ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้าว สัตตุก้อน ข้าว สัตตุผง คืออะไร คะ  (อ่าน 16958 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ข้าว สัตตุก้อน ข้าว สัตตุผง คืออะไร คะ
« เมื่อ: มิถุนายน 06, 2010, 12:02:24 pm »
0
สงสัยเหมือนกัน ถามกับไปที่คุณยาย และ คุณย่า และคุณแม่ แล้ว ก็ไม่มีใครรู้จัก

ข้าว สัตตุก้อน ข้าวสัตตุผง คืออาหารแบบไหน ทำไมเทวดาจึงบอกว่าจะถวายโภชนาอันเลิศ เพื่อสุขภาพของพระพุทธองค์ ด้วยอาหารทั้งสอง

พอดี คุณปุ้ม โพสต์เรื่อง ข้่าวมธุปายาส และ ข้าวทิพย์

ซึ่ง นีย์ ได้นำมาลองทำดูแต่ ไม่ประสพความสำเร็จ คะกระทะติดหนึบเลยคะ ยังแช่น้ำอยู่เลย


(ไม่ต้องแซวนะ ว่าทำอาหารไม่เป็น อยากทดสอบ )

 :25:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ข้าว สัตตุก้อน ข้าว สัตตุผง คืออะไร คะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2010, 10:37:55 am »
0
ความหมายของ “ข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง

พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต) ได้ให้ความหมายไว้ว่า

สัตตุ  ข้าวคั่วผง, ขนมผง ขนมแห้งที่ไม่บูด เช่น ขนมที่เรียกว่า จันอับและขนมปัง เป็นต้น
 
สัตตุผง สัตตุก้อน  ข้าวตู เสบียงเดินทางที่ ๒ พ่อค้า คือ ตปุสสะ กับภัลลิกะ ถวายแด่พระพุทธเจ้า ขณะที่ประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะ


ท่าน เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ให้ความหมายไว้ว่า

‘สัตตุผง’ นั้นบาลีเรียกว่า “มันถะ” คือข้าวตากที่ตำละเอียด

ส่วน ‘สัตตุก้อน’ บาลีเรียกว่า “มธุบิณฑิกะ” คือข้าวตากที่ผสมน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นก้อนๆ


พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน ในพระวินัย สิกขาบทวิภังค์ ได้กำหนดความหมายไว้ว่า
   
ที่ชื่อว่า สัตตุผง ได้แก่ ของกินอย่างใดอย่างหนึ่งที่เขาจัดเตรียมไว้เพื่อต้องการเป็นเสบียง.

--------------------------------------------------- 

สูตร ข้าวตู ขนมไทย ยอดนิยม

ข้าวตู

ส่วนประกอบ
    1.ข้าวสุกตากแห้ง 3 ถ้วยตวง
    2. มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 3/4 ถ้วยตวง
    3. มะพร้าวขูด 1/2 กิโลกรัม
    4. น้ำตาลมะพร้าว 1 ถ้วยตวง
    5. น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง
    6. เทียนอบ                       
    7. ดอกมะลิ                       
    8. แม่พิมพ์   
     

วิธีทำ
1.นำข้าวสุกที่ตากแห้งไปคั่วให้ เหลืองกรอบ หรือจะใช้ข้าวตังที่เป็นเศษๆ มาคั่วก็ได้ พอเย็นนำไปบดหรือโขลกให้ละเอียด แล้วร่อนโดยใช้ตะแกรง

2.คั้นกะทิโดยใช้น้ำลอยดอกมะลิ คั้นให้ได้ประมาณ 3 ถ้วยตวง แล้วเอาน้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทรายละลายในน้ำกะทิ กรองให้สะอาด

3.นำไปใส่หม้อหรือกระทะทอง ยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดใส่มะพร้าวทึนทึกลงกวนให้เข้ากัน กวนจนกะทิงวดเกือบแห้งจึงใส่ข้าวคั่วลง แล้วกวนต่อจนแห้งเป็นก้อน (อย่าใช้ไฟแรง) พอเย็นจึงใช้พิมพ์กดเป็นรูปต่างๆ

4.ถ้าไม่มีพิมพ์ก็ใช้วิธีปั้นเป็น ก้อนกลมรีก็ได้ เสร็จแล้วนำใส่ขวดโหล อบด้วยควันเทียน และดอกมะลิ

http://flash-mini.com/thaidessert/ขนมประเภทกวนและนึ่ง/ข้าวตู.html

--------------------------------------------   
พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะ
เอตทัคคะในทางผู้ถึงสรณะก่อน


ตปุสสะเป็นพ่อค้าที่ มาจากอุกกลชนบทคู่กับ ภัลลิกะ ซึ่งเป็นน้องชาย ท่านเป็นบุตรของกฏุมพี ในอสิตัญชนนคร

    ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น แล้วเสด็จจากควงไม้มุจจลินท์ เข้าไปยังต้นไม้ราชายตนะ แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้ราชายตนะ ตลอด ๗ วัน
 

    ในสัปดาห์ที่ ๘ ประทับนั่งใต้ต้นเกด สมัยนั้น พาณิชทั้งสองเดินทางจากอุกกลชนบท จะไปยังมัชฌิมประเทศ ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม
 
    เทวดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตนในชาติก่อน ซึ่งเคยเป็นมารดาของพาณิชทั้งสองได้เกิดเป็นเทวดาอยู่ในที่แถวนั้น  ในอัตภาพ ติดต่อกัน ๕ อัตภาพ (ชาติ)

    นางคิดว่า บัดนี้พระพุทธเจ้าควรที่จะได้รับพระกระยาหาร เพราะต่อแต่นี้ไปพระองค์ปราศจากพระกระยาหารจะไม่สามารถทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้


    อนึ่ง บุตรของเราทั้งสองนี้ก็ไปตามสถานที่นี้ วันนี้บุตรทั้งสองนั้นควรได้ถวายบิณฑบาตแด่พระพุทธเจ้าดังนี้แล้ว จึงได้ทำให้โคที่เทียมเกวียนทั้ง ๕๐๐ เล่ม หยุดไม่เดินไป พวกเขาต่างพูดว่า นี่อะไรกัน อะไรกันนี้ จึงพากันตรวจดูนิมิตต่างๆ ทีนั้น

    เทพยดานั้นทราบว่าเขาทั้งสองลำบาก จึงเข้าสิงในร่างของบุรุษคนหนึ่งแล้วกล่าวว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงต้องลำบาก ไม่มียักษ์อื่นกลั่นแกล้ง ไม่มีภูตผีกลั่นแกล้ง ไม่มีนาคกลั่นแกล้งพวกท่านดอก แต่เราเป็นมารดาของพวกท่านในอัตภาพ (ชาติ) ที่ ๕ บังเกิดเป็นภุมเทวดาอยู่ในที่นี้

    ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนะ ท่านทั้งสองจงไปบูชาพระผู้มีพระภาคนั้น ด้วยสัตตุผงและสัตตุก้อนการบูชาของท่านทั้งสองนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน

    พาณิชทั้งสองได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ ณ ภายใต้ต้นไม้ราชายตนะ (ไม้เกด) ได้ทูลถวายเสบียงเดินทางคือ ข้าวสัตตุผง ข้าวสัตตุก้อน แด่พระพุทธเจ้า ตามคำบอกของเทวดา

    ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงปริวิตกว่า พระตถาคตทั้งหลาย ไม่รับวัตถุด้วยมือ เราจะพึงรับสัตตุผง และสัตตุก้อนด้วยอะไรหนอ ได้ทราบว่า บาตรใดของพระองค์ได้มีอยู่ในเวลาทรงประกอบความเพียร แต่บาตรนั้นได้หายไปเมื่อนางสุชาดามาถวายข้าวปายาส

    เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงได้ทรงมีพระรำพึงนี้ว่า บาตรของเราไม่มี ก็แลพระตถาคตทั้งหลายองค์ก่อนๆ ไม่ทรงรับด้วยพระหัตถ์เลย เราจะพึงรับข้าวสัตตุผงและข้าวสัตตุก้อนปรุงน้ำผึ้งด้วยอะไรเล่าหนอ ?


    ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์ทรงทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาค ด้วยใจของตนแล้ว เสด็จมาจาก ๔ ทิศ ทรงนำบาตรที่สำเร็จด้วยศิลา ๔ ใบ เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงและสัตตุก้อนด้วยบาตรนี้ พระพุทธเจ้าข้า

     พระผู้มีพระภาคทรงใช้บาตรสำเร็จด้วยศิลาอันใหม่เอี่ยมมีพรรณ (สี) คล้ายถั่วเขียว รับสัตตุผงและสัตตุก้อน แล้วเสวย


(ก็ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้น้อมถวายบาตรแล้วด้วยแก้วอินทนิล มีพรรณเขียวเลื่อมประภัสสร ดังแสงปีกแมลงทับ ในตำหรับไสยศาสตร์ชื่อว่าแก้วมรกตก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงรับบาตรเหล่านั้น)

    สองพาณิชได้แสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเป็นสรณะ นับเป็นปฐมอุบาสกผู้ถึงสรณะ ๒ ที่เรียกว่า เทฺววาจิก (ทเววาจิกะ) สองพาณิชนั้นครั้นประกาศความเป็นอุบาสกอย่างนั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    ทีนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพระองค์พึงทำการอภิวาทและยืนรับใครเล่าพระเจ้าข้า ? พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลูบพระเศียร พระเกศาติดพระหัตถ์ ๘ เส้น มีสีดุจแก้วอินทนิลแลปีกแมลงภู่ได้ประทานพระเกศาเหล่านั้นแก่เขาทั้งสอง ด้วยตรัสว่า ท่านจงรักษาผมเหล่านี้ไว้


    สองพาณิชนั้น ได้พระเกศาธาตุราวกะได้อภิเษกด้วยอมตธรรมใส่ในผอบทองคำ รื่นเริงยินดีถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วอัญเชิญพระเกศธาตุไปยังเมือง ของตน ให้บรรจุพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้าที่ยังมีพระชนม์ไว้ที่ประตูอสิตัญชนนคร ในวันอุโบสถก็มีรัศมีสีนิลเปล่งออกมาจากพระเจดีย์ เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยทำนองนี้

    ก็ในกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งในพระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาอุบาสกทั้งหลายไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาชนทั้งสองนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย ผู้ถึงสรณะก่อนแล ก็นายพาณิชสองคนนั้น ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้าง ๒ รัตนะ เป็นชุดแรกในพระพุทธศาสนา

๐ บุพกรรมในอดีตชาติ

    ได้ยินว่า พ่อค้าทั้งสองนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ถือเอาปฏิสนธิในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ต่อมา ได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกสองคนไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวก อุบาสกผู้ถึงสรณะเป็นคนแรก จึงกระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น.

    เขาทั้งสองเวียนว่ายตายเกิดไปในเทวดาและมนุษย์สิ้นแสนกัป มาบังเกิดในเรือนกุฏุมพีในอสิตัญชนนคร ก่อนพระโพธิสัตว์ของเราทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ


[อ้างอิง :: วินย. ๔/๕-๖ ; วินย. อ. ๓/๒๗-๒๘ ; อป.อ. ๘/๑/๑๕๘-๑๕๙ ; องฺ.อ. ๑/๒/๕๗-๕๙ ; พุทฺธ.อ. ๙/๒/๓๒ ; วินย.อ. ๔/๑/๒๖-๒๙ ; ปฐมสมโพธิกถา ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส หน้า ๑๗๙-๑๘๒]

คัดลอกมาจาก ::
สารานุกรม พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
http://www.dharma-gateway.com/

.............................................................

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2010, 10:52:49 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ลำใย

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 83
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ข้าว สัตตุก้อน ข้าว สัตตุผง คืออะไร คะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2010, 10:43:20 am »
0
 :08: :25:

หนู ก็พึ่งรู้เหมือนกัน อ่านมาหลายรอบ สัตตุก้อน สัตตุผง



 :c017:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ข้าว สัตตุก้อน ข้าว สัตตุผง คืออะไร คะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2010, 10:45:46 am »
0
ผู้ถึงรัตนะคู่แรก


อุบาสกคู่นี้มีนามว่า ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ ว่ากันว่าเธอทั้งสองมาจากอุกกลชนบท (หรืออุกกลาชนบท) อยู่แห่งหนตำบลใดไม่แจ้ง แต่น่าจะจากภาคเหนือของชมพูทวีป แถวตักสิลาโน่นแหละครับ ทั้งสองคนนี้เป็นพ่อค้าเดินทางมาค้าขายผ่านมาทางตำบลคยา สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ได้พบพระพุทธเจ้าขณะประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นราชายตนะ (ต้นเกด) ในสัปดาห์ที่ 3 หลังจากตรัสรู้ (หลักฐานฝ่ายอรรถกถาว่าเป็นสัปดาห์ที่ 7)

เมื่อเห็นพระพุทธองค์ก็มีจิตเลื่อมใส ได้น้อมนำเอา “ข้าวสัตตุก้อน สัตตุผง” (ความจริงต้องพูดสับลำดับเป็น “สัตตุผง สัตตุก้อน”) ไปถวาย ขณะนั้นพระพุทธองค์ยังไม่มีบาตร ร้อนถึงท้าวโลกบาลทั้ง 4 ได้น้อมนำบาตรมาถวายองค์ละใบ พระพุทธองค์ทรงดำริว่าใบเดียวก็เพียงพอแก่เรา จึงทรงอธิษฐานให้บาตรทั้ง 4 ในประสานเป็นใบเดียว ทรงรับข้าวสัตตุผงและสัตตุก้อนจากพ่อค้าทั้งสอง เสวยเสร็จแล้วก็ประทานอนุโมทนา
 
พระพุทธรูปปางประสานบาตร

‘สัตตุผง’ นั้นบาลีเรียกว่า “มันถะ” คือข้าวตากที่ตำละเอียด ส่วน ‘สัตตุก้อน’ บาลีเรียกว่า “มธุบิณฑิกะ” คือข้าวตากที่ผสมน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นก้อนๆ

พ่อค้าทั้งสองได้เปล่งวาจาถึงพระพุทธและพระธรรมเป็นสรณะ ไม่เปล่งวาจาถึงพระสงฆ์ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีพระสงฆ์ ทั้งสองจึงเรียกว่า อุบาสกผู้ถึงรัตนะสองเป็นสรณะ (เทฺววาจิกอุบาสก)
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกพูดเพียงว่า เมื่อถวายสัตตุผงสัตตุก้อนแด่พระพุทธเจ้าแล้ว พ่อค้าทั้งสองก็กลับมาตุภูมิ เรื่องจบแค่นี้ครับ แค่นี้จริงๆ แต่พี่หม่องไม่ยอมให้จบ ได้แต่งต่อว่า พ่อค้าทั้งสองก่อนกลับได้กราบทูลขอของที่ระลึกเพื่อไปสักการบูชาเมื่อจากพระ พุทธองค์ไป พระพุทธองค์ทรงเอาพระหัตถ์ลูบพระเศียร เส้นพระเกศา 8 องค์หลุดติดพระหัตถ์มา พระพุทธองค์ประทานให้แก่พ่อค้าทั้งสอง

พ่อค้าทั้งสองได้นำพระเกศธาตุ 8 องค์นั้นไปก่อเจดีย์บรรจุไว้บูชาที่บ้านเมืองของตน พระเจดีย์นั้นรู้กันในปัจจุบันนี้ว่า ชะเวดากอง ตปุสสะกับภัลลิกะจะเป็นใครไม่ได้นอกจากชาวพม่าหงสาวดี พี่หม่องอ้างปานนั้นแหละครับ ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่จะพิจารณา


พระพุทธรูปปางรับสัตตุก้อนสัตตุผง วัดพระปฐม เจดีย์ ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม

การแต่งตำนานเพิ่มเติมจากต้นฉบับเดิมทำกันทั่วไป พี่ไทยเราก็แต่งเติมครับ อย่างเรื่องนาคแปลงกายเป็นคนมาบวช ภายหลังความลับเปิดเผยขึ้น พระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้ลาสิกขา แล้วบัญญัติข้อห้ามว่าสัตว์เดียรัจฉานห้ามบวชเป็นภิกษุ ถึงกับมีคำซักถามตอนจะบวชว่า “มนุสฺโสสิ = เจ้าเป็นมนุษย์หรือไม่”

เรื่องเดิมมีแค่นี้ แต่พี่ไทยแต่งเพิ่มว่า นาคแกเสียอกเสียใจมากที่ไม่มีวาสนาบวชอยู่ในพระพุทธศาสนา จึงกราบขอพรพระพุทธองค์ ขอฝากชื่อไว้ในพระพุทธศาสนา ต่อไปใครจะมาบวชขอให้เรียกว่า “นาค” เถิด พระพุทธองค์ก็ทรงรับ เพราะเหตุนี้แล ผู้จะเข้ามาบวชจึงเรียกว่านาค และการบวชเรียกว่าบวชนาค มิใช่บวชนาย ก. นาย ข. เห็นหรือยังครับพี่ไทยก็ “ตัดต่อ” เก่งไม่แพ้พี่หม่องเหมือนกัน

ดีเท่าไรแล้วที่ไม่แย่งเอาตปุสสะ ภัลลิกะมาเป็นคนไทย เพราะฟังชื่อแล้วน่าจะใกล้มาทางไทยมากกว่าพม่า

ตปุสสะ ก็ “ตาบุตร” ภัลลิกะ ก็ “ตาพัน” ยังไงล่ะครับ


โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
http://www.thaidhammajak.com/

.............................................................

พีนีย์(ของคุณรักหนอ) ถามว่า
“ทำไมเทวดาจึงบอกว่าจะถวายโภชนาอันเลิศ เพื่อสุขภาพของพระพุทธองค์ ด้วยอาหารทั้งสอง”

ผมค้นดูแล้ว เทวดาไม่ได้ถวายครับ พี่นีย์ลองอ่านบทความข้างบนดูซิครับ
พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะ เป็นคนถวายครับ เพียงแต่เทวดาเป็นผู้ขอร้องให้ถวาย

ถ้าจะมีการถวายของอันเป็นทิพย์ ก็น่าจะเป็นเหตุการณ์นี้ครับ



   เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ ณ ภายใต้ร่ม
พระศรีมหาโพธิ์แล้ว ประทับเสวยวิมุตติสุขในสถานที่ต่าง ๆ รวม ๗ แห่ง ๆ ละ ๗ วัน และใน
สัปดาห์ที่ ๗ อันเป็นสัปดาห์สุดท้าย พระพุทธองค์ประทับเสวยวิมุตติสุขที่ภายใต้ร่มไม้เกตุ อัน
ได้นามว่า “ราคายตนะ” นั้น

    ขณะนั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราช ทรงดำริว่า “พระผู้มีพระภาค ตั้งแต่ตรัสรู้แล้ว
นับได้ ๔๙ วันถึงวันนี้ พระองค์ยังมิได้เสวยพระกระยาหารและถ่ายพระบังคนเลย สมควรที่
พระองค์จะเสวยพระกระยาหารและถ่ายพระบังคน”

     จึงนำผลสมออันเป็นทิพยโอสถมาจาก เทวโลก เข้าไปถวายพระพุทธองค์ทรงรับมาเสวย
แล้วทำสรีรกิจลงพระบังคน แล้วท้าวสหัสนัยน์ก็อยู่เฝ้าถวายการปฏิบัติพระพุทธองค์ด้วยกิจต่าง ๆ มีถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์ เป็นต้น


ที่มา http://www.84000.org/one/3/01.html

พี่นีย์ครับ มีคนรอกินข้าวทิพย์ของพี่นีย์ อยู่หลายท่าน ทำยังไม่สร็จไม่เป็นไร
ขอเปลียนมารอ “กินข้าวตู” ได้ไหมครับ


 :25: :49: :58: :bedtime2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2010, 11:04:23 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ข้าว สัตตุก้อน ข้าว สัตตุผง คืออะไร คะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2010, 11:04:59 am »
0
อ้างถึง
ท้าวโลกบาลทั้ง 4 ได้น้อมนำบาตรมาถวายองค์ละใบ พระพุทธองค์ทรงดำริว่าใบเดียวก็เพียงพอแก่เรา จึงทรงอธิษฐานให้บาตรทั้ง 4 ในประสานเป็นใบเดียว

ตอนนี้บาตรใบนี้อยู่ที่ไหนคะ
บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ข้าว สัตตุก้อน ข้าว สัตตุผง คืออะไร คะ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2010, 09:16:59 pm »
0
อ้างถึง
ท้าวโลกบาลทั้ง 4 ได้น้อมนำบาตรมาถวายองค์ละใบ พระพุทธองค์ทรงดำริว่าใบเดียวก็เพียงพอแก่เรา จึงทรงอธิษฐานให้บาตรทั้ง 4 ในประสานเป็นใบเดียว

ตอนนี้บาตรใบนี้อยู่ที่ไหนคะ

อาจจะอยู่ที่นี่ครับ


เจดีย์ รุวันเวสาลิยะ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา

รุวันเวสาลิยะ หรือ Ruvanveli Mahaseya สร้างขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์ Dutugemunu (ไม่รู้จะอ่านเป็นภาษาบาลียังไงน่ะ) ประมาณ 161-137 ปีก่อนคริสตกาล เป็นเจดีย์ทรงกลมผ่าครึ่ง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 300 ฟุต 
 

เจดีย์ แห่งนี้ได้บรรจุเครื่องอัฐบริขารของพระพุทธเจ้า เช่น บาตรที่พระองค์เคยใช้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมอัฐบริขารเหล่านี้จึงตกมาอยู่ที่ศรีลังกาได้ ข้าพเจ้าสันนิษฐานเองว่า หลังจากเสด็จปรินิพพาน กษัตริย์แคว้นต่าง ๆ คงสนใจแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุมากกว่าที่จะสนใจเครื่องอัฐบริขารก็ได้
 

อัฐบริขาร 8 อย่าง ที่บัญญัติไว้ในพระธรรมวินัย ได้แก่ สบง (ผ้านุ่ง), จีวร (ผ้าห่ม), สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า), ประคดเอว, บาตร, มีดโกนหรือมีดตัดเล็บ, เข็ม และกระบอกกรองน้ำ

ที่มา  http://www.oknation.net/blog/print.php?id=15334

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ