ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมตัดได้จริงหรือ  (อ่าน 4057 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
กรรมตัดได้จริงหรือ
« เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:06:06 pm »
0
 
การตัดกรรม  

        การ ตัดกรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีผู้ กล่าวคัดค้านว่ากรรมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะเอาอะไรไปตัดได้ทั้ง ๆ ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละกรรมชั่วหันมาทำแต่กรรมดีนั่นหมายถึง ตัดการกระทำความชั่ว และอกุศลทั้งปวง มุ่งทำแต่กรรมดี ปาณา–อะทินนา–กาเม–มุสา–สุราเม ฯ ล้วนเป็นคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ตัดกรรมทั้งสิ้น แล้วด้วยเหตุใดจึงมีผู้กล่าวกันว่า กรรมตัดไม่ได้

        หรือ ว่าผู้ที่กล่าวเช่นนั้นดวงตาไม่เห็นธรรม จึงไม่รู้ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนให้ตัดกรรมกันเวรระงับได้ด้วยการไม่จองเวรฉัน ใด กรรมย่อมระงับได้ ตัดได้ ด้วยการไม่กระทำฉันนั้น หากมนุษย์ตัดกรรมหรือตัดการกระทำความชั่ว และอกุศลไม่ได้ ก็ไม่สมควรเรียกมนุษย์นั้นว่าสัตว์ประ เสริฐ

        อดีต กรรมทำแล้วย่อมตัดไม่ได้ แต่ปัจจุบันกรรมเป็นกรรมเฉพาะหน้า กรรมเร่งด่วนที่ควรตัดก่อน ตัดกรรมชั่วกรรมไม่ดีให้ได้ โดยเฉพาะกรรม หรือการกระทำของเยาวชนที่ยกพวกตีกันฆ่ากัน เสพยาบ้า ยาม้า มั่วสุมทางกามทำแท้งให้เกร่อ หากตัดกรรมในปัจจุบันเสียได้ กรรมในอนาคต หรือชาติหน้าก็จะไม่เกิดขึ้น

        ใน เรื่องของการตัดกรรมช่วยคนได้หรือไม่ได้นี้ อาจารย์วัลลภท่านยืนยันตามมุมมอง และความเข้าใจของท่านว่า ท่านสามารถตัดกรรมช่วยคนได้จริง ๆ ส่วนจะตัดได้ทุกคนหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งขึ้นอยู่ที่บุญกุศล และเวรกรรมของแต่ละคน ใครมีบุญกุศลอยู่บ้าง ถึงคราวที่จะหมดเวรหมดกรรมพ้นทุกข์พ้นเคราะห์ คนพวกนี้จะพูด และอธิบายกันเข้าใจง่าย สมัยพระพุทธเจ้าเรียกบุคคลประเภทที่พูดกันรู้เรื่อง และเข้าใจง่ายนี้ว่า  (ตรัสรู้) หมาย ถึงพูดกันรู้เรื่อง เมื่อพูด และอธิบายกันรู้เรื่อง และเข้าใจง่าย เขาก็พากันประพฤติ และปฏิบัติตามทำตามกันจนเขาเจริญรุ่งเรืองพ้นทุกข์ พ้นเคราะห์ พ้นจากความเดือดร้อน อยู่ดีมีความสุขกันไป

        ส่วน คนที่สร้างกรรมทำเวรกันมามาก คนพวกนี้จะมีมิจฉาทิฐิ และกิเลสตัณหาบังตาบังใจไม่ให้เชื่อ และปฏิบัติตัวตามอย่างคนดี ๆ เขาทำกันจะดื้อรั้นดันทุรังจนเดือดร้อน ร้อนกาย ร้อนใจ ร้อนที่อยู่อาศัย ไปไม่มีวันหยุด เอาละ...จะเชื่อกันหรือไม่เชื่อ ก็ลองมาฟังความคิดเห็นการตัดกรรมในมุมมองของอาจารย์วัลลภกันดู ก่อนอื่นก็ลองมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า “กรรม” เขา แปลว่าอะไรกันก่อนคำว่ากรรม เขาแปลว่าการกระทำ และการกระทำนั้นก็ยังจำแนกออกไปตามคุณภาพหรือตามธรรมที่เป็นเหตุทำให้เกิด ขึ้นได้เป็น 2 ประการคือ อกุศลกรรม และกุศลกรรม

        อกุศลกรรม หมายถึง กรรมที่เกิดจากการทำชั่วหรือทำไม่ดีต่าง ๆ

        กุศลกรรม หมายถึง การกระทำความดี

ทั้งอกุศลกรรม และกุศลกรรมนี้ มีทางที่จะทำให้เกิดได้3 ทางคือ ทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

        กายกรรม หมายถึง การกระทำทางกาย

        วจีกรรม หมายถึง การกระทำทางวาจา

        มโนกรรม หมายถึง การกระทำทางความคิดหรือจิตใจ

        กรรม หรือการกระทำที่แสดงออกทางกายก็ดี ทางวาจาคำพูดก็ดี ทางมโนกรรมความคิดก็ดี หากเป็นไปในทางที่ดี ก็มีผลทางกุศลกรรม นำพาให้ผู้กระทำความดีนั้นมีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง ไม่นำพาความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและครอบครัว

        ที่ อาจารย์วัลลภท่านยืนยันว่า ท่านตัดกรรมช่วยคนได้จริง ตัดกรรมในความหมายของท่านหมายถึงท่านสอนให้คน ตัดการกระทำ ความชั่วและความไม่ดีต่างๆ หากคนเราตัดการกระทำความชั่วไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นคนดีตามหลักทางพระพุทธศาสนาได้

        วิธี ที่ท่านนำมาใช้ทำพิธีตัดกรรมชั่ว และกรรมไม่ดีของผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านก็คือ เอาศีลห้ามาสอนให้รู้ถึงผลดีผลเสียในการกระทำของเขา เพราะในศีลห้านั้นมีข้อห้ามและข้อควรประพฤติปฏิบัติเน้นให้คนตัดกรรม คือ ตัดการกระทำความชั่ว และความไม่ดีไว้ชัดเจนเป็นข้อ ๆ อยู่แล้ว

        ศีล คือ กฎหมายธรรมสำหรับมนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ควรจะประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าทำตามได้จริงก็เท่ากับบุคคลผู้นั้นได้ตัดกรรมของเขาแล้ว

        เกี่ยว กับเรื่องของศีลห้านี้ ความจริงที่ไหน ๆ เขาก็สอนกันอยู่ทั่วไป พระท่านก็สอน ครูบาอาจารย์หรือท่านผู้รู้ในทางธรรมทั่วไปท่านก็สอน แม้แต่ในหนังสือธรรมะที่พิมพ์ขายตามที่ต่าง ๆ ก็มีให้อ่าน ดู ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ของใหม่ที่ชวนให้น่าสนใจอะไรเลย หากจะเปรียบกับเสื้อผ้ามันก็เหมือนกับเสื้อโหลกางเกงโหลธรรมดา ๆ นั่นเอง คนฟังเขาก็ฟังจากที่อื่นมากันจนรู้ และเข้าใจเรื่องของศีลห้ากันดีทุกคนแล้ว แต่เขาได้นำเอาคำสอนของพระ หรือครูบาอาจารย์ และหนังสือนั้น ๆ ไปประพฤติปฏิบัติตามกันหรือไม่ นั่นซิสำคัญ หากเขาฟังกันแล้วอ่านกันแล้วไม่นำพาไปประพฤติปฏิบัติตาม คำสอนจากพระหรือครูบาอาจารย์นั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ใครเลย

        ด้วย เหตุผลดังกล่าว อาจารย์วัลลภท่านจึงเป็นต้องนำเอาการปฏิบัติธรรมขั้นโลกิยธรรมมาทำให้ผู้ ปฏิบัติมีปฏิกิริยาอาการแสดงออกมาให้สัมผัส และศรัทธากันเสียก่อน เพราะท่านเห็นว่าการจะนำเอาเรื่องของศีลมาสอนให้คนประพฤติปฏิบัติตามอย่าง จริงจัง และได้ผลนั้น ต้องนำเอาสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเชื่อ และศรัทธา มาทำให้สัมผัสจนเห็นภาพว่าเวรกรรมมีจริง นรกสวรรค์มีจริง บาปบุญมีจริง กฎแห่งกรรมมีจริงเสียก่อน ผู้ปฏิบัตินั้นก็จะพากันเกรงกลัวต่อเวรกรรม ไม่กล้าที่จะกระทำอะไรให้ผิดศีลผิดธรรมตามที่สอนไปอย่างจริงจัง

เพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่าน จึงอยากที่จะอธิบายขยายความในเรื่องของศีลห้าให้เข้าใจกันอีกครั้ง

        ศีลข้อที่1 ปา ณาติปาตา เวระมะณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ฆ่าคน หรือเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ถ้าใครฆ่าสัตว์ ฆ่าคน หรือทำแท้ง บุคคลผู้นั้นจะมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานาทำมาหากินไม่ขึ้น สุขภาพเจ็บป่วยเป็นประจำ หรือไม่ก็ทำให้ประสบอุบัติเหตุ หรือถูกผู้อื่นฆ่าตายก่อนวัยอันสมควร บางรายมีบุตรพิการไปก็มี

        ศีลข้อที่2 อะ ทินนาทานา เวระมะณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้ลักขโมยปล้นจี้ คดโกงหยิบฉวยเอาสิ่งของ ๆ ผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าใครไปลักขโมย หรือคดโกง ปล้นจี้ หรือเอาศาสนาบังหน้าหาผลประโยชน์ เอาอำนาจหน้าที่ไปข่มขู่เอาทรัพย์สินสิ่งของเขามาเป็นของตน บุคคลผู้นั้นจะมีอันเป็นไปในทางทำมาหากินไม่ขึ้น ครอบครัวไม่สงบสุข หรือไม่ก็ไปถูกคนอื่นปล้นจี้ คดโกง ไร้ที่อยู่ที่อาศัย ลำบากไปจนตาย

        ศีลข้อที่3 กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้ไปล่วงเกินสามีภรรยา และพรากลูกหญิง-ลูกชาย ที่ยังอยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของพ่อแม่โดยไม่ได้รับการยินยอม จากพ่อแม่หากผู้ใดไปล่วงเกินสามี-ภรรยา และพรากลูกหญิงลูกชายจากพ่อแม่ บุคคลผู้นั้นจะได้พบเจอแต่คนที่ไม่จริงใจ คอยจ้องแต่จะต้มตุ๋นหลอกลวง หรือไม่ก็มีเหตุทำให้พลัดพรากจากคนรัก ลูกรัก บางรายก็ไปถูกเขาฆ่าตายหรือไม่ก็เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอย่างเช่นเอดส์นั้นเป็น ต้น

        ศีลข้อที่4 มุสา วาทา เวระมะณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้พูดโกหกหลอกลวงหรือพูดให้ผู้ อื่นเดือดร้อนเสียหาย ถ้าใครไปพูดโกหกหลอกลวง หรือเอาศาสนาบังหน้า พูดจาหว่านล้อมให้ผู้อื่นหลงเชื่อไปในสิ่งผิด บุคคลผู้นั้นจะไม่ได้รับความรักและความจริงใจจากใคร จะถูกหลอกลวงและเป็นที่รังเกียจแก่ผู้ที่พบเห็นทั่วไป

        ศีลข้อที่ 5 สุรา เมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมณีฯ ศีลข้อนี้เขาห้ามไม่ให้ดื่มสุรา และสิ่งเสพติดทุกอย่าง รวมไปถึงการลุ่มหลงมัวเมาในทางชั่วร้าย หรือทางไม่ดีทุกอย่าง ถ้าใครดื่มสุรา เมรัย เครื่องดองของเมารวมไปถึงสิ่งเสพติด  เช่น กัญชา ยาฝิ่น เฮโรอีน ยาม้า ยาบ้า ยาอี หรือลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับอบายมุขทั้งปวง บุคคลผู้นั้นจะเป็นคนอายุสั้น ตลอดทั้งมีโรคภัยเบียดเบียนขาดสติ บ้าคลั่ง ติดคุกติดตะรางหรือไม่ก็ไปถูกเขาฆ่าตาย

        เห็นไหมครับว่า ศีล5 เป็น กฎหมายของสังคมมนุษย์จริง ๆ ถ้าใครละเมิดไม่ประพฤติปฏิ บัติตามศีลทั้งห้าข้อนี้ ผู้นั้นก็จะได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน และอายุสั้น ทำมาหากินไม่ขึ้นเป็นสิ่งตอบแทน ถ้าใครประพฤติปฏิบัติตามศีลทั้งห้าข้อนี้ได้ บุคคลผู้นั้นก็จะเจริญรุ่งเรืองมีโชคมีลาภมีเสน่ห์เมตตามหานิยมเป็นที่รัก ใคร่แก่ผู้ที่พบเห็น มีสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณผุดผ่อง มีสง่าราศรีอายุยืน อย่างที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้ให้ตัดกรรมดังนี้

สีเลนะ สุคะติงยันติ คนจะพบความสุขได้ก็ต้องรักษาศีล

สีเลนะ โภคะสัมปะทา คนจะร่ำรวยมีทรัพย์ได้ก็ต้องรักษาศีล

สีเลนะ นิพพุติงยันติ คนจะถึงนิพพานได้ก็ต้องรักษาศีล

สัตมาสีลังวิโสทะเย ดังนั้นคนเราต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ให้ได้

        ท่าน ผู้อ่านคงพอจะเข้าใจความหมายการตัดกรรมของอาจารย์วัลลภกันไปบ้างแล้ว เรื่องของกรรมเรื่องเดียวกันแท้ ๆ แต่ถ้ามองต่างมุมกัน มันก็ทำให้พูดกันไป ออกความเห็นกันไปได้หลายอย่าง สุดแต่ว่าใครจะมองเห็นเป็นอย่างไร เข้าใจอย่างไร เรื่องของการตัดกรรมช่วยคนได้หรือไม่ได้ ในสายตาของพระสงฆ์องค์เณร หรือท่านผู้รู้ธรรมะอื่น ๆ ท่านก็ว่ากรรมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะเอาอะไรไปตัดได้ แต่ในสายตาของผู้ปฏิบัติธรรมทางโลกธรรมอย่างอาจารย์วัลลภ ท่านก็ยืนยันว่าท่านสามารถตัดกรรมช่วยคนได้ ตามเหตุผลที่ได้อธิบายขยายความให้อ่านผ่านกันมาแล้ว พิจารณาให้ดี ต่างคนต่างก็มีเหตุผลควรแก่การรับฟังได้ทั้งสิ้น พระสงฆ์และผู้รู้ธรรมะบางท่านก็มองเรื่องของกรรมไปอีกมุมหนึ่ง คือ มุมของนามธรรม การหลุดพ้นนิพพาน เป็นกรรมประเภท อนัตตา คือมองไม่เห็นผลของกรรม หรือการกระทำด้วยตาในชาตินี้

        ส่วน อาจารย์วัลลภท่านก็มองเรื่องของกรรม ไปอีกมุมหนึ่งคือ มุมของรูปธรรม เป็นกรรมประเภท อัตตา สามารถเห็นผลของกรรม หรือการกระทำได้ด้วยตาในชาตินี้ อาจารย์วัลลภท่านบอกว่ากรรมในปัจจุบันเป็นกรรมเร่งด่วนที่ควรจะตัดให้ได้ ก่อน ถ้าตัดกรรมในปัจจุบันเสียได้ กรรมในอนาคตหรือชาติหน้าก็จะไม่เกิด

        จะ มองกันมุมไหน เข้าใจกันอย่างไร ในที่สุดมันก็มีผลออกมาอย่างเดียวกัน คือ มุ่งสอนให้คนประพฤติปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงาม ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวกันทั้งนั้น

สรุป ว่า ตัดกรรม ตามวิธีของอาจารย์วัลลภ ธรรมบันดาล คือแนะนำให้ผู้ที่มาขอความช่วย เหลือตัดการกระทำความชั่วและอกุศลด้วยตนเอง ไม่ใช่ใช้เวทมนต์คาถามาตัดเวรตัดกรรมให้ใคร

        กัม มุนา วัตตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ท่านผู้เจริญแล้วทุกท่าน เคยคิดกันบ้างไหมว่า อะไรทำให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ และอะไรทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นานาพันธุ์ แม้มนุษย์ก็มีมากมายหลายประเภท สัตว์ทั้งหลายในโลกจะมีอย่างเดียวไม่ได้หรือ เพราะอะไร? นั่น เป็นเพราะสัตว์ทุกชนิดทุกจำพวก มีกรรมหรือการกระทำที่แตกต่างกัน เกิดเป็นมนุษย์ก็เพราะกรรม เกิดเป็นสัตว์ก็เพราะกรรม คือการกระทำของตนเอง

        ต้น เหตุของกรรมนี้เอง ที่ทำให้สัตว์แตกต่างกันไป จนมนุษย์เอามาเรียกกันติดปากว่า สัตว์เดียรัจฉาน เดียรัจฉาน แปลว่า แตก แยก ขยาย กระจายออก เมื่อนำเอาคำว่าสัตว์มากล่าวนำหน้า เดียรัจฉาน ก็หมายถึงสัตว์ที่แตกแยกขยายกระจายเผ่าพันธุ์ไปเป็น สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์มีปีก สัตว์ ไม่มีปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีเท้า สัตว์ไม่มีเท้า เป็นต้น มนุษย์เราก็จัดอยู่ในจำพวกสัตว์ที่แตก แยก ขยาย กระจายเผ่าพันธุ์ออกมาเช่นกัน ทั้งมนุษย์ และสัตว์อื่นในโลกนี้ จึงเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นผู้จำแนกให้ดีเลวต่างกัน

        ฉะนั้น ทั้งสัตว์และมนุษย์ที่เกิดแล้วก็มีชีวิต และการเป็นอยู่ด้วยกรรม คือ ต้องรับผลของกรรมเก่าบ้าง สร้างกรรมใหม่ที่จะต้องเป็นเหตุให้เกิดผลต่อไปอีกบ้าง ตายแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ไปก็เพราะกรรม มิใช่เพราะพรหมลิขิตหรือผู้อื่นดลบันดาลให้เป็นไป แต่เป็นกรรมที่เราเคยสร้าง และสะสมเอาไว้นั่นเอง ที่เป็นผู้ลิขิตชีวิตของเราให้เป็นไปต่าง ๆ ซึ่งเราท่านทั้งหลายมิอาจหลีกหนีกรรมที่เราทำไว้ได้พ้น นอกจากเราได้ทำลายเหตุที่จะทำให้เราเกิด อกุศล ด้วยการรักษาศีลกันอย่างจริงจังตลอดไป

        ตาม ปกติแล้ว คนเราไม่มีใครเลยที่เคยทำแต่ความดี หรือความชั่วแค่เพียงอย่างเดียว ทุกคนล้วนทำดีบ้าง ชั่วบ้าง บางคนทำดีมากทำชั่วน้อย แต่บางคนทำดีน้อยทำชั่วมาก และก็ไม่ได้ทำกันมาเพียงชาตินี้ชาติเดียวในอดีตชาติก็ทำกันมาแล้วจนนับไม่ ถ้วน ดังนั้นทั้งสัตว์ และมนุษย์ที่เกิดมา แล้วในโลกนี้จึงมีชีวิตการเป็นอยู่ที่แตกต่างกันมีดี มีเลว มีทุกข์ มีสุข เคล้ากันไปตามกระแสวิบากกรรมที่แต่ละคนเคยได้กระทำเอาไว้ กรรมคือ บุญ และบาป เป็นเครื่องจำแนกสัตว์ให้ดีเลวประณีตต่าง กัน ขึ้นชื่อว่าบุญ คือความดีนั้น จะให้ผลชั่วย่อมไม่มี และตรงกันข้ามขึ้นชื่อว่าบาปนั้นจะให้ผลดีย่อมไม่มีเช่นกัน ท่านผู้เจริญทั้งหลาย การที่เราท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนจะยากนักเพราะการเกิดเป็นมนุษย์นั้น ต้องอาศัยได้เคยสร้างบุญสร้างกุศลไว้มากในชาติปางก่อน และชาตินี้เราได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว โอกาสที่ได้สร้างกรรมดีนั้นมีไม่มากนัก เราท่านจึงควรเร่งรีบสร้างกุศลไว้ให้มาก ๆ เท่าที่เราพอจะมีเวลา และโอกาสที่จะกระทำได้ เพราะบุญบารมีที่เราสร้างสมไว้ดีแล้วนั้น ย่อมนำความสุขมาให้ทั้งชาติปัจจุบัน และชาติหน้า ทรัพย์สมบัติอย่างอื่นสูญหายได้ ไฟไหม้ได้ โจรลักขโมยได้ แต่อริยทรัพย์ คือบุญหรือกรรมดีนั้น โจรลักขโมยเอาไปไม่ได้ ไฟไหม้ไม่ได้ สูญหายไม่ได้ กุศลกรรมยังเป็นมิตรที่ดีคอยติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ ทั้งจะเป็นที่พึ่งแก่ตนเองและผู้อื่นอีกด้วย

        คน เราจะสะอาดบริสุทธิ์หมดจดปราศจากบาปได้นั้น ก็เพราะการประพฤติทางกาย ทางวาจา และทางใจให้สะอาดเท่านั้น ท่านที่เคารพครับ ท่านทั้งหลายคงเคยเรียกร้องขอความเป็นธรรมโดยต้องการให้ทุกคนเสมอภาคกัน อยากให้ทุกคนมีความเป็นอยู่เท่าเทียมกัน แต่ท่านทั้งหลายเคยคิดกันบ้างไหมว่าจะมีทางเป็นไปได้หรือ? ใน เมื่อทุกคนมิได้กระทำกรรมเอาไว้ให้เท่าเทียมกันหรือเสมอภาคกัน แล้วเราจะหวังให้คนทั้งโลกที่ต่างกรรมมีความเป็นอยู่เท่าเทียมกันและเสมอภาค กันได้อย่างไร บุคคลที่เสมอภาคกันได้นั้น ได้แก่ ผู้ที่ไม่ต้องมาเกิดเพื่อรับทุกข์ สุข ในโลกนี้อีกแล้ว ท่านผู้นั้นก็คือ พระอรหันต์ ที่นิพพานแล้วเท่านั้น

        ท่าน ผู้อ่านที่เคารพ ชีวิตนี้สั้นนัก หากประมาทเพียงนิดเดียว เราก็อาจจะไปเกิดในที่ชั่วได้ และถ้าลงไปเกิดในที่ชั่วแล้ว โอกาสที่เราจะได้กลับชาติมาเกิดในที่ดี ๆ นั้นดูจะยากแสนยากนัก

        ท่าน ทั้งหลายจึงควรดำเนินชีวิตของเราให้ อยู่ในกรอบขอบข่ายของศีลธรรม และความถูกต้องเราคบหากับบัณฑิตท่านผู้รู้ หมั่นฟังธรรมของท่านเพื่อน้อมนำมาพิจารณาวิเคราะห์ค้นหาความจริงให้รู้ว่า อะไรเหมาะ อะไรควร และถูกต้อง แล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติเฉพาะแต่สิ่งที่ดีงาม บุญ และบาปนั้นมีจริง และก็ให้ผลได้จริง ชีวิตของเราทั้งหลาย ความสุข ความทุกข์ ที่เราทั้งหลายได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้เกิดจากผลกรรม คือ การกระทำของเราเอง ไม่มีใครลิขิตให้เรา ผู้ที่ลิขิตชีวิตเราทั้งในอดีตที่ผ่านมา และปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ ในอนาคตที่จะตามมานั้น คือกรรม ด้วยการกระทำของเราเอง มิใช่ใครอื่นเลย คนส่วนมากที่ยังเข้าไม่ถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มักมีความสงสัยเรื่องกรรม พอไปทำความดีอะไรเข้านิดหน่อย ก็อยากได้รับผลของการกระทำความดีนั้น เป็นโชคเป็นลาภ เป็นทรัพย์สินเงินทอง หรือไม่ก็ขอให้สมหวังดังที่ตนต้องการกันเลย พอไม่ได้อะไรสมหวังดังต้องการ ก็พาลน้อยอกน้อยใจว่าตนทำดีแล้วไม่ได้ดี บางคนก็เอาคนทำกรรมชั่ว และกรรมไม่ดี ที่ยังเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยมีคนเคารพนับหน้าถือตามาเปรียบเทียบเป็นตัวอย่าง บางคนก็บ่นว่า ตนทำบุญไหว้พระสวดมนต์ปฏิบัติธรรมทำสมาธิเป็นประจำ ทำไมยังลำบากเดือดร้อนตลอดทั้งมีหนี้สินอยู่ ไม่มีใครคิดหรือถามตัวเองเลยว่า หนี้สินเหล่านั้นใครเป็นคนสร้างใครเป็นคนก่อขึ้นมา ปีหนึ่งมีสามร้อยหกสิบห้าวัน สร้างบุญทำกุศลกันมากี่วัน สมดุลกันดีแล้วหรือ

        ความ จริงการปฏิบัติธรรมทำสมาธินั้น เขาปฏิบัติกันเพื่อสงบสติอารมณ์ เพื่อพ้นทุกข์พ้นจากวัฏสงสารสู่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อหวังความร่ำรวย หรือขอให้ช่วยสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เราเห็นผู้ปฏิบัติบางท่าน ปฏิบัติแล้วมีโชคมีลาภขึ้นมาได้นั้น มันเกิดขึ้นเอง ดูตัวอย่างจากหลวงปู่ หลวงพ่อบางรูป ท่านสร้างวัดสร้างวาราคาเป็นสิบล้านร้อยล้านได้ โดยท่านไม่ต้องไปทำอะไรมากเพียงแค่ท่านเคร่งครัดปฏิบัติธรรมของท่านอย่าง จริงจังอย่างเดียว แล้วคนก็ไปศรัทธาเอาเงินเอาทอง ไปบริจาคท่านเอง หลวงปู่หลวงพ่อท่านไม่ได้ไปดิ้นรนอะไรให้ลำบากเดือดร้อนตัวท่าน และผู้อื่นเลย ท่านไม่ได้สนใจด้วยว่าลาภที่เกิดขึ้นจะมากหรือน้อยแค่ไหน ท่านไม่จำเป็นต้องสร้างภาพสร้างศรัทธาหาเด็ก หาคนตกงาน มาสงเคราะห์หาผลประโยชน์แต่อย่างใด

        ที่ เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านเชื่อกรรม เชื่อการเกิด และการดับ เมื่อสิ่งใดจะเกิดมันก็เกิดขึ้นเพราะกรรม จะดับก็ดับเพราะกรรม สิ่งดีย่อมเกิดจากกรรมดี สิ่งชั่วย่อมเกิดจากกรรมชั่ว การนับถือพระพุทธศาสนาจะต้องเชื่อกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และต้องเชื่อวิบากกรรม คือเศษของกรรมเก่าที่ทำไว้ยังไม่หมด และต้องเชื่อเวลาการให้ผลของกรรมว่า กรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม จะส่งผลตามลำดับก่อนหลังโดยไม่แทรกแซงกัน และจงเชื่อว่าแต่ละคนได้ทำกรรมดี หรือกรรมชั่วกันไว้แล้วทั้งในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติ เมื่อใครก็ตามเชื่อการให้ผลของกรรมในอดีตหรือปัจจุบันว่า เป็นไปตามลำดับก่อนหลัง บุคคลคนนั้นก็จะไม่เดือดร้อน ร้อนใจ เมื่อใดที่ได้รับผลดีก็ถือว่ากรรมดีให้ผล แต่ถ้าเมื่อใดรับผลชั่วหรือผลไม่ดีทำให้เดือดร้อน ก็ถือว่า กรรมชั่วกรรมไม่ดีให้ผลซึ่งอาจเป็นกรรมเก่าในอดีตชาติหรือกรรมใหม่ใน ปัจจุบันส่งผลอยู่

        คน ที่ทำกรรมดีแต่ได้รับผลกรรมไม่ดี ก็ถือว่ากรรมชั่วกรรมไม่ดีในอดีตชาติของเรายังให้ผลอยู่ แต่ถ้าเห็นคนอื่นทำกรรมชั่วหรือกรรมไม่ดีแล้วได้รับผลดีมีความสุข ก็ถือเสียว่ากรรมดีในอดีตชาติของเขากำลังให้ผลอยู่ ถ้าคิดกันอย่างนี้ได้ก็จะไม่เดือดร้อนหรือร้อนใจอะไร จะปรงตก และยอมรับชะตากรรมกันไปได้

        เมื่อ เรารู้เวรรู้กรรมกันแล้ว ก็อย่าสร้างกรรมทำเวรกันขึ้นมาใหม่อีก เพราะการกระทำทุกอย่างจะมีผลตอบแทนทุกชาติไป เว้นแต่จะบรรลุมรรคผลเข้าสู่นิพพานเท่านั้น เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะหนีพ้น ถ้าทุกคนไม่แสวงหาหนทาง จะมีใครตอบได้บ้างว่า ตายแล้วไปไหน คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า อย่าประมาท ควรค่ายิ่งที่จะต้องนำมานึกถึงอยู่เสมอ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนอนิจจัง หมายถึงไม่เที่ยงหรือไม่แน่นอน จึงอยากที่จะฝากไว้ให้คิด ใครยังไม่เคยหาหนทางที่จะไปสู่จุดหมายให้รู้ว่า ตายแล้วไปไหน? ก็รีบ ๆ กันหน่อยเพราะเราไม่รู้ล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้เรายังจะมีลมหายใจกันอยู่ หรือเปล่า

        พระ พุทธองค์ก็ทรงบอกทางไว้หลายวิธี อยู่ที่ตัวเราเท่านั้นที่จะแสวงหา และฝึกฝนปฏิบัติกันได้มากแค่ไหน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งรวมกันแล้ว คือ พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ของชาวพุทธ ถ้าเรายังทำตนเป็นคนไม่รู้ ไม่ดู ไม่ศึกษา ไม่สร้าง และไม่ปฏิบัติ ก็จะไม่มีวันรู้ได้หรอกว่า ตายแล้วไปไหนจึงดี การเกิดไม่สำคัญเท่าการตาย เพราะการเกิด เกิดตามกรรมเกิดมาใช้กรรม เกิดมาทำกรรมดีกรรมชั่ว ก็เป็นไปตามวาสนาบารมีของตนว่า เคยสะสมไว้อย่าง ไร แต่การตายสำคัญมาก จะไปนรก ไปสวรรค์ ไปนิพพาน สำคัญอยู่ตรงที่การตายนี่แหละป่วยตายหรือตายไปเฉย ๆ คนโบราณเรียกการตายนี้ว่า ตายตามปกติธรรม ตายเพราะอุบัติเหตุ ตายเพราะถูกฆ่า คนโบราณเรียกการตายนี้ว่า ตายชดใช้กรรม อย่างเช่นชาตินี้ฆ่าคนอื่น ชาติหน้าคนอื่น ก็จะมาฆ่ากลับคืน กรณีนี้คนโบราณกล่าวถึงคนทำแท้งว่า หญิงใดทำแท้งหญิงนั้นตกนรกอเวจีไม่ ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก พระพุทธองค์ทรงทราบจึงตรัสสอนไว้ว่า เวรจะระงับได้ด้วยการไม่จองเวร ส่วนคนที่ตายเพราะฆ่าตัวตาย คนโบราณเรียกการตายนี้ว่า ตายเพราะกรรมตัดรอนทอนอายุให้สั้น เพื่อไปรับทุกข์เวทนาในร่างของสัตว์อื่น คนฆ่าตัวตายเพื่อประชดชีวิตหรือสังเวยความรัก คนโบราณเรียกการตายนี้ว่า ตายตามความประสงค์ การตายลักษณะนี้หากกลับชาติมาเกิดเป็น มนุษย์ ก็จะเกิดมาไม่สมประสงค์ อย่างเช่นเกิดมาตัวติดกันจนแยกไม่ออก เกิดมาสองตัวหัวเดียวกัน เกิดมาสองตัวหัวใจดวงเดียวกันเป็นต้น

 ที่มา http://dmbdth.com
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ