ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไม ต้องแบ่งสายในการปฏิบัติ  (อ่าน 2069 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

komol

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +7/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 643
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ทำไม ต้องแบ่งสายในการปฏิบัติ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 10:59:24 pm »
0
ทำไมต้องแบ่งสายในการปฏิบัติ ?

คำถามนี้ บางทีผมก็มึนเหมือนกันครับ เวลาไปสนทนาธรรม เพื่อแนะนำกรรมฐาน

ก็จะมีผู้ทะลุกลางปล้อง ขึ้นมาว่า "ทำไมต้องแบ่งสายในการปฏิบัติ ? พระพุทธเจ้าไม่เคยแบ่งสาย "

นั่นสินะ แล้วจะแบ่งกันทำไม โดยเฉพาะผู้ถามก็พยายามจะเพ่งโทษ ว่า กรรมฐานนั้น ไม่มีสายการปฏิบัติ

เพราะบอกว่าแบ่ง ก็คือ อนันตริยกรรม ( ว่าไปโน่นเลย ) เป็นการยังสงฆ์ ให้แยกแตกจากกัน ไม่เป็นที่สิ้นสุด

แห่งกิเลส ( ฟังแล้วก็ดูดี ) สุดท้ายคนที่พูดแบบนี้ ก็จะพูดถึง ครูบาอาจารย์ของตนว่าเลิศ มองเห็นภาพรวมของ

ศาสนา ไม่แบ่งแยก ไม่มีสาย เพราะเป็นของพระพุทธเจ้าล้วน ๆ แล้วก็ยื่นหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า ตัวกู ของกู

ให้ผม แล้วบอกว่าไปอ่านซะ จะได้เข้าใจ ไม่หลงงมงาย กับสิ่งที่ไร้สาระ

   ผมก็เลยกลับมาอ่านหนังสือ จนจบไปหนึ่งรอบ และ สองรอบ และ สามรอบ ทบทวนอยู่หลายครั้ง ก็ยัง

ตอบปัญหา ว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่อง การแนะนำกรรมฐานกันด้วย เพราะก็เพียงแต่กรรมฐาน ครูอาจารย์ที่สอน

เรียกว่า กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ในเนื้อหาก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสสอน แม้ในพระไตรปิฏก

ก็มีหลักฐาน แล้วเราแบ่งสายตรงไหน เพียงแต่เรียก ตามที่ครูอาจารย์เราสอน ก็เท่านั้น

   ทุกวันนี้ ก็ยัง งง กับผู้ภาวนาส่วนใหญ่ จริง ๆ แล้วต้องการอะไร ?

   ได้ผลการภาวนา อย่างไร ?

   เห็นตามเป็นจริง แล้วอย่างไร ?

   นั่นสินะ แล้วเราแบ่งสายกัน หรือ ป่าว พี่น้องชาว กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ช่วยตอบหน่อยสิครับ

    :smiley_confused1: :smiley_confused1: :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
พลังจิต พลังปราณ พลังสมาธิ เป็นพลังสมดุลย์ เพื่อปัญญา

ครูนภา

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +25/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 608
  • ภาวนา ร่วมกับพวกท่าน แล้วสุขใจ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ทำไม ต้องแบ่งสายในการปฏิบัติ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 03:48:43 pm »
0
คุณ Komol กำลังมาบ่น อยู่หรือป่าวคะ

  อันที่จริง พระพุทธศาสนา ก็มีพระพุทธเจ้า องค์เดียวกันคะ พระธรรมก็อันเดียวกันคะ

  แต่พระสงฆ์ นี่สิคะ มีหลายองค์ และแต่ละรูป แต่ละองค์ ก็ปฏิบัติ แตกต่างกันไป ตามจริต

  ที่นี้ พุทธบริษัท ก็มี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งก็มีจริต การศึกษา แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นค่านิยม
 
  ความประพฤติ จริต ที่อยู่ สัปปายะ ต่าง ๆ จึงไม่เหมือนกัน

  ดังนั้น บอกว่ามาแต่สำนักไหน ก็สำนักไหน ก็ต้องพูดคะ เพราะสำนัก นั้น ๆ ก็ต้องมี พระพุทธเจ้าเป็น บรมครู

  มีพระธรรม เป็นคำสอน อยู่แล้วคะ  การที่มีพระสงฆ์ เป็นครูอาจารย์ แล้วบอกว่าเราเป็นศิษย์ ของพรสงฆ์รูปนั้น

  พระสงฆ์รูปนี้ นั้น ไม่น่าจะเป็นอนันตริยกรรม นะคะ นอกเสียจากผู้พูด ผู้นั้น มีอคติ มุมมองคับแคบ

  ส่วนใหญ่ ก็จะเป็นอย่างนี้ อยู่แล้วคะ เวลาเราไปนำเสนอ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ก็มักจะโดนปฏิเสธ

 เป็นประจำ อยู่แล้วคะ ยังไม่ทันฟัง บางท่านก็ใส่กันเป็นชุด ราวกับกระสุนเอ็ม 16 เลย

    เอาเป็นว่า ผู้ที่เราแนะนำไม่ได้ ก็หมายความไม่มีวาสนา ซึ่งกันและกัน คะ

    รับรอง ยืนยัน ด้วยหัวใจ ของอุบาสิกา น้อย ๆ ว่า ไม่มีความผิดหรอกคะ ที่เราบอกสำนักของครูอาจารย์

 ของเรา ก็เหมือน สถาบันการศึกษา นั่นแหละคะ บอกว่าจบจากจุฬา มหิดล เกษตร สุโขทัย ราม เอกชน

แท้ที่จริงเนื้อหา ก็เรียนอันเดียวกัน ด้วยหลักสูตรเดียวกัน ปริญญา ก็เสมอภาคกัน แตกต่างกันตามสาขาวิชาชีพ

  หลักธรรม แม้พระพุทธเจ้า เป็นประธาน มีพระธรรม คือพระอริยมรรค แต่ ก็ต้องอาศัยพระสงฆ์ เป็นผู้ถ่ายทอด

นะคะ ไม่ผิดคะ ไม่ผิดคะ  ช่วยกันเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ต่อไปนะคะ อย่าท้อถอย คะ

 :25:
บันทึกการเข้า
ศรัทธา ปัญญา ขันติ ความเพียร คุณสมบัติผู้ภาวนา
ขอเป็นกัลยาณมิตร กับทุกท่าน ที่เป็นกัลยาณมิตร