จากพระสูตร เบื้องต้น พระสูตรนี้ได้แสดงให้เห็นว่า พระอริยะบุคคล พระอรหันต์ ระดับปฏิสัมภิทา เจโตวิมุตตินั้นเมื่อได้รับความเจ็บไข้ได้ป่วย ( อาพาธ ) ก็รับเวทนาเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป ตามความสาหัสของความเจ็บไข้ อาการของพระเถระนั้นจัดว่าเป็นอาการหนัก เพราะลูกศิษย์ต้องเข้ากราบทูลพระพุทธเจ้่าเพื่อ ให้เสด็จมาเยี่ยม เพื่อให้คำแนะนำที่ควรแก่พระมหาเถระ
อ. พระเจ้าข้า ครั้งก่อน ข้าพระองค์ระงับกายสังขาร (ลมหายใจเข้าออก) ได้อย่างลำบาก จึงไม่ได้สมาธิ เมื่อข้าพระองค์ไม่ได้สมาธิ จึงเกิดความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่เสื่อมหรือหนอ.
พระมหาเถระ ได้กล่าวว่าครั้งนี้ไม่สามารถเข้าสมาธิได้เพราะอาพาธมาก จึงมีความวิตกว่า สมาธิเสื่อมหรืออย่างไร ก็คงประมาณนี้ อันนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่ออาพาธหนัก ๆ ก็ใช่ว่าจะเข้าสมาธิได้ทุกท่าน บุคคลที่สามารถเข้าสมาธิได้ในระหว่างอาพาธจึงถือว่ายอดเยี่ยม
พ. ดูกรอัสสชิ สมณพราหมณ์ที่มีสมาธิเป็นสาระ มีสมาธิเป็นสามัญญะ เมื่อไม่ได้สมาธินั้น ย่อมเกิดความคิดอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายไม่เสื่อมหรือหนอ. ดูกรอัสสชิ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสแสดงให้เห็นว่า มีคนหลายพวกให้ความสำคัญกับเรื่องสมาธิ ทรงอยู่ในสมาธิเป็นปกติทั่วไป เมื่อเข้าสมาธิก็ย่อมสำคัญว่า สมาธินั้นเสื่อม หรือ คิดสงสัยว่า สมาธิของเราเสือมใช่หรือไม่ แต่พระพุทธเจ้ากลับตรัสแสดงให้เห็นว่า ตอนนี้ พระอัสสชิ เห็นรูปเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง พระองค์ทรงตรัสแสดงถึงความสำคัญของวิปัสสนาให้ควรมี ให้ควรเห็น เพราะจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว จึงเห็นตามความเป็นจริง เมื่อเห็นตามความเป็นจริงจึงเห็นว่า รูปไม่เที่ยง เป็นต้น แสดงว่า สมาธิของพระอัสสชิ นั้นมิได้เสื่อม วิปัสสนาการรู้แจ้งเห็นจริงก็มีอยู่ ความเป็นพระอรหัตผล ก็ยังมีอยู่ตราบนั้น
วิธีรับมือกับเวทนา ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า ( กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ )
ถ้าอริยสาวกนั้น ได้เสวยสุขเวทนา ก็ทราบชัดว่าสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน หากว่า เสวยทุกขเวทนา ก็ทราบชัดว่าทุกขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน ถ้าหากว่า เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ทราบชัดว่า อทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน หากว่า เสวยสุขเวทนา ก็ปราศจากความยินดียินร้าย เสวยสุขเวทนานั้น ถ้าหากว่า เสวยทุกขเวทนา ก็ปราศจาก ความยินดียินร้าย เสวยทุกขเวทนานั้น ถ้าหากว่า เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ปราศจาก ความยินดียินร้ายเสวยอทุกขมสุขเวทนานั้น ย่อมทราบชัดว่า เวทนานั้น ไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน.
หากว่า เสวยเวทนา มีกายเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ถ้าเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนา มีชีวิตเป็นที่สุด ทราบชัดว่า ก่อนแต่จะสิ้นชีวิตเพราะกายแตก ความเสวยอารมณ์ทั้งมวลในโลกนี้ไม่น่ายินดี จักเป็นของเย็น.
อริยสาวก ได้เสวยสุขเวทนา ก็ทราบชัดว่าสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน
เสวยทุกขเวทนา ก็ทราบชัดว่าทุกขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน
เสวยอทุกขมสุขเวทนา ก็ทราบชัดว่า อทุกขมสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน
อริยสาวก ย่อมปราศจาก ความยินดียินร้าย
อริยสาวก ย่อมทราบชัดว่า เวทนานั้น ไม่เที่ยง ไม่น่าพอใจ ไม่น่าเพลิดเพลิน.
ประโยคสำคัญ นะครับ ประโยคนี้
หากว่า เสวยเวทนา มีกายเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
ถ้าเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ก็ทราบชัดว่า เสวยเวทนา มีชีวิตเป็นที่สุด ทราบชัดว่า
ก่อนแต่จะสิ้นชีวิตเพราะกายแตก ความเสวยอารมณ์ทั้งมวลในโลกนี้ไม่น่ายินดี จักเป็นของเย็น สำหรับ บทธรรมวันนี้ต้องขอขอบคุณพระอาจารย์ที่ช่วยชี้แนะครับ