ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - อัจฉริยะ
หน้า: 1 2 [3]
81  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: จัดให้มีวัดหรือสำนักสงฆ์ สำหรับเพศที่สาม,ตุ๊ด,เกย์...!!!..??? เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2011, 08:27:11 am
ผมว่าจะให้มีไปทำไม ครับ เพราะที่จริง คนพวกนี้ พระพุทธเจ้า ห้ามบวช นี่ครับ

อย่าเปลี่ยน พระวินัย เลยครับ

แค่ให้เป็นผู้ปฏิบัติ ในศีล สมาธิ ปัญญา แบบ คฤหัสถ์ ชาวบ้านก็พอแล้วครับ

 :character0029: :91: :41:
82  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อยากให้อธิบาย คำว่า สังขาร เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2011, 03:34:57 pm
แจ่ม ครับ เข้าใจง่าย ดีครับ สังขาร คือ การปรุงแต่งทางจิต เป็นหลักอันนี้น่าจะใกล้เคียงนะครับ
เพราะจิตปรุงแต่ง จึงนำมาซึ่งความทุกข์

เพราะถ้าไม่คิด ก็จะไม่มีคำว่า คิดมาก เพราะคิดมาก ก็เลยเครียด

ก็เพราะเครียด จึงทำให้สุขภาพจิต แย่ เพราะสุขภาพจิต แย่ จึงทำให้สุขภาพ กาย ไปตามกันเป็นลูกโซ่

 :72:
83  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: สรุปธรรมสัญจร วันที่ 20 ก.พ.2554 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2011, 08:57:01 am
อ้างถึง
กิจกรรมนี้ชดเชยกิจกรรม พบกันประจำเดือน ก.พ.2554

ประจำเดือน ม.ค.2554 จัดไปวันที่เท่าไหร่ครับ ไม่เห็นมีภาพบรรยากาศงานให้ชมเลยครับ

ประจำเดือน มี.ค.2554 กำหนดไว้วันที่เท่าไหร่ครับ ไม่เห็นมีประกาศเลยครับ


 :03:
 
84  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ใครรู้สึกว่าเบื่อแล้วกับการเกิด เกิดชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้ายเถอะ เมื่อ: มกราคม 27, 2011, 09:31:22 pm
นิพพาน
นิพพานเป็นอายตนะ หนึ่ง ซึ่งแตกต่างออกไปจากโลกายตนะและอายตนะทั้ง ๖ ทั้ง ๑๒ นั้น เป็นอายตะนี่สูงกว่า วิเศษกว่า และประณีตกว่าอายตนะอื่น แต่ก็ทำหน้าที่ในลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือ โลกายตนะทำหน้าที่ดึงดูดสัตว์โลกที่ยังมีความผูกพันอยู่กับโลกไว้ ไม่ให้พ้นไปจากโลกได้ ส่วนอายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ทำหน้าที่ดึงดูด รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ตามหน้าที่ของตน ๆ และในทำนองเดียวกัน อายตนะนิพพานก็มีหน้าที่ดึงดูดพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เข้าไปสู่อายตนะของตน สถานที่อันเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าเรียกว่า อายตนะนิพพาน ส่วนพระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ในอายตนะนิพพานนั้น เรียกว่า “พระนิพพาน”



ในปาฏลิคามิวัคคอุทาน ฯ กล่าวไว้ว่า “อตถิ ภิกขเว ตทายตนํ ฯลฯ”. 


    ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ที่ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีเลย อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็มิใช่ โลกนี้ก็มิใช่ โลกอื่นก็มิใช่ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้งสองก็มิใช่ อนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวเลยซึ่งอายตนะนั้นว่าเป็นการมา เป็นการไป เป็นการยืน เป็นการจุติ เป็นการเกิด อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นั่นแลที่สุดแห่งทุกข์



    อายตนะในที่นี้ ก็หมายถึง “อายตนะนิพพาน” ดังได้กล่าวแล้วว่า อายตนะนิพพานนั้น ต่างหากออกไปจากอายตนะพวกอื่น อายตนะนิพพานนี้มีอยู่ สูงขึ้นไปจากภพ ๓ นี้ เลยอกไปจากขอบเนวสัญญานาสัญญายตนะภพ พ้นออกไปจากวิถีภพนี้ ตรงขึ้นไปทีเดียว จะคำนวณระยะทาง ก็เห็นว่าหาประมาณไม่ได้ทีเดียว ไม่ได้มีอยู่ในดิน น้ำ ไฟ ลม และ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ไม่มีอยู่ในนิพพาน ในอรูปภพทั้ง ๔ ก็ไม่ใช่ แม้นิพพานก็ไม่ได้มีลักษณะของอรูปภพทั้ง ๔ นี้เลย ในโลกนี้ โลกอื่นก็มิใช่ เพราะเหตุที่อายตนะนิพพานพ้นไปจากโลกจากภพ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพเหล่านี้สิ้นแล้ว นิพพานก็ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ แม้ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในภพนี้ นิพพานจึงไม่ใช่สิ่งทั้งสอง และในที่สุดสิ่งทั้งสองนี้ ก็มิได้มีอยู่ในนิพพานเลย อนึ่ง อายตนะนิพพานก็ไม่มีการไป การมา การยืน การจุติ หรือการเกิด แต่ประการใดประการหนึ่ง ซึ่งแสดงว่า ไม่สามารถจะติดต่อกันได้โดยอาการปกติ แม้ที่สุดกำลังของอรูปฌานก็ไม่อาจไปถึงได้ เพราะว่านิพพานจัดเป็นสูงสุด เกินกำลังของผู้ที่อยู่ในภพจะไปถึงได้ และอายตนะนี้ก็หาที่ตั้งอาศัยมิได้ ไม่มีวัตถุหรืออารมณ์ชนิดใดเป็นที่ตั้งที่อาศัยทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เองเป็นเครื่องยืนยันว่า อายตนะนิพพานนั้นมีจริงและไม่เกี่ยวข้องอยู่ในภพเลย พ้นออกไปต่างหากทีเดียว



    อนึ่ง นิพพาน ๓ คือ
  กิเลสนิพพาน ๑
  ขันธนิพพาน ๑
  ธาตุนิพพาน ๑
    มีความหมายดังนี้ คือ



    เมื่อวันเพ็ญวิสาขมาส (กลางเดือน ๖) ก่อนพุทธศก ๔๕ ปี พระสิทธัตถกุมารทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ ตัดกิเลสได้ขาดจากใจสิ้น บรรลุถึงซึ่งพระโพธิญาณ ณ ภายใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ ครั้งนั้น กิเลสาสวะทั้งปวงที่เคยประจำคอยกีดกันพระองค์ ให้ทรงว่ายเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารมานับจำนวนหลายหมื่นหลายแสนชาติเป็นอันมาก ไม่อาจจะกลับมาสู่พระองค์ได้อีก ความสิ้นไปแห่งกิเลสาสวะ อันเป็นเครื่องเสียบแทงพระองค์ตลอดมานั้นเรียกว่า   “กิเลสนิพพาน”


    ความแตกทำลายแห่งขันธ์ของพระองค์ ซึ่งแม้ชาติใด ๆ ก็ตาม ขันธ์ในภพ ๓ นี้ ก็ต้องสวมพระองค์ตลอดมา ความแตกทำลายแห่งขันธ์ในชาติที่สุดนี้ ขันธ์เหล่านี้ก็มิอาจจะสวมพระองค์ได้ และพระองค์ก็มิกลับมาสวมขันธ์เหล่านี้อีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงพ้นไปจากขันธ์เหล่านี้แล้ว ความแตกทำลายแห่งขันธ์นี้เรียกว่า   “ขันธนิพพาน”


    พระพุทธเจ้าองค์ที่สุดนี้คือ พระสมณโคดม ปัจจุบันนี้พระบรมธาตุของพระพุทธองค์ยังคงอยู่ ไม่สูญสิ้นไป ก็ยังไม่เรียกว่าธาตุนิพพาน ต่อเมื่อใดเสร็จพุทธกิจของพระองค์ ที่จะต้องทำในภพนี้แล้ว ขณะนั้น พระบรมธาตุของพระองค์ก็จะสูญไปจากภพนี้ ความสิ้นไปแห่งพระบรมธาตุนี้เรียกว่า   “ธาตุนิพพาน”


    ส่วนนิพพานที่ท่านจำแนกเป็น ๒ ประเภทนั้น คือ สอุปาทิเสสนิพพาน ๑ อนุปาทิเสสนิพพาน ๑ สำหรับพวกทำสมาธิปัจจุบันเรียกกันง่าย ๆ อีกแบบหนึ่ง คือ นิพพานเป็น อันตรงกับ สอุปาทิเสสนิพพาน และ นิพพานตาย อันตรงกับ อนุปาทิเสสนิพพาน



    นิพพานที่เป็นสถานที่อยู่ของกายธรรมนั้น อยู่ในศูนย์กลางของกายธรรมนั้นเอง ที่กล่าวนี้หมายความถึง เวลาที่กายมนุษย์ของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ ใช้กายธรรมเดินสมาบัติ ๗ เที่ยว ตามแบบวิธีเดินสมาบัติที่เคยกล่าวไว้แล้วนั้น กายธรรมก็จะตกสูญ เข้าสู่นิพพานในศูนย์กลางกายธรรมนั้น นิพพานนี้ชื่อว่า นิพพานเป็น หรือ สอุปาทิเสสนิพพาน เพราะเป็นนิพพานที่อยู่ในศูนย์กลางของกายธรรมที่ซ้อนอยู่ในกลางกายอรูป พรหม-กายรูปพรหม-กายทิพย์-และกายมนุษย์ เป็นลำดับเช่นนี้ ยังอยู่ในกลางของกายที่ยังหมกมุ่นครองกิเลสอยู่ตามสภาพของกายนั้น ๆ ความบริสุทธิ์ของนิพพานที่อยู่ในท่ามกลางกิเลสเหล่านี้เอง ที่เรียกว่า “สอุปาทิเสส นิพพาน” สภาพของนิพพานนี้มีลักษณะกลมรอบตัว ใสบริสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ทว่านิพพานนี้ เป็นนิพานประจำกายของกายธรรม จึงมีพระนิพพานหรือพระพุทธเจ้าประทับอยู่เพียงพระองค์เดียว ความจริงถ้าจะกล่าวตามส่วนและตามลักษณะ ตลอดจนที่ตั้งแล้ว ก็จะเห็นว่านิพพานเป็นหรือสอุปาทิเสสนิพพานนี้ เป็นที่เร้นอยู่โดยเฉพาะของกายธรรม ในเวลาที่ยังมีขันธ์ปรากฏอยู่


นอก จากนั้น สอุปาทิเสสนิพพานยังเป็นทางนำให้เข้าถึง “อนุปาทิเสสนิพพาน” หรือ “นิพพานตาย” อีกด้วย คือเวลาที่ขันธ์ซึ่งรองกายธรรมอยู่นั้นจะสิ้นไป พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ย่อมจะต้องเดินสมาบัติทั้ง ๘ และเข้าสู่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ขณะนี้เอง เป็นเวลาที่กายธรมเข้าสู่สอุปาทิเสสนิพพาน ทรงดับสัญญาและเวทนาสิ้นแล้ว จึงเดินสมาบัติปฏิโลมอีก คราวนี้กายธรรมก็จะตกสูญ เข้าสู่ อนุปาทิเสสนิพพาน ซึ่งมีลักษณะของรูปพรรณสัณฐานและขนาดดังที่กล่าวแล้วมาข้างต้นนั่นเอง


    ส่วน “พระนิพพาน” นั้นคือ กายธรรมที่ได้บรรลุอรหัตต์ผลแล้ว กายเหล่านี้มี กาย, หัวใจ, ดวงจิต, และดวงวิญญาณ วัดตัดกลาง ๒๐ วา เท่ากันทั้งสิ้น หน้าตักกว้าง ๒๐ วา สูง ๒๐ วา เกตุดอกบัวตูม ขาวใสบริสุทธิ์ มีรัศมีปรากฏ พระนิพพานนี้ประทับอยู่ในอายตนะนิพพาน บางพระองค์ที่เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็ทรงประทับอยู่ท่านกลางพระอรหันตสาวกบริวาร เป็นจำนวนมาก บางพระองค์ที่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มิได้เคยสั่งสอนหรือโปรดผู้ใดมาก่อน ในสมัยที่ยังมีพระชนม์อยู่ องค์นั้นก็ประทับโดดเดี่ยวอยู่โดยลำพัง หาสาวกบริวารมิได้ ส่วนรังสีที่ปรากฏ ก็เป็นเครื่องบ่งให้รู้ถึงการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เหล่านั้น ว่า มากน้อยกว่ากันเพียงไร แค่ไหน แต่ส่วนกว้าง ส่วนสูง และลักษณะของพระวรกายนั้น เสมอกันหมด มิได้เหลื่อมล้ำกว่ากันเลย พระนิพพานนี้ทรงประทับเข้านิโรธ สงบกันตลอดหมด เพราะความนิโรธนี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง และความที่อยู่ในนิพพาน มีกายอันยั่งยืนนี้เอง ท่านจึงได้กล่าวว่า “นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ”

ภาพทั้ง ๓ นี้ เป็นภาพที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงเทียบลักษณะและสถานที่อยู่ของภพ ๓ นิพพาน และโลกันต์ (ลักษณะผ่าครึ่ง เพื่อให้เห็นชัด เพราะความจริงต่างก็มีสัณฐานกลมรอบตัว และมีขอบนอกกลมรอบตัวเช่นเดียวกัน) ภพ ๓ นี้เป็นสถานที่อันดึงดูดสัตว์ที่เวียนว่ายทำความดีและชั่วในชั้นปานกลาง ดีที่สุดของภพ ๓ ก็ถูกอายตนะของอรูปภพดึงดูดเข้าไป ชั่วที่สุดของภพ ๓ ก็ถูกอายตนะของอเวจีดึงดูดเข้าไป แต่ถ้าหากดีจนเกินความดีในอรูปภพเสียแล้ว ก็จะต้องถูกอายตนะนิพพานดึงดูดเข้าไป เป็นอันว่าพ้นไปจากภพ ๓ นี้ทีเดียว สูงขึ้นไปเหนือภพ๓ นี้หาประมาณมิได้ พ้นการติดต่อกับภพ ๓ นี้ด้วยประการทั้งปวง กลมรอบตัวและใสบริสุทธิ์ยิ่ง นั่นแหละคือ นิพพาน แต่ก็พึงเข้าใจว่า ในนิพพานหาที่ตั้งที่อาศัยมิได้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ฉะนั้น ในนิพพานซึ่งหาพื้นที่และที่อาศัยมิได้ นอกจากความว่างและสว่าง พระนิพพานจึงประทับอยู่ในนิพพานได้ ด้วยความเบาความบริสุทธิ์ของพระวรกายประดุจดังปุยนุ่นในอากาศ หาได้เหมือนบุคคลอาศัยอยู่ในพื้นพิภพนี้ไม่


    ปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากความสงสัยว่า เมื่อนิพพานมีสัณฐานกลม แล้วพระนิพพานจะทรงประทับอยู่ได้อย่างไร จึงนับเป็นปัญหาอจินไตย คือ ปุถุชนไม่ควรคิด


    และเมื่อมีที่อยู่อาศัยของผู้ที่ทำดีมากที่สุดแล้ว พึงทราบว่า ในภาวะที่ตรงกันข้ามกับความดีที่สุด ซึ่งหมายถึงผู้ที่ทำชั่วที่สุด ก็ต้องมีที่อาศัยเช่นเดียวกัน และอายตนะที่สำหรับดึงดูดผู้ทำชั่วที่สุด ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากนิพพานและภพ ๓ นี้ ต่ำลงไปจากภพ ๓ พ้นออกไปจากภพ ๓ นี้ ลงไปหาประมาณมิได้ พ้นจากการติดต่อจากภพ ๓ นี้ด้วยประการทั้งปวง ลักษณะกลมรอบตัว มืดจนดำสนิทนั่นแหละ คือ อายตนะโลกันต์ เป็นที่สถิตอยู่ของผู้ที่ทำความชั่วที่สุด (หาได้อยู่ในระหว่างเขาจักรวาล ตามความเข้าใจของบางท่านไม่)


    แต่ผู้ที่อยู่ในอายตนะโลกันต์นั้น ขณะใดจิตใจสูงขึ้น คือ ความชั่วร้ายที่มีอยู่ในผู้นั้นจางลงไป จนพ้นจากภาวะของอายตนะโลกันต์แล้ว ผู้นั้นก็จะกลับมาสู่ภพนี้ได้อีก หรืออาจจะทำความดี จนกระทั่งสร้างบารมีบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ได้ ที่กล่าวนี้หมายถึง ผู้ที่อยู่ใน โลกันต์นั้น จนนับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วน แล้วในที่สุดของภาวะผู้นั้นก็กลับมาสู่ภพอีก แต่ไม่ได้หมายถึงว่า ในระหว่างที่มีภาวะอยู่ในโลกันต์นั้น จะอาจติดต่อกับภพ ๓ นี้ได้โดยอาการปกติธรรมดาเช่นนั้น หามิได้.


     อนึ่งความสงสัย อาจเกิดขึ้นว่า ไฉนทั้งภพ ๓ ทั้งนิพพานและโลกันต์ จึงมีสัณฐานกลมเหมือนกันหมด ทั้งนี้จะเทียบได้ว่า ธรรมดาสิ่งที่เกิดขึ้นมา โดยปราศจากบุคคลเสกสรรขึ้นแล้ว เบื้องต้นทีเดียว สิ่งนั้นจะต้องมีสัณฐานกลม เช่น กะละรูปหรือฟองไข่แดงของเป็ดหรือไก่ เป็นต้น แม้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และภพตามที่คำนวณทางวิทยาศาสตร์ ก็ปรากฏว่ามีสัณฐานกลมด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้น ภพ ๓ นิพพานและโลกันต์ที่กล่าวว่ามีสัณฐานกลม จึงนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด


    (ที่ได้กล่าวถึง ภพ ๓ และโลกันต์ในบทของนิพพานเช่นนี้ ก็เพื่อแก้ความข้องใจบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่สรุปแล้วทั้งเรื่องภพ ๓ โลกันต์และแม้นิพพานที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็เป็นเพียงเรื่องย่อที่สุด สำหรับจะเป็นเครื่องนำให้ผู้ปฏิบัติธรรม ได้เรียนและได้พอรู้เป็นเค้าไว้บ้าง แต่ความจริงหากจะต้องการรู้ให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว การปฏิบัติธรรมให้เป็นให้เห็นเอง แล้วตรวจดู ก็คงเห็นแจ่มชัดหมดข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น หากจะอธิบายมากไปกว่านี้ ก็เห็นว่าจะทำให้เลอะเลือนไป เพราะเรื่องของพระอริยเจ้า ย่อมเป็นเรื่องที่ละเอียดประณีต เหลือวิสัยปุถุชนที่จะตามทำความเข้าใจให้กระจ่างได้ตลอด)

ที่มาเนื้อหา
http://gotoknow.org/blog/dhammakaya-17/215435
85  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ใครรู้สึกว่าเบื่อแล้วกับการเกิด เกิดชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้ายเถอะ เมื่อ: มกราคม 27, 2011, 09:28:49 pm


ที่มาภาพ http://1.bp.blogspot.com

86  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ใครรู้สึกว่าเบื่อแล้วกับการเกิด เกิดชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้ายเถอะ เมื่อ: มกราคม 27, 2011, 09:25:41 pm

ในเมืองนิพพานนั้น-ไม่ รู้จักเจ็บไข้และหนาวร้อน ความอนาทรร้อนใจไม่มี หนีพ้นจากความเฒ่าชรา ความมรณาไม่กล้ำกราย เมื่อปรารถนาสิ่งใด ไม่ต้องไปแสวงหา จะปรากฏมีมาส่องหน้า ทั้งผืนผ้าและเงินทอง ข้าวของสมบัติมีหลวงหลาย ทุกข์ใดๆไม่แผ้วพาน ไม่มีการร้อนด้วยแดดและหนาวฝน บนเมืองนิพพาน แต่ละท่านอยู่เสวยบุญไม่ขาด ในปราสาทแก้ว 7 ประการ เป็นเวียงนิพพานอันมั่นเที่ยง ไม่เบนเบี่ยงไปมา ไม่มีโศกาโศกเศร้า เมืองนั้นเต็มไปด้วย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีมากมายอนันต์เอนก เต็มไปด้วยพระปัจเจกและอรหันตา เต็มไปด้วยขีนาสาวกชาติ ผู้เป็นนักปราชญ์และเจ้าตนบุญ ทุกตนพ้นจากทุกข์ สุขในเมืองนิพพาน ยิ่งกว่าเมืองฟ้าแสนหน สุขกว่าในเมืองคนล้านเท่า พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ว่าเป็นเมืองอันวิเศษ เหตุว่าเป็นเมืองอันพ้นจากทุกข์ สุขที่เป็นเขตอันพ้นแล้วจากสงสาร เข้าสู่เวียงนิพพานเป็นที่แล้ว(ในที่สุด)เข้าสู่เวียงแก้ว อันเป็นยอดอมตะมหาเนรปาน จึงกล่าวขานว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง"-นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กล่าวยังพระธรรมคำสอนวิปัสสนากรรมฐาน ก็จบลงด้วยประการดังกล่าวมานี้แลฯ......
ที่มา ธรรมสวณีย์ ครูบาเจ้าชัยวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

http://www.buddhakhun.org/main//index.php?topic=2456.0
87  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: เรื่องเล่าของหัวใจแม่ จาก forward mail เรื่องจริงของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 12:48:00 pm


หากสิ้นไร้เมตตาธรรม....ต่ำกว่าลิง"

ลิงทะโมนเอย กระโจนตามต้นไม้ โผเข้าต้นหมากไฮ หมากไม้ไล่ชิง
คนทะโมนเอย แอบซุ่มตามพุ่มไม้ ตาก็จ้องมองไป ปืนไฟก็ไล่ยิง
แม่ลิงเอย ถูกยิงบนกิ่งไม้ กอดลูกน้อยกลอยใจ เพื่อนไป เร็วจริง
ร้องเรียกหาว่ามารับลูกลิง แม่ถูกยิง พ่อลิงมารับไป
ร้องเรียกหาว่ามารับลูกลิง แม่ถูกยิง พ่อลิงมารับไป
ลิงทะโมนเอย กระโจนตามต้นไม้ ด้วยความกลัวปืนไฟ จะตามไล่ยิง
พ่อลิงเอย นั่งนิ่งบนกิ่งไม้ มองไป ตามแนวไพร ไปไหนเล่าแม่ลิง
พี่น้องลิง นั่งนิ่งบนกิ่งไม้ มองลงห้วยรินไหล ไปไหน เล่าแม่ลิง
ร้องเรียกหา ว่ามารับลูกลิง แม่ถูกยิง พ่อลิงมารับไป
ร้องเรียกหาว่ามารับลูกลิง แม่ถูกยิง พ่อลิงมารับไป
ลิงทะโมนเอย กระโจนตามต้นไม้ โผเข้าต้นหมากไฮ รีบไปเอาลูกลิง
คนทะโมนเอย แอบซุ่มตามพุ่มไม้ ตาก็จ้องมองไป ปีนไฟก็ไล่ยิง
พ่อลิงเอย ถูกยิงบนกิ่งไม้ กอดลูกน้อยกลอยใจ รีบไปเถอะลูกลิง
ร้องเรียกหา ว่ามารับลูกลิง พ่อก็ถูกยิง ลูกลิงเจ้ารีบไป
ร้องเรียกหา ว่ามารับลูกลิง พ่อก็ถูกยิง ลูกลิงเจ้ารีบไป
ลิงทะโมนเอย กระโจนตามต้นไม้ โผไปตามแนวไพร ไปไหนเล่าลูกลิง
ลิงทะโมนเอย กระโจนตามต้นไม้ โผไปตามแนวไพร ไปไหนเล่าลูกลิง
ลิงทะโมนเอย กระโจนตามต้นไม้ โผไปตามแนวไพร ไปไหนเล่าลูกลิง

ขอบคุณที่มา

http://gotoknow.org/blog/lanplang/289563
88  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: จิตปภัสสร เป็นเช่นไร เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 03:04:25 pm
ความทุกข์ เกิดที่จิต เพราะเห็นผิดที่ ผัสสะ

ความทุกข์ เกิดไม่ได้ เพราะเข้าใจเรื่อง ผัสสะ

ความทุกข์ สิ้นสุดได้ เพราะเห็นจริงที่ ผัสสะ

  จากเมลของพระอาจารย์ครับ....

  :25:
89  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อึ้ง! สาวตั้งครรภ์ 3 ปี ท้องไม่ยุบ เชื่อกรรมตามทัน เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:51:17 pm
อึ้ง! สาวตั้งครรภ์ 3 ปี ท้องไม่ยุบ เชื่อกรรมตามทัน
นางกัญญารัตน์ ตาเสือ หรือ "พยอม" อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 117 หมู่ 4 ต.วังหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร เปิดเผยทั้งน้ำตา ด้วยความเจ็บปวดสุดทรมานว่า เมื่อ 20 ปีก่อน แต่งงานกับสามีเป็นชาวสระบุรี มีบุตรเป็นหญิงด้วยกัน 3 คน และสามีมีอาชีพเป็นคนฆ่าหมูในโรงฆ่าสัตว์ส่วนตนเองทำหน้าที่ผ่าท้องชำแหละ สุกรที่สามีฆ่า เหมือนเวรกรรมมีจริงเร็วทันตาเห็น ต่อมาเมื่อปี 2544 นางพยอม ตั้งท้องลูกสาวคนที่ 3 แทนที่จะเหมือนกับคนปกติ แต่กลับกลายเป็นว่า ตั้งท้องนานถึง 3 ปี ไปหาหมอก็บอกว่าตั้งท้องมีบุตรแต่ในท้องมีแต่รก ตัวเด็กอวัยวะของร่างกายยังมีไม่ครบ จนกระทั่งครบ 3 ปี 8 เดือน จึงได้ผ่าท้องคลอดลูกออกมา ซึ่งลูกก็แข็งแรงเป็นปกติ แต่ท้องของตนเองกลับไม่ยุบ และนับวันจะโตขึ้นๆ ใหญ่กว่าคนตั้งท้องปกติ ถึง 3 เท่า ขณะนี้วัดรอบท้องได้ถึง 56 นิ้ว และมีน้ำหนักตัวเกือบ 100 กิโลกรัม และเจ็บปวดมากนอนหงายก็ไม่ได้ เพราะหายใจไม่ออก
ปัจจุบัน ลุกเดินก็ไม่ไหว อีกทั้งมีโรคแทรกซ้อนถึง 5 โรค ตลอดเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 จนถึงทุกวันนี้ ตนต้องทนทุกข์ทรมาน ทั้งลูกทั้งผัวต่างไม่แยแสกับอาการป่วย จึงต้องทุรนทุรายหอบสังขารมาขออาศัยพี่สาว อยู่ที่บ้านเกิด ต.วังหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร แต่พี่สาวก็มีฐานะยากจน จึงไม่มีเงินพาไปหาหมอที่ท้องป่องใหญ่ขึ้น ปริแทบจะแตก จึงทรมานมาก แต่ที่ทนทรมานอยู่ทุกวันนี้ ก็ตัดใจคิดว่าคงเป็นเพราะ "กรรมลิขิต" ที่เมื่อตอนอยู่กับสามีทำอาชีพฆ่าหมู และผ่าท้องชำแหละหมู จึงอยากวอนสังคมเมตตา และช่วยเหลือพร้อมทั้งขออภัยกับ "อดีตบาป" และกรรมที่ตนสร้างไว้ด้วย
สำหรับท่านที่มีจิตเมตตาและอยากช่วยเหลือนาง กัญญารัตน์ ตาเสือ หรือ " พยอม " ให้พ้นทุกข์ทรมาน สามารถติดต่อได้ที่ นางทองคำ นิลพัฒน์ ผู้เป็นพี่สาว โทร 089-7102284 หรือจะเมตตาโอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาทับคล้อ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 237-223-235-0 หรือจะไปเยี่ยมดูอาการก็ได้ ซึ่งบ้านของเธออยู่ข้าง ร.ร.วังหลุม ต.วังหลุม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร

ชมภาพที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ที่นี่ครับ

http://www.fwdder.com/out.php?d=http%3A%2F%2Fnews.sanook.com%2Fgallery%2Fgallery%2F967047%2F181884%2F
90  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / โอวาท หลวงพ่อเงิน เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:32:23 pm
หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ
วัดหิรัญญาราม (วัดวังตะโก) จ.พิจิตร

"การศึกษากรรมฐานควรทำให้แจ้งและถูกต้องตามหลักธรรมวินัย
เพราะเมื่อคิดผิดสอนผิด  พิจารณาด้วยสัญญาผิดๆก็จะทำให้เสียเวลา
ทั้งยังเป็นผู้ทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกด้วย"

"กรรมเก่าของเราเคยทำไว้อย่างไร ก็ตายด้วยโรคเก่านั้น"
91  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตั้งข้อหาหญิงในคลิปฉาว'จับลูกแมวโยนลงถังขยะ'โทษถึงจำคุก!! เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:24:31 pm
ตั้งข้อหาหญิงในคลิปฉาว'จับลูกแมวโยนลงถังขยะ'โทษถึงจำคุก!!
  เอเอฟพี - สตรีชาวอังกฤษ ผู้เป็นต้นตอของเสียงโกรธเกรี้ยวบนโลกอินเตอร์เนท หลังถูกกล้องวงจรปิดจับภาพขณะที่เธอจับลูกแมววัยไม่ถึง 1 ปี โยนลงถังขยะอย่างเลือดเย็น ถูกตั้งข้อหาก่อความทุกข์ทรมานแก่สัตว์โดยไม่จำเป็นเมื่อวันจันทร์(20) ขณะที่โทษสูงสุดถึงขั้นติดคุก
       
       นอกจากนี้ แมรี เบล พนักงานธนาคารวัย 45 ปี ยังถูกตั้งข้อหาไม่จัดหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่แมวอีกกระทงด้วย โฆษกของราชสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศอังกฤษระบุ
       
       เบล จะไปปรากฎตัวต่อศาลในเมืองโคเวนทรี ตอนกลางของอังกฤษ ในวันที่ 19 ตุลาคม เพื่อแก้ข้อกล่าวหา ทั้งนี้หากพบว่ามีความผิดจริงเธอมีสิทธิ์ถูกลงโทษห้ามเลี้ยงสัตว์และอาจถึง ขั้นถูกจำคุกเลยก็เป็นได้
       
       ภาพอันน่าสะเทือนใจดังกล่าวถูกจับได้โดยกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ ในบริเวณบ้านของแดรัลล์และสเตฟานี แมนน์ เจ้าของลูกแมวน้อยตัวนี้'โลลา' โดยในคลิปปรากฎภาพหญิงวัยกลางคนทำทีเป็นลูบหัวเจ้าโลลาขณะกำลังเดินเล่นอยู่ บริเวณริมรั้ว ก่อนโยนมันลงถังขยะจนติดอยู่ในนั้นราว 16 ชั่วโมง
       
       โชคดีที่เจ้าของแมวได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเจ้า “โลลา” ขณะกำลังจะออกไปทานข้าวนอกบ้าน จึงสามารถนำตัวมันออกมาได้ทันเวลา ด้วยความที่สงสัยว่ามันเข้าไปอยู่ในถังขยะได้อย่างไร ทั้งคู่จึงนำเทปจากกล้องวงจรปิดมาลองตรวจสอบดู
       
       วิดีโอดังกล่าวถูกนำไปโพสต์บนยูทิวบ์และเฟซบุ๊ค ขณะที่ผู้แสดงความคิดเห็นบางคนแสดงความโกรธกริ้วถึงกับขู่เอาชีวิตของเบลเลย ทีเดียว
92  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 คำทำนาย “วันสิ้นโลก” (ที่ไม่เห็นจะเกิดขึ้นจริง) เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 02:22:49 pm
10 คำทำนาย “วันสิ้นโลก” (ที่ไม่เห็นจะเกิดขึ้นจริง)
ที่มา  mythland

อิทธิพลของภาพยนตร์ที่ว่าด้วยวันสิ้นโลกในปี 2012 ชวนให้หลายคนพูดถึงหายนะของมนุษยชาติที่จะจบสิ้นในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างออกรสออกชาติ แต่นอกจากคำทำนายถึงวันสุดท้ายของโลกจากชนเผ่ามายาแล้ว ยังมีอีกหลายคำพยากรณ์ก่อนหน้านี้ซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง
     
       - ปี 1806 สัญญาณสิ้นโลกจากแม่ไก่
     
       ในประวัติศาสตร์มีผู้คนจำนวนมากที่อ้างว่า พระเยซูคริสต์ กำลังจะกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง และเหตุการณ์ที่ถือเป็นการส่งสัญญาณของการกลับคืนคือ ที่เมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษมีแม่ไก่ออกไข่ที่เรียงเป็นประโยคว่า “พระคริสต์กำลังจะปรากฏ” และเมื่อข่าวเกี่ยวกับความน่าอัศจรรย์นี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเชื่อว่า วาระสุดท้ายของโลกกำลังใกล้เข้ามา จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งเกิดกังขาได้สังเกตดูการวางไข่ จนพบว่ามีบางคนที่พยายามสร้างเรื่องหลอกลวงนี้ขึ้น
     
       - 23 เม.ย.1843 กำหนดวันพระเจ้าทำลายโลก
     
       ชาวนาผู้หนึ่งที่นิวอิงแลนด์นามว่า วิลเลียม มิลเลอร์ (William Miller) ได้ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง และได้สรุปว่าพระเจ้าทรงเลือกวันที่จะทำลายล้างโลกว่า อยู่ระหว่างวันที่ 21 มี.ค.1843 - 31 มี.ค.1844
     
       เขาสั่งสอนผู้คนมากมายพร้อมๆ กับการตีพิมพ์สิ่งที่เขาสอนเพื่อเผยแพร่ จนมีสาวกที่รู้จักกันในนาม “มิลเลอไรต์ส” (Millerites) อยู่หลายพันคน และเหล่าสาวกนี้ก็ตัดสินให้วันที่ 23 เม.ย.1843 เป็นวันสิ้นโลก หลายคนขายและมอบสิ่งของที่พวกเขาครอบครองด้วยคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่เมื่อวันที่กำหนดมาถึงแล้วพระเยซูก็ไม่ได้กลับมา คนเหล่านี้ก็สลายกลุ่มกันไป แต่บางคนก็ออกไปตั้งกลุ่มใหม่ “เซเวนท์ เดย์ แอดเวนทิสต์” (Seventh Day Adventists) ที่ยังคงรอคอยการกลับมาของพระเยซูอีกครั้ง
     
       - ปี 1891 วันสิ้นโลกของชาวมอร์มอน
     
       โจเซฟ สมิธ (Joseph Smith) ผู้ก่อตั้งนิกายมอร์มอน (Mormon church) ได้เรียกประชุมผู้นำนิกายของเขาในปี 1835 เพื่อบอกว่า เขาเพิ่งสนทนากับพระผู้เป็นเจ้า และระหว่างการสนทนานั้นเขาได้รับรู้ว่า พระคริสต์จะกลับมาในอีก 56 ปีนับจากนั้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นจาก “วันสุดท้าย”
     
       - ปี 1910 ดาวหางฮัลเลย์พาหายนะสู่โลก
     
       ในปี 1881 นักดาราศาสตร์คน หนึ่งวิเคราะห์สเปกตรัมแล้วพบว่า หางของดาวหางนั้นมีก๊าซพิษนำความตายที่เรียกว่า “ไซยาโนเจน” (cyanogen) สิ่งที่เขาค้นพบนั้นไม่ได้รับความสนใจนัก จนกระทั่งบางคนตระหนักขึ้นได้ว่า โลกกำลังจะผ่านหางของดาวหางฮัลเลย์ในปี 1910 จึงเกิดคำถามว่าทุกๆ คนบนโลกจะถูกอาบด้วยก๊าซพิษดังกล่าวหรือไม่? จากนั้นมีการใคร่ครวญถึงเรื่องดังกล่าวซ้ำๆ บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ “เดอะ นิวยอร์กไทม์” และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำได้ออกมาอธิบายว่า “ไม่มีอะไรต้องกลัว”
     
       - ปี 1982 วันพิพากษา
     
       ในเดือน พ.ค.ของปี 1980 แพต โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) ผู้สอนศาสนาคริสต์ที่ให้บริการทางสถานีโทรทัศน์และเป็นผู้ก่อตั้งพันธมิตร คริสเตียน (Christian Coalition) ได้ทำให้ผู้คนตื่นตกใจเมื่อเขาให้ข้อมูลแก่ผู้ชมรายการทีวี “700 คลับ” (700 Club) ทั่วโลกว่า เขารู้ว่าเมื่อใดที่โลกจะสิ้นสุด โดยประกาศก้องว่า “ผมรับรองได้ว่าพวกคุณจะจากไปก่อนสิ้นปี 1982 ซึ่งจะมีการพิพากษาโลก” แต่คำประกาศดังกล่าวก็ขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ที่ระบุว่าไม่มีใครรู้ถึง วันเวลาที่โลกจะสิ้นสุด แม้แต่เหล่าเทวดาบนสวรรค์
     
       - ปี 1997 ประตูสวรรค์เปิด
     
       เมื่อดาวหางเฮล์-บอปป์ (Hale-Bopp) ปรากฏในปี 1997 ก็มีข่าวลือว่ายานอวกาศของมนุษย์ต่าง ดาวจะติดตามดาวหางมาด้วย แต่ข้อมูลดังกล่าวถูกปิดบังไว้ แน่นอนว่าองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และเหล่านักดาราศาสตร์ตกเป็นจำเลยของข้อกล่าวหาว่าปกปิดข้อมูลนี้
     
       แม้ข่าวลือดังกล่าวจะถูกปฏิเสธจากนักดาราศาสตร์และใครก็ตามที่มีกล้อง โทรทรรศน์ที่มีความละเอียดพอ แต่ข่าวลือนั้นก็ยังถูกเผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุอยู่ดี และยังทำให้เกิดลัทธิ “ซานดิเอโกยูเอฟโอ” (San Diego UFO) ซึ่งระบุว่าประตูสวรรค์จะเปิดออก และกำหนดวันสิ้นโลกที่จะกำลังใกล้เข้ามา และสมาชิกของลัทธิ 39 คนก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายในวันที่ 26 มี.ค.1997
     
       - เดือน 7 ปี 1999 คำทำนายแห่งนอสตราดามุส
     
       ข้อความที่เขียนขึ้นด้วยภาษายากๆ และใช้การเปรียบเทียบของ มิเชล เดอ นอสตราดาม (Michel de Nostrdame) หรือนอสตราดามุส ก่อให้เกิดความสนใจจากผู้คนเป็นเวลากว่า 400 ปี โดยงานเขียนของเขาที่ตีความได้หลากหลายนั้น ถูกนำไปแปลแล้วแปลอีกในรูปแบบที่แตกต่างกันหลายสิบรูปแบบ และหนึ่งในการตีความที่โด่งดังที่สุดคือ “ปี 1999 เดือนที่ 7 เจ้าแห่งความสยองขวัญจะมาจากฟ้า” และผู้ที่ศรัทธาในนอสตราดามุสได้ขยายความตื่นตระหนกนี้ออกไปว่าเป็นวันสิ้น สุดของโลก
     
       - “วายทูเค” โลกป่วน-คอมพ์รวนรับสหัสวรรษใหม่
     
       ในช่วงที่ปลายศตวรรษก่อนใกล้จะสิ้นสุดลง ผู้คนจำนวนมากเริ่มวิตกกังวลว่า คอมพิวเตอร์อาจนำหายนะมาสู่โลก เป็นหายนะที่ทุกคนเรียกกันว่า “วายทูเค” (Y2K) ซึ่ง Y เป็นคำย่อมาจาก “Year” และ 2K เป็นสัญลักษณ์ของปี 2000 ที่ K หมายถึง “กิโล” (Kilo) ในภาษากรีกที่มีค่าเท่ากับ 1,000
     
       ปัญหาของวายทูเค ถูกตั้งข้อสังเกตครั้งแรกเมื่อต้นทศวรรษ 1970 ว่า คอมพิวเตอร์จำนวนมากอาจไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างปี 2000 และ 1900 ได้ ไม่มีใครแน่ใจเลยว่านั่นจะเกิดอะไรขึ้น แต่หลายคนก็ชี้ให้เห็นหายนะใหญ่หลวงที่อาจจะเป็นได้ทั้งไฟดับครั้งใหญ่ ไปจนถึงหายนะทำลายโลกจากนิวเคลียร์ แต่สหัสวรรษใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความขลุกขลักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
     
       - 5 พ.ค.2000 น้ำแข็งแอนตาร์กติกถล่มโลก
     
       แม้กรณี “วายทูเค” ไม่ได้แผลงฤทธิ์มากนัก แต่หนังสือ “น้ำแข็ง 5/5/2000 : ภัยพิบัติขั้นสูงสุด” (5/5/2000 Ice: the Ultimate Disaster) ที่เขียนขึ้นโดย ริชาร์ด นูน (Richard Noone) เมื่อปี 1997 ก็สร้างความตื่นตระหนกได้อีกครั้ง ซึ่งเขาระบุว่าน้ำแข็งจากทวีปแอนตาร์กติกปริมาณมหาศาลที่มีความหนาถึง 5 กิโลเมตรนั้นจะทำให้โลกถึงหายนะไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามก่อนวันที่ 5 พ.ค.2000
     
       - ปี 2008 ผู้หยั่งรู้ทำนายโลกสิ้นสุดก่อนฤดูใบไม้ร่วง
     
       จากหนังสือ “2008: พยานรู้เห็นคนสุดท้ายของพระเจ้า” (2008: God's Final Witness) ของ โรนัลด์ ไวน์แลนด์ (Ronald Weinland) ผู้นำนิกายคริสตจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้า (God's Church) ที่เขียนเมื่อปี 2006 ว่า วันสุดท้ายของโลกมาถึงเราอีกครั้ง โดยหนังสือดังกล่าวประกาศว่า ผู้คนหลายร้อยล้านคนจะต้องเสียชีวิตก่อนสิ้นปี 2006 ทั้งนี้ผู้คนมีเวลามากสุดเพียง 2 ปีที่เหลืออยู่ ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนไปสู่ช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์
     
       “ก่อนฤดูใบไม้ร่วงในปี 2008 สหรัฐฯ จะพังทลายด้วยอำนาจทำลายล้างของโลก และจะไม่มีชนชาติใดเหลือรอด” ข้อความในหนังสือระบุ โดยที่โรนัลด์ ไวน์แลนด์ ยกตัวเองให้เป็นผู้หยั่งรู้ของพระเจ้า
     
       คำทำนายทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่ง livescience.com ได้รวบรวมและนำเสนอไว้ ก็หาได้เป็นจริงขึ้นมา ซึ่งยังคงเหลือคำทำนายเบื้องหน้าอันใกล้คือในปี 2012 ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงร้ายกาจกว่าครั้งใดๆ และถ้าหากปี 2012 ผ่านไป โดยไม่เกิดอะไรร้ายแรง คงจะมีคำทำนายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามความเชื่อใน “วันสิ้นโลก”
     
       ทว่า วัฏจักรของดวงอาทิตย์และโลกที่แท้จริงอาจจะยังอีกยาวนานกว่านี้หรือสั้นกว่า ที่คิดนัก ทั้งหมดเกินกว่าที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะสามารถคาดคะเนได้อย่าง แม่นยำ
93  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: มส.ลงโทษพระสงฆ์ ครั้งที่ 1 ต้นปี ครับ เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 12:43:18 pm
ทุกวันนี้ หาพระที่ภาวนาได้ยากขึ้น ผมเองไปสนทนากับพระเกือบทั้งวัด ข้างบ้านไม่มีพระรูปไหนพูดเรื่อง การภาวนา มีแต่พูดเรื่องเทคโนโลยี เช่น เรื่องโทรศัพท์ เป็นต้น

ไม่ก็ชวนพูดเรื่องบอล วิจารณ์บอล ได้ดียังกับโค้ช เลยครับ

  :smiley_confused1:
94  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญสัมมนา ฟรี! ฮวงจุ้ยรับโชคประจำปี 2554 ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 04:43:50 pm
เชิญสัมมนา ฟรี! ฮวงจุ้ยรับโชคประจำปี 2554

ในปีขาล 2553 ที่ผ่านมา อ.มาศ เคหาสน์ธรรม ได้ใช้หลักวิชาฮวงจุ้ยทำนายไว้อย่างแม่นยำ
ทั้งเรื่อง ประเทศไทยจะเกิดไฟไหม้เป็นข่าวใหญ่ระดับโลก ในเดือน พ.ค.53
ทั้งเปิดศึกช่วงชิงอำนาจ ชาวไทยเทาะเลาะวิวาท ใช้มีดปืนห้ำหั่นต้องเสียเลือดเนื้อ คนดังปีเถาะเสียชีวิต
(ซึ่งเสธ.แดงเกิดปีเถาะ เสียชีวิตท่ามกลางสื่อมวลชน) หรือ เหตุการณ์ระดับโลก ในรอบ 40-50 ปีได้ทำนายว่า
เดือน เม.ย.53 ฟ้าถล่มแผ่นดินทะลายในยุโรปที่ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งในไอแลนด์เกิดปะทุจนต้องปิดน่านฟ้าเป็นเวลานาน
รวมถึงการพยากรณ์หุ้นและทอง ไว้ได้อย่างถูกต้องทุกเดือน

สำหรับปี 2554 นี้ อ.มาศ ตั้งชื่อว่าเป็นปี กระต่ายโศก-สันต์ จังหวะทิศทางของโลกและของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
ท่านที่รู้ก่อนก็จะคว้าโอกาสให้ได้ก่อนและต้องป้องกันเรื่องร้ายในปี 2554 อย่างไร
และพลาดไม่ได้สำหรับการจัดฮวงจุ้ยบ้านและออฟฟิศแบบไหนทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
งานนี้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จะต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้านะครับ

ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
วันที่ 30 มกราคม 2554 เวลา 13.00 น. ถึง 17.00 น.


ผู้ที่สนใจขอให้ท่านโทรศัพท์สำรองที่นั่งได้ที่ 089-0146888 หรือ 086-098-4475
http://www.fengshui100.com/

95  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: 4โจรชั่วทุบพระชราก่อนจับมัดปล้นเงิน4พัน เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 02:54:26 pm
มองในธรรม ผมว่าเห็นเรื่องสำคัญ อีกเรื่องก็คือ  พระพุทธเจ้า ทำไมจึงให้พระไม่รับเงินและทอง

เพราะว่า เงิน และ ทอง เป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ

  แต่ที่นี้ พระในยุคปัจจุบันนั้นเวลาเดินทางไกล ก็ต้องมีปัจจัยติดตัวสำหรับเดินทางบ้าง

 โจรพวกนี้ลงมือกับ พระก็คงดูอายุด้วยว่า ชราสู้ไม่ได้ ......

  แต่เรื่องการทำร้าย นักบวช พระ นี้ สำหรับชาวเหนือ นี้สะเทือนใจมากครับ เพราะมองให้เห็นว่าคนที่ทำนั้น

ขาดความยับยั้งชั่งใจในบุญกุศล แล้วแม้แต่พระสงฆ์ ยังทำร้ายได้ แสดงให้เห็นถึงความอำมหิต และ ความเสื่อม

ที่เกิดขึ้นทางใจ มากขึ้น

  ในภาคเหนือ ขนาดพระสงฆ์ ทำตัวไม่ดี ชาวเหนือยังไม่เข้าไปข้องแวะ ได้แต่ร้องเรียนให้คณะสงฆ์ ดำเนินการ

จัดการในสงฆ์ ส่วนชาวบ้านจะไม่ยุ่ง หรือเข้าไปทำร้ายพระสงฆ์ เพราะเรานับถือพระสงฆ์กันจริง ๆ ในภาคเหนือ

   เห็นด้วยครับว่า ควรจับคนกลุ่มนี้ ให้ได้เพื่อความสงบ ของ ชนทั่วไป

   ส่วนจะถามว่าใจเราอาฆาต แค้น คนพวกนี้หรือไม่ เราเห็นว่า ควรให้ส่วนกฏหมาย นำตัวไปดัดนิสัย เสียก่อน

ครับ ควรให้เขาได้รับโทษ เพื่อความสงบของสังคม

   :040: :040: :040: :040: :040:
96  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขุนเขา พรรณพฤกษา... ดอยหลวงเชียงดาว เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 12:47:14 pm
ขุนเขา พรรณพฤกษา... ดอยหลวงเชียงดาว

เรื่อง/ภาพ อำนวยพร ( tava  )


































            ในบรรดายอดเขาสูงอันดับต้นๆ ของเมืองไทย  “ ดอยหลวงเชียงดาว ” นับว่ามีรูปร่าง ลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน เขาหินปูนหยึกหยักตระหง่านเงื้อม เมื่อมองจากบริเวณใดใกล้ไกล ยอดดอยแห่งนี้ก็คงความแปลกตาชวนมองยิ่งนัก เชียงดาวเผยโฉมให้เห็นได้ในหลายสถานที่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบนทางหลวงหมายเลข 107 ซึ่งผมเคยนั่งรถผ่าน ห้วยน้ำดังสถานที่ชื่อดังแห่งการชมทะเลหมอก ที่นี่ในยามเช้าเราจะพบสายหมอกล่องลอยอยู่กลางหุบเขาโดยมียอดเชียงดาวสูง ตระหง่านเด่นเคียงคู่กัน กลายเป็นภาพคุ้นเคยและเป็นดั่งสัญลักษณ์ของสถานที่นี้ ตลอดจนการมองเชียงดาวในที่ห่างไกลอย่างบนยอดดอยลังกาหลวง ซึ่งมีความสูงอันดับห้าของประเทศแห่งอุทยานแห่งชาติขุนแจ ก็คงค้นพบว่ามัน ยังไม่ลดความยิ่งใหญ่ลงแม้แต่น้อย.... เชียงดาวที่มองจากภายนอกจึงโดดเด่นกว่ายอดเขาใดๆ
 

  เชียงดาว...ในความรู้สึก ความประทับใจที่สัมผัสนั้น ส่วนตัวผมจึงมีทั้งการมองเห็นจากภายนอกและสัมผัส เห็นจากภายใน โดยส่วนของภายในนั้นผมกำลังหมายถึง การก้าวเท้าสู่ยอดดอยแห่งนี้ ดินแดนที่มากกว่าความหมายแห่งผู้พิชิต


1 ...

       การเดินทางขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาวปัจุบันเปิดให้ขึ้น-ลงสองเส้นทาง ด้วยกันคือ เส้นทาง “ปางวัว” และ “เด่นหญ้าขัด” ( หน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก ) ทั้งสองเส้นระยะทางแตกต่างกัน กล่าวคือ ปางวัวจากจุดเดินเท้าระยะทางประมาณ ๖ กิโลเมตร ส่วนเด่นหญ้าขัด ระยะทางประมาณ ๘ กิโลเมตร เส้นทางนี้จะไกลกว่า และยังต้องนำรถไปส่งจุดเดินเท้าซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ ป่าดอยหลวงเชียงดาวหลายสิบกิโลฯด้วยกันหรือใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และในฤดูฝนรถที่เข้าไปส่งจะต้องเป็นรถประเภทขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ส่วนเส้นทางปางวัวอยู่ไม่ไกลจากที่ทำการเขตฯ ใช้เวลาเพียง 20 นาที เป็นถนนราดยางสะดวกสบายจนถึงจุดเดินเท้า เส้นทางปางวัว จึงได้รับความนิยมกว่าเด่นหญ้าขัด แต่ถ้าไม่รวมระยะทางรถยนต์ ทั้งสองเส้นทางใช้เวลาเดินเท้าพอๆ กัน
 

           ขณะที่ทางเด่นหญ้าขัดก็มีความโดดเด่นทางภูมิประเทศที่ไม่เหมือนทางปางวัว กลายเป็นจุดดึงดูดใจไม่น้อยทีเดียวกล่าวคือ จากจุดเริ่มต้นหน่วยฯ เด่นหญ้าขัด หรือ ขุนห้วยแม่กอก ลัดเลาะผ่านเส้นทางที่ต้องเดินบนสันเขามองเห็นทิวทัศน์ในมุมกว้าง และเดินอยู่ท่ามกลางดงสนสามใบ เพลิดเพลินกับการชมทิวสน ฟังเสียงทิวสนปะทะลมจนเกิดเป็นท่วงทำนองเสียงธรรมชาติไพเราะเสนาะหู บางช่วงต้องลุยป่าหญ้าคาที่สูงท่วมหัว ซึ่งบริเวณเหล่านี้หรือหลายๆ ที่ในอดีตเคยเป็นไร่ฝิ่นของชาวม้งมาก่อน คนที่เคยมาเยือนเชียงดาวเมื่อ สิบกว่าปีก่อน จะได้พบเห็นไร่ฝิ่นที่ออกดอกสะพรั่งทั่วหุบดอย ว่ากันว่าเป็นพื้นที่ซึ่งมี การปลูกฝิ่นมากที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย แต่ปัจจุบันแทบจะไม่เหลือร่องรอยให้เห็น ตลอดเส้นทางไม่ชันมากนัก ทำให้ความต่างของระยะทางเทียบกับปางวัวแล้วใช้เวลาเดินพอๆ กัน
 

 ทางด้าน ปางวัว จะชันกว่าเล็กน้อย แต่สะดวกในการนำรถมาส่งที่จุดเริ่มต้น จากนั้นเดินไต่ขึ้นเขาจนถึงดงไผ่หกและเดินทางราบในหุบเขาจนถึงดงกล้วย ซึ่งบริเวณดงไผ่หก จะเป็นจุดที่ทางเขตฯ อนุญาตให้กางเต็นท์พักแรมค้างคืนได้สำหรับกรณีที่ต้องการแบ่งช่วงครึ่งทาง ของการเดิน แต่ถ้าเดินรวดเดียวถึงแค้มป์อ่างสลุงใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง เช่นเดียวกับเส้นทางเด่นหญ้าขัด โดยทั้งสองเส้นทางจะมาบรรจบกันระหว่างครึ่งทาง หรือเลยแค้มป์ดงกล้วยมาเล็กน้อย...ไหนๆ มาถึงเชียงดาวทั้งที ต้องเดินให้ครบทั้งสองเส้นทาง ผมและชาวคณะมิตรสหายจึงวางแผนเดินขึ้นทางปางวัว เดินรวดเดียวให้ถึงแค้มป์อ่างสลุง ค้างบนนี้สักสองคืนแล้วขากลับเลือกลงทางเด่นหญ้าขัด






          ...ต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นเดือนเริ่มต้นที่ทางเขตรักษาพันธุ์ฯ เชียงดาว กำหนดเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเที่ยวชมศึกษาธรรมชาติบนดอยหลวงเชียง ดาว จนถึงเดือนมีนาคมของทุกๆ ปี เพื่อให้ป่าได้พักฟื้นตลอดช่วงฤดูฝน และเหมือนว่าปีนี้ฟ้าฝนอากาศผิดแปลกไป ฝนยาวล่วงเลยมาถึงต้นเดือนพฤศจิกายน พอหมดฝนอากาศหนาวขึ้นมาทันที เข้าหนาวได้สองสามวันอุณหภูมิลดฮวบๆ จนทำให้บนยอดดอยสูงๆ อากาศหนาวเย็นสุดขั้ว ยอดดอยสูงสุดของประเทศอย่างอินทนนท์อุณหภูมิลดต่ำสุดถึง 0 องศา เกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งหรือแม่คะนิ้ง ขณะเดียวกันที่เชียงดาวก็ดูจะไม่ต่างสักเท่าไหร่ และก็เป็นช่วงเดียวกันที่พวกเราเดินทางมาตรงกับความหนาวนี้พอดี มันจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอนกับการเผชิญความหนาวบนยอดดอยแห่งนี้ ขนาดแค่ช่วงวันระหว่างที่เราเดินอยู่นั้น แสงแดดแผ่จ้าเท่าไหร่แต่มันก็ไม่รู้สึกถึงความร้อน มันเหมือนว่าพลังแสงแดดคงไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นนี้ไปได้ แต่กลับทำให้พวกเราเดินกันอย่างสบายไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป แม้ว่าบางช่วงของเส้นทางชันที่เราต้องใช้เรี่ยวแรง เรียกเหงื่อขับความร้อนจากร่างกายปะทะความเย็นรายรอบตัว ไม่นานความร้อนความเหนื่อยนั้นก็หายไปในบัดดล จะหลงเหลือก็เพียงความเมื่อยเขม็งตึงของกล้ามเนื้อบริเวณขา พาให้หยุดพักหลายช่วงด้วยกัน  ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขในสภาพภูมิอากาศเช่นนี้ แต่ก็ไม่อยากนึกถึงเวลาค่ำคืน ซึ่งมันจะหนาวเหน็บเพิ่มเป็นทวีคูณแค่ไหน
 

 ระหว่างพักหลายคนสนุกกับการพูดคุยหยอกล้อ และบางคนรวมถึงผมต่างง่วนอยู่กับการบันทึกภาพ ซึ่งมีให้หยุดคว้ากล้องออกจากกระเป๋าเป็นระยะ ทางเดินช่วงชั่วโมงแรกมองออกไปทิศตะวันตก เห็นหมู่บ้านตั้งโดดเด่นอยู่บนเนิน คือบ้านนาเลา ชุมชนชาวลีซอ กลุ่มชาวเขาที่ยังอาศัยอยู่รอบๆ ป่าเชียงดาว และชาวลีซอบางส่วนก็มารับจ้างแบกหามสัมภาระนักท่องเที่ยวขึ้นดอย เช่นเดียวกับชาวบ้านจากบ้านถ้ำที่เป็นลูกหาบสมัยแรกๆของการท่องเที่ยว ธรรมชาติบนเชียงดาว คนที่นี่หรือชาวบ้านรอบๆป่าเชียงดาวนอกจากจะมีอาชีพเกษตรกรรม รับจ้างทั่วไปแล้ว ช่วงฤดูท่องเที่ยวเชียงดาว เขาจะมีรายได้จากการเป็นลูกหาบ บางคนมีรายได้หลายหมื่นบาทตลอดห้าเดือน นับเป็นรายได้พอเลี้ยงตัวและไม่มี ต้นทุนอะไร นอกจากลงแรง อาศัยความขยันและอดทน
 

        นกชนิดแรกที่ทำให้เราได้หยุดดูคือ แซงแซวหัวขาว ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่บนยอดไม้หลายสิบตัวด้วยกัน คงได้ดูแต่ตาเพราะถ้าบันทึกภาพก็คงต้องใช้เลนส์ตัวโตๆ สัก 500 มม. นกชนิดต่อมาที่พบเห็นคือกลุ่มนกพญาไฟ เอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ที่มีสีสันแดงสด และนกชนิดที่ตามมาติดๆ เมื่อเลยดงไผ่หกเพื่อไปยังดงกล้วย เราได้บันทึกภาพกันเต็มๆ และดูจะยอมให้ถ่ายภาพใกล้ๆ ไม่บินหนีไปไหน เพราะนกชนิดนี้ไม่ใช่สัตว์ หากมันคือ “เทียนนกแก้ว” ( Impatiens psittacina Hook. f. ) พันธุ์ไม้ในวงศ์เทียนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายนกแก้วกำลังโผบิน จนเป็นที่มาของชื่อซึ่งใช้เรียกเทียนชนิดนี้ เทียนนกแก้วเป็นพืชหายากชนิดหนึ่ง พบเฉพาะที่เชียงดาวและจีนตอนใต้ ขึ้นอยู่ในป่าดิบเขาตั้งแต่ความสูง 1,400-1,600 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ความแปลกที่คล้ายนกแก้วนี้เองทำให้กลายเป็นพันธุ์ไม้ที่ถูกกล่าวขวัญถึงของ ผู้คนที่เดินทางมาเยือนเชียงดาว หวังจะได้พบเห็นกับตาสักครั้ง ท่านใดอยากพบตัวเป็นๆ ก็ต้องมาช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม พบมากบริเวณช่วงระหว่างเส้นทางดงไผ่หกจนถึงดงน้อย







 

 ป่าเชียงดาวสามารถพบเห็นนกมากมายหลายชนิด เป็นที่นิยมของนักดูนกเส้นทางหนึ่งโดยเฉพาะเส้นทางเด่นหญ้าขัด จังหวะดีๆ ในเส้นทางนี้อาจได้เห็น ไก่ฟ้าหลังขาวกับไก่ฟ้าหางลายขวาง สัตว์ปีกซึ่งหาชมได้ยากในถิ่นอื่นแต่สามารถพบได้ที่นี่และไม่กี่แห่งใน ประเทศไทย ถัดจากดงกล้วยเดินทางราบชั่วครู่ก็ตัดขึ้นทางชันอีกเล็กน้อย บรรจบกับทางแยกระหว่างเด่นหญ้าขัดกับปางวัว ซึ่งมีป้ายบอกเส้นทางไว้ ขวาไปเด่นหญ้าขัด และซ้ายที่เราจะไปต่อคืออ่างสลุงหรือยอดดอย เดินเลาะไปตามไหล่เขาขึ้น-ลงเล็กน้อย และลงทางราบแอ่งหุบเขา มองเห็นยอดพีระมิดทางด้านซ้าย ยอดดอยสามพี่น้องทางด้านขวา และหันหลังกลับไปคือดอยหนอก ส่วนด้านหน้าคือกำแพงเขาหินปูนที่เราต้องข้ามผ่าน มองไปบนยอดกำแพงเขาหินปูนหรือแนวสันเขาเห็นต้นค้อดอย ( Trachycarpus oreophilus Gibbons& Spanner) ยืนต้นเป็นทิวแถวท้าทายสายลมแสงแดดอย่างน่าทึ่ง เวลาผ่านไปมากเท่าไหร่หรือ เดินผ่านดอยสามพี่น้องลึกเข้าไป เมื่อมองย้อนกลับมาการมองเห็นรูปร่างของดอยสามพี่น้องก็จะชัดเจนขึ้น คือเห็นเป็นยอดดอย 3 ยอดเรียงซ้อนทำมุมทิศทางเดียวกับดวงอาทิตย์ในช่วงบ่ายพอดี เกิดเป็นลำแสงส่องผ่านตามช่องระหว่างยอดทั้งสาม สร้างความรู้สึกถึงมิติลึกลับน่าเกรงขาม จนต้องหยุดมองและบันทึกภาพเป็นระยะ ทั้งสามยอดมีความสูงไล่เลี่ยกันโดยยอดที่สูงสุดคือ 2,150 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
 

 ช่วงสุดท้ายก่อนตัดข้ามเขาเพื่อมายังอ่างสลุงนั้น จะเป็นทางลาดชันที่ทำให้ต้องไต่เดินฉุดเรี่ยวแรงไม่น้อย มองไปรอบๆ สภาพป่าเป็นทุ่งหญ้าซึ่งโอบล้อมด้วยภูเขาหินปูน ตามไหล่เขาลงมาโขดหินน้อยใหญ่สีดำเทาผุดขึ้นแทรกออกมาจากดงหญ้าเป็นหย่อมๆ เหมือนมีใครนำมาตั้งเอาไว้จนเกิดเป็นประติมากรรมแท่งหินหรือสวนหินธรรมชาติ ที่แปลกตาชวนมองและจินตนาการ หนทางชันที่พาข้ามกำแพงเข้ามายังบริเวณที่ราบซึ่งเรียกว่าดงเย็น ลักษณะเป็น หย่อมป่าดิบเขาที่เหลือรอดจากการบุกรุกทำไร่ฝิ่นสมัยก่อน บริเวณแถบนี้พบพันธุ์ไม้หลายชนิด ได้แก่ เอสเตอร์เชียงดาว กลีบดอกสีขาวเล็กๆ เรียงซ้อนกันมีเกสรสีเหลือง, บัวคำหรือบัวทอง ดอกสีเหลืองสด, เหยื่อจง ดอกมีสีขาวรูปร่างสั้นป้อม เมื่อก้าวออกป่าดิบเขาพื้นที่โล่งเตียนเดินไปตามทางตัดผ่านดงต้นสาบเสือ ที่โดนแม่คะนิ้งหรือน้ำค้างแข็งเมื่อคืนก่อน เกาะจนทำให้ตามใบปรากฏสีดำไหม้เป็นวงกว้าง เดินผ่านมาได้สักครู่เห็นชมพู พิมพ์ใจออกดอกช่อใหญ่สีชมพูสดสะดุดตาตัดกับสีครามของท้องฟ้า นับเป็นอีก หนึ่งพันธุ์ไม้เด่นบนเชียงดาวนี้








2 ...

          เรามาถึงอ่างสลุงเวลาบ่ายอ่อนๆ อ่างสลุง เป็นจุดแค้มป์ตีนดอยแห่งเดียวที่พักแรมได้ ซึ่งอยู่ใกล้กับยอดสูงสุดและยอดเขาสำคัญของดอยหลวงเชียงดาว คำว่าอ่างสลุง ภาษาถิ่นแปลว่าแอ่งรับน้ำ ในลักษณะทางธรณีวิทยา คือ หลุมยุบเกิดจากการที่น้ำฝนละลายหินปูนไหลซึมผ่านลงไปใต้ดิน กัดกร่อนนานวันเข้าจนเกิดเป็นช่องว่างใต้ดินไหลเป็นทางน้ำธรรมชาติ ต่อมาเมื่อผุกร่อนมากขึ้นก็ยุบตัวลงเป็นอ่างใหญ่ แม้จะเป็นอ่างใหญ่แต่ก็ไม่สามารถเก็บกักน้ำได้ เพราะบริเวณนี้และทั่วไปเป็นพื้นดินซึ่งมีชั้นหินปูนที่ผุกร่อน ฝนที่ตกลงมาไม่นานก็ซึมหายลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่มีแหล่งน้ำใดๆ เลย คนที่ขึ้นมาบนนี้จึงต้องตระเตรียมน้ำกันเอง
 

 อ่างสลุง มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,950 เมตร จากตรงนี้มีทางเดินเชื่อมต่อไปยังดอยหลวงเชียงดาวซึ่งเป็นยอดสูงสุด และอีกทางหนึ่งไปยังดอยกิ่วลมใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาที ส่วนการขึ้นยอดดอยหลวงใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที ผมมีเวลาอยู่บนนี้ 2 คืนในการวางแผนสำรวจถ่ายภาพ โดยช่วงอาทิตย์ตกซึ่งกำลังใกล้เข้ามานี้ จะขึ้นไปยังยอดดอยหลวงเชียงดาว เช้าวันรุ่งขึ้นไปชมอาทิตย์ขึ้นยังดอยกิ่วลม อยู่จนสายๆ เพื่อเก็บภาพพันธุ์ไม้ให้ทั่วถึงโดยกิ่วลมแบ่งออกเป็น กิ่วลมเหนือ และกิ่วลมใต้ ตกเย็นถ้าไม่ขี้เกียจก็อาจขึ้นยอดดอยหลวงอีกทีหรือไม่ก็กิ่วลมใต้เพราะมีจุด ให้ชมทิวทัศน์ด้านทิศตะวันตกได้เหมือนกัน พอถึงวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับเลือกเดินขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาวถ่ายภาพ อาทิตย์ขึ้นและบริเวณโดยรอบ เป็นโปรแกรมปิดท้ายการเยือนดอยหลวงเชียงดาวอย่างสมบูรณ์แบบ
 

       ดอยหลวงเชียงดาวถือเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย ตามลักษณะภูมิประเทศของดอยหลวงเชียงดาวถ้ามองมุมสูงหรือมุมนกมองจะเห็นเป็น รูปเกือกม้าหันหน้าไปทิศตะวันออก ปลายเกือกม้าหันสู่ทิศตะวันตก ความกว้างอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร ความยาวอยู่ในแนวตะวันออก-ตะวันตกประมาณ 24 กิโลเมตร และมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 350 -2,225 เมตร ด้านบนมียอดเขาแหลมที่มีความสูงใกล้เคียงกันวางตัวเรียงรายไปตามแนวเกือก ม้า คือ ดอยพีระมิด ซึ่งสูง 2,175 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ดอยสามพี่น้อง สูง 2,150 เมตร 2,080 เมตรและ 2,060 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดดอยหนอก 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ดอยกิ่วลม 2,140 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง และยอดดอยหลวงเชียงดาว สูง 2,225 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยยอดดอยพีระมิด และดอยสามพี่น้อง ทางเขตรักษาพันธุ์ฯ ไม่อนุญาตให้เข้าไปท่องเที่ยวเพราะเป็นพื้นที่อาศัยของ สัตว์ป่า โดยเฉพาะ กวางผา สัตว์ป่าสงวนของไทย สัตว์ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แต่กระนั้นการได้ชมทิวทัศน์ความงาม เหนือหุบผาทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตกของทั้งสองยอด ยากที่ใครจะปฏิเสธในการขึ้นมาสัมผัสด้วยตาตนเองสักครั้ง





 

  บนยอดดอยหลวงเชียงดาว หรือเรียกสั้นๆ ว่าดอยหลวง ซึ่งเป็นยอดสูงที่สุดและเป็นตัวเลขสถิติความสูงเป็นอันดับสามของประเทศไทย ถ้ามองในด้านความงามของทัศนียภาพข้างบนนี้ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทุกทิศทุกทางเลยทีเดียว ทิศตะวันออกเห็นที่ราบในเขตอำเภอเชียงดาวจรดแนวเทือกเขาฝั่งตะวันออก หากมองเยื้องไปทางใต้จะเห็นทิวเขายอดลังกาหลวง ซึ่งมีความสูง 2,031 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง สูงเป็นอันดับห้าของประเทศ ส่วนทางด้านใต้เห็นยอดกิ่วลมและไกลออกไปลิบๆ คือดอยอินทนนท์ เจ้าแห่งความสูงที่สุดของเมืองไทย (2,565 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ย้อนกลับไปทางทิศเหนือ มองเห็นแนวภูเขาสลับซับซ้อนจรดเขตอำเภอฝาง ปรากฏยอดดอยสูงอันดับสองของประเทศ คือดอยผ้าห่มปก (2,285 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) และในทิศตะวันตกซึ่งเป็นไฮไลท์ประจำดอย ประมาณว่ามุมทิวทัศน์ด้านนี้เสมือนสัญลักษณ์ของเชียงดาว ข้างหนึ่งคือภูเขารูปหยึกหยักของดอยสามพี่น้อง อีกด้านหนึ่งภูเขาที่งอกเด่นตะหง่านเงื้อมของดอยพีระมิด เป็นสองผู้ยิ่งใหญ่ที่เสมือนเผชิญหน้ากัน ขณะที่ตรงช่องระหว่างเขามองลอดผ่านไปพบคลื่นทะเลภูเขาทอดยาวสลับซับซ้อนเป็น อาณาบริเวณกว้าง เวลาพระอาทิตย์อัสดงแสงสีเหลืองแดงผสมผสานทาทาบไปทั่วผืนฟ้าและทิวเขา มันจะเป็นภาพที่สะกดตาและใจใครๆ ที่พบเห็นได้เสมอ และเช่นเดียวกันหากมุมนี้เวลาเช้ามืดของวันช่วงที่มีทะเลหมอก ปรากฏการณ์อัศจรรย์แห่งธรรมชาติ คนที่มองผ่านมาจากทางห้วยน้ำดัง จะเห็นทะเลหมอกคลอเคลียอยู่กับยอดดอยสามพี่น้อง ครั้งหนึ่งผมก็เคยมองมาจากที่นั่น หากวันนี้ผมยืนอยู่บนยอดดอยหลวง มองย้อนกลับไปยังห้วยน้ำดัง ความรู้สึกจึงเป็นความหมายพิเศษ เช่นเดียวกับการได้มองยอดเชียงดาวจากหลายๆ ที่ และกลับมามองจากยอดนี้ ... ผมกำลังคิดถึงห้วงเวลาการเดินทางบนดอยนั้นๆ “ดอยลังกาหลวง ดอยลังกาน้อย ดอยผ้าห่มปก และห้วยน้ำดัง”
 

       ฉากแสงสุดท้ายกำลังสิ้นลงไปเรื่อยๆ พวกเราจึงชวนกันกลับเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ที่ทยอยลงจากดอยเพื่อไปจุดแค้มป์พักแรมด้านล่าง ขณะที่อุณหภูมิลดต่ำลง สัญญาณแห่งความหนาวผสมผสานกับสายลมระลอกแล้วระลอกเล่าที่พัดพาเอาความเย็นยะ เยือกให้เพิ่มเป็นทวีจนผมไม่อาจทานทนความหนาวนี้ได้นาน เสื้อกันหนาวเป็นทางเดียวที่จะทำให้อบอุ่นขึ้น ความหนาวเย็นเป็นตัวเร่งให้เรารีบกลับลงยังแค้มป์ที่พัก พร้อมกับช่วยกันประกอบอาหารในมื้อค่ำ
 

      ค่ำคืนนี้เป็นเดือนสว่างพระจันทร์เต็มดวง แต่ก็มองเห็นหมู่ดาวเกลื่อนกระจายสุกสกาว จนเห็นดาวตกวาบแสงกลางฟ้า แม้จะอยู่ในหุบแอ่งแต่ความหนาวก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย บนนี้มีกฎห้ามก่อกองไฟเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดไม้ อีกอย่างหนึ่ง ควันไฟอาจส่งผลร้ายกับพันธุ์ไม้อันบอบบาง หลังอาหารมื้อค่ำเราจึงได้แต่นั่งจับกลุ่มสนทนากลางผืนฟ้า ไม่นานต่างคนก็ต้องกล่าวราตรีสวัสดิ์ เพราะไม่อาจทนความหนาวเหน็บและความอ่อนล้าจากการเดินทางตลอดวันไปได้






3 ....

  ความหนาวแบบสุดขั้วทำให้ผมหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืนแม้ว่าเราจะอยู่ในชุดเสื้อกันหนาวหลายชั้นและชุกตัวอยู่ในถุงนอนก็ ไม่อาจต้านความหนาวระดับอุณหภูมิ 1-2 องศาไปได้ ใกล้รุ่งเช้าราวตีสี่จึงลุกขึ้นมาแบบไม่ขี้เกียจ เตรียมออกเดินมุ่งหน้าไปยังดอยกิ่วลมซึ่งตั้งตระหง่านเป็นเงาตะคุ่มไม่ไกล จากแค้มป์ ทางเดินที่เปิดรับด้วยความชันที่แฝงตัวอยู่ในความมืด มีหยาดหยดน้ำค้างใสๆ จับเกาะอยู่ตามยอดหญ้า บางช่วงในแอ่งที่ราบก่อนเดินขึ้นทางชัน เมื่อส่องไฟฉายไปตามใบไม้ใบหญ้า จะพบน้ำค้างแข็งเกาะอยู่ประกายแวววาวสะท้อนกับแสงไฟ ขณะที่ไต่ทางชันหยาดหยดน้ำค้างใสๆ ซึ่งจับตัวอยู่ตามยอดหญ้าสองข้างทางจะทำให้ชายกางเกงเปียกฉ่ำเมื่อต้องลุย ผ่านอย่างไม่มีทางเลือก ผสานผสมกับอุณหภูมิเลขตัวเดียวที่สร้างความหนาวเหน็บสุดขั้ว
 

 ยิ่งสูงขึ้นก็รับสายลมหนาวที่พัดแรงมากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามมาชมภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าบนยอดกิ่วลมในระดับ ความสูง 2,140 เมตร ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ทะเลหมอกที่ดูหนาแน่นไหลเลื่อนปกคลุมแอ่งเชียงดาว และทั่วทิศในที่ราบแอ่งหุบเขาใกล้-ไกล ขณะแสงสีส้มแดงตรงปลายขอบฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมกับอาทิตย์ดวงกลมโผล่พ้นขึ้นมาให้เห็น ภาพบรรยากาศเช่นนี้คือวัฏจักรธรรมดาของธรรมชาติ แต่ในแง่ของนักเดินทางด้วยกันแล้ว นี่คือการแสวงหาหนึ่งที่รอคอยเสมอกับการก้าวสู่ดินแดนแห่งนี้ 
 

      หลังจากใช้เวลากับภาพประทับใจอยู่นานพอสมควร ฟ้าเริ่มเปิดสว่างจ้า หลังจากกระตุ้นสมองและสร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกายด้วยกาแฟร้อนๆ ที่เตรียมเตาแก๊สสนามและกาน้ำร้อนมาต้มชงดื่มกันบนยอดดอยแห่งนี้ ต่อจากนั้นจึงค่อยออกสำรวจถ่ายภาพพันธุ์ไม้และทิวทัศน์โดยรอบอีกครั้ง หนึ่ง ทั้งที่กิ่วลมเหนือ-ใต้ และรวมถึงยอดดอยหลวงเชียงดาวที่จะขึ้นไปอีกทีช่วงบ่ายๆ ไล่เรียงกันตั้งแต่ตามซอกหินปูนก็จะพบ “ ฟองหินเหลือง ” ( Sedum sarmentosum ) พืชต้นเล็กๆ ชูช่อดอกเหลืองเป็นกลุ่มแน่นขนัด เป็นพืชต้นเล็กๆ  ตามพื้นดินก็ยังได้พบพืชพันธุ์อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น “หญ้าดอกลาย” ( Swertia stiata ) ดอกสีขาวและเส้นขีดสีม่วงเข้มลากไปตามความยาวของกลีบ “หรีดเลื้อยเชียง ดาว” (Gentiana leptoclada ssp. Australis) และ “หรีดศรีเชียงดาว” ( Swertia chiangdaoensis ) โดยทั้งหรีดเลื้อยเชียงดาวและหรีดศรีเชียงดาว เป็นพืชถิ่นเดียวที่ไม่พบที่อื่นใดในโลก
 

 เหนือยอดหญ้าจะพบ “ชมพูเชียงดาว” ( Pedicularis siamensis ) แทงช่อดอกสีชมพูเข้มขึ้นมาอย่างโดดเด่น ไม้ล้มลุกชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่มันเป็นพันธุ์พืชเฉพาะถิ่นบนดอยหลวงเชียง ดาวหรือมีแห่งเดียวในโลก อีกชนิดหนึ่งที่สวยงามไม่น้อยไปกว่ากัน คือ “ชมพูพิมพ์ใจ” ( Luculia gratissima ) เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง นี่ก็เป็นอีกชนิดที่พบเฉพาะดอยหลวงเชียงดาว




 

 “คำขาวเชียงดาว” หรือกุหลาบพันปีดอยเชียงดาว ( Rhododendron ludwigianum ) ก็เป็นอีกชนิดหนึ่งที่เป็นพืชถิ่นเดียว และมีความโดดเด่นไม่แพ้พืชชนิดอื่นๆ เป็นกุหลาบพันปีที่มีดอกใหญ่ที่สุดในบรรดากุหลาบพันปีท้องถิ่นของไทยทั้งหมด แต่ตอนนี้มันยังไม่ออกดอก ถ้าใครอยากเห็นก็ต้องมาราวเดือนมีนาคมนั่นแหละครับ นอกจากนี้ยังมี “ขาวปั้น” ( Scabiosa siamensis ) ลักษณะดอกสีขาวบานรวมกลุ่มเป็นช่อกลมอยู่บนก้านเดี่ยว นับเป็นอีกพรรณพืชเฉพาะถิ่น “ฟ้าคราม” ( Ceratostigma stafiana ) ชูช่อดอกสีฟ้าอ่อนดูสบายตา และ “แสงแดง” (Colquhounia coccinea ) ลักษณะดอกเป็นหลอดมีสีแดงอมส้ม
 

 ...นอกจากที่กล่าวมา ทั่วดงดอยก็ยังพบเห็นพันธุ์ไม้สำคัญอีกมากมายหลายชนิด ทั้งที่ผมได้พบออกดอกและไม่ได้พบเจอก็อีกมาก แต่แค่นี้ก็ดูจะเพียงพอที่ทำให้การเดินทางช่างน่าจดจำ สามวันบนดอยหลวงเชียงดาวแม้ดูเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งน่าประทับใจเป็นประสบการณ์ดีๆ บนดินแดนโลกธรรมชาติแห่งนี้
 

 ดอยหลวงเชียงดาว แหล่งรวมพันธุ์ไม้ถิ่นเดียวและเป็นสังคมพืชกึ่งอัลไพล์แห่งเดียวของประเทศ ไทย เป็นความอัศจรรย์ยิ่งนัก สิ่งต่างๆ บนนี้ล้วนมีคุณค่า ดังนั้นทุกย่างก้าวที่เราเหยียบย่ำ จึงควรตระหนักให้ดีว่า เราอาจกลายเป็นผู้ทำลาย ทำให้เกิดการสูญเสียไม่มากก็น้อย และสิ่งที่ถูกทำลายนั้นอาจจะเป็นการสูญเสียอย่างไม่มีวันกลับคืนมา ไม่มีใคร ปฏิเสธถึงผลกระทบจากการเดินทางเข้าไปของมนุษย์ แต่เราก็มีทางเลือกที่จะรักษาหรือทำลายให้น้อยที่สุดได้เช่นกัน ซึ่งทำไม่ ยากเลย คำตอบนั้นก็อยู่ที่พวกเราทุกคน ... “ ดอยหลวงเชียงดาว จึงมีคุณค่ามากกว่าความหมายแห่งผู้พิชิต และไม่ว่าจะมองจากภายนอกและสัมผัส จากภายใน มันช่างวิเศษจริงๆ ครับ. ”
97  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ประมวลภาพคลิบ เหตุการณ์พระสงฆ์ ถูกทำร้าย ที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 08:38:21 pm
98  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ประมวลภาพคลิบ เหตุการณ์พระสงฆ์ ถูกทำร้าย ที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 08:31:50 pm
วันนี้พระสงฆ์ และ วัดในภาคใต้ ก็ยังถูกทำร้ายอยู่ทุกวัน

อันนี้มันเพราะอะไร ?

 :smiley_confused1:
99  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประมวลภาพคลิบ เหตุการณ์พระสงฆ์ ถูกทำร้าย ที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 08:30:48 pm


100  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความเพียร ในพระพุทธศาสนา นั้นวัดอย่างไร ครับ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 11:46:11 am
การภาวนา สมถกรรมฐาน นั้นจัดเป็นความเพียร ถ้าเราทำอย่างนี้ ต้องทำบ่อย ๆ ใช่หรือป่าวครับ

แต่ ทำไมเราทำบ่อย ด้วยความเพียร แล้ว จึงไม่ลุ สิ่งที่ตั้งใจทำเสียทีครับ

 :25:
101  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตั้งคอร์สนอนในโลงศพ เพื่อให้เข้าถึงปรัชญาการเสียชีวิต เมื่อ: ธันวาคม 13, 2010, 04:39:27 pm


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ว่า

มหาวิทยาลัยเรนเด้ ของไต้หวัน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยการแพทย์ได้ผุดไอเดียเก๋ให้แก่บรรดานักศึกษา

 ตั้งคอร์สนอนในโลงศพ เพื่อให้เข้าถึงปรัชญาการเสียชีวิต

โดยคอร์สดังกล่าว กำหนดให้นักศึกษาเขียนพินัยกรรม แต่งกายห่มขาว และก้าวลงในไปโลงศพ ก่อนจะถูกฝังใต้ไม้กระดานบอร์ดห้อง ก่อนจะปล่อยให้ออกมา

 

ด้านเซี่ยว หลิน นักศึกษารายหนึ่ง แสดงอาการชื่นชอบคอร์สนี้ บอกว่า เขารู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ และคอร์สเช่นนี้ทำให้เขาได้เข้าใจถึงการมีชีวิตอยู่ทุกวินาที

ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1292132474&grpid=03&catid=&subcatid=
102  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เป็นไปได้ หรือ ป่าวที่สมัยนี้ จะมีพระอรหันต์ เมื่อ: ธันวาคม 12, 2010, 11:24:08 am
ในปัจจุบัน นี้มีพระอรหันต์ อยู่หรือป่าวครับ

 และเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครเป็นพระอรหันต์

 พระอรหันต์ ในเพศฆราวาส มีหรือป่าวครับ
 
:25:
103  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮืออา ตายาย เฮง เมื่อ ตัวเงิน ตัวทองมาอยู่ด้วย เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 02:30:17 pm

 "ตัวเงินตัวทอง" หรือ "ตัวเหี้ย" ชื่อนี้หลายคนฟังแล้วอาจจะขยะแขยง ไม่อยากพบอยากเห็น และไม่อยากได้ยิน แต่สำหรับคุณตาบุญชู รสชุ่ม อายุ 75 ปี และคุณยายสมยา รสชุ่ม อายุ 65 ปี ที่อาศัยอยู่บ้านพักเลขที่ 127 หมู่ 3 ต.พิกุลทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี แล้ว พวกเขากลับยินดีที่จะเลี้ยงเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้ไว้ หากว่ามันอยากที่จะอยู่ในบ้านด้วย

             ทั้ง นี้นายบุญชู กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผานมา ได้มีตัวเงินตัวทองน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ยาวประมาณ 2 เมตรเข้ามาในบ้านโดยที่ไม่เกรงกลัวคนในครอบครัว และไม่ทำอันตรายใครเลย แถม เจ้าตัวนี้ยังมุดมุ้งเข้าไปนอนกับตน และภรรยาอีกต่างหาก ตื่นเช้ามาก็ยังไม่ไปไหน เหมือนมันจะมาขออยู่ด้วย และอาจจะมีความผูกพันกับครอบครัวมาตั้งแต่ชาติปางก่อน  ตนกับภรรยายเลยคิดที่จะเลี้ยงมันไว้ หรือหากตัวเงินตัวทองจะไป ๆ มา ๆ บ้านตนก็ยินดี

             อย่างไรก็ตาม ในชุมชุมที่นายบุญชูอยู่มีตัวเงินตัวทองหลายตัว และก่อนหน้านี้เคยมีตัวเงินตัวทองไปอยู่หน้าบ้านเพื่อนบ้าน และเคยถูกลอตเตอรี่มาแล้ว 2 ครั้ง โดยล่าสุดชาวบ้านแถวนั้นต่างนำเอาบ้านเลขที่นายบุญชูไปซื้อหวยกันแล้ว
104  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ประกาศ อนุโมทนา บุญกุศลเรื่อง กิจกรรมการเผยแผ่เว็บ www.madchima.org เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 03:20:09 pm


สมาชิก ทุกท่าน โปรดรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ส่งความสุขด้วยธรรม กันตลอดไป ครับ
 :25:


105  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความเชื่อ ในการดื่มน้ำ อย่างไร ได้สุขภาพ เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 03:03:45 pm
เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น , น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ


ข้อหนึ่ง นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน



ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล . หรือ 7-8 แก้ว
( แก้วละ 200 มล .) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
( น้ำหนักตัว ( กก .) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก . เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล . หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่า น้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไป เรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเรา ไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น ก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป
จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุด เลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าว นั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด
เข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว ครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
และ อย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวัน ครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย ( กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ )
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้ หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันที อีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น
ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม . ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย ? าหาร ด้วย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่าง น้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสีย ครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม . ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ " กาแฟหอมนะหมอ " หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง

อีกอย่าง ขอแถม นิดนึง คนไทยชอบ กินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ ไตทำงานหนัก นะครับ

ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน 555 ว่าไปนั่น
ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ
หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว
ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ

ปล . If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก

--
เปิดประตูใจ เปิดรับเรื่องราวต่างๆ เข้ามาได้เสมอ
คุณล่ะพร้อมจะเข้ามามั๊ย ??

โสภาค  เพื่อนที่ดีของคุณๆ
106  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ถามเรื่องการเดินจงกรม คะ เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 03:10:11 pm
นั่นแน่ เอาเมล์ พระอาจารย์มาโพสต์ ง่ายดี นะ ไม่ต้องหาเรื่องที่ไหน ?

ตรงกับเรื่องเลยนะ
 :s_hi: :03:
107  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ศาสตร์แห่งจิต ฤาเป็น สมาธิ เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 12:22:54 pm
ชอบเรื่องนี้ เพราะมีเรื่องการบริหารกาย

ด้วยครับ
 :25:
108  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:33:33 pm
ผมตามอ่านเรื่องนี้ มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ครับ และเห็นว่า คุณ Lastman ทำหน้าที่ดีด้วยครับในการ วิสัชชนา

ซึ่งคุณ Lastman ไม่มีการใช้วาจาพูดร้ายกับ คุณ Tuenum ในขณะที่คุณ Tuenum กับใช้วาจาดูหมิ่น

หลายจุดทีเดียว

   คุณ Lastman ทำหน้าที่ต่อเถอะครับ พวกผมอ่านแล้ว ไม่เห็นว่าคุณ Lastman หงายตามที่คุณ Tuenum

กล่าวครับ

  อนุโมทนา ครับ

    :25: :25: :25:
109  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ประเทศไทย มีพระกรรมฐาน ที่เก่ง ๆ หรือป่าวครับ ? เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 03:13:09 pm
อ้างถึง
แต่เป็นเพราะพระอาจารย์สนธยา ค่อนข้างจะลึกลับมาก

ช่วงนี้พระอาจารย์ ได้ประกาศว่า จะศึกษาภาวนาเป็นการส่วนตัวอยู่ แต่ยังคงรักษา

งานเว็บไว้งาน เดียวคุณครูแจ้งพวกผมว่า พระอาจารย์ปฏิเสธ กิจนิมนต์เข้าค่าย 3 วันที่ผ่านมา

เพราะต้องการปฏิบัติธรรมเป็นการส่วนตัว ดังนั้นลูกศิษย์ ถ้าไม่เป็นศิษย์เอกจริง ๆจะไม่รู้ที่อยู่

ของพระอาจารย์ กันครับ

สันนิษฐานว่า พระอาจารย์ลำบาก โดยเฉพาะเรื่องการฉัน

  ไม่ได้บิณฑบาต ไม่รับกิจนิมนต์

 ฟังมาจากครูประสิทธิ์

  :25: :25:
110  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / เปลีั่ยนภาพ Avartar หรือ เปลี่ยนภาพประจำตัว ครับ เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 02:59:39 pm


คลิ๊กที่ข้อมูลส่วนตัว แล้วเลือก Forum profile ครับ



จะได้ภาพหน้าจอนี้ มา ก็สามารถเลือกเปลี่ยนได้

 โดยจะใช้ copy link ใน internet มา หรือ จะ Browse เข้าไปเอาในเครื่องเรา

 ภาพที่แสดงนั้น จะเล็ก size ที่ดีก็ควรจะเป็น 100 - 200 x 100 - 200 pixel ให้เป็น สี่เหลี่ยมจตุรัส

ที่เหลือ คุณจะใส่ข้อมูลก็อ่านที่ภาษาไทยได้

 จะเห็นว่า ที่เว็บ เปลี่ยนง่าย ไม่ยุ่งยาก บางเว็บผมไป กว่าจะเปลี่ยนได้ต้องอ่านยาวเลยครับ


ไม่เข้าใจตรงไหน โพสต์คำถาม มาได้เลยนะครับ

ยินดีรับใช้ ชาวธรรมะ ครับ

 :25: :25: :25:
111  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / วิธีเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาไทย หรือ เปลี่ยนเป็น user อื่น เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 02:54:03 pm


คลิ๊กที่ข้อมูลส่วนตัว และเลือก Account seting



ก็จะได้หน้าจอนี้ขึ้นมา ตรงชื่อผมนั้นจะัเห็นว่าปรับเป็น ภาษาไทย

ส่วนอื่น ๆ ก็ตรงไปตรงมา ตามนั้นครับเพราะเป็นภาษาไทย ง่าย ๆ อยู่แล้ว

ที่สำคัญ ตอนเปลี่ยนต้องใส่ รหัสให้ถูกด้วยนะครับ
112  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / ประโยชน์ของการเป็นสมาชิก ครับ เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 02:43:47 pm


สามารถใช้ เมนูพิเศษ มีดังนี้

  ที่ผมว่าดี นะครับ

     1.ดูรายชื่อสมาชิก

     2.ดูรูปภาพพิเศษ ทั้ง Picasa Gallary และ Gallary ทั่วไป

     3.สามารถส่งข้อความเป็นพิเศษให้ สมาชิก คนใดคนหนึ่งได้

     4.สามารถ โพสต์กระทู้ได้

     5.สามารถ ดูบอร์ด ที่ซ่อนได้อีก เฉพาะสมาชิก
 
        แต่ที่ผมสังเกต น่าจะมีคลาส สมาชิกด้วย จะแบ่งออกเป็นที่ผมเห็น ก็มี

        user สีดำ ก็สมาชิกทั่วไป เรียกว่า ขาจร ( ยังไม่ค่อยโพสต์ หรือ โพสต์น้อย )

        user สีเขียวอ่อน

        user สีเทา

        user สีน้ำเงิน ทีมมัชฌิมา

        user สีเหลืองทอง สุปฏิปันโน

        user ขั้นเทพ สีอะไรก็ไม่รู้

       แต่ละระดับ น่าจะมีอะไรพิเศษอีก เท่าที่สังเกต และ ส่งข้อความ คนที่ได้ตัวสีพิเศษ นั้นก็บอก

       เช่นเห็น บอร์ด กิจนิมนต์พระอาจารย์เป็นต้น

      6. สมาชิก จะสามารถ โหลดไฟล์ นามสกุลต่าง ๆ และ แม้แต่ อัพโหลด ไฟล์ ที่อนุญาต

     ดังนั้น ควรสมัคร สมาชิก เพราะเป็นสมาชิก ธรรมะ ดีกว่า เป็น สมาชิกเว็บโป๊ ครับ

     ใจสงบ ดีกว่า ใจเร่าร้อน

   
113  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / แนะนำขั้นตอนการสมัคร สมาชิก เว็บ ครับ เมื่อ: กันยายน 24, 2010, 02:30:09 pm
ไม่รู้จะโพสต์ อะไร กับเขา อยากทำบุญบ้าง ก็ขอทำ ทิป นี้ขึ้นมา

เพราะผมนึกขึ้นได้ตอนผม สมัคร ใช้เวลาพอสมควร เพราะไม่ค่อยเข้าใจ ขั้นตอนการสมัคร

ทั้ง ๆ ที่เว็บ ทั่ว ๆ ไป ก็มีขั้นตอนคล้าย ๆ กัน



เริ่มจาก คลิ๊กปุ่ม สมัคร สมาชิก เลยนะครับ



โปรดดูที่หมายเลขไปด้วย นะครับ

 หมายเลข 1 ให้เรา ใส่ชื่อ User เป็นภาษาอังกฤษ นะครับ

               ไม่แนะนำภาษาไทย สำหรับการสมัครครั้งแรกครับ เพราะว่าผมทดสอบแล้ว Login ไม่ผ่านครับ

               ถ้าใครต้องเป็นภาษาไทย ให้ไปเปลี่ยน ทีหลังครับ จะมีวิธีแนะนำท้าย ๆ ครับ


หมายเลข 2 ใส่ Email address ครับ ควรจะเป็น Email จริง ๆครับ แต่ถ้าไม่มี ก็ใส่ มั่วไปเลยครับ

              หรือ ควรจะไปสมัคร Email เพื่อเอาไว้รับ user และ พาสเวริด

              เดี๋ยวผมจะ ทิป สมัคร Email ของ ไมโครซอฟ ให้ท่านศึกษาด้วยครับ


หมายเลข 3 ใส่ พาสเวิร์ด ที่เราต้องการ ใส่เหมือนกันทั้งสองช่อง ระวัง อักษร ไทย อังกฤษ ด้วยนะครับ

             ถ้า Log in ไม่ได้ก็แจ้งไปที่ ผู้ดูแลเว็บ ได้ครับ


หมายเลข 4 ใส่ Code ที่ปรากฏในช่องด้านบน ตรงนี้ป้องกัน สมัครมั่ว ครับ เป็นการยืนยันของผู้สมัคร

หมายเลข 5 ตอบคำถาม เพื่อป้องกัน บอทเว็บ ดังนั้นต้องอ่านว่าคำถาม ๆ ว่าอะไร ก็เลือกคำตอบ

             คำถามไม่ยุ่งยาก เช่น ถามว่า Are you Human ? เรา ก็เลือกตอบ Yes

                                     ถามว่า Are you bot ? เรา ก็ตอบ No

                                     เป็นต้น ( ตรงนี้ทำให้ผมเสียเวลาเพราะผม ไม่ได้อ่าน นึกว่าไม่สำคัญ )

หมายเลข 6 เลือก Avartar หรือ รูปภาพประจำตัวเรา ถ้าเรามีภาพของเราอยู่แล้ว ก็เลือกไปก่อนเดี๋ยว

              ค่อยไปเปลี่ยน ครับ


จากนั้น ก็ทำการ Check box ตกลง ที่สุดท้าย นะครับ

เพียงเท่านี้ การสมัครสมาชิก ก็เสร็จสิ้นแล้วครับ

114  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องขำๆ ของการใช้ ศัพท์กับพระสงฆ์ ( ฮาหน่อยนะครับ ) เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 08:56:34 am
อยากให้ ทุกคนได้ยิ้ม บ้าง ( ก็เท่านั้น )



ถ้าตอนใส่บาตรแล้วที่ยืนสกปรกมาก จะต้องถอดรองเท้าใส่บาตรด้วยหรือไม่ ?
        “  พระไม่ฉันรองเท้านะโยม”...ไม่ต้อ งเอารองเท้าใส่มานะ.....
 
 
พระนอนไม่หลับ เลยไปหาหมอใหม่จบมาจากเมืองนอก
หมอ: เป็นอะไรครับ
พระ : จำวัดไม่ได้จ๊ะโยมหมอ
 
หมอ: (ทำหน้างง) แล้วจะกลับวัดยังไง
พระ: (ทำหน้างงด้วย) มามอไซรับจ้างก็ต้องกลับมอไซนะโยม
 
หมอ: (ทำหน้าง๊งงง) แล้วมอไซรับจ้างจำวัดได้เ หรอ
พระ: ( ทำหน้าง๊งงงด้วย) มอไซรับจ้างจำวัดไม่ได้หรอกโยม มีแต่พระที่จำวัดได้
 
  หมอ: (ทำหน้างงง๊งงง) อ้าวไหนบอกว่าจำวัดไม่ได้ไง
  พระ : !\=-+#@ %^&*( + ๐"ฯ , ?
 
จำวัดเป็นภาษาพระแปลว่านอน......................... 
หมอ:   อ๋ออออออออออออออออออออออออออ
 

ญาติโยมหลายท่านมักถามว่า " ท่านบวชเรียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่ในเพศบรรพชิตมามากกว่าครึ่งชีวิต มีโอกาสสัมผัสชีวิตฆราวาสไม่มากนัก   แล้วเอาข้อมูลวัตถุดิบหรือมุกมาจากไหนหนักหนา"
 
อาตมาก็ตอบว่า หลักๆเลยก็คือ การอ่าน นอกจากนั้นก็หนัง   ละครที่ญาติโยมดูกันนั่นแหละ พอตอบออกไปอย่างนี้   โยมก็สวนกลับทันที   " ไม่ผิดข้อห้ามหรือท่าน"
 
อาตมาก็จะอธิบายไปว่า ดูเพื่อให้เท่าทันกิเลสจะได้สกัดมันถูก   และที่สำคัญหากอาตมาไม่รู้หรือไม่เข้าใจ ตลอดจนไม่เท่าทันเรื่องราวทางโลก   และจะมาบรรยายธรรมให้ญาติโยมรู้สึกอินกันได้อย่างไร ซึ่งนอกจากการอ่าน การดูและการฟังแล้ว   หลายวัตถุดิบที่นำมาสร้างเป็นมุกฮาก็ได้มาจากการพูดคุยกับเหล่าโยมๆนี่แหละ
 
อย่างวันหนึ่งระหว่างที่อาตมากำลังฉันเพลอยู่ก็มีโยมท่านหนึ่งโทร.มา
" พระอาจารย์เหรอคะ    นี่อาตมาเองนะคะ"
" หา อะไรนะ"
" พระอาจารย์เหรอคะ    นี่อาตมาเองค่ะ"
" ถ้าโยมแทนตัวว่าอาตมา แล้วอาตมาจะแทนตัวอาตมาว่าอะไร"
" อ๋อ ขอโทษค่ะ"
หลังจากนั้นก็คุยธุระกันจนจบ อาตมาก็กล่าวว่า " เจริญพร"
" ค่ะ เจริญพรเช่นกัน"
แน่ะ มีอวยพรให้พระด้วย
 
ข้างต้นก็คือ    สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆระหว่างพูดคุยกับเหล่าญาติโยม   จนถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับอาตมาไปแล้ว   หรืออย่างก่อนหน้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เดินถือสังฆทานมาอย่างมาดมั่น   พอเข้ามาในกุฏิแล้ว เธอก็มุ่งตรงไปที่พระบวชใหม่รูปหนึ่งทันที
" ถวายสังฆทานค่ะ"
 
พระบวชใหม่ด้วยความที่ยังจำบทสวดต่างๆ ไม่ค่อยคล่องนัก จึงหยิบหนังสือขึ้นมาดู
" ไม่ต้องค่ะ " โยมผู้หญิงคนนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นตามสไตล์สาวมั่น
" ดิฉันท่องได้ค่ะ เพราะคุณยายพาเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ" เธอพนมมือขึ้น ก่อนกล่าวว่า
"อิมานิ มะยัง ภันเต สะปะริวารานิ คิกขุ สังโฆ"  (ที่ถูกต้องจะต้องเป็น ภิกขุ สังโฆ)
พระบวชใหม่มีสีหน้างุนงง ก่อนหันมาถามอาตมา " คิกขุสังโฆ นี่มันฟังทะแม่งๆ
นะหลวงพี่"

อาตมาเกรงว่าโยมผู้นั้นจะหน้าแตก ก็เลยตอบไปว่า " คิกขุ แปลว่า น่ารัก 
สังโฆ   แปลว่า สงฆ์ คิกขุสังโฆ ก็คือ แด่พระสงฆ์ผู้น่ารัก" เท่านั้นแหละ
พระใหม่รูปนั้นนั่งยืดทั้งวันเลย
แต่ก็มีบางกรณีที่การพูดผิดของคุณโยมทำให้อาตมาแทบจะสำลัก อย่างเมื่อเร็วๆนี้   มีโยมท่านหนึ่งโทรศัพท์มา " หลวงพี่ขา ขอเรียนเชิญนิมนต์ค่ะ"
" ไปไหนล่ะโยม"    " ไปมรณภาพที่บ้านน่ะค่ะ"
โห นิมนต์พระไปตายถึงที่บ้านเลย อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้านิมนต์ไปงานศพไปให้ได้   แต่ถ้าเชิญไปมรณภาพนี่   ช่วงนี้อาตมาไม่ว่างจริงๆ ขอตัวเถอะนะโยม
 
จากตัวอย่างข้างต้น   คุณโยมอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขัน   แต่มันก็สะท้อนให้เห็นความห่างเหินระหว่างคนกับวัดได้ในระดับหนึ่ง   ปัจจุบันนี้คนจะนึกถึงวัดในกรณีพิเศษ เท่านั้น   เช่นงานบวช   งานศพ
 
ต่างกับสมัยก่อนที่วัดเป็นศูนย์ก ลางของชุมชน   ฆราวาสกับพระจึงสนทนากันไหลลื่น
ไม่มีคำแปลกๆ หรือผิดที่ผิดทางออกมาให้พระสดุ้งแต่อย่างใด   ซึ่งถ้าพูดถึงศัพท์
แสงที่แสลงใจแล้ว   ตอนไปบิณฑบาตอาตมาจะเจอบ่อยมาก เช่นมีอยู่
ครั้งหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินๆอยู่   ก็ได้ยินเสียงใสๆ แว่วขึ้นมา
" แม่ๆ พระมาขอข้าว"
" มาเยอะไหมลูก"      " มา 2   อัน"
โห   เรียกอย่างกับชิ้นส่วนรถยนต์ นี่ถ้ามาเยอะๆไม่เรียกเป็นฝูงเลยเหรอ
 
ดังนั้นเวลาไปบรรยายธรรมให้นักเรียนฟังอาตมาจะนำเรื่องนี้ไปสอดแทรกเพื่อสอน เด็กๆด้วย
 "ถ้าพระกิน  เรียก  ฉัน"
 " พระนอน เรียก จำวัด" (บางคนเรียกขี้เกียจเป็นพระนอนไม่ได้)
 " พระป่วย เรียก อาพาธ"
 " พระตาย   เรียก  มรณภาพ" (ไม่ใช่เรียกป่อเต็กตึ๊งนะ)
 " แล้วพระอาบน้ำล่ะ เรียกอะไรเอ่ย" คราวนี้อาตมาถามให้เด็กๆ ตอบบ้าง
 "เรียกคนมาดู"
115  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 12 วิธีเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเอง เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 08:51:42 am
12 วิธีเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง
มั่นใจ, วิธี, แน่นอน


1. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
เป็นหลักการง่ายๆ แต่หลายคนก็ยังทำใจแข็งไม่ได้เสียที วิธีแก้คือ ต้องทำใจยอมรับตัวตนของเราที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่น สีผิว รูปร่าง ฯลฯ ทุกคนเกิดมาย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นจงรักตนเอง ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นดีที่สุด

2. จงเปรียบกับคนที่ด้อยกว่า
สำหรับคนที่กำลังท้อแท้ คิดว่าตนเองแย่ที่สุดแล้ว ให้หันมามองผู้ที่ลำบากกว่า หรือจะลองเป็นอาสาสมัครไปเยี่ยมผู้ยากไร้ขาดโอกาสดูบ้างก็ได้ เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะสร้างกำลังใจ ให้ตนเองต่อสู้กับความยากลำบากแล้ว ยังได้บุญกุศลอีกด้วย
3. ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
ไม่ควรคิดว่าไม่มีใครเข้าใจปัญหาของเรา หรือไม่มีใครสนใจ อันที่จริงหากเรามองไปรอบด้าน ก็จะเห็นว่าหลายคนยินดีที่จะช่วยเหลือเรา เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เอ่ยปากขอร้องเท่านั้นเอง แน่นอนว่าหากเราตกที่นั่งลำบาก และสิ่งที่ขอให้ช่วยก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนัก เชื่อว่ามีคนเต็มใจช่วยแน่นอนค่ะ
4. พูดคุยกับเพื่อน
เมื่อไรที่มีปัญหาหนักใจ อย่าลังเลที่จะปรึกษาเพื่อนสนิท หรือว่าหากเกิดขัดใจกันขึ้นมา อย่าลังเลที่จะเปิดอกพูดคุยกัน อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาคาใจ
5. ปรึกษานักบำบัด
หากพบว่าตนพยายามแก้ไขวิธีคิดแล้ว แต่ไม่สำเร็จสักที ให้นัดเวลาพูดคุยกับนักบำบัด หรือจิตแพทย์ก็ได้ ไม่ต้องกลัวหรืออายว่าคนอื่นจะหาว่าบ้า เพราะหากปล่อยให้กังวลใจอยู่เช่นนี้สุขภาพจิตเสียแน่นอน
6. ให้รางวัลตนเอง
หลังจากที่ผ่านงานยากๆ หรืออุปสรรคหนักๆ เช่น ไปท่องเที่ยวพักผ่อน นัดสังสรรค์กับเพื่อนรู้ใจ
7. เก็บความภูมิใจลงในบันทึก
ให้จดบันทึกข้อดี ลักษณะเด่น ความสามารถพิเศษ หรือความสำเร็จที่ตนเอง ภาคภูมิใจลงบนไดอารี่ หรือสมุดจด อาจทำเครื่องหมายเน้นผลงานที่ทำสำเร็จ เพราะเมื่อไรที่หยิบมาอ่านจะได้ชื่นใจ เกิดความภูมิใจในความสามารถของตนเอง หรืออาจใช้วิธีประเมินตนเองอย่างยุติธรรม โดยจดสิ่งที่ตนทำสำเร็จในแต่ละวัน แล้วประเมินอาทิตย์ละครั้ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง
8. เสริมจุดเด่นลดจุดด้อย
อย่าลังเลที่จะเรียน หรือทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ ไม่แน่คุณอาจจะมีพรสวรรค์บางอย่างซ่อนอยู่แบบไม่รู้ตัวมาก่อนก็ได้
9. พยายามทำกิจกรรมที่ตนชื่นชอบ
ไม่ต้องกังวลว่าต้องไปตามลำพังตราบใดที่ยังชอบและมีความสุขกับกิจกรรมนั้นๆ เช่น ไปเรียนวาดรูป เรียนภาษาต่างประเทศ ฯลฯ นอกจากจะทำให้จิตใจแจ่มใส ยังอาจจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ เจอคนหลากหลายมากขึ้น

10. อย่าโทษตัวเองไปเสียทุกเรื่อง
ปรับวิธีคิดให้มีเหตุและผลมากขึ้นกว่าเดิม
11. เผชิญหน้ากับการว่ากล่าว
การว่ากล่าวนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเจอ แต่สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจจะเกิดอาการสะเทือนใจมากกว่าคนอื่น เพื่อจะลบความรู้สึกนี้ก่อนอื่นต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของการว่ากล่าว เช่น ติเพื่อก่อ หรืออคติ หากเข้าข่ายประเด็นหลัง อย่าเก็บมาใส่ใจ เพราะจะยิ่งบั่นทอนความมั่นใจให้ลดน้อยลงไปอีก แต่หากเป็นเหตุผลแรก ให้ยิ้มสู้ รับฟังและกล่าวขอบคุณ นำคำตินั้นมาปรับปรุงพัฒนาตนเอง
12. ดูแลสุขภาพตนเอง
พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ รักษาความสะอาด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วิธีดูแลตนเองเช่นนี้นอกจากจะให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสอีกด้วย ไม่ให้จิตใจจดจ่อ หมกมุ่นอยู่กับข้อด้อยของตนเองมากไป
การเปลี่ยนแปลงความคิดตนเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจอาจดูยาก และใช้ความอดทนพอสมควร แต่ความมั่นใจนี้เองจะทำให้คุณมีความสุขกับชีวิต กลายเป็นคนใหม่ที่รักและพอใจกับสิ่งที่คุณเป็น
116  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สันตะติ คืออะไรครับ เมื่อ: มิถุนายน 09, 2010, 02:48:18 pm
ผมฟังในเรื่อง วิปัสสนา ในนิยายเรื่อง ปฏาจารา ครับ

มีข้อความว่า วิปัสสนา เห็น สันตะติ อย่างต่อเนื่อง จึงกำหนดวิปัสสนาได้

สันตะติ คืออะไรครับ ?
 :25: :c017:

117  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: มีโครงการดี ๆ ที่เป็นมูลเหตุ ให้พระอาจารย์ต้องการสร้างการ์ตูน หลวงปู่สุก เมื่อ: มิถุนายน 04, 2010, 12:57:53 pm
วันนี้ฟังว่า มีเรื่องพระพุทธประวัติ ด้วยครับ
 :s_good:
หน้า: 1 2 [3]