สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

พระไตรปิฏก => พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ => ข้อความที่เริ่มโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ พฤศจิกายน 07, 2015, 05:12:42 pm



หัวข้อ: มุทุลักขณชาดก-ชาดกว่าด้วยกามกิเลสคือต้นเหตุแห่งความเศร้าหมอง
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ พฤศจิกายน 07, 2015, 05:12:42 pm

มุทุลักขณชาดก-ชาดกว่าด้วยกามกิเลสคือต้นเหตุแห่งความเศร้าหมอง

 สมัยพุทธกาลผ่านมาพระเชตะวันมหาวิหารของพระบรมศาสดาร่มเย็นเป็นที่พึ่งพาของเวไนยสัตว์อย่างทั่วถึง ดุจแสงจันทร์วันเพ็ญอันสว่างนวลทั่วปริมณฑล แต่จันทร์กระจ่างฟ้าก็หาทำความรื่นรมย์ได้ทั่วทุกคนไม่ ยังมีภิกษุหนุ่มชาวสาวัตถีรูปหนึ่งกำลังกลัดกลุ้มอยู่กับความทุกข์ภายใต้แสงจันทร์นวลทุกราตรี
 “โอ้นวลน้อง ความรักของพี่ที่มีต่อเจ้า ช่างทำให้พี่ทุกข์ใจยิ่งนัก กินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่งสมาธิ(Meditation)ก็วุ่นวายใจ เฮ้อ” สมณะกิจใดๆ ภิกษุหนุ่มก็ไม่ได้ปฏิบัติ จนเพื่อนภิกษุทั้งหลายสุดจะทนเวทนาอยู่ได้ จึงนำสมณะสงฆ์รูปนี้มาเฝ้าพระบรมศาสดา “ไปเฝ้าพระพุทธองค์เถอะท่านจะได้ปลดเปลื้องจากทุกข์นี้ซะที” “เป็นเธอนี่แล้วผู้กระวนกระวายรุ่มร้อนใจ ด้วยอำนาจความงามของหญิง
 สิ่งนี้ไม่ได้แปลกอันใด เพราะเธอยังไม่มีคุณวิเศษป้องกัน ในอดีตกาลก่อน เราได้อภิญญา 5_สมาบัติ 8_สามารถข่มกิเลสได้ด้วยญาณ ทั้งเหาะเหินบนฟ้าได้ก็ยังเคยพลาดพลั้งยังเผลอหลงใหลหญิงงาม จนญาณสมาบัติเสื่อมสูญได้รับทุกข์ร้อนมาแล้ว กิเลสนั้นก็มีกำลังมากนัก ดุจลมพายุถอนขุนเขา โค่นไม้ใหญ่
  ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ทรงภูมิรู้ยังเพรี้ยงพร้ำแก่กิเลส ความผิดของเธอครั้งนี้จึงเป็นสิ่งธรรมดา ลำดับนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรัส มุทุลักขณชาดกขึ้น โปรดภิกษุทั้งหลายในพระเชตะวันดังนี้ มานพหนุ่มผู้หนึ่งเกิดในตระกูลดี มีสติปัญญาเลอเลิศ แต่ก็ค้นพบว่าสรรพวิชาที่เล่าเรียนมามิอาจช่วยผู้คนพ้นความทุกข์ได้
 เขาจึงออกหาสัจธรรมไปยังที่ต่างๆ ทั่วชมพูทวีป ท้ายที่สุดท่านได้ถือเพศพรหมจรรย์เป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ริมป่าหิมพานต์จนได้สมาบัติแก่กล้า สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ และมักเหาะลงมาบิณฑบาตโปรดชาวนครพาราณสีอยู่เนืองๆ ครั้งหนึ่งพระดาบสตนนี้ได้เหาะจากหิมพานต์เข้ามายังมหานครดังปกติ “เอ้..วันนี้มีเหตุอันใดหนอจิตใจถึงร้อนรุ่มนัก “
  ครั้งนั้นยังมิทันบิณฑบาตก็ต้องรับนิมนต์จากราชบุรุษให้เข้าไปโปรดพระเจ้าพรหมทัตยังพระราชฐาน “เชิญท่านฤาษีทางนี้เถอะ พระเจ้าพรหมทัตทรงประทับรออยู่” “โอ้ดีจัง วันนี้เราจะได้ฟังธรรมกัน” “ฟังธรรมรึ? ดีจัง ยังไม่เคยฟังมาก่อนเลย” “เจริญพร มหาบพิท” “ข้าพระองค์เลื่อมใสในศีลและประพฤติพรหมจรรย์ของท่าน ปรารถนาในรสธรรมโอวาทยิ่งนัก”
   “หากท่านปรารถนาจะฟังธรรมเราก็ยินดี” พระเจ้าพรหมทัตถวายอาหารอันประณีต แล้วจึงอาราธนาให้พระดาบสพำนักอยู่ในที่พระราชวังต่อไปอีกนานปี “เพื่อเหล่าพระราชวงศ์หญิงชายและปวงอำมาตย์จะได้รับโอวาทอย่างใกล้ชิด บัดนี้ข้าพระองค์ได้จัดอาศรมใหม่ไว้ในพระอุทยานแล้ว ขออาราธนาเป็นพระอาจารย์แก่ราชวงศ์สืบไปแต่วันนี้เถิด”
 “ถ้ามหาบพิทต้องการอย่างนั้น เราก็คงขัดไม่ได้” เมื่อพระฤาษีมาพำนักอยู่ในวัง ก็เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าราชนิกูลและข้าราชบริพาร ด้วยท่านมีความรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมยากที่จะหาใครทัดเทียมได้ในยุคนั้น “อือ..อุทยานนี่ช่างสงบเงียบดีจริงเหมาะแก่การนั่งสมาธิ ให้โอวาทแล้วค่อยกลับมานั่งสมาธิดีกว่า”
  “ความเพียรของหมู่ชนผู้พร้อมเพรียงกันทำให้เกิดสุข ขณะที่สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกันยังฆ่าเสือโคร่งได้เพราะใจรวมเป็นอันเดียว ท่านพึงศึกษาความสามัคคีไว้เถิด ความสามัคคีนั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายสรรเสริญแล้ว ผู้ยินดีในสามัคคีตั้งอยู่ในธรรมย่อมไม่พลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ” “ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องปกครองคนในพาราณสีให้สามัคคีกันเอาไว้”
  “ต่อจากนี้ไปเราจะยึดหลักความสามัคคีไว้ในใจ” อย่างเข้าฤดูแล้งคราวหนึ่งเมืองพาราณสีก็เกิดสงคราม พระเจ้าพรหมทัตก็มากราบขอพรเพื่อยกทัพไปสงครามชายแดน “มหาบพิทจงเผด็จศึกโดยดีเถิด จงเมตตาแก่ผู้แพ้ตามสมควรเถิดจะเกิดกุศลยิ่ง” “ข้าพระองค์จะยึดหลักศีลธรรมตามที่ท่านฤาษีอบรม” พระเจ้าพรหมทัตได้รับสั่งให้พระนางมุทุลักขณาพระมเหสี
 คอยดูแลเอาใจใส่พระฤาษีมิให้บกพร่องใดๆ แล้วก็ยกทัพออกจากนครไป “เสด็จพี่อย่าทรงห่วงเลยเพคะ หม่อมฉันจะดูแลพระฤาษีเป็นอย่างดีมิให้ขาดตกบกพร่อง” ทุกวันพระนางมุทุลักขณาจัดเตรียมอาหารถวายพระดาบสอย่างดีมิได้ขาด แต่แล้วก็เกิดเหตุใหญ่ขึ้นครั้งหนึ่ง ในวันนั้นพระดาบสเข้าญาณจนลืมเวลานิมนต์ “ทำไม่พระฤาษีถึงยังไม่ออกมาฉันอาหารนะ”
 “คงนั่งสมาธิอยู่กระมังคะ” “ถ้าอย่างนั้นเราไปพักผ่อนก่อนนะ พวกเจ้าอยู่คอยรับใช้ก่อนแล้วกัน” “เพคะ” พระนางมุทุลักขณารอพระฤาษีอยู่นานก็ยังไม่มา พระนางจึงทอดพระวรกายพักผ่อนอิริยาบถอยู่บนยี่พู่ ณ ท้องพระโรงอยู่บริเวณเดียวกัน “เฮ้อง่วงจัง..นอนซักพักดีกว่า” แอ๊ส.ส..ส “เอะ...เสียงอะไรนะ” “เหมือนมีใครเข้ามาทางพระบัญชรนะเพคะ”
 เสียงนั้นคือพระฤาษีซึ่งเหาะเข้ามาทางพระบัญชรอย่างเร่งรีบ พระมเหสีตกพระทัยจึงผุดลุกโดยเร็วภูษาแพรที่ห่มพระอุระก็หลุดลุ่ยลงอวดโฉมแก่สายตาพระฤาษี “โอ๊ะ.ว๊ายผ้าหลุด” “ว๊าย..ตาเถน หลุดๆๆๆ” ความงามแห่งอิสตรีนั้นก่อกวนญาณอันบริสุทธิ์ให้ดับวูบลง กามราคะอันไม่เคยมีของผู้ทรงศีล กลับคุโชนขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว
  “โอ้..ช่างงดงามเหลือเกิน” เมื่อรำลึกรู้ตัวพระดาบสก็หันกลับไปยังอาศรมอุทยานด้วยสองเท้า มิสามารถใช้ญาณเหาะเหินได้ดังเดิม “แย่แล้วเราจะเป็นบาปหรือเปล่าก็ไม่รู้” “ฮู...ท่านฤาษีหน้าซีดไปเลย” จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระฤาษีไม่อาจลืมความงามของสตรีเพศได้เลย ภาพนั้นมีฤทธิ์รุนแรงต่อจิตใจ จนพระฤาษีมิอาจรวบรวมสมาธิต่อต้านได้
 “น้องหญิงช่างสวยเหลือเกินภาพน้องช่างติดตาตรึงใจพี่ จนพี่ไม่อาจลืมเลือนได้แล้ว โอ้..นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย” ยิ่งนานวันฤทธิ์พิศวาสก็รุมเร้าให้เฝ้าแต่เก็บตนเงียบในอาศรม ร่างกายทรุดโทรม จิตใจระทมทุกข์จนหมดสง่าราศี “ไฉนกามเทพบันดาลทุกข์แก่เราได้มหันต์ปานนี้ น้องหญิงเราจะได้ครองเธอเมื่อใดหนอ เมื่อใด” เวลาล่วงไป 7 วัน
พระเจ้าพรหมทัตเสด็จกลับจากชายแดน เมื่อเสร็จราชกิจจากท้องพระโรงก็เร่งเสด็จมากราบพระฤาษี “โอ้..เกิดอะไรขึ้นทำไม่พระฤาษีถึงได้ซูบผอมอย่างนี้” “มหาบพิทกลับมาแล้วรึ เรามีทุกข์หนักอันเรียกว่าความรักเกิดขึ้นในใจจึงเป็นดั่งนี้ มหาบพิท” เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงสอบถามสาเหตุที่กระทำต่อผู้ทรงศีล ก็ได้รับคำตอบอันสะเทือนใจยิ่ง
  “เรื่องทั้งหมดเป็นความจริงเรามิสามารถพูดเท็จได้” “ที่แท้ความความเจ็บปวดของพระอาจารย์เนี่ยเกิดเพราะหลงรักพระนางมุทุลักขณานี่เอง” “เป็นเช่นนั้น มหาบพิทจะลงโทษเช่นไรก็ได้ อาจารย์ก็ยอมสิ้น” “หามีโทสะอนุโทษใดสำหรับท่านไม่” (โธ่เอ้ย พระฤาษีผู้ทรงคุณวิเศษ บัดนี้ร่ำหาสตรีเสียแล้ว เราต้องช่วยท่านให้ได้)
  พระเจ้าพรหมทัตนำเรื่องทุกข์ใจของท่านฤาษีมาปรึกษากับพระนางมุทุลักขณาพระมเหสี “รู้ไหมพระฤาษีกำลังทุกข์ใจกับความรักที่มีต่อเธอ จนมิอาจรวบรวมสมาธิได้ดังเคย พี่นะคิดอุบายที่จะทำให้ท่านกลับมาดังเดิมได้แล้ว แต่อยู่ที่น้องหญิงจะช่วยหรือเปล่า” “เพราะน้องแท้ๆ ที่ไม่ระวังตนให้ดีทำให้ตบะท่านเสื่อมไป เสด็จพี่บอกมาเถอะว่าจะให้น้องช่วยอย่างไร
 น้องยินดีทำถวายทุกอย่างเพคะ” วันต่อมาสองพระองค์ก็ทำตามแผนที่วางไว้ คือนิมนต์พระฤาษีมาเพื่อรับตัวพระมเหสีไปอยู่ด้วยกัน “ฟังพี่นะ มุทุลักขณาน้องนะ ต้องทำตามแผนการให้ดี เพื่อคืนสติให้ท่านอาจารย์ ไปเถอะท่านมารออยู่แล้ว” (ในที่สุดความรักของเราก็สมหวัง น้องหญิงของพี่) พระเจ้าพรหมทัตถวายพระมเหสีแก่พระดาบสเป็นการลับเฉพาะ
 ทั้งยังถวายบ้านเล็กๆ ให้ที่ริมกำแพงวัง “ไปกันเถิดน้องหญิง น้องนางที่รักของข้า ไปครองเรือนกันพี่จะทำให้เจ้ามีความสุขที่สุด” (สงสารจังแต่เราต้องทำให้พระฤาษีกลับมาเหมือนเดิมให้ได้) “โอ๊ย..นี่บ้านหรือรังหนูนี่ สกปรกอย่างนี้น้องอยู่ไม่ได้หรอกนะคะ” “ได้เลยจ๊ะ เดี๋ยวพี่จะทำความสะอาดให้เอี่ยมเลยจ้า” “งั้นก็เร็วๆ ซิจ๊ะ น้องนะอยากพักผ่อน เหนียวตัวไปหมดแล้วเนี่ย อยากล้างตัวด้วย”
“จ้าๆๆๆ พี่จะยกน้ำไปให้เดี๋ยวนี้แหละจ้า” เมื่อทำความสะอาดเรือนเสร็จพระฤาษีก็ถูกใช้ให้ไปขนเครื่องเรือนมาจากพระราชวังอีก “โอ้ย..ขนมาตั้ง 3 รอบแล้วไม่หมดซะที เฮ้อ..เหนื่อย แต่เพื่อความรักของเรา ทำได้” “พระฤาษีทำอะไรเนี่ย อันเนี่ยนะเหรอที่เค้าเรียกว่าปฏิบัติธรรม ช่างน่าขันยิ่งนัก” “เห็นแล้วหดหู่ใจ พระฤาษีคนเดิมหายไปไหนกันเนี่ย”
 “เฮ้อ..เจ้าพวกนี้จะวิจารณ์เราไปถึงไหนเนี่ย เฮ้อ..รีบขนดีกว่า ขี้เกียจจะได้ยิน” พระฤาษีทำงานรับใช้พระนางมุทุลักขณาตั้งแต่เช้าจนตะวันใกล้อัสดง “โอ้หลังจะหัก เตียงนอนน้องหญิงนี่หนักจริงๆ โอ้ย ทั้งหนักทั้งเหนื่อย แต่ไม่เป็นไรเราต้องทนไว้ ใกล้มืดแล้วเดี๋ยวก็ถึงเวลาแห่งความสุขของเราแล้ว” เมื่อตะวันตกดินพระดาบสก็ถูกไล่ไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเหมือนมารดาบังคับบุตรน้อย
 ซึ่งท่านก็ทำตามโดยง่าย “น้องหญิงพี่อาบน้ำเสร็จแล้ว ถึงเวลาของเรารึยัง มามะ” “ถึงตอนนี้แล้วท่านยังไม่รู้อีกรึ ขอให้พระคุณเจ้าดูตัวเองใหม่ให้ชัดซิว่า ยังเป็นนักบวชอยู่หรือไม่” เมื่อพระนางมุทุลักขณาเตือนให้รู้ฐานะพระฤาษก็มีสติพิจารณาก้มลงมองร่างกายของตัวเอง บัดนี้มิเหลือคุณสมบัติของนักบวชอยู่เลย แต่เป็นร่างกายที่ตรากตรำทำงานมาทั้งวันและจิตใจที่เต็มไปด้วยราคะ
   “โอ้..เราหนอสู้เพียรภาวนามานานปี กลับพ่ายแพ้ต่อกามราคะ ยอมทำทุกอย่างดังเสียสติ ไม่กลัวราชอาญา ไม่อายต่อคำครหา ไม่หวั่นเกรงนรกอเวจีเลย” เมื่อพระฤาษีรู้สึกดีชอบ จึงรีบขออภัยต่อพระนางมุทุลักขณา จากนั้นก็รีบเข้าเฝ้าและถวายพระมเหสีคืนต่อพระเจ้าพรหมทัต พระโพธิสัตว์เจ้ากำหนดสติวางจิตเป็นสมาธิญาณ
 อภิญญาก็กลับคืนมาดังเดิม เมื่อแสดงธรรมถวายเป็นเอนกปริยายแล้วพระฤาษีก็เหาะกลับยังป่าหิมพานต์ เจริญภาวนาไปจนสิ้นอายุขัยในโลกมนุษย์ แล้วจุติยังพรหมโลกด้วยกุศลธรรม เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาด้วยชาดกนี้จบลง ภิกษุหนุ่มผู้หลงใหลในกามกิเลสก็บรรลุธรรมหลุดพ้นความทุกข์ ณ ที่นั้น

 
 
ในพุทธกาลสมัย พระเจ้าพรหมทัต กำเนิดเป็น พระอานนท์
พระนางมุทุลักขณา กำเนิดเป็น พระอุบลวรรณาเถรี
พระฤาษี เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า


หัวข้อ: Re: มุทุลักขณชาดก-ชาดกว่าด้วยกามกิเลสคือต้นเหตุแห่งความเศร้าหมอง
เริ่มหัวข้อโดย: Admax ที่ พฤศจิกายน 19, 2015, 04:41:40 pm
 gd1 gd1 gd1