ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สิ่งใด สิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา  (อ่าน 11553 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
   
    สิ่งใด สิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
   
   

    สิ่ิงใด สิ่งหนึ่ง นั้น ก็คือ ธาตุ ประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาติ ภายใต้ กฏแห่งธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา
    ดังนั้น ธาตุ จึงมีรูป ลักษณะ ความแปรปรวน เป็นธรรมดา การเห็นตามจริง เช่นนี้ จะทำให้ พระโยคาวจร เกิดความฉลาด ไม่ยึดติดในรูป ร่าง ลักษณะ  ความแปรปรวน เพราะรู้เห็นว่า มันเป็นธรรมดา การมองเห็น ว่า สิ่งใด สิ่งหนึ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา จะทำให้จิตของพระโยคาวจร ที่กำลังมุ่งสู่ แก่นแห่งมรรค ผล ได้ รู้จัก การสละ รู้ละ รู้ปล่อยวาง ไม่ปรุงแต่ง นามรูป ให้ซับซ้อน

    การมองเห็นเช่นนี้จัดได้ว่า เป็นเรื่องธรรมดา เบื้องต้น แต่ ความธรรมดา นี้ ก็คือ ธัมมะจักษุ จัดได้ว่าเป็น ดวงตาเห็นธรรม ในระดับ พระโสดาบัน ในฝ่าย สุกขวิปัสสก เป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้ สามารถละตัดสังโยชน์ ได้ 3 ประการ คือ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่านั่นเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัว เป็นตนของเรา ได้ ประการที่หนึ่ง การละตัดสังโยชน์ประการที่หนึ่ง นี้จะเป็นแรงผลักดัน ให้ข้ามพ้น การถือศีลอย่างผิด คือ ถือศีลไปในทางก่อเกิดความเป็นอัตลักษณ์ ตัวตน แต่ จะเปลี่ยนการถือศีล เป็นการมีศีล รักษ์ศีล เพื่อปรมัตถ์บารมี คือการทรงตนดำรงตน เพื่อมรรคผลนิพพาน เท่านั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ แก่นธรรมอันเป็นสาระ ก็จะไม่เอนเอียง จักเกิดความเคารพเลื่อมใสศรัทธา อันประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิ เห็นถูก ในอริยสัจจ์ 4 ประการ ด้วยดวงตาแห่ง อาสวักขยญาณเบื้องต้น ความสิ้นสงสัยในมรรค ผล นิพพาน ก็จักสิ้นไป นั่นหมายถึง ไม่มีอะไรที่จะมาเปลี่ยน พระโสดาบัน ให้คลายจาก มรรค ผล และ นิพพาน ได้ อีกต่อไป

    การที่มาถึงจุดนี้ได้ นับว่า พ้นจากอบาย ไม่มีกำเนิดอื่น ๆ อีกแล้ว นอกจาก มนุษย์ และ เทวดา

    การเห็นตามความเป็นจริง เป็นสิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติ แห่ง ดวงตาเห็นธรรม

    เห็นตามความเป็นจริง คือการเห็น สองประการ
      ประการที่หนึ่ง   คือ เห็นความเกิดขึ้น  และ
      ประการที่สอง   คือ  เห็นความเสื่อมไป
     เห็นทั้งด้านดี เห็นทั้งด้านไม่ดี เห็นสิ่งที่เป็นคู่ ไม่ใช่เห็นเพียงแต่ด้านเดียว
     เห็นเขาสรรเสริญ ก็ต้องเห็นเขานินทา
     เห็นได้ลาภ ก็ต้องเห็นเสื่อมลาภ
     เห็นได้ยศ ก็ต้องเห็นเสื่อมยศ
     เห็นในความสุข ก็เห็นในความทุกข์
   
    สรุปคือเห็นตามความเป็นจริง ทั้งสองด้าน

    ที่นีี้การเห็นตามความเป็นจริง ควรเริ่มอย่างไร

    1.เห็นว่าทุกข์ มีสาเหตุ ไม่ใช่ทุกข์ จะเกิดขึ้นมาลอย ๆ ได้ เห็น ว่าสาเหตุแห่งทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

       1.1 เห็นว่าทุกข์ เป็นอย่างนี้
       1.2 เห็นว่าทุกข์ ให้คุณและโทษ มีผลอย่างนี้
       1.3 เห็นว่าทุกข์ นั้นเรากำหนดรู้จัก ได้ดีแล้ว
       การ กำหนด ทุกข์ ได้แล้วนั่นแหละ ถึงจะเรียกว่า ถึงคำว่า ทุกขสัจจะ ความจริงแห่งทุกข์
   
     อย่า ลืม คำว่า  ความจริงแห่งทุกข์ อันพระอริยะเห็นได้แล้ว เรียกว่า ทุกข์อริยะสัจจะ

    2.เห็นว่า สาเหตุแห่งทุกข์ เป็นต้นตอที่มาของทุกข์ การหาสาเหตุแห่งทุกข์ ก็คือหาตัวการและปัญหาตัวจริงที่ทำให้ทุกข์ เกิด และ ทุกข์ หากคนเราเกิดมาตั้งอยู่ มีชีิวิต แล้วไม่ทุกข์ การหาจุดสิ้นสุดทุกข์ ก็ไม่มีความจำเป็น

       2.1 เห็๋นว่า สาเหตุทุกข์ เป็นอย่างนี้
       2.2 เห็นว่า สาเหตุทุกข์ ให้คุณและผลอย่างนี้
       2.3 เห็นว่า สาเหตุทุกข์ เรากำหนดได้แล้ว
      กำหนด สาเหตุแห่งทุกข์ ได้แล้วนั่นแหละ ถึงจะเรียกว่า ถึงคำว่า สมุทัยสัจจะ ความจริงอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์

    3.เห็นว่า ความดับแห่งทุกข์ เป็นที่บรมสุข ( เพราะ ทุกข์ดับ สุข จึงเกิด )
     
       3.1 เห็นว่า ความดับแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้
       3.2 เห็นว่า ความดับแห่งทุกข์ ให้คุณและผลอย่างนี้
       3.3 เห็นว่า ความดับแห่งทุกข์ เรากำหนดได้แล้ว   
      กำหนด ความปราศจากทุกข์ ได้แล้วนั่นแหละ ถึงจะเรียกว่า ถึงคำว่า นิโรธสัจจะ ความจริงแห่งความดับไปแห่งทุกข์

    4.เห็นว่า หนทางแห่งความดับทุกข์ เป็นสิ่งจริงแท้ตรงต่อการข้ามห้วงแห่งวัฏฏะสงสาร

      4.1 เห็นว่า หนทางนี้แลเป็นหนทางอันเอกเป็นทางสายกลาย เป็นที่ถึงพร้อมแห่งความดับทุกข์ เป็นอย่างนี้
      4.2 เห็นว่า หนทางนี้แลเป็นหนทางอันเอกเป็นทางสายกลาย ให้คุณและผลอย่างนี้
      4.3 เห็นว่า หนทางนี้แลเป็นหนทางอันเอกเป็นทางสายกลาย เรากำหนดได้แล้วเข้าใจแล้ว รู้จักแล้ว
      กำหนดได้แล้วนั่นแหละ ถึงจะเรียกว่า ถึงคำว่า มรรคสัจจะ ความจริงแห่งหนทางของพระอริยะ

   การกำหนดได้ ก็คือการภาวนา นั่นเอง

   อันที่จริง พระธรรมไม่ได้ซับซ้อนมาก เพียงแต่ กิเลส อนุสัยของเราทั้งหลาย ซับซ้อนมาก เวลาถอดออกก็ต้องค่อยรื้อ ที่ละส่วนแต่บางท่าน ใช้วิธี ทุบ หรือ เผาทำลาย กิเลส ที่เรียกว่า ตบะ ที่นี้ท่านทั้งหลายเมื่อทำอย่างนี้ต้องมีความตั้งใจสูง มีกำลังบารมีเพียงพอ เพราะใช้แรงเยอะ

   ดังนั้นท่านที่มุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง จึงหายเข้าไปในป่า ในเขาเป็นจำนวนหนึ่ง แต่เราท่านทั้งหลายที่ยังต้องใช้ชีิวิตในสังคม ที่มีแต่ความวุ่นวายด้วยความต้องการแห่งโลกีย์วิสัย ของโลกธรรม จึงควรทำตามกำลังด้วยการภาวนาไปเป็นลำดับ ถอดที่ละชิ้น ถอดที่ละส่วน เพื่อเห็นธรรมอันเป็นแก่นสาร คือ พระนิพพาน


     ขอให้ท่านทั้งหลาย จงถึงฝั่งแห่งที่ไม่มีน้ำ จงมาถึงที่ไม่มีน้ำเถิด จงละจากกามคุณเสีย เป็นผู้ไม่มีความกังวล จงทำความยินดีต่อพระนิพพาน อันเป็นที่สงัด อันสัตว์ที่ถูกวัฏฏะสงสารครอบงำ จะยินดีได้โดยยาก

      พระพุทธองค์ พระพุทธเจ้า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นนาถะแห่งโลก ทรงตรัสไว้ว่า
      อันโครงเรือนของเจ้า เราหักเสียแล้ว
      ยอดเรือน เราก็รื้อเสียแล้ว
      เจ้าจะทำเืรือนให้เรา ไม่ได้อีกต่อไป
      เราได้ถึงแล้ว ซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา

      หากท่านทั้งหลาย ยังมีความมุ่งมั่นจะเป็นพุทธสาวก ในชาติปัจจุบันนี้ จงโปรดทบทวน ในข้อธรรม ที่พระอาจารย์ ชี้แนะอย่าง มนสิการ จงทำไว้ในใจ อย่างแยบคาย ด้วยอุบายแห่งพระกรรมฐาน จงเจริญสมถะวิปัสสนาญาณ อันสมควรแก่ ฐานะ แห่งพุทธสาวก นี้ด้วยความประมาท เถิด

     มอบให้ไว้แด่ทุกท่าน เป็นกำลังใจ แก่ท่าน ต้นปี พ.ศ. 2558

     เจริญธรรม / เจริญพร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 07, 2015, 10:56:03 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ข้อความธรรม รอก่อน กำลังจัดพิมพ์ การจัดพิมพ์ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ทำให้คิดถึงลูกศิษย์ ที่พิมพ์เก่ง ๆ หลายท่าน

  ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

nongyao

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 380
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
กราบนอบน้อมพระพุทธเจ้าอันเป็นอดีต อนาคต แลปัจจุบัน ด้วยเศียรเกล้า
                 พุทธัง  ธัมมัง  สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
                       
                         ข้าพเจ้าจักขอทำเหตุที่ดี

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านแล้ว ซึ้งในเรื่องนี้ ผมอ่านหลายรอบ ตั้งแต่ บ่ายแล้ว พิจารณากลับไปกลับมา ถือเป็นมงคลธรรมต้นปี สำหรับผมจริง ๆครับ สำหรับคนอื่น ผมไม่รู้นะครับ แต่ส่วนตัว รู้สึกปีติมากที่ได้อ่าน ครับ

  st11  :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ

Hero

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 557
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
ทำไมต้องมีอินทรีแดง เพราะสังคมเราบางครั้งก็ตาบอด
ปล่อยให้คนดี เดือดร้อน ดังนั้นจึงต้องมีผู้ปกป้องคนดี
hero ไม่ได้มีแต่ในหนังเท่านั้น นะครับ

Hero

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 557
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ไฟล์เสียง เรื่องนี้ อัพโหลดไว้หรือยังครับ

 :s_good:
บันทึกการเข้า
ทำไมต้องมีอินทรีแดง เพราะสังคมเราบางครั้งก็ตาบอด
ปล่อยให้คนดี เดือดร้อน ดังนั้นจึงต้องมีผู้ปกป้องคนดี
hero ไม่ได้มีแต่ในหนังเท่านั้น นะครับ

bajang

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 325
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนา สาธุ
 เป็นพระธรรม ที่ธรรดา แต่ ไม่ธรรมดา


 :c017: thk56 st12
บันทึกการเข้า

Roj khonkaen

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 414
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอไฟล์เสียง ได้หรือ ไม่ครับ เรื่องนี้ คือ อยากวิเคราะห์ คำสอน คำพูด ให้มาก ถึงความหมาย เพราะรู้สึก ตะขิดตะขวงใจ ว่า เป็นอย่างไร กับความหมายของเรื่องนี้ ...

  อาจจะพูดตรงไป ตรงมาหน่อย นะครับ แต่ เพราะต้องการวิเคราะห์ วัตถุประสงค์ของผู้พูด ต้องการอะไรกันแน่


   st11 st12 st12

 
บันทึกการเข้า

Skydragon

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอไฟล์เสียง ได้หรือ ไม่ครับ เรื่องนี้ คือ อยากวิเคราะห์ คำสอน คำพูด ให้มาก ถึงความหมาย เพราะรู้สึก ตะขิดตะขวงใจ ว่า เป็นอย่างไร กับความหมายของเรื่องนี้ ...

  อาจจะพูดตรงไป ตรงมาหน่อย นะครับ แต่ เพราะต้องการวิเคราะห์ วัตถุประสงค์ของผู้พูด ต้องการอะไรกันแน่


   st11 st12 st12


 แปลกเนอะ จะวิเคราะห์ไปทำไม ครับ มี ครูอาจารย์ มากมาย ในประเทศไทย ถ้าไม่ชอบใจท่าน จะเอาไฟล์เสียงไปฟังทำไม ครับ งง งง งง


   :67: :character0029: :character0029:
บันทึกการเข้า

vichai

  • ศิษย์ตรง
  • พอพึ่งพาได้
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 207
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
นับว่าเป็น ธรรมะ ต้นปี ที่พระอาจารย์ คัดกรองมาให้ พวกเราอ่านเข้าใจ ง่าย ๆ นะครับ

  st11 st12 st12
บันทึกการเข้า
มาศึกษาธรรมะ ครับ ยินดีรู้จักทุกท่านที่เป็นกัลยาณมิตร ครับ
เครดิต คุณกบแย้มกะลา

ngamta

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 11
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า

สถาพร

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 220
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อยากเรียนถาม ขั้นตอน ที่เป็นปฏิบัติ สำหรับการ เข้าถึง ประโยคธรรมนี้ครับ

  :25: thk56
บันทึกการเข้า
ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ธรรมที่ฉัน พยายาม แนะนำท่านทั้งหลาย เบื้องต้น ก็คือ

  คุณธรรม ของ พระโสดาบัน

  ไม่มีคุณธรรม พระโสดาบัน ไม่ต้องไปคิดเรื่องการเป็นพระอรหันต์

  เพราะคุณธรรม ในพุทธศาสนา ไม่มีการก้าวกระโดด ต้องไปตามขั้นตอน ถึงแม้จะฉับพลันก็ตาม ก็ต้องผ่านไปตามลำดับขั้นตอน ในการบรรลุ ไม่มีใครก้าวกระโดดไปได้ โดยไม่ผ่านลำดับ


  หากใครเห็นธรรม ก็จงอ่านให้ดี ก็จะจับหลักการภาวนาถูก

  พระพุทธศาสนา สอนหลัก

    ปัญญา ศีล และ สมาธิ

   ไม่ใช่ ศีล สมาธิ และ ปัญญา

    โปรดทบทวนให้ดี อริยมรรคมีองค์ 8 เริ่มจากปัญญา ไปสู่ ศีล และ จึงไปจบ ที่ สมาธิ

   ดังนั้น บกพร่องอะไรอยู่ ก็แก้ไขข้อบกพร่องนั้น บางท่านอาจจะติดขัดที่ศีล บางท่านอาจจะติดขัด ที่ สมาธิ บางท่านอาจจะติดขัดที่ปัญญา คือการไม่รู้แจ้ง ในอริยสัจจะ 4 ประการจริง ๆ ดังนั้นเวลาเข้าวัด พระสงฆ์ก็จะจัดการเรื่อง ของปัญญา โดยการมอบธรรม สอนธรรม แนะนำธรรม ในขณะที่มีการพอกพูนศีล และ ให้ความสำคัญกับสมาธิ น้อย มาก ดังนั้นผู้ภาวนาส่วนใหญ่ จึงยังไม่สำเร็จคุณธรรม กัน

   ในยุคนี้ พระอรหันต์ ( เก๊ ) สวนทางกับ พระอรหันต์ ( แท้ )

    พระอรหันต์ ในสมัยก่อน พอบรรลุธรรม ปั๊ป ก็จะรีบเข้ามา อุปสมบถ เป็นพระภิกษุ

   ในยุคปัจจุบันนี้ พอคิดว่าบรรลุ ก็ พากันออกไปเป็น ฆราวาส ประกาศธรรม และ หมิ่น สังฆรัตนะ นั่นก็คือการย่ำยี ทำลายพระพุทธศาสนา ทางตรง นั่นก็คือ ถอดถอน พระสงฆ์ ซึ่งพระพุทธเจ้ารวมพระสงฆ์ ที่สมมุติสงฆ์ และ อริยะสงฆ์ เป็นสงฆ์ ไม่ใช่แต่พระอริยะสงฆ์ เป็นสงฆ์เท่านั้น นี่คือผิดพลาดที่ฉันเริ่มมองเห็น แล้ว ตอนนี้ ขณะนี้ได้เกิดบรรดา อรหันต์(เก๊) ฆราวาส มากมาย ที่อ้างนั่น อ้างนี่ สาระพัที่จะทำและชักชวน ให้คนเดินตามเขา ตามแนวทางเขา โดยอ้างว่า เป็นพระมีข้อจำกัดในการสอน เป็นต้น ฉันเองเมื่อก่อน ก็คิดอย่างนั้นแต่ตอนนี้ หลังจากผ่านพรรษานี้ ใช้จึงรูถึงความสำคัญ ของ วินัย สงฆ์

   พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ก่อนปรินิพพาน ว่า ธรรมและวินัย จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ไม่ใช่ตรัสแค่ธรรม แต่ตรัส ถึง วินัย รวมอยู่ในนั้นด้วย

   ดังนั้นท่านที่ฉลาดในธรรม มีวาสนาร่วมกันกับฉัน ก็พึ่งอ่านทบทวน ธรรมะที่มอบให้ หลาย ๆ ครั้ง เพื่อพอกพูนนิพพิทาญาณ จนไปสู่การเป็นพุทธสาวก ( คือ พระโสดาบัน ) อย่าให้ขาด

   เจริญธรรม / เจริญพร เบื้องต้นเท่านี้ก่อน


  ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

VongoleX

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 402
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
ผู้พิทักษ์รุ่นที่ 10 แห่ง Vongole จับมือกับ แก็งค์ อ๊บ อ๊บ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ