ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ลาก่อนไขมันทรานส์ : ธุรกิจไทย พร้อมไหม.?  (อ่าน 528 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ลาก่อนไขมันทรานส์ : ธุรกิจไทย พร้อมไหม.?

คนรักสุขภาพคงเฮกันไม่ใช่น้อย แต่ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารคงหนาวๆ ร้อนๆ กันไป เมื่อกระทรวงสาธารณะสุขได้ประกาศมาตรการแบนไขมันทรานส์ (Trans Fats) ไม่ว่าจะเป็นการผลิตนำเข้า หรือจัดจำหน่าย ในวันที่ 13 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา

ถึงแม้ว่าจะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วันข้างหน้า ซึ่งก็คือ ประมาณเดือน ม.ค. ปีหน้า บอกตามตรงเลยว่า เรารอให้ประเทศไทยออกกฏนี้มานานมาก เพราะไขมันทรานส์นั้นอันตรายต่อสุขภาพสุดๆ ก่อให้เกิดโรคร้ายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งล้วนแล้วแต่น่ากลัวทั้งนั้น แถมผู้บริโภคหลายคนยังไม่รู้อีกว่าไขมันทรานส์นั้นแฝงตัวอยู่ในอาหารทุกๆ วัน เผลอหยิบทานได้ง่ายมาก

ในฝั่งของธุรกิจ ก็มีหลายบริษัททีเดียวที่ข้องเกี่ยวกับไขมันทรานส์ วันนี้จึงอยากชวนมาดูกันว่าธุรกิจไหนบ้างที่คาดว่า อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการแบนไขมันทรานส์ครั้งนี้.? แล้วบริษัทในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน.?

@@@@@@

ธุรกิจที่คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบจากการแบนไขมันทรานส์

      1. ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด ของทอด ขนมขบเคี้ยว
เนื่องจากธุรกิจนี้มีการใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงอาหาร และเป็นอาหารที่มีไขมันค่อนข้างสูงจึงกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจที่หลายคนให้ความสนใจ ไขมันทรานส์นั้นปรากฏในน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการเติมสารไฮโดรเจนเป็นบางส่วน ซึ่งสาเหตุที่ธุรกิจของทอดอาจจะเลือกใช้น้ำมันที่มีไขมันทรานส์ก็ด้วยเหตุผลที่ว่ามัน*สามารถทนต่อความร้อนได้สูง ใช้ได้นาน ซึ่งก็หมายความว่าสามารถลดต้นทุนได้นั่นเอง

      2. ธุรกิจเบเกอรี่ ขนมหวาน วัตถุดิบทำขนม
เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะไขมันทรานส์นั้นสามารถปรากฏตัวได้ในเบเกอรี่และขนมหวานแทบจะทุกชนิด เนื่องจากไขมันทรานส์มีคุณสมบัติช่วยให้ขนมมีกลิ่นหอมหวาน เก็บได้นาน ขึ้นรูปขนมได้ง่าย แถมยังราคาถูก หลายๆ ที่จึงใช้สูตรที่มีไขมันทรานส์แทนที่จะใช้วัตถุดิบที่แพงกว่าอย่างเนยแท้หรือครีมแท้

      3. ธุรกิจค้าปลีก
นอกจากผู้ผลิตแล้ว ผู้ขายก็อาจโดนผลกระทบด้วยเช่นกัน เพราะต้องเพิ่มความเข้มงวดในการเลือกสินค้าที่จะนำมาขาย จึงต้องคอยประสานงานกับผู้ผลิตสินค้าให้มั่นใจว่าผู้ผลิตได้ดำเนินการขจัดไขมันทรานส์ออกจากสินค้าแล้ว

      4. ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร แคเทอริ่ง
เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีการให้บริการเสิร์ฟอาหาร มาตรการนี้จึงส่งผลกระทบในแง่ของต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น ธุรกิจไหนที่เคยจัดอาหารประเภทที่มีไขมันทรานส์ ก็จะต้องหา Supplier เจ้าอื่นมาแทนกระบวนการนี้จึงอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น ในส่วนของร้านอาหารนี่ก็ต้องรวมร้านกาแฟไปด้วยเช่นกัน เพราะส่วนผสมของกาแฟในบางสูตรก็ยังต้องใช้วัตถุดิบที่มีไขมันทรานส์อย่างเช่น ครีมเทียมและนมข้นหวาน


    @@@@@@

    แล้วธุรกิจในประเทศไทยได้เตรียมการต่อกรอย่างไรบ้าง.?

จากข้อมูลที่แต่ละบริษัทเผยออกมา *ส่วนใหญ่แล้วเราจะเห็นว่าบริษัทใหญ่ๆ ไม่ค่อยกังวลกับผลกระทบมากนัก เพราะบริษัทในอุตสาหกรรมนี้ได้รับรู้ข่าวล่วงหน้าแล้ว จึงได้ทำการปรับสูตรไปก่อนหน้านี้แล้ว* บางบริษัทก็ไม่เคยใช้ไขมันทรานส์อยู่แล้วจึงไม่กังวล ตัวอย่างเช่น แมคโดนัลด์ เคเอฟซี พิซซ่าฮัท ก็ออกมายืนยันว่าไม่มีการใส่ไขมันทรานส์ในอาหาร

โดยแมคโดนัลด์ขยายความว่า ตนใช้น้ำมันปาล์มในประเทศที่ไม่มีไขมันทรานส์ ซึ่งจะมีการตรวจสอบคุณภาพอยู่เสมอ ในส่วนของธุรกิจค้าปลีก บริษัทอย่าง เทสโก้​ โลตัส และ บิ๊กซี ก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่าทางห้างไม่ได้ขายเบเกอรี่ที่มีไขมันทรานส์ โดยของบิ๊กซีนั้นจะมีทางเบเกอรี่ที่ผลิตเอง รวมถึงเบเกอรี่สำเร็จรูปจากแหล่งอื่น

@@@@

มาทางฝั่งร้านขนมและร้านกาแฟ ก็จะเห็นว่าหลายบริษัทเริ่มทยอยปรับสูตรกันแล้ว* เช่น แบล็คแคนยอน คริสปี้ ครีม มิสเตอร์ โดนัท ที่กำลังจัดการกำจัดไขมันทรานส์ให้เหลือ 0% ส่วนอาฟเตอร์ยู ร้านขนมหวานชื่อดัง ก็ออกมายืนยันว่าได้ทำการปรับสูตรเรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างนั้น เราก็ได้เห็นว่าช่วงหลังจากประกาศมาตรการ ราคาของหุ้น AU ได้ร่วงลง

นอกจาก AU ก็ยังมีหุ้นของบริษัทอื่นๆที่ราคาปรับตัวลง เช่น MINT ผู้ดำเนินการ เบร็ดทอร์ก แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง, PB เจ้าของแบรนด์ฟาร์มเฮ้าส์, WINNER ผู้ผลิต นำเข้า จัดจำหน่ายวัตถุดิบเบเกอรี่, SNP หรือร้านเอสแอนด์พี เป็นต้น ซึ่งหนึ่งสาเหตุของการที่ราคาปรับตัวลงอาจจะมาจากความกังวลต่อมาตรการนี้ที่อาจกระทบกำไรของบริษัท

@@@@

อีกหนึ่งสาเหตุที่ผู้ผลิตรายใหญ่ไม่โดนผลกระทบมากนัก เป็นเพราะบางรายมีการส่งออกหรือนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งต่างประเทศตื่นตัวเรื่องไขมันทรานส์มานานแล้ว สินค้าของผู้ผลิตกลุ่มนี้จึงถูกควบคุมคุณภาพไม่ให้มีไขมันทรานส์ เช่น สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ที่ส่งออกสินค้าไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

แน่นอนว่าการหันไปใช้วัตถุดิบไร้ไขมันทรานส์จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น แต่หลายบริษัทใหญ่ๆไม่กังวลหากต้องเพิ่มต้นทุนเพราะสามารถเพิ่มราคา หรือ ลดปริมาณขาย ได้ ภาคส่วนธุรกิจที่น่าเป็นห่วงหน่อยจึงเป็นกลุ่ม SMEs หรือกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก ที่มีจุดขายตรงสินค้าราคาถูก พวกเขายังต้องพึ่งพิงไขมันทรานส์เพื่อลดต้นทุนอยู่ หากขึ้นราคาก็กลัวว่าจะเสียลูกค้า เราจึงต้องลุ้นกันต่อไปว่าธุรกิจขนาดกลาง-เล็กจะสามารถปรับตัวได้เหมือนธุรกิจใหญ่ๆ หรือไม่.?

      @@@@@@

    แล้วมีธุรกิจไหนที่ได้ประโยชน์จากมาตรการแบนไขมันทรานส์บ้าง.?

ถ้าให้ตอบแบบกำปั้นทุบดินเลยก็คือธุรกิจอาหารที่ปลอดไขมันทรานส์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่แปลงรูปแล้วหรือ อาหารที่มีไขมันจากธรรมชาติ เช่น นม เนยแท้ ครีมแท้ (ที่แม้จะมีไขมันทรานส์ตามธรรมชาติอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยมาก)  ยิ่งธุรกิจไหนที่ไม่เคยข้องเกี่ยวกับไขมันทรานส์มาก่อน ก็สามารถใช้โอกาสนี้โปรโมตความบริสุทธิ์ของตัวเอง ตอกย้ำให้เห็นถึงจุดแกร่งซึ่งจะทำให้ดูโดดเด่นออกมาจากธุรกิจอื่นๆ ที่ยังต้องดำเนินการขจัดไขมันทรานส์ อีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจะได้รับผลดีเต็มๆ คือธุรกิจอาหารสุขภาพ เพราะไม่มีทางเจอไขมันทรานส์อย่างแน่นอน

นอกจากภาคธุรกิจที่เจออุปสรรคด้านโครงสร้างต้นทุนและความเปลี่ยนแปลงด้านสินค้าบริการแล้ว *ผู้บริโภคก็ต้องเตรียมพร้อมเผชิญราคาสินค้าบริการที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน* ซึ่งในระยะสั้นก็อาจจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจหากผู้บริโภคยังปรับตัวไม่ทัน แต่ในระยะยาวเมื่อผู้บริโภคและธุรกิจเริ่มปรับตัวได้แล้ว ก็มีความเป็นไปได้ว่าโครงสร้างธุรกิจหลายๆ ด้านน่าจะกลับมามั่นคงอีกครั้ง

@@@@

สุดท้ายแล้ว แม้ว่ามาตรการนี้จะส่งให้เกิดความวุ่นวายในการปรับตัวระยะสั้นของหลายๆ ภาคส่วนแต่ก็ต้องอย่าลืมว่าจุดประสงค์ของมาตรการนี้คือการช่วยให้สุขภาพของคนไทยดีขึ้น ไม่ป่วยเป็นโรคร้ายในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาโรคร้ายต่างๆ ไปได้ ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่งเรามองว่ามาตรการนี้เป็นประโยชน์มาก และเชื่อว่าผู้บริโภคหลายคนน่าจะยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับสุขภาพที่ดีขึ้นค่ะ



ข้อมูลอ้างอิง :-
https://www.posttoday.com/market/news/557780
https://workpointnews.com/
https://www.thairath.co.th/content/1336593
https://pptvhd36.com
https://pptvhd36.com
https://www.kaohoon.com/content/241033
https://money.kapook.com/view196551.html
https://www.thunhoon.com/focus/tkn-14
ขอบคุณที่มา : https://today.line.me/th/pc/article/ลาก่อนไขมันทรานส์+ธุรกิจไทย+พร้อมไหม-JkgXJ3
Reporter : PortRomeo
เผยแพร่ : 19 กรกฎาคม 2561, เวลา 17.37 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 20, 2018, 08:51:49 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ