ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ  (อ่าน 8056 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

inlove

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 51
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 12:30:18 pm »
0
ขอถามความคิดเห็นเพื่อน ๆ ชาวธรรมด้วยคะ

  ถ้าเราเป็นหญิงโสด แต่แอบรักแฟนเพื่อน อย่างนี้บาปหรือไม่คะ

  คือ

   ตอนที่เขายังไม่แต่งงาน กับเพื่อนเรา เขาก็มาจีบเราด้วย เคยมาสารภาพรักกับเราคะ แต่แล้ว จู่ ๆ ทำไมเพียงแค่ 6 เดือนกว่า ๆ ที่เราย้ายไปทำงานที่ ตจว. กลับมาอีกครั้ง ได้รับ การ์ดแต่งงาน จากเพื่อน ทั้งสอง รู้สึกฟ้าหมุน ช๊อกอยู่หลายวัน เป็นเดือน กับการทำใจ

   สรุปคือ วันนี้ ก็ยังรักเขาอยู่ คะ ( มีสภาพแอบรักเขาคะ ) อย่างนี้เป็นบาป หรือไม่คะ เพราะจะให้เกลียดเขาก็ทำไม่ลงคะ

   ขอบคุณทุกท่านที่แสดงความเห็น คะ ยินดีน้อมรับฟังคำแนะนำจากชาวธรรมคะ

   :25: :58: :c017:
บันทึกการเข้า

timeman

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 91
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 01:27:05 pm »
0
ใจ คุณ แอบรัก ก็ผิด ครับ
   คำว่า แอบ แสดงว่าผิดครับ  :s_hi:
บันทึกการเข้า
ทะลุมิติ มาหา ความจริง ของตัวเอง

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 03:57:49 pm »
0
   เราเป็นหญิงโสด แฟนเพื่อนเรา เขามาจีบสารภาพรักกับเรา แต่แล้ว จู่ ๆ เพียง 6 เดือน ที่เราย้ายไปทำงาน ตจว. กลับมาอีกครั้ง ได้รับ การ์ดแต่งงาน จากเพื่อน ทั้งสอง รู้สึกฟ้าหมุน ช๊อกกับการทำใจ

   สรุป วันนี้ ก็ยังรักเขาอยู่ ( มีสภาพแอบรักเขาคะ )

สังคมนั้นเปิดโอกาสให้ชายหญิงเสมอกันในการที่จะรักเลือกสู่สม หากแต่กรณีนี้เขานั้นเลือกเพื่อนคุณก็ควรจบ และจบ

ให้ขาดด้วย ไม่ฉะนั้นความรักจะกลายเป็นความริษยาผูกเวรจองกรรม กิเลสไม่เคยให้ใครดี วันนี้เขาไม่ใช่คู่วาสนาเราเรา

อย่าเขลาเบียดเบียนตัวเอง คู่บุญเรานั้นมีแต่เสาบัง เราเท่านั้นเปิดตาให้กว้างชะโงกสักนิดเขาอาจอยู่ตรงนั้น อย่ายึดถือ

อดีตบทเรียนจากปากคำชายกะล่อนสับปรับโกรธได้แต่อย่าแค้น แค้นได้แต่อย่าคิดเอาคืน เราจะจมจบแบบอนาจสมเพช

คนที่เสียใจคือคนที่แอบมองเราอยู่แต่เรากลับเหลวไหลไปเสียก่อนเขาจะบอกรักหรือเลือกเรา ผมเสียใจแบบนี้มาก่อน

และเสียดายที่มองคนผิด ครับ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 26, 2012, 04:38:51 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 04:03:58 pm »
0
ไม่รัก น่าจะดีกว่า ถ้าขืนรักต่อไป อาจจะเรียก ว่า ถ่านไฟเก่า คุ ขึ้นมา อาจจะเสียการณ์ ได้นะคะ

 

บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

catwoman

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 88
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 04:22:43 pm »
0
คิดว่า รักเขาอยู่นั้น ก็ไม่น่าจะมีความผิดใด ๆ
แต่ควรจะมีสติ หักห้ามใจ ไว้เดี๋ยว ใจอ่อน เพราะความรัก ได้....
  อันที่จริง หญิงชาย ในเืมืืองไทย ผู้ชายจะมีเมีย หลาย ๆ คน นั้นก็ไม่ใช่ว่า จะผิดศีล เพียงแต่ต้องทำอย่างเปิดเผย เป็นที่ยอมรับทั้งแก่ ภรรยาหลวง และ พ่อแม่ ทั้งสองฝ่าย ดังนั้น รัก เป็นเรื่องที่ห้ามยาก และ ลืมยาก ด้วย ลองถ้ารักแล้ว ส่วนมากจะเปลี่ยนเป็น ความชัง ... โกรธแค้น เสียมากกว่า

  ที่นี้ในระบบ ศาสนานั้น พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสผลของความรัก ก็คือ ความทุกข์
 ดังนั้น ถ้ายังรัก ก็ต้องมีทุกข์ ถ้ามีชัง อยู่ ก็ต้องมีทุกข์เช่น กัน

  เขียนมาถึงตรงนี้ ก็ไำม่รู้จะเขียนอย่างไร ต่อ คงเรียกว่า กลาง ๆ หรือ วางเฉย ต่อรักกระมัง อย่ารัก และ อย่าหลง จะได้ไม่ต้องทุกข์ นะคะ

                    ............LOVE...............

         L   .........learn..........เรียนรู้และเข้าใจ.........ความรัก

          O...........overcome......ให้สติ  ชนะ  อารมณ์.....ในการมีความรัก

            V...........voyage............เดินทางแห่งรัก....อย่างเป็นสุข

               E...........experience..........ความรักคือ ครู.......สอนประสบการณ์ชีวิต


 


ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.oknation.net/blog
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 07:35:57 pm »
0


เผยแพร่เมื่อ 18 มี.ค. 2012 โดย RoadVideo404


Foreigner : I Want To Know What Love Is Lyrics
Songwriters : PARKS, ALEX / TZUKE, JUDIE / KEARNS, GRAHAM PATRICK

I gotta take a little time
A little time to think things over
I better read between the lines
In case I need it when I'm older
Aaaah woah-ah-aah


Now this mountain I must climb
Feels like a world upon my shoulders
And through the clouds I see love shine
It keeps me warm as life grows colder

In my life there's been heartache and pain
I don't know if I can face it again
Can't stop now, I've traveled so far
To change this lonely life


I wanna know what love is
I want you to show me
I wanna feel what love is
I know you can show me
Aaaah woah-oh-ooh

I'm gonna take a little time
A little time to look around me, oooh ooh-ooh ooh-ooh oooh
I've got nowhere left to hide
It looks like love has finally found me


In my life there's been heartache and pain
I don't know if I can face it again
I can't stop now, I've traveled so far
To change this lonely life

I wanna know what love is
I want you to show me
I wanna feel what love is
I know you can show me
I wanna know what love is
I want you to show me
And I wanna feel, I want to feel what love is
And I know, I know you can show me


Let's talk about love
(I wanna know what love is) the love that you feel inside
(I want you to show me) I'm feeling so much love
(I wanna feel what love is) no, you just cannot hide
(I know you can show me) yeah, woah-oh-ooh
I wanna know what love is, let's talk about love
(I want you to show me) I wanna feel it too
(I wanna feel what love is) I wanna feel it too
And I know, and I know, I know you can show me
Show me what is real, woah (woah), yeah I know
(I wanna know what love is) hey I wanna know what love
(I want you to show me), I wanna know, I wanna know, want know
(I wanna feel what love is), hey I wanna feel, love
I know you can show me, yeah





(translation)
เพลง : ฉันอยากจะรู้ ความรักคืออะไร

ฉันต้องใช้เวลาสักนิด
เวลาเพียงนิดเดียวเพื่อที่จะคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆเสียที
ฉันน่าจะตีความมันได้ถ้าฉันโตขึ้นกว่านี้ ฉันจำเป็นที่จะต้องทำ
ตอนนี้มีภูเขาสูงชันที่ฉันต้องปีนป่ายข้ามไป
รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบอยู่เหนือไหล่ของฉัน
ฉันข้ามผ่านหมู่เมฆ ฉันรักแสงแดด
มันช่วยให้ฉันอบอุ่นในขณะที่ชีวิตกำลังหนาวเหน็บ
ในชีวิตฉัน ฉันเจอความผิดหวังอกหักในรัก และความเจ็บปวด
ฉันไม่รู้ว่าจะทนรับมันอีกได้ไหม
แต่ตอนนี้ฉันก็หยุดไม่ได้แล้ว
ฉันเดินทางมาไกลเหลิอเกินเพื่อจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเหงาๆนี่


ฉันอยากจะรู้ ความรักคืออะไร
อยากให้เธอแสดงให้ฉันเห็น
ฉันอยากสัมผัสความหมายของรักแท้
และฉันรู้ว่าเธอทำให้ฉันรู้สึกได้


ฉันต้องการเวลาสักนิด
เวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อหันมองรอบกาย
ไม่เหลือที่ไหนเลยให้ฉันหลบซ่อนจากความรัก
ดูเหมือนมันจะเจอฉันเข้าเสียแล้วล่ะ


ฉันอยากจะรู้ ความรักคืออะไร
อยากให้เธอแสดงให้ฉันเห็น
และฉันอยากรู้สึก.. ฉันอยากสัมผัสความหมายของรักแท้
และฉันรู้... ฉันรู้ดีว่าเธอทำให้ฉันรู้สึกได้

เรามาพูดเรื่องความรักกันเถอะ
ฉันอยากจะรู้ว่าความรักคืออะไร ความรักที่เธอรู้สึกอยู่ข้างใน
ฉันอยากให้เธอแสดงมันออกมาให้ฉันรู้
และฉันกำลังสัมผัสได้ถึงความรักท่วมท้น


ฉันอยากสัมผัสว่าความหมายของรักแท้เป็นอย่างไร
ไม่ เธอน่ะหลบซ่อนมันไว้ไม่ได้หรอก
ฉันรู้ว่าเธอสามารถแสดงให้ฉันเห็น

ฉันอยากรู้ รักคืออะไร
มาพูดเรื่องความรักกันเเถอะ
ฉันอยากให้เธอแสดงให้ฉันเห็น
ฉันอยากรู้สึกถึงรักนั้นเหมือนกับเธอ


ฉันอยากสัมผัสความหมายของรักแท้
ฉันอยากสัมผัสมันเหมือนกัน
และฉันรู้ ฉันรู้ดี...ฉันรู้ว่าเธอสามารถแสดงให้ฉันเห็น
ทำให้ฉันเห็นสิว่าความรักนี้เป็นของจริง
อยากรู้ ความรักคืออะไร...




       
       หลายคนแสวงหาความรัก โดยไม่เข้าใจว่า จริงๆแล้วความรักคืออะไร.?
       พอพบกับปัญหา ก็เริ่มเข้าใจว่า ผลของความรัก ก็คือ ทุกข์นั่นเอง
       พระพุทธองค์กล่าวว่า "รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง รักสิบก็ทุกข์สิบ รักร้อยก็ทุกข์ร้อย......"
       หากเรารักไปเรื่อยๆ ความทุกข์ก็หาสิ้นสุดไม่....
       ทางที่ถูก..ต้องหยุด หยุดใจห้ามใจ......
       มันยาก....ก็เข้าใจอยู่
       But.! NO CHOICE.!!

        :49:


ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/,http://img.kapook.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

konsrilom

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 69
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 01:47:35 am »
0
ถ้าตอบตามหัวข้อ

   แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ

   ตอบ ถ้ารักเขา ก็แผ่เมตตาให้เขามีความสุข นะคะ แต่ ระวังอย่ารักแบบ ชู้สาวนะคะ เมื่อเขาเลือกหญิงอื่นแล้วควรหยุดรักเขาได้แล้ว เปลี่ยนความรักนั้นมาเป็นการแผ่เมตตาขอให้เขามีความสุขคะ และอย่าได้คิดทอดกายให้เขาเชยชมนะคะ อันนี้จะผิดคะ
    ดังนั้นเปลี่ยนจากรัก แบบแฟน มาเป็นแบบเพื่อน พี่น้อง คือการแผ่เมตตา ให้เขามีความสุข และ เราก็มีความสุขคะ น่าจะดีกว่า รัก ๆๆๆ แบบ ฝังใจ เดี๋ยวจะกลายเป็นฝังแค้นและ สร้างเรื่องราวใหม่ขึ้นมานะคะ

    ว่าแต่คุณผู้ชายนี่ไม่มั่นคง นะคะ บอกรักเราแล้ว จากกันแค่ 6 เดือน ก็แต่งงานใหม่ซะแล้ว นี่ละหนอ รักที่จีบกันมาหลายปี ฤา จะสู้ รักแบบ บุพเพสันนิวาส ได้อย่างไร

    ตอบคือ ถ้ารักแบบแผ่เมตตา ก็ไม่ผิด คะ
             ถ้ารัก แบบชู้สาว เพื่อรอเขามาเป็นคู่ หรือ อ่อยไว้ เผื่อเขาเลิกกัน นี่ก็ผิดคะ

    นานาจิตตัง เรื่อง อย่างนี้จัดว่าเป็น เรื่องที่มีสาระ และ ไร้สาระ พอ ๆ กันคะ

   :41: :s_hi: :25: :58:
บันทึกการเข้า

Bigscooler

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2012, 04:34:11 pm »
0
ความรักเป็นสิ่งดีงามครับ แต่ต้องรักให้ถูกครับผม
บันทึกการเข้า

แมนแมน

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 86
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2012, 10:27:43 am »
0
ในฐานะ ลูกผู้ชาย ที่ มีประสบการณ์ นะครับ

   1.ตัดใจเสียเถอะครับ อย่าไปอาลัย อาวรณ์ อยู่เลยครับ จะได้ไม่ผิดศีลครับ
   2.เก็บความประทับใจ ไว้เป็นความทรงจำ และเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันต่อไปครับ
   3.เยียวยาหัวใจ ด้วยกรรมฐาน พิจารณาตามความเป็นจริง ให้เห็นโทษของความรัก แบบหญิงชาย เถอะครับ
   4.กรวดน้ำ คว่ำขัน เลยครับ ว่า ชาติหน้า อย่าได้เกิดมารักกันอีก นะครับ
   
 
บันทึกการเข้า

Jemepa21

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กันยายน 30, 2013, 11:52:48 am »
0
แย่มากเลยนะแบบนี้
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: แอบรัก แฟนเพื่อน เป็นบาปหรือไม่คะ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2013, 08:22:28 pm »
0
- หากคุณมีแฟนแล้ว มีเพศสัมพันธ์กันแล้ว คุณก็รักแฟนคุณ แล้วคุณรับได้ไหมที่แฟนคุณจะไปมีอะไรกับเพื่อนคุณ
- คุณย่อมต้องเศร้าหมองใจเป็นที่สุด ขุ่มวมัวขัดเคืองใจ กระวนกระวายใจ หวั่นกลัว คุณชอบสภาพนั้นไหม แล้วยอมให้แฟนคุณไปมีอะไรกับคนอื่นได้ไหม
- หากคุณรับไม่ได้ ทนไม่ได้ ก็อย่าไปทำอย่างนั้นกับคนอื่น หากทางปฏิบัติเมื่อมีเพศสัมพันธ์กันด้วยความสมยอมยินดีทั้ง 2 ฝ่าย(ซึ่งไม่ใช่การค้าประเวณี) อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว
- แล้วขณะที่ชายคนนั้นนอกใจแฟนเขาแล้วมีเจตนาที่จะเสพย์คุณเพิ่มเติมอีก โดยที่แฟนเขาไม่รู้หรือไม่ยอมรับ ขณะนั้นเขาก็ลงสูความผิดในศีลแล้ว เมื่อคุณสมยอมเล่นด้วย คุณก็เท่ากับผิดศีลด้วยแล้ว
- การไม่ผิดศีลและเป็นเพียงอกุศลจิตนั้นคือ คุณแค่คิดแอบชอบแฟนเพื่อนโดยที่แฟนเพื่อไม่ได้เล่นด้วยกับคุณคุณแค่ชอบเขาโดยไม่ได้กระทำทางกาย วาจา  อย่างนี้ศีลไม่ขาด แต่เป็นอกุศลธรรมที่จะเกิดแก่คุณ แต่ในกรณีของคุณนี้มันผิดศีลไปแล้ว
- ในขณะที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น คุณได้น้อมรับเจตนาที่สามีแฟนคุณจะจุดไฟเผาเรือนตัวเองแล้ว โดยมีคุณร่วมวางเพลิงด้วย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ ความไท่ทีกุศล ความร้อนรุ่ม ร้อนรนใจ โศรกเศร้าร่ำไรรำพัน อึดอัด อัดอั้น คับแึค้นทรมานกายใจอย่างที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้
- มองในมุมกลับกัน ผู้ชายคนนั้นทำกับคนที่เขาจะแต่งงานด้วยได้ แล้วเพียงแค่ส่วนเกินอย่างคุณเขาจะเอาไปทิ้งไว้ไหน วันนึงแม้คุณสมหวังกับเขาคุณก็จะเจ็บหนักจากอกุศลของคุณและผู้ชายคนนั้นได้ก่อไว้ อยู่ด้วยกันก็มีแอต่ความร้อนรุ่มใจ ไม่เป็นสุข
- การถอยและยอมปล่อยวาง ไม่ใช่ผู้แพ้ แต่กลับเป็นผู้ที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่ สิ่งที่คุณรู้สึกกับชายคนนั้น เพียงแค่อยากได้ อยากครอบครอง อยากมีเซ็กซ์ด้วย ซึ่งมันเป็นไปใน กาม ราคะ อันเป็นเหตุให้ยังลงสู้ความทุกข์ทรมานไม่รู้จบ


- คุณสามารถที่จะเจริญในกุศลจิตแล้วเป้นคนที่มีเมตตาเอื้อเฟื้อที่อบอุ่นและเชื่อถือได้ โดยคุณเจริญพิจารณาตามนี้นะครับ

1. ระลึก หวนระลึกถึง ถึงความจำ ความทรงจำใดๆสิ่งที่ดีงามที่ได้คิดได้ทำมา และ ควรจะทำในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นการ คิด พูด ทำ ที่ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ไม่เป็นการจองเวร พยาบาทผู้อื่น ไม่เป็นการกระทำทางกาย-วาจา-ใจโดยความติดใจเพลิดเพลินยินดีใคร่ตามที่จะเสพย์ ไม่หมองมัวใจ ไม่เศร้าหมองใจ ตรึกถึง ตรองถึง คำนึงถึงในความดีของเขาทั้ง 2 คน และ สิ่งที่ควรที่ดีงามที่ชายคนนั้นและเพื่อคุณควรเป็นควรได้รับ เมื่อทำอย่างนี้แล้วจิตคุณก็จะมีแต่ความผ่องใส เบิกบาน สงบรำงับจาก กาม ราคะ โมหะ พยาบาท มีความสุขยินดี ไม่ติดใจเพิลดเพลินใคร่ตามในสิ่งไรๆ

2. เมื่อจิตใจผ่องใส เบิกบาน สงบดีแล้ว ให้พิจารณาว่า สิ่งนี้ๆไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราเคยยืมเขามาเสพย์ให้แช่มชื่นใจได้ซักระยะหนึ่งแล้ว ถึงเวลาที่ต้องคืนเขาไป ให้เขาอยู่มนที่ๆเขาควรอยู่ ที่ๆเขาควรเป็น ที่ๆเขาควรได้เพราะเขาไม่ใช่ของเรา ไม่มีสิ่งใดที่เเป็นของเรา เรายืมมาใช้ชั่วคราวเท่านั้น  ควรแล้วที่จะให้เขาทั้ง 2 คนได้รับและได้อยู่ในที่ๆดีๆ ที่เป็นสุขแก่เขาทั้ง 2 คน


3. เมื่อคุณระลึกพิจารณาปฏิบัติตามในข้อที่ 1-2 แล้วจิตใจคุณจะเกิดขันติจิต คือ ความละไว้ ปล่อยไว้ อดโทษไว้ เกิดเป็นความความเอื้ออนุเคราะห์แบ่งปันความสุขที่ดีงามนั้นแก่เขา เกิดเป็นการสละให้ที่ประเสริฐอันเรียกว่า อภัยทาน คือ มีการสละให้อันประเสริฐที่ทำให้ชีวิตเขาได้มีอิสระสุขไม่ผูกมัดให้คับแค้นใจ เป็นการสละให้ชีวิตอันเป็นสุขแก่เขาทั้ง 2 เป็นการให้สิ่งที่ดีงามอันประกอบไปด้วยประโยชน์สุขในชีวิตแก่เขา

4. เมื่อคุณเจริญจิตตามข้อที่ 1-3 แล้ว จิตคุณย่อมมีความยินดีอันประกอบไปด้วยกุศลที่เห็นเขาได้เป็นสุขหลุดพ้นจากทุกข์ที่เป็นอกุศลธรรมที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ได้พบสิ่งที่ดีงามแล้ว เมื่อเกิดสภาพจิตนี้ขึ้นแล้วจิตคุณจะเข้าสู่ความมีใจวางไว้กลางๆ ไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดีใดๆที่มีต่อเขามาตั้งเป้นอารมณ์ของจิต มีใจวางเฉยในสิ่งที่มันเป็นไปตามแต่พรหมลิขิตซึ่งจะเดินไปตามผลจากการกระทำทั้งหลายทั้งในอดีตและปัจจุบันของเขาทั้ง 2 คน ด้วยจิตใจที่แจ่มใสเบิกบายปราศจากความขุ่นมัวใจ เศร้อหมองใจ หมองมัวใจทั้งสิ้นไป

5. แล้วก็แผ่เมตตาให้ตนเองดังนี้

การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงเมตตาจิตเพื่อการสวดมนต์แผ่เมตตาจิต

** เริ่มต้นให้แผ่เมตตาให้ตนเองก่อนนะครับ โดยเจริญจิตตั้งมั่นระลึกให้ตนเองนั้นมีสภาพกาย-วาจา-ใจ ดังนี้คือ
         - เราจักเป็นผู้มีปกติจิตเป็นกุศล คิด พูด ทำแต่สิ่งที่ดีงามไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น มีปกติจิตผ่องใส เบิกบาน เป็นสุข
         - เราเป็นผู้มีความสงบรำงับปราศจาก กาม ราคะ โมหะ พยาบาท อยู่เป็นปกติจิต
         - เราจักเป็นผู้ไม่ผูกจองเวรใคร
         - เราจักเป็นผู้ไม่เบียดเบียนพยาบาททำร้ายใคร
         - เราจักเป็นผู้ไม่มีความขุ่นเคือง-ขัดข้อง-มัวหมองใจ
         - เราจักเป็นผู้ไม่มีความคับแค้น-อึดอัด-อัดอั้น-เดือดร้อน-ร้อนรนใจ
(ให้พึงหวนรำลึกถึงช่วงเวลาที่เรานั้นผูกเวรจองเวรพยายาทใคร เรานั้นจะคอยแต่คิดจะหาเรื่องทำร้ายเขา ทะยานอยากต้องการจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้เขา ต้องให้ให้เขาประสบพบเจอสิ่งร้ายๆเรื่องร้ายๆอย่างนี้ๆ พอใจยินดีที่จะทำให้เข้าเจ็บปวดทุกข์ทรมานกาย-ใจอย่างนี้ ขณะที่เรา คิด พูด ทำ อย่างนั้นเรามีแต่ความร้อนรุ่มใจ ร้อนรนกระวนกระวายใจ คับแค้นกาย-ใจอยู่อย่างนั้นไม่เป็นปกติสุขเลย มันทุกข์ทรมานกายใจมากใช่ไหม เราจะดับทุกข์นี้ได้ก็ด้วยการที่เรานั้นไม่เป็นผู้ผูกเวรใคร ไม่พยาบามเบียดเบียนทำร้ายใคร)
         - เราจักเป็นผู้มีความปกติสุขยินดีมีสติอยู่เสมอ มีความสงบ-ผ่องใสทั้งกายและใจ มีจิตตั้งมั่นควรแก่งาน ปราศจากทุกภัยใดๆที่ทำให้หมองมัวใจ-เศร้าหมองใจ-คับแค้นกสยและใจ ปราศจากติดใจใคร่ตามเพลิดเพลินยินดีในอกุศลธรรมใดๆ
         - เราจักเป็นผู้มีความปกติสุขยินดีมีสติอยู่เสมอ มีจิตสงบ-ผ่องใสทั้งหายและใจ เป็นผู้มีความคิดดี-พูดดี-ทำดีเป็นกุศล ไม่คิด-พูด-ทำในสิ่งใดๆที่เป็นการเบียดเบียนทำร้ายใคร
         - เราจักเป็นผู้มีสติอยู่เสมอจิตปารถนาดี-มีความเอื้อเฟื้อ-อนุเคราะห์-รู้จักสละให้-แบ่งปันสิ่งดีๆที่เป็นสุขให้แก่ผู้อื่นด้วยความยินดี มีจิตปกติสุขยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นสุขได้พ้นจากทุกข์ เป็นผู้มีจิตรู้จักอดโทษ-ละโทษ-ปล่อยวางโทษ จนถึงความสงบผ่องใสมีใจวางไว้กลางๆ

** จากนั้นสวดมนต์แผ่เมตตาพร้อมเจริญจิตตั้งมั่นเจริญในอุบายแนวทางของใจที่มอบเมตตาจิตแก่เขาทั้ง 2 ดังต่อไปนี้ **


3.1 กรณีที่ประสบกับความพรัดพราก เช่น ผิดหวัง-ไม่สมหวังในรัก เลิกรา-ร้างลากับคนที่รัก ถูกแฟนทิ้ง ซึ่งทำให้เราได้รับความผิดหวัง ช้ำใจ โศรกเศร้าเสียใจ เป็นต้น
3.1.1 เวลาที่เราจะแผ่เมตตาจิตให้แก่บุคคลที่ทำให้เราต้องประสบพบเจอกับสภาพความรู้สึกเช่นนี้ เราต้องพึงพิจารณาทบทวนให้เห็นถึง ข้อดี-ข้อเสีย และ ผลได้-ผลเสีย ความรู้สึก-นึกคิด ต่างๆ จากการที่เรานั้นได้ประสบพบเจอในความไม่สมหวังปารถนา และ ความพรัดพรากที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แล้วเราก็จะมองเห็นว่า
- หากเรามีจิตที่คิด อาลัย อาวรณ์ เสียดาย ร้องไห้ เสียใจ ต้องการอยากจะได้กลับคืน หรือ หวนเวลากลับคืน หรือ ขอให้มันย้อนกลับจะขอแก้ไขส่วนใดๆที่ขาดตกไปด้วยความใคร่ครวญ สภาพความรู้สึกของจิตใจเรานั้นจะ เศร้าหมอง ขุ่นมัว อัดอั้น คับแค้น กรีด หวีด หวิวทั้งกายและใจ โศรกเศร้า ร่ำไร รำพัน จิตใจสั่นเครือ จิตใจอ่อนล้า จิตใจไร้แรงกำลัง ลมหายใจระรัว แผ่วเบาบ้าง ถี่ติดขัดบ้าง ไม่เป็นปกติสุข
- หากเรามีจิตที่คิด ผูกเวร จองเวร พยาบาท อาฆาตแค้น สภาพความรู้สึกของจิตใจเรานั้นจะ ขุ่นข้อง ขัดเคือง มัวหมอง อัดอั้น คับแค้นกายและใจ  ถี่ติดขัดบ้าง ไม่เป็นปกติสุข มีแต่ทุกข์ เพราะจิตใจและความตรึกนึกคิดของเรานั้นจะคอยคิดเคียดแค้น อยากแก้แค้นจะเอาคืน จนร้อนรุ่มไปทั้งกายและใจ จิตใจเดือดดานอยู่ไม่เป็นปกติสุข ฟุ้งซ่าน ทุรนทุราย เพราะคอยคิดที่จะหาทาง อาฆาต ทำร้าย เบียดเบียนบุคคลนั้นให้มันเป็นไปตามความทะยานอยากตน
- สิ่งทั้งหลายที่ผมกล่าวมานี้เกิดขึ้นและเป็นจริงใช่ไหมครับ เมื่อเกิดความ อาลัย-อาวรณ์  และ ผูกจองเวร-พยาบาท
- ดังนั้นเราต้องวางใจออกจากทั้ง 2 สิ่งนี้ให้ได้ เพื่อให้สภาพร้ายๆนี้ลดลงและหดหายไป โดยเรียนรู้และยอมรับในสัจธรรมที่ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะสมหวังปารถนาใคร่ได้ดั่งใจเราหมดทุกอย่าง คนเรามีความพรัดพรากเป็นที่สุดไม่ด้วยเหตุใดก็เหตุหนึ่ง ซึ่งต่อให้ทำยังไงทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่อาจหวนย้อนวันเวลากลับคืนไปได้ ทำได้ในตอนนี้คือการอยู่กับตนเอง รู้ตนเอง ทำสภาพจิตให้สงบ ผ่องใส จนเป็นปกติสุข
- พึงเจริญจิตหวนรำลึกถึงสิ่งที่ดีงามที่ได้ทำให้เรานั้นเป็นสุขกายและใจ พึงหวนรำลึกถึงสิ่งที่ดีงามใดๆที่เขาทำให้เรานั้นเป็นสุขทั้งกาย-ใจ พึงหวนรำลึกถึงสิ่งที่ดีที่เป็นสุขเป็นกุศลใดๆที่เรานั้นเคยทำร่วมกันมา ให้พึงระลึกถึงความดีงามหรือกุศลกรรมใดๆที่เขาเคยมีให้แก่เรา พึงระลึกถึงกุศลกรรมนั้นมาตั้งเป็นอารมณ์แห่งจิต แล้วพึงระลึกถึงแต่ความดีของเขาหรือสิ่งดีๆที่เขาได้ทำให้เราเป็นสุขใจ มันจะทำให้จิตใจของเราแจ่มใส เบิกบาน มีความอิ่มเอม สงบและเป็นสุข แล้วความร้อนรุ่มใจใดๆจะลดน้อยลง แล้วจิตเราก็จะแลดูรู้เห็นว่าสิ่งนี้ๆเราควรละมันไปเสีย สิ่งนี้เราๆควรปล่อยมันไปเสีย สิ่งนี้ๆเราควรอดใจไว้เสีย สิ่งนี้ๆเราควรอดโทษไว้เสีย สิ่งนี้ๆเราควรวางมันไปเสีย มีจิตรู้ว่าเราควรอดใจละมันไว้ไม่ควรติดข้องใจใดๆในสิ่งนั้นเพราะมันหาประโยชน์ใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์ แล้วจะเข้าถึงความดับไปแห่งความโกรธอันร้อนรุ่มใจนั้นๆ
- เมื่อจิตใจเราผ่อนคลายลง ผ่องใสขึ้น สงบขึ้น และ มีใจที่อดไว้ซึ่งโทษนั้นๆแก่เขา ให้พึงตรึกนึกว่า เขานั้นคงได้รับความทุกข์ทน ทรมาน คับแค้นใจ อัดอั้นใจ ฝืดเคือง ขัดข้องใจ ไม่มีความสงบสุขใดๆแก่ใจเขาเลย ซึ่งความสุขใดๆที่ขาดหายตกหล่นไปจากใจเขานั้นเราไม่สามารถให้ได้
- เหมือนดั่งเวลามีคนที่เราไม่ได้รัก ไม่ชอบใจ ไม่พอใจยินดี รำคาญ หรือ บุคคลใดที่คอยแต่ทำร้ายเราทั้งกายและใจเข้ามาอยู่เคียงข้างชิดใกล้กับเรา เราย่อมรู้สึกอึดอัดใจ ทุกข์ทน ทรมาน คับแค้นใจ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ อยากจะหนีหรือผลักไสให้พ้นไปไกลๆจากเราใช่มั้ยครับ ลองเอาใจเขามายกใส่ใจเราในความรู้สึกเช่นนี้ๆก็คงไม่ต่างกัน
- ให้คิดเสียว่าหากเขาอยู่กับเรามันอาจจะไม่ดี หรือ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขามีความสุขทั้งกายและใจ หากแม้เขาอยู่กับเราต่อไปก็รังแต่ทำให้เขาเกิดความคับแค้น อัดอั้น ลำบาก ทุกข์กายและใจ สิ่งที่พอจะทำให้ได้ในตอนนี้คือการมีจิต เมตตา กรุณา ทาน และ มุทิตา ให้แก่เขาได้ ภายภาคหน้าเมื่อพานพบเจอกันจะได้ไม่ต้องอยู่กันแบบคับแค้นใจอีก
- เหมือนพ่อ-แม่ที่อยากให้ลูกตั้งใจเรียน ไม่เกเร ขยันทำงาน กตัญญู รู้คุณ เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาท ต้องการอยากให้ลูกนั้นเรียนตามที่ตนเองพอใจต้องการเป็นต้น แต่ทว่าก็ไม่สามารถบังคับให้ลูกนั้นกระทำ หรือ เป็นไปดั่งใจที่ต้องการได้ ลูกก็ย่อมทะยานออกไปหาสิ่งที่ลูกนั้นปารถนาใคร่ได้ พอใจยินดี โดยที่พ่อ-แม่ห้ามไม่ได้ ถึงแม้เสียใจไปลูกก็คงไม่เข้าใจ เห็นใจ หรือ มองย้อนกลับมาดู และ ทำตามที่พ่อแม่ขอร้องต้องการได้ ที่พ่อ-แม่ทำได้นั้นก็เพียงแค่คอยดู และ ตักเตือนให้แง่คิดแนะนำ ประครองให้ลูกไม่พลาดพลั้งอยู่ห่างๆ ด้วยหวังให้ลูกนั้นได้รับสุขจากการกระทำต่างๆ
3.1.2 ให้ตั้งเจริญอยู่ในจิตที่ปารถนาให้เขานั้นได้พ้นจากทุกข์ประสบสุข  และ ได้รับความสุขยินดีกับเส้นทาง หรือ สิ่งที่เขาเลือกแล้วนั้น เหมือนที่พ่อ-แม่ หรือ ผู้มีความอุปการะคุณนั้นมีให้แก่เรา
3.1.3 ให้ตั้งเจริญอยู่ในจิตที่มีความสงสารด้วยความปารถนาให้เขาเป็นสุขมีจิตเอื้อเฟื้อ อนุเคราะห์ แบ่งปัน จากบุญใดๆที่เราได้เจริญ ได้กระทำ ได้ปฏิบัติดี ได้ปฏิบัติชอบมา ทั้ง กาย วาจา และ ใจ ได้แผ่ไพศาลถึงแก่เขาให้เขาได้รับสุขจากสิ่งที่เราได้ให้มอบเขานี้ ให้เขาได้พานพบได้อยู่กับสิ่งที่เขาต้องการ
3.1.4 ปล่อยให้เขาไปเป็น "อภัยทาน" อันประเสริฐแก่เขา เว้นเสียซึ่งโทษ อดโทษ และ ความเบียดเบียน พยาบาทแก่เขา เพื่อให้เขาได้มีอิสระสุขตามที่ต้องการ การที่เราปล่อยให้เขาจากไปนั้นมันอาจจะเป็นหนทางที่เป็นประโยชน์สุขให้กับเขา เขาอาจจะมีความสุข สบายยินดีมากกว่าที่อยู่กับเรา ความคับแค้น อัดอั้น เสียใจนั้นๆจะได้ไม่เกิดกับเขาอีกต่อไป เมื่อเขาได้เลือกที่จะไปแล้วก็ขอให้เขาอย่าพบเจอกับความโศรกเศร้า เสียใจ หรือ คับแค้นกายและใจอีกเลย ขอให้เขาได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีงาม เป็นผู้ไม่ผูกจองเวรใคร เป็นผู้ไม่พยาบาทเบียดเบียนใครและปราศจากผู้ที่จะมาผูกเวรพยาบาทในเขา ขอให้เขาเป็นผู้มีปกติสุขยินดี มีจิตใจผ่องใสไม่เศร้ามัวใจ ไม่หมองมัวใจ ไม่ขุ่นมัวขัดเคืองใจ ปราศจากทุกข์ภัย-ขอให้โรคภัยทั้งหลายอย่าได้มากล้ำกลาย และได้หลุดพ้นจากทุกข์ทางกายและใจทั้งหลาย


- ทำเป็นประจำจนเป็นปกติในชีวิตไป จิตคุณจะมีแต่ความเมตตา ตื่นก้สบาย หลับก็สบาย เข้าสมาธิก็ง่าย ถึงปัญญาณง่าย เห็นธรรมตามจริงได้ง่าย ชีวิตมีแต่ควงามปกติสุข
  ดูเพิ่มเติมได้ตาม Link นี้ครับ เป็นทางเข้าสู่เจโตวิมุตติอันที่ผู้ปฏิบัติในธรรมวินัยนี้ควรเจริญให้มาก และ ควรเจริญให้รุ้แจ้งแทงตลอดในสภาพจิตนี้ http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=8226.msg30508#msg30508
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 03, 2013, 08:54:05 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ