสื่อมไปของพระสัทธรรม ย่อมไม่มีอย่างนี้แล

                     ดูกรกัสสปะ ธรรมฝ่ายต่ำ ๕ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความเลอะเลือน เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

                    ๑. ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา

                     ๒. ไม่เคารพยำเกรงพระธรรม

                     ๓. ไม่เคารพยำเกรงพระสงฆ์

                     ๔. ไม่เคารพยำเกรงในการศึกษา

                     ๕. ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ

                     ดูกรกัสสปะ ธรรม ๕ ประการนี้แลย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นไม่เลอะเลื่อน ไม่เสื่อมสูญ แห่งพระสัทธรรม  (คือศาสนา) คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

                     ๑. ยังเคารพยำเกรงในพระศาสดา

                     ๒. ยังเคารพยำเกรงในพระธรรม

                     ๓. ยังเคารพยำเกรงในพระสงฆ์

                     ๔. ยังเคารพยำเกรงในการศึกษา

                     ๕. ยังเคารพยำเกรงในสมาธิ

                     ธรรม ๕ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความตั้งมั่นไม่เลอะเลือน ไม่เสื่อมสูญ แห่งพระสัทธรรม(9)


http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=4202.0
บันทึกการเข้า
ชีวิต นี้เพื่อพุึทธศาสน์

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อย่า วิตก หรือ ทดสอบอะไรเลยคะ

 ก็เป็นเพียงความเห็นเล็ก ๆ นะคะ เพื่อช่วยส่งเสริมเว็บ คะ

 :s_hi: :67:
 
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
มาตอบแสดงความคิดเห็น ให้แล้วนะคะ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: สิงหาคม 08, 2011, 05:04:46 pm »
0
อ้างถึง
สิ่งที่ผมรออยู่ก็คือ ความเห็นที่มีค่าของคุณ fasai (ฟ้าใส) (ขอโทษที่เอ่ยนาม)

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า อ่านแล้วตามกระทู้อยู่นะคะ ถึงแม้จะไม่ได้โพสต์กับเขาบ้างแบบเมื่อก่อนเพราะไม่รู้จะโพสต์อะไรนะคะ มองเห็นทุกท่านที่มาร่วมโพสต์แบ่งความรู้กัน มาตั้งแต่เริ่มมีเว็บนี้ ก็เข้าปีที่ 2 แล้วทำให้มีกัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรม เพิ่มขึ้นถึงแม้บางท่านยังไม่เคยพบกัน และหลายท่านก็ได้พบกันแล้วที่วัดราชสิทธาราม จึงอยากให้ทุกท่าน ช่วยกันรักษาความเป็นกัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรมกันไว้ให้มาก ๆ เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่เราจะมีคนที่มีนิสัยรักธรรมะ ชอบธรรม เสียสละกับธรรมะ ชอบภาวนา และมีจุดหมายปลายทางคือ พระนิพพานกันมาก นะคะ เป็นกัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรมที่หายากอย่างยิ่ง ดังนั้น บรรยากาศการสนทนากัน พบปะกันจึงเป็นเรื่องที่ยากอีกเช่นกัน ไม่ใช่จะหากันได้ง่าย ๆ เมื่อทุกท่านระลึก มี สติ รู้ตัวอยู่อย่างนี้แล้ว สิ่งสำคัญก็คือการรักษา ความเป็นกัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรม ถามว่าใช้ง่ายกว่า หรือ รักษาง่ายกว่า

  ต้องขอตามตรงว่า รักษา เป็นเรื่องที่ยากกว่า เพราะการรักษานั้นต้องอยู่ที่การภาวนา ที่นี้มาิพิจารณาธรรมของผู้ที่เป็นสมาชิกธรรมกันขณะนี้ แน่ละย่อมมีหลายระดับ แต่ทุกท่านมีการศึกษาในด้านคอมพิวเตอร์กันพอสมควรต้องจัดว่าเป็นชนชั้นปัญญากลุ่มหนึ่ง ที่จะเลือก หรือ แสวงหาสิ่งที่ต้องการในโลกของไซเบอร์ ดังนั้นการกระทบกระทั่งกันด้วยการแสดงความเห็นนั้น ต้องมีเกิดขึ้นบ้าง แต่เมื่อกระทบแล้ว เราชาวภาวนาก็ต้องวางและฟัง ความเห็นทั้งสองฝั่งและยุติปํญหา ด้วยกติกา คือ ระเบียบ ที่กำหนดเข้ามาควบคุมความเห็น

 ที่นี้อารมของผู้แสดงความเห็น เราไม่พึงวิจารณ์ เพราะเป็นอารมณ์การภาวนาโดยส่วนตัว และเรามาภาวนาก็ไม่ใช่เพื่อใครอื่นนอกเสียจาก ตัวเรา ศึกษาตัวเรา การที่สมาชิก มีอารมณ์บ้างไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะระดับที่จะไม่เกิดอารมณ์โกรธ มีโทสะ และไม่มีพยาบาท หรือปฏิฆะเลย นั้นต้องเป็นระดับพระอนาคาีมีเท่านั้น ที่นี้ถ้าสมาชิกมีอารมณ์บ้าง เราก็พึงช่วยกันชี้นำ ไม่ใช่การลงโทษ แต่ช่วยกันเตือนในฐานะ กัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรม

 เรามาที่นี่ เป็นสมาชิก ที่นี่ มาศึกษาธรรมที่นี่ เพราะอะไร ส่วนตัวของฟ้าใสแล้ว มาที่นี่แล้วเฝ้าดูศึกษาธรรมมาโดยตลอดนั้น ก็ขอตอบว่า มาเพราะเคารพในพระธรรม ของครูซึ่งก็คือ พระอาจารย์ ซึ่งท่านเสียสละหลายอย่างให้พวกเราได้มีโอกาสได้ อ่าน ได้แสดงความคิดเห็น และได้ทำบุญ คือการสร้างธรรมทาน



  คนบางคนอาจจะคิดว่า กระทู้ และสาระไม่ตรงกับใจ แต่ธรรมทานนั้น พระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงไว้ว่า

  ธรรมทาน เป็นเลิศ กว่าทานทั้งปวง

  ศิษย์กรรมฐาน พึงรู้ธาตุ ดิน ไฟ น้ำ ลม อากาศ โดยการภาวนา ด้วยใจ แต่การรู้ ดับ ก็เป็นการส่วนตัว
การอยู่ร่วมกัน ต้องใช้ระเบียบกติกา นะจ๊ะ

 สาธุ อนุโมทนากุศลกับทุกท่าน ที่ร่วมกันแจกธรรมทาน และไม่หนีหายจากพระอาจารย์กันไป นะคะ

 ด้วยรักเคารพในธรรมทุกท่าน คะ

 

บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

ก้านตอง

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 195
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
เรามาที่นี่ เป็นสมาชิก ที่นี่ มาศึกษาธรรมที่นี่ เพราะอะไร ส่วนตัวของฟ้าใสแล้ว มาที่นี่แล้วเฝ้าดูศึกษาธรรมมาโดยตลอดนั้น ก็ขอตอบว่า มาเพราะเคารพในพระธรรม ของครูซึ่งก็คือ พระอาจารย์ ซึ่งท่านเสียสละหลายอย่างให้พวกเราได้มีโอกาสได้ อ่าน ได้แสดงความคิดเห็น และได้ทำบุญ คือการสร้างธรรมทาน



  คนบางคนอาจจะคิดว่า กระทู้ และสาระไม่ตรงกับใจ แต่ธรรมทานนั้น พระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงไว้ว่า

  ธรรมทาน เป็นเลิศ กว่าทานทั้งปวง

  ศิษย์กรรมฐาน พึงรู้ธาตุ ดิน ไฟ น้ำ ลม อากาศ โดยการภาวนา ด้วยใจ แต่การรู้ ดับ ก็เป็นการส่วนตัว
การอยู่ร่วมกัน ต้องใช้ระเบียบกติกา นะจ๊ะ

อ่านแล้วรู้สึก ดีใจจังคะ ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะคะ อาฟ้าใส 11/8/54 จะพาคุณแม่ไปทำบุญทีวัดราชสิทธารามคะ

เจอกันที่นั่นนะคะ

 อนุโมทนาสาธุ ด้วยคะ

 :coffee2:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28444
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
สิ่งที่ผมรออยู่ก็คือ ความเห็นที่มีค่าของคุณ fasai (ฟ้าใส) (ขอโทษที่เอ่ยนาม)

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า อ่านแล้วตามกระทู้อยู่นะคะ ถึงแม้จะไม่ได้โพสต์กับเขาบ้างแบบเมื่อก่อนเพราะไม่รู้จะโพสต์อะไรนะคะ มองเห็นทุกท่านที่มาร่วมโพสต์แบ่งความรู้กัน มาตั้งแต่เริ่มมีเว็บนี้ ก็เข้าปีที่ 2 แล้วทำให้มีกัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรม เพิ่มขึ้นถึงแม้บางท่านยังไม่เคยพบกัน และหลายท่านก็ได้พบกันแล้วที่วัดราชสิทธาราม จึงอยากให้ทุกท่าน ช่วยกันรักษาความเป็นกัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรมกันไว้ให้มาก ๆ เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่เราจะมีคนที่มีนิสัยรักธรรมะ ชอบธรรม เสียสละกับธรรมะ ชอบภาวนา และมีจุดหมายปลายทางคือ พระนิพพานกันมาก นะคะ เป็นกัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรมที่หายากอย่างยิ่ง ดังนั้น บรรยากาศการสนทนากัน พบปะกันจึงเป็นเรื่องที่ยากอีกเช่นกัน ไม่ใช่จะหากันได้ง่าย ๆ เมื่อทุกท่านระลึก มี สติ รู้ตัวอยู่อย่างนี้แล้ว สิ่งสำคัญก็คือการรักษา ความเป็นกัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรม ถามว่าใช้ง่ายกว่า หรือ รักษาง่ายกว่า

  ต้องขอตามตรงว่า รักษา เป็นเรื่องที่ยากกว่า เพราะการรักษานั้นต้องอยู่ที่การภาวนา ที่นี้มาิพิจารณาธรรมของผู้ที่เป็นสมาชิกธรรมกันขณะนี้ แน่ละย่อมมีหลายระดับ แต่ทุกท่านมีการศึกษาในด้านคอมพิวเตอร์กันพอสมควรต้องจัดว่าเป็นชนชั้นปัญญากลุ่มหนึ่ง ที่จะเลือก หรือ แสวงหาสิ่งที่ต้องการในโลกของไซเบอร์ ดังนั้นการกระทบกระทั่งกันด้วยการแสดงความเห็นนั้น ต้องมีเกิดขึ้นบ้าง แต่เมื่อกระทบแล้ว เราชาวภาวนาก็ต้องวางและฟัง ความเห็นทั้งสองฝั่งและยุติปํญหา ด้วยกติกา คือ ระเบียบ ที่กำหนดเข้ามาควบคุมความเห็น

 ที่นี้อารมของผู้แสดงความเห็น เราไม่พึงวิจารณ์ เพราะเป็นอารมณ์การภาวนาโดยส่วนตัว และเรามาภาวนาก็ไม่ใช่เพื่อใครอื่นนอกเสียจาก ตัวเรา ศึกษาตัวเรา การที่สมาชิก มีอารมณ์บ้างไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะระดับที่จะไม่เกิดอารมณ์โกรธ มีโทสะ และไม่มีพยาบาท หรือปฏิฆะเลย นั้นต้องเป็นระดับพระอนาคาีมีเท่านั้น ที่นี้ถ้าสมาชิกมีอารมณ์บ้าง เราก็พึงช่วยกันชี้นำ ไม่ใช่การลงโทษ แต่ช่วยกันเตือนในฐานะ กัลยาณมิตร และ กัลยาณธรรม

 เรามาที่นี่ เป็นสมาชิก ที่นี่ มาศึกษาธรรมที่นี่ เพราะอะไร ส่วนตัวของฟ้าใสแล้ว มาที่นี่แล้วเฝ้าดูศึกษาธรรมมาโดยตลอดนั้น ก็ขอตอบว่า มาเพราะเคารพในพระธรรม ของครูซึ่งก็คือ พระอาจารย์ ซึ่งท่านเสียสละหลายอย่างให้พวกเราได้มีโอกาสได้ อ่าน ได้แสดงความคิดเห็น และได้ทำบุญ คือการสร้างธรรมทาน


   
:88:ขอมอบดอกไม้สวยๆ ให้ใจใสๆของคุณฟ้าใส :88:

      คนที่คุยกับผมแล้ว ผมจดจำได้ดี ก็คุณฟ้าใสนี่แหละ ความรู้สึกส่วนตัวมันบอกว่า "คุณฟ้าใสจริงใจ"

   ขอบคุณมากครับ

    :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คุณฟ้าใส แสดงความเห็นได้ซึ้งดีคะ

 :s_hi:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ชื่นชมด้วยอีกคนนะคะ เพราะทุกท่านเป็น กัลยาณมิตร กัลยาณธรรม กันด้วยดีมาตลอด

มิตรภาพ นี้จะไม่หายไปจากใจชาว ธรรม คะ

 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร