ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความเชื่อ ระหว่าง "พุทธพจน์ กับ คำของสาวก"  (อ่าน 1327 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อุตตรวิปัตติสูตร ว่าด้วย พระอุตตระ แสดงธรรมเรื่อง "วิบัติ"

[๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระอุตตระอยู่ที่วฏชาลิกาวิหาร(๑-) ใกล้ภูเขาสังเขยยกะมหิสวัตถุชนบท ณ ที่นั้นแล ท่านพระอุตตระเรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า
     “ผู้มีอายุทั้งหลาย ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นวิบัติของตนตามกาลอันควรทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นวิบัติของผู้อื่นตามกาลอันควร ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นสมบัติของตนตามกาลอันควร ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นสมบัติของผู้อื่นตามกาลอันควร”

สมัยนั้น ท้าวเวสวัณมหาราชมีกรณียกิจบางอย่างเสด็จจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ ได้สดับเสียงของท่านพระอุตตระผู้กำลังแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้ว่า
     “ผู้มีอายุทั้งหลาย ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นวิบัติของตนตามกาลอันควร ทางที่ดีภิกษุพึงพิจารณาเห็นวิบัติของผู้อื่นตามกาลอันควร ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นสมบัติของตนตามกาลอันควร ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นสมบัติของผู้อื่นตามกาลอันควร”


@@@@@@

ครั้งนั้นแล ท้าวเวสวัณมหาราชได้หายจากวฏชาลิกาวิหาร ใกล้ภูเขาสังเขยยกะมหิสวัตถุชนบท ไปปรากฏในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้าฉะนั้น ลำดับนั้น ท้าวเวสวัณมหาราชเข้าไปเฝ้าท้าวสักกะจอมเทพถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลท้าวสักกะจอมเทพดังนี้ว่า
     “ขอเดชะท่านผู้นิรทุกข์ พระองค์โปรดทรงทราบว่า
     ‘ท่านอุตตระนี้แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ในวฏชาลิกาวิหารใกล้ภูเขาสังเขยยกะ มหิสวัตถุชนบท อย่างนี้ว่า
     ‘ผู้มีอายุทั้งหลาย ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นความวิบัติของตนตามกาลอันควร ฯลฯ ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นสมบัติของผู้อื่นตามกาลอันควร”

ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพได้ทรงหายจากเทวโลกชั้นดาวดึงส์ ไปปรากฏต่อหน้าท่านพระอุตตระ ที่วฏชาลิกาวิหาร ใกล้ภูเขาสังเขยยกะ มหิสวัตถุชนบทเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้า ฉะนั้น ครั้นแล้วจึงเสด็จเข้าไปหาท่านพระอุตตระถึงที่อยู่ ทรงไหว้แล้วประทับยืน ณ ที่สมควร ตรัสถามท่านพระอุตตระดังนี้ว่า

     “จริงหรือ ท่านผู้เจริญ ทราบว่า ท่านพระอุตตระแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า ‘ผู้มีอายุทั้งหลาย ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นความวิบัติของตนตามกาลอันควร ฯลฯ ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นสมบัติของผู้อื่นตามกาลอันควร”
     ท่านพระอุตตระได้ถวายพระพรว่า “อย่างนั้น ท่านจอมเทพ”

     @@@@@@

     “ท่านผู้เจริญ ข้อความนี้เป็นปฏิภาณส่วนตัวของท่านพระอุตตระเอง หรือว่าเป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น”
     “ท่านจอมเทพ ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักยกข้ออุปมาให้พระองค์สดับ วิญญูชนบางพวกในโลกนี้จะรู้อรรถแห่งภาษิตได้
      ท่านจอมเทพ มีข้าวเปลือกกองใหญ่อยู่ในที่ไม่ไกลจากบ้านหรือนิคม หมู่ชนเป็นอันมากพึงขนข้าวเปลือก จากข้าวเปลือกกองใหญ่นั้นด้วยหาบบ้าง ด้วยตะกร้าบ้าง ด้วยห่อพกบ้าง กอบด้วยมือบ้าง
      ท่านจอมเทพ หากมีบุคคลเข้าไปถามหมู่ชนเป็นอันมากนั้นอย่างนี้ว่า  ‘พวกท่านขนข้าวเปลือกนี้มาจากไหน’
      ท่านจอมเทพ หมู่ชนเป็นอันมากนั้นจะตอบอย่างไร จึงจะชื่อว่าตอบได้อย่างถูกต้อง”

     “ท่านผู้เจริญ หมู่ชนเป็นอันมากนั้น เมื่อจะตอบให้ถูกต้องควรตอบว่า ‘พวกเราขนมาจากข้าวเปลือกกองใหญ่โน้น”
     “ท่านจอมเทพ ทำนองเดียวกันนั่นแล พระดำรัสที่เป็นสุภาษิตทั้งหมด เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น อาตมภาพและสาวกเหล่าอื่นย่อมกล่าว โดยถือเอาจากสุภาษิตทั้งหมดนั้น”

     ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ท่านพระอุตตระกล่าวเรื่องนี้ไว้ดียิ่งนักว่า
     'พระดำรัสที่เป็นสุภาษิตทั้งหมด เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น อาตมภาพและสาวกเหล่าอื่นย่อมกล่าวโดยถือเอาจากสุภาษิตทั้งหมดนั้น’


     @@@@@@

     ท่านอุตตระผู้เจริญ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏเขตกรุงราชคฤห์ เมื่อพระเทวทัตจากไปไม่นาน ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงปรารภพระเทวทัต รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นวิบัติของตนตามกาลอันควรทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นวิบัติของผู้อื่นตามกาลอันควร ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นสมบัติของตนตามกาลอันควร ทางที่ดี ภิกษุพึงพิจารณาเห็นสมบัติของผู้อื่นตามกาลอันควร"

    ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตถูก อสัทธรรม ๘ ประการครอบงำย่ำยีจิต ต้องไปเกิดในอบาย ต้องไปเกิดในนรก ดำรงอยู่ชั่วกัป แก้ไขไม่ได้ อสัทธรรม ๘ ประการ อะไรบ้าง คือ

    ๑. เทวทัตถูกลาภครอบงำย่ำยีจิต ต้องไปเกิดในอบาย ต้องไปเกิดในนรก ดำรงอยู่ชั่วกัป แก้ไขไม่ได้
    ๒. เทวทัตถูกความเสื่อมลาภครอบงำย่ำยีจิต ฯลฯ
    ๓. เทวทัตถูกยศครอบงำย่ำยีจิต ฯลฯ
    ๔. เทวทัตถูกความเสื่อมยศครอบงำย่ำยีจิต ฯลฯ
    ๕. เทวทัตถูกสักการะครอบงำย่ำยีจิต ฯลฯ
    ๖. เทวทัตถูกความเสื่อมสักการะครอบงำย่ำยีจิต ฯลฯ
    ๗. เทวทัตถูกความปรารถนาชั่วครอบงำย่ำยีจิต ฯลฯ
    ๘. เทวทัตถูกความมีมิตรชั่วครอบงำย่ำยีจิต ต้องไปเกิดในอบาย ต้องไปเกิดในนรก ดำรงอยู่ชั่วกัป แก้ไขไม่ได้
    ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตถูกอสัทธรรม ๘ ประการนี้แล ครอบงำย่ำยีจิต ต้องไปเกิดในอบาย ต้องไปเกิดในนรก ดำรงอยู่ชั่วกัป แก้ไขไม่ได้

@@@@@@

    ภิกษุทั้งหลาย ทางที่ดี ภิกษุพึงครอบงำลาภที่เกิดขึ้นอยู่
    ทางที่ดี ภิกษุพึงครอบงำความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้นอยู่
    ... ยศที่เกิดขึ้น
    ... ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้น
    ...สักการะที่เกิดขึ้น
    ... ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้น
    ... ความปรารถนาชั่วที่เกิดขึ้น
    ...ความมีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นอยู่

     ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร จึงพึงครอบงำลาภที่เกิดขึ้นอยู่
     พึงครอบงำความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้นอยู่
     ... ยศที่เกิดขึ้น
     ... ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้น
     ... สักการะที่เกิดขึ้น
     ... ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้น
     ... ความปรารถนาชั่วที่เกิดขึ้น
     ... พึงครอบงำความมีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นอยู่

     @@@@@@

     ภิกษุทั้งหลาย เพราะเมื่อภิกษุไม่ครอบงำลาภที่เกิดขึ้นอยู่ อาสวะและความเร่าร้อนที่ก่อความคับแค้นพึงเกิดขึ้น แต่เมื่อเธอครอบงำลาภที่เกิดขึ้นอยู่ อาสวะและความเร่าร้อนที่ก่อความคับแค้นย่อมไม่มีแก่เธอ
     เพราะเมื่อภิกษุไม่ครอบงำความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้นอยู่ ...
     ยศที่เกิดขึ้น ...
     ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้น ...
     สักการะที่เกิดขึ้น ...
     ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้น ...
     ความปรารถนาชั่วที่เกิดขึ้น ...
     ความมีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นอยู่ อาสวะและความเร่าร้อนที่ก่อความคับแค้นพึงเกิดขึ้น แต่เมื่อเธอครอบงำความมีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นอยู่ อาสวะและความเร่าร้อนที่ก่อความคับแค้นย่อมไม่มีแก่เธอ

     ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล จึงพึงครอบงำลาภที่เกิดขึ้นอยู่
     ... ความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้น
     ... ยศที่เกิดขึ้น
     ... ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้น
     ... สักการะที่เกิดขึ้น
     ... ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้น
     ... ความปรารถนาชั่วที่เกิดขึ้น
     ... ความมีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นอยู่

     @@@@@@

     ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
     ‘เราทั้งหลายจักครอบงำลาภที่เกิดขึ้นอยู่
     ... ความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้น
     ... ยศที่เกิดขึ้น
     ... ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้น
     ... สักการะที่เกิดขึ้น
     ... ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้น
     ... ความปรารถนาชั่วที่เกิดขึ้น
     ... ความมีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นอยู่’
     ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกอย่างนี้แล’

     ท่านอุตตระผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ในหมู่มนุษย์ บริษัท ๔ คือ ภิกษุภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ธรรมบรรยาย(๒-)นี้หาได้ตั้งมั่นอยู่ในบริษัทหมู่ไหนไม่  ขอท่านอุตตระโปรดเรียนธรรมบรรยายนี้ โปรดจดจำธรรมบรรยายนี้ โปรดทรงจำธรรมบรรยายนี้ไว้เถิด เพราะธรรมบรรยายนี้ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์(๓-)”




เชิงอรรถ :-
(๑-) วฏชาลิกาวิหาร หมายถึง วิหารที่ตั้งอยู่ในป่าไทรย้อย (องฺ.อฏฺฐก.อ. ๓/๘/๒๑๖)
(๒-) คำว่า บรรยาย ในคำว่า ธรรมบรรยาย นี้แปลจาก ปริยาย ศัพท์ ซึ่งมีความหมาย ๓ นัย คือ
      ๑) หมายถึง เทศนา (ดู ม.มู. ๑๒/๒๐๕/๑๗๕ , องฺ.ฉกฺก. ๒๒/๖๓/๓๙๐)
      ๒) หมายถึง วาระ (ดู ม.อุ. ๑๔/๒๙๘/๓๔๔)
      ๓) หมายถึง เหตุ (ดู วิ.มหา. ๑/๑๖๔/๙๕) ในที่นี้หมายถึง เหตุ (วิ.อ. ๑/๓/๑๒๖, องฺ.สตฺตก. อ.๓/๕๑/๑๘๕)
(๓-) เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ในที่นี้หมายถึง พรหมจรรย์ทั้งสิ้นที่รวมลงในสิกขา ๓ (ศีล สมาธิ ปัญญา)(องฺ.อฏฺฐก.อ. ๓/๘/๒๑๖)

ที่มา : อุตตรวิปัตติสูตร ว่าด้วย พระอุตตระแสดงธรรมเรื่องวิบัติ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
http://www.84000.org/tipitaka/_mcu/m_siri.php?B=23&siri=81
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 29, 2018, 10:11:49 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ความเชื่อ ระหว่าง "พุทธพจน์ กับ คำของสาวก"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2018, 10:30:49 am »
0

 ask1 ans1 ask1 ans1

พระสูตรนี้ต้องให้เครคิตเว็บบ้านธัมมะ เพราะมีคนตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับ พุทธวจนะกับคำสอนของสาวก เพราะบางกลุ่มสอนให้จำแต่พุทธวจนะ ผู้ตอบปัญหาของเว็บนี้ยกเอาพระสูตรนี้มาแย้ง



ภาพข้างบนนำมาจาก https://www.facebook.com/dhammahomefellowship/posts/1006167279535992
หัวข้อ "อ้างพุทธวจนะแต่คำอธิบายทำลายพุทธวจนะ"


 ask1 ask1 ask1

ที่แปลกก็คือ ผมไปฟังเทปของ อ.สุจินต์ ในยูทูป เรื่อง ไม่มีครูสมาธิในพระพุทธศาสนา ตามลิงค์นี้ https://www.youtube.com/watch?v=MpdrE9LM37k  ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ อ.สุจินต์ เป็นงง มากๆ

ผมอ่านคอมเม้นต์ในยูทูปแล้ว มีคนค้านท่านอยู่ เพราะไม่แน่ใจว่า ทางของท่านถูกรึเปล่า.?
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ