ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สีลัพพตปรามาส คือ อะไร กันแน่  (อ่าน 4667 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

drift-999

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 239
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
สีลัพพตปรามาส คือ อะไร กันแน่
« เมื่อ: เมษายน 24, 2013, 10:59:18 am »
0
 ask1

    ถ้า สีลัพพตปรามาส เป็นการคลายความยึดถือ ที่ผิด เช่น การบวงสรวง การปลุกเสก พิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา นั้นจัดเป็น สีลัพพปรามาส หรือ ไม่ครับ

     thk56
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: สีลัพพตปรามาส คือ อะไร กันแน่
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 26, 2013, 11:19:27 am »
0


เหตุที่มา และ การกระทำที่เป็นสีลัพพตปรามาส

ธรรมหลักในศาสนาพุทธคือ อิทัปปัจจยตา ที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อธิบายความหมายไว้ว่าคือ

  “ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย”, ความเป็นไปตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย, กระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย,
   กฎที่ว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี, เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ”

   ,เป็นอีกชื่อหนึ่งของหลัก ปฏิจจสมุปบาท หรือ ปัจจยาการ

นั้นสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ รวมไปถึงพฤติกรรมแต่ละอย่างของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ดังเช่น พฤติกรรมที่เกิดจากความงมงาย แล้วแสดงออกด้วยการรักษาศีล และการมีวัตรปฏิบัติ การสวดมนต์ การฝึกสมาธิ เป็นต้น โดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของสิ่งที่ทำ ตามที่ชาวพุทธรู้จักพฤติกรรมนี้ในนาม “สีลัพพตปรามาส”


พระเถระ ๒ รูปที่โลกยกย่องได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับสีลัพพตปรามาสนี้ไว้ดีแล้ว ขอยกมาอ้างดังต่อไปนี้

    "สีลัพพตปรามาส" ก็คือความงมงายเกี่ยวกับการปฏิบัติในศีลและวัตรต่างๆที่ตนปฏิบัติอยู่ พอเอ่ยมาสักว่าชื่อ คนทั้งหลายก็พอจะเข้าใจได้ว่า หมายถึงอะไร ในบาลีจึงไม่มีคำอธิบายที่เป็นคำตรัสโดยตรง ครั้นต่อมาถึงสมัยนี้ โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ ปัญหามันเกิดขึ้นมาก คือ ไม่รู้ ไม่สามารถจะเข้าใจได้ ว่าสิ่งที่เรียกว่าสีลัพพตปรามาสนั้น คืออะไร”

________________________________
พุทธทาสภิกขุ คู่มือพ้นทุกข์ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๑๗๔


    “สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต (clinging to mere rule and ritual) ความอยากได้ อยากเป็นอยู่ ความกลัวต่อการสูญสลายของตัวตน โดยไม่เข้าใจกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยในธรรมชาติ ผสมกับความยึดมั่นในทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ประพฤติปฏิบัติตามๆกันอย่างงมงายในสิ่งที่นิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่จะสนองความอยากของตนได้
     ทั้งที่มองไม่เห็นความสัมพันธ์ทางเหตุผล ความอยากให้ตัวตนคงอยู่ มีอยู่ และความยึดมั่นในตัวตน แสดงออกมาภายนอก หรือ ทางสังคม ในรูปของความยึดมั่นในแบบแผน พฤติกรรมต่างๆ การทำสืบๆกันมา ระเบียบวิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธี
     ตลอดจนสถาบันที่แน่นอนตายตัวว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยไม่ตระหนักรู้ในความหมาย คุณค่า วัตถุประสงค์ และความสัมพันธ์โดยเหตุผล กลายเป็นว่า มนุษย์สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อปิดกั้น ปิดล้อมตัวเอง และทำให้แข็งทื่อ ยากแก่การปรับตัว และการที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งทั้งหลายที่ตนเข้าไปสัมพันธ์”

________________________________________________
พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย หน้า ๑๙๗ – ๑๙๘




    “ทำไมเราจึงเรียกความงมงายนี้ว่า สีลัพพตปรามาส? ทั้งนี้เป็นด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ
      ความงมงายต่อสิ่งเหล่านี้มันทำให้บุคคลบัญญัติศีลและวัตรปฏิบัติต่างๆขึ้น ตามความงมงายของตน เพราะฉะนั้นมันจึงเกิดศีลและวัตรอย่างสุนัข อย่างโค เป็นต้นขึ้นมาในโลกนี้ นี้เป็นความงมงายอยู่ที่ตัวศีลและวัตรที่บัญญัติขึ้นมาด้วยความงมงายอย่างหนึ่ง
      อีกอย่างหนึ่ง ความงมงายชนิดนี้ได้เข้ามาครอบงำข้อปฏิบัติต่างๆที่ถูกต้อง ที่แท้จริงเป็นของถูกต้อง แต่เมื่อความงมงายเข้ามาครอบงำแล้ว บุคคลผู้ประพฤติศีลและวัตรซึ่งมีอยู่อย่างถูกต้องนั่นแหละ ได้ใช้ความงมงายของตนทำให้กลายเป็นศีลและวัตรที่งมงายไป
      เช่น ให้ทาน หรือ รักษาศีล หรือทำสมาธิก็ตามด้วยความงมงาย ด้วยเข้าใจผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง หวังผลผิด ใช้เหตุผลในสิ่งนั้นๆผิด หรือกระทั่งไม่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผลเสียเลย ทำให้ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง หรือ สะอาดบริสุทธิ์นั้น กลายเป็นข้อปฏิบัติที่สกปรกหม่นหมอง เศร้าหมองไปเพราะอำนาจความงมงายของผู้ปฏิบัติเอง นี้อีกอย่างหนึ่ง จึงเป็น ๒ อย่างด้วยกัน”

________________________________
พุทธทาสภิกขุ คู่มือพ้นทุกข์ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๑๗๗


     จากการอธิบายของพระเถระทั้งสอง คงแสดงเหตุที่มาและการกระทำที่เรียกว่า สีลัพพตปรามาสได้เป็นอย่างดีและคงอธิบายถึงเหตุที่ชาวพุทธ รักษาศีล สวดมนต์ ไหว้พระ เพื่อหวังรวย หวังแคล้วคลาด รวมไปถึงการหวัง “เพื่อการเกิดในสวรรค์ เพื่อจะได้วิมาน (คือมีความหมายเป็นกามคุณอย่างยิ่ง)” 
     ในคู่มือพ้นทุกข์ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๑๗๙ ได้รวมไปถึงอธิบายได้ด้วยว่า
     การกระทำเหล่านั้น จัดเป็นสีลัพพตปรามาสหรือไม่ เพราะ


    “เพราะเหตุว่า ศีลและวัตรต่างๆนั้น ท่านไม่ได้บัญญัติขึ้นเพื่อความมุ่งหมายอย่างนั้น ท่านบัญญัติไว้เพื่อขูดเกลาความเห็นแก่ตัว หรือ ขุดเกลากิเลสให้เบาบาง ให้มีความยึดมั่นถือมั่นในตัว หรือ ของตัว น้อยลงต่างหาก เมื่อเปลี่ยนจุดมุ่งหมายให้มากลายเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว ก็จะพอกพูนความเห็นแก่ตัว เอาอะไรๆมาเข้าข้างตัว ทำไปตามอำนาจของกิเลสและตัณหาหรือทิฏฐิเหล่านี้แล้ว มันก็เท่ากับมีมือสกปรกมาลูบคลำศีลและวัตรของบุคคลนั้นที่ควรจะบริสุทธิ์สะอาดนั้นให้กลายเป็นสกปรกไป”

________________________________
พุทธทาสภิกขุ คู่มือพ้นทุกข์ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๑๗๙




     เพื่อไม่ให้การกระทำของเราเป็นไปในลักษณะของสีลัพพตปรามาส เราจึงต้องมีโยนิโสมนสิการ (การทำในใจโดยแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคาย คือพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริง โดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะองค์ประกอบ จนมองเห็นตัวสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย ) ต้องรู้จุดมุ่งหมายของการกระทำของเราเอง เพื่อให้ปฏิบัติถูกต้องตามธรรม และสัมพันธ์ กลมกลืนกับธรรมที่มารับช่วงต่อ เนื่องจาก

    “เมื่อมองในแง่ปรมัตถ์ (มิใช่ในแง่ทิฏฐธัมมกัตถ์ สัมปรายิกัตถ์ ปรัตถะ หรือในแง่สังคม) ศีล สมาธิ ปัญญา ต่างก็มีจุดหมายสุดท้ายเพื่อนิพพานเหมือนกัน แต่เมื่อมองจำกัดเฉพาะตัวแต่ละอย่าง มีขีดขั้นขอบเขตของตนที่ต้องไปเชื่อมต่อกับอย่างอื่น จึงจะให้บรรลุจุดหมายสุดท้ายได้ลำพังอย่างหนึ่งอย่างเดียวหาสำเร็จผลล่วงตลอดไม่ แต่จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดเสียทีเดียวก็ไม่ได้
     จึงมีหลักว่า ศีลเพื่อสมาธิ สมาธิเพื่อปัญญา ปัญญาเพื่อวิมุตติ ถ้าปฏิบัติศีลขาดเป้าหมาย ก็อาจกลายเป็นสีลัพพตปรามาส ช่วยส่งเสริมอัตตกิลมถานุโยค ถ้าบำเพ็ญสมาธิโดยไม่คำนึงถึงอรรถ ก็อาจหมกติดอยู่ในฤทธิ์ปาฏิหาริย์  ส่งเสริมมิจฉาทิฏฐิบางอย่าง หรือส่งเสริมติรัจฉานวิชาบางประเภท ถ้าเจริญปัญญาชนิดไม่เป็นไปเพื่อวิมุตติ ก็เป็นอันคลาดออกนอกมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ไปสู่จุดหมายของพุทธศาสนา อาจหลงอยู่ข้างๆระหว่างทาง หรือติดค้างในมิจฉาทิฏฐิแบบใดแบบหนึ่ง”

__________________________________________
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม หน้า ๔๔

หากเราเพียงปฏิบัติตามๆกันไปโดยไม่ทราบเหตุผลที่แท้ ก็คงเป็นเรื่องยาก ที่เราจักที่จะได้รับประโยชน์จากศาสนาอย่างแท้จริง


ที่มา http://www.oknation.net/blog/nadrda2/2012/03/19/entry-1 Posted by ณัฐรดา
ขอบคุณภาพจาก http://cdn.gotoknow.org/,http://www.rakbankerd.com/,http://www.rd1677.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 26, 2013, 11:22:53 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28366
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: สีลัพพตปรามาส คือ อะไร กันแน่
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 26, 2013, 12:02:42 pm »
0
ask1

    ถ้า สีลัพพตปรามาส เป็นการคลายความยึดถือ ที่ผิด เช่น การบวงสรวง การปลุกเสก พิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา นั้นจัดเป็น สีลัพพปรามาส หรือ ไม่ครับ

     thk56


สังโยชน์ 10 (กิเลสอันผูกใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือผูกกรรมไว้กับผล)
   ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 (สังโยชน์เบื้องต่ำ เป็นอย่างหยาบ เป็นไปในภพอันต่ำ)
       1. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน เป็นต้น)
       2. วิจิกิจฉา (ความสงสัย, ความลังเล ไม่แน่ใจ)
       3. สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร)
       4. กามราคะ (ความกำหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ)
       5. ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง)


   ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 (สังโยชน์เบื้องสูง เป็นอย่างละเอียด เป็นไปแม้ในภพอันสูง)
       6. รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ)
       7. อรูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ)
       8. มานะ (ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่)
       9. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน)
     10. อวิชชา (ความไม่รู้จริง, ความหลง)


    สังโยชน์ 10 ในหมวดนี้ เป็นแนวพระสูตร หรือ สุตตันตนัย แต่ในบาลีแห่งพระสูตรนั้นๆ มีแปลกจากที่นี้เล็กน้อย คือ ข้อ 4 เป็น กามฉันท์ (ความพอใจในกาม) ข้อ 5 เป็น พยาบาท (ความขัดเคือง, ความคิดร้าย) ใจความเหมือนกัน

__________________________________________________
อ้างอิง  สํ.ม. 19/349/90; องฺ.ทสก. 24/13/18; อภิ.วิ. 35/976-977/509.
ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


     [๗๘๓] สีลัพพตุปาทาน เป็นไฉน?
     ความเห็นว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยศีล ด้วยพรต
     ด้วยศีลพรต ของสมณพราหมณ์ในภายนอกแต่ศาสนานี้ ดังนี้
     ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ
     ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ
     การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า สีลัพพตุปาทาน.

__________________________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔  พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑ ธรรมสังคณีปกรณ์
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=34&A=6840&Z=6903&pagebreak=0


      ans1 ans1 ans1

      คีย์เวิร์ดของคำว่า "สีลัพพตปรามาส" คือ งมงาย     
      งมงาย แปลว่า อะไร
      พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ อธิบายไว้ว่า
      "หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือเหตุผลของผู้อื่น."

      คำว่า "การบวงสรวง การปลุกเสก พิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา" ที่คุณdrift-999 กล่าวถึง
      แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าไม่เคยกำหนดว่า ต้องทำ
      พิธีกรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ มีแค่บรรพชาและอุปสมบทเท่านั้น
      ซึ่งพิธีบวชเณรบวชพระในปัจจุบัน มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งโดยคนรุ่นหลังทั้งสิ้น


       "การบวงสรวง การปลุกเสก พิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา"
        หากทำไปโดยไม่งมงาย ก็ไม่ถือว่า เป็นสีลัพพตปรามาส
        อย่างไรก็ตาม คนที่ทำอะไรโดยปราศจาก สีลัพพตปรามาส ต้องเป็นอริยบุคคลเท่านั้น
        อย่างน้อยต้องเป็น โสดาบัน (โสดาบันละสังโยขน์สามข้อแรกได้)


        ในแง่ของปุถุชนแล้ว การหลงเชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผล
        สักแต่ว่าทำกันต่อๆมา ล้วนเป็นสีลัพพตปรามาสทั้งสิ้น

        "การบวงสรวง การปลุกเสก พิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา" ที่ทำตามๆกันมา
        ส่วนหนึ่งพระท่านไม่อยากขัดโยม เพราะโยมทำอย่างนั้นแล้วสบายใจ เลยไม่อยากขัด
        หากขัดคอญาติโยมบ่อยๆ ศรัทธาจะหดครับ ขอคุยเท่านี้

         :25: :25: :25:
     
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Mario

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 208
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สีลัพพตปรามาส คือ อะไร กันแน่
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: เมษายน 26, 2013, 03:56:46 pm »
0
 st11 st12
บันทึกการเข้า
hero ผู้ปราบอธรรม มาแว้ว
มาเพราะยายกบ เป็นคนชวน
ฝากตัวด้วยไม่ถนัดเว็บ ธรรม
แต่เป็น hero ต้องไม่กลัว ธรรม

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สีลัพพตปรามาส คือ อะไร กันแน่
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: เมษายน 27, 2013, 12:20:27 am »
0
 st11 st12
บันทึกการเข้า