ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิ พิชิตความปวด  (อ่าน 2653 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

เท่ากับผลรวม

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 169
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
สมาธิ พิชิตความปวด
« เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 10:56:55 pm »
0

มาแบ่งปันความรู้ ครับ

ตอนที่ 96 สมาธิ พิชิตความปวด

สวัสดีครับ


พอดีทำงานกับผู้ป่วยทุกโรค รู้สึกโรค AS สาเหตุจะซับซ้อนมากกว่า มะเร็ง

มะเร็ง คนจะเป็นมากกว่า ลองเทียบเคียงได้ครับ


สมาธิ พิชิตความปวด


คุณอรทัย ชัยฐานียชาติ เคยป่วยเป็นมะเร็งเต้านม และได้รับการผ่าตัดแล้วเธอเป็นผู้ที่แพ้ยาทุกชนิดในการผ่าตัด
เธอจึงเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดมาก แต่เธอใช้วิธีทำสมาธิเพื่อระงับความปวด และได้ผลอาการปวดลดลง
ตามที่ “หมอชาวบ้าน” เคยสัมภาษณ์เรื่องราวของเธอลงในคอลัมน์เปลี่ยนชีวิต ฉบับ ๒๑๕ มีนาคม ๒๕๔๐ แล้วนั้น
บทความต่อไปนี้คุณอรทัยได้บันทึกประสบการณ์ในการปฏิบัติตนของเธอขณะเจ็บป่วย
เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเผื่อว่าผู้อ่าน “หมอชาวบ้าน” สนใจจะนำไปปฏิบัติบ้าง

มะเร็ง กายมะเร็งใจ
หลังจากดิฉันได้ผ่าตัดเต้านม เนื่องจากเนื้องอกเป็นมะเร็งจึงทำให้ใคร่รู้ในเรื่องมะเร็งมากขึ้น
นอกจากจะสอบถามจากคุณหมอรักษาแล้วยังได้หาหนังสือเกี่ยวกับโรคมะเร็งและ
อาหารต้านมะเร็งมาอ่านหลายเล่มก็พอจะสรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้

โรค มะเร็ง เกิดขึ้นจากสารพิษหรือสารก่อมะเร็ง เข้าสู่ร่างกายมากเกินกว่าที่ร่างกายจะขับออกมาได้หมด
ดังนั้นร่างกายจึงพยายามกำจัดสารพิษให้อยู่เป็นที่ โดยสะสมในรูปของเนื้องอกหรือมะเร็ง
เนื้องอกหรือมะเร็งเปรียบเสมือนโรงเก็บสารพิษจากกระแสเลือดนั่นเอง
การก่อตัวของมะเร็งนั้นจะใช้เวลานานประมาณ ๑๐ - ๓๐ ปี ซึ่งในช่วงเวลาอันยาวนานนี้เซลล์ปกติจะค่อยๆ
เปลี่ยนรูปไปทีละน้อยในทางเสื่อม ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยเซลล์จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านเซลล์
และในจำนวนนี้ ถ้าหากว่ามีเพียงหนึ่งเซลล์ที่กลายเป็นเซลล์มะเร็ง แบ่งตัวเองประมาณ ๓๐ - ๓๒ ครั้ง
จะมีเซลล์มะเร็งประมาณร้อยละล้านเซลล์ ซึ่งทำให้เกิดก้อนมะเร็งขนาดครึ่งเซนติเมตร
และถ้าหากว่ามันแบ่งตัวไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอะไรไปขัดขวางจนกระทั่งเกิดเซลล์มะเร็งในร่างกายทั้งหมดหนึ่งล้าน
เซลล์จะทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้

นี่คือ การก่อเกิดของมะเร็งทางร่างกาย ซึ่งไม่มีใครทราบได้เลยว่าขณะนี้ในร่างกายของตนนั้นมีสารพิษหรือสารก่อ
มะเร็งมากน้อยสักเท่าไร กว่าจะรู้ก็เจอเป็นก้อนเนื้อร้ายเสียแล้ว บางคนอาจคิดว่าจนเองโชคร้ายเสียเหลือเกินที่เป็นโรคมะเร็งอย่างเช่นดิฉัน
เป็นต้น เมื่อได้ทราบจากคุณหมอ แรกๆ ดิฉันแทบจะหยุดความคิดปรุงแต่งไม่ได้
แต่แล้วธรรมชาติก็ปราณีมนุษย์เสมอ หลังจากหายตกใจ เศร้าใจ และเสียใจแล้วก็มาถึงการทำใจ
ได้ค้นพบความปลอดโปร่งขึ้นมาแทน ต่อไปนี้ภาระต่างๆ ได้สิ้นสุดแล้ว เพราะจะต้องอยู่ในฐานะผู้ป่วยจำเป็น
จะต้องละวางภาระทางกายทางใจออกให้หมด เพื่อเตรียมตัวในการผ่าตัด

เอา ความเจ็บปวดเป็นกรรมฐาน
ดังที่ได้เล่าไปแล้วเมื่อครั้งที่ “หมอชาวบ้าน” สัมภาษณ์ลงคอลัมน์ “เปลี่ยนชีวิต” ถึงการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา
ทำให้จิตบรรลุถึงธรรมโอสถที่สามารถระดับความเจ็บปวดได้โดยไม่ต้องพึ่งพา ครั้งนี้ก็จะเล่าต่อเมื่อกายยังมีบาดแผลอยู่
ความเจ็บปวดก็คงยังมีอยู่เป็นธรรมดาจิตเมื่อคุ้นเคยกับความเจ็บปวด ก็ยึดเอาความเจ็บปวดเป็นอารมณ์กรรมฐานน้อมไปพิจารณาส่วนต่าง ๆ
ที่ประกอบเข้าเป็นร่างกาย จนปรากฏเห็นว่า ร่างกายนี้ก็สักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติทั้งสี่ มีธาตุน้ำ ดิน ลม ไฟ
มาประชุมกัน ตั้งอยู่ได้ไม่นาน ผลสุดท้ายก็ต้องแตกดับไปตามกาลเวลา
ธาตุทั้งสี่ก็จะแยกออกจากกันไปสู่สภาวะของแต่ละธาตุไม่มีส่วนใดที่จะเข้าไป
ยึดถือว่าเป็นตัวตน บุคคล เรา เขา เมื่อจิตดำเนินการพิจารณาอายอยู่นั้นความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
จึงเกิดขึ้นเต็ม รูปแบบ พร้อมกับการตื่นของธาตุรู้หรือพุทธะ

เมื่อธาตุรู้ถูกปลุก ให้ตื่นการทำหน้าที่ของธาตุรู้ดำเนินต่อไป ดังนี้

๑. แยกจิตออกจากกาย จะเห็นได้ว่าจิตก็คือจิต กายก็คือกาย ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน
เหมือนน้ำกับน้ำมัน เมื่อกายป่วยจิตจะป่วยไปด้วย นอกจากจิตไม่ป่วยแล้ว
จิตยังมีส่วนช่วยกายเข้าสู่ความเป็นปกติได้เร็วขึ้น

๒. แยกความอยากออกจากความหิว เมื่อร่างกายเกิดอาการหิวโดยปกติแล้วความอยากจะเข้ามาผสมโรง
ทำให้แสวงหาของเอร็ดอร่อยมาบริโภค แต่เมื่อธาตุรู้แยกความอยากออกไปร่างกายเกิดความต้องการ (หิว)
ปัญญาจะออกมาทำหน้าที่ นั่นก็หมายความว่าการบริโภคก็เพื่อนำสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปบำรุงร่าง
กาย ให้ดำรงอยู่ได้ด้วยความเป็นปกติเท่านั้น การพิจารณาในการบริโภคจึงเกิดขึ้นในทุกขณะที่ร่างกายต้องการ

๓. แยกอารมณ์ออกจากความรู้สึก (เวทนา) ตามปกติเมื่อร่างกายกับสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นเย็น ร้อน อ่อน แข็ง
หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ด้วยอารมณ์ชอบไม่ชอบก็จะเข้ามาผสมโรงทำให้เกิดความอยากที่จะกระทำการอย่างได
อย่างหนึ่งไปตามอารมณ์ แต่เมื่อธาตุรู้ได้แยกอารมณ์ออกไปแล้ว ทุกอย่างที่มากระทบก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
ปัญญาก็จะจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบตามเหมาะตามควรต่อไป

๔. แยกความปรุงแต่งฟุ้งซ่านออกจากความคิด ตามปกติเมื่อคนเราคิดอะไรแล้วมักจะหยุดไม่ได้
บางครั้งถึงกับนอนไม่หลับ นั่นก็เป็นเพราะความปรุงแต่งฟุ้งซ่านเข้ามาผสมโรงเมื่อธาตุรู้แยกความปรุง
แต่งฟุ้งซ่านออกไปแล้ว ก็จะเหลือแต่ความคิดล้วนๆ ซึ่งเป็นอิสระ คิดแล้วเมื่อไม่มีประโยชน์ก็หยุดได้
การสำรวม กาย วาจา ใจ ก็จะเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับความคิด

เมื่อดิฉันฝึกสมาธิวิปัสสนาตามแนว หลวงพ่อเทียนใหม่ๆ ท่านได้เล่าให้ฟังว่า
การปฏิบัติอย่างที่ท่านแนะนำให้ทำอยู่นี้เป็นการปฏิบัติเพื่อให้รู้สึกตัว
เมื่อพละอินทรีย์แก่กล้าก็จะไปเขย่าธาตุรู้หรือพุทธะให้ตื่น ท่านบอกว่า ทุกคนสามารถบรรลุได้
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนไทย จีน ฝรั่ง หรือว่าเชื้อชาติใด ภาษาใด ฐานะใด ก็แล้วแต่
ถ้ามีความพยายามต่อเนื่องสามารถบรรลุได้ภายในหนึ่งวัน ภายในเจ็ดวัน ภายในเจ็ดเดือน
ภายในเจ็ดปี ถ้าจำไม่ผิดก็คงจะกว่าเจ็ดปีแล้วกระมัง กว่าธาตุรู้ของดิฉันจะถูกปลุกให้ตื่น
มะเร็งมีส่วนช่วยเขย่าธาตุรู้ของดิฉันให้ปรากฏ ถ้าหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านคงจะภูมิใจว่าสิ่งที่ท่านได้ค้นพบ
และนำมาพร่ำสอนแก่สาธุชน ตลอดชีวิตการบรรลุธรรมของท่านนั้น ได้สัมฤทธิ์ผลตามที่ท่านได้ยืนยันไว้
แม้แต่ฆราวาสผู้ครองเรือนถ้าใฝ่ใจต่อการปฏิบัติ แม้จะให้ผลช้าตามฐานะ
ก็คุ้มค่าต่อการพิสูจน์ก็ขอระลึกถึงหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง

การ บรรลุถึงธาตุรู้หรือพุทธะของดิฉันนั้นคงจะแปลกกว่าท่านอื่นๆ ตรงที่ธาตุรู้ถูกปลุกให้ตื่นโดยมีความเจ็บป่วยเป็นผู้ช่วย
ทุกอย่างมีคุณและมีโทษ ความเจ็บป่วยถ้ารู้จักหาประโยชน์ ก็จะได้ประโยชน์มหาศาล ตามที่ได้เล่ามาเพราะความเจ็บป่วยสำหรับดิฉันนั้น
พาไปสู่ความพ้นทุกข์จะเห็นได้ว่าจิตเองก็เป็นมะเร็ง ธาตุรู้เปรียบเสมือนหมอผ่าตัดเมื่อรู้ว่าเซลล์มะเร็งอยู่ส่วนใดของร่างกายก็
ทำการผ่าตัดทิ้งไปคงเหลือแต่เซลล์ดีๆ ไว้ให้ร่างกายมีชีวิตอยู่

สำหรับ มะเร็งใจ จะสามารถรู้ได้โดยวิธีการปฏิบัติสมาธิ เพื่อเขย่าธาตุรู้ให้ตื่น เมื่อธาตุรู้ปรากฏปัญญาก็จะกลายเป็นหมอผ่าตัด
แยกแยะมะเร็งร้ายออกจากจิตใจได้เอง เมื่อมะเร็งร้ายโดนกำจัดออกไปจากจิตใจ ความสะอาด สว่าง สงบ ก็จะเกิดขึ้นมาแทน
ขอผู้ป่วยทั้งหลายอย่าเศร้าโศกนาน จงเร่งหาข้อดีจากความเจ็บป่วย ในการป่วยแต่ละครั้งอย่างน้อยก็ขอให้รู้จักตัวเอง
เพราะการเจ็บป่วยจะมีญาติมิตรมาเยี่ยมให้กำลังใจซึ่งแสดงให้เห็นว่า เรามีความดีพอที่จะทำให้คนรอบข้างมาเอื้ออาทร
ความ เจ็บป่วยทำให้มนุษย์วางทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งเป็นของขวัญจากธรรมชาติ แม้ที่สุดร่างกายนี้ก็จะต้องแตกดับไป ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกท่านค่ะ

ในการเจ็บป่วยครั้ง นี้ ดิฉันพอจะสรุปได้ว่า

    * สารก่อมะเร็งทาง กาย ได้แก่สารพิษฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ควันพิษจากท่อไอเสียรถ
พาหะที่นำสารพิษหรือสารก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย ก็คือ อาหาร น้ำดื่ม อากาศ และขาดการออกกำลังกาย

วิธี ป้องกัน ให้ระวัง และพิจารณาอาหาร น้ำดื่ม ก่อนจะกินว่ามีความสะอาดมากน้อยเพียงใด มีธาตุอาหารที่ร่างกายต้องการครบห้าหมู่หรือไม่
ควรงดการสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า อากาศดี ก็ควรหาเวลาไปพักผ่อน ทำสมาธิใต้ต้นไม้ในป่า
หรือในสวนสาธารณะเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง และสุดท้ายควรจะได้ออกกำลังกายทุกวัน
หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ ๔ ครั้ง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงไว้ นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว
เหงื่อยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายได้ด้วย


    * สาร ก่อมะเร็งทางใจ ได้แก่ โลภ โกรธ หลง พาหะที่นำมา ก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

วิธีป้องกัน ให้สำรวม ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะเราจะไม่รู้เลยว่าใจเก็บสารก่อมะเร็งเหล่านี้ไว้มากน้อยสักเท่าไร
จนกว่าจะได้ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา ให้จิตได้สงบนิ่งนั่นแหละ ถึงจะเห็นสารก่อมะเร็งใจอย่างแท้จริง
เมื่อปฏิบัติจนเห็นมะเร็งใจแล้ว ใจเองก็จะต้องปลุกหมอขึ้นมา เพื่อจะผ่าตัดมะเร็งร้ายออกจากใจให้หมด
นั่นก็คือการปฏิบัติสมาธิเพื่อเขย่าธาตุรู้หรือพุทธะให้ตื่น ธาตุรู้หรือพุทธะคือหมอตัวจริง ที่จะผ่าตัดมะเร็งร้ายออกจากใจ
หน้าที่ของเรา คือ พยายามปลุกหมดให้ตื่นโดยการทำสมาธิ หมอมีอยู่แล้วในกายตน ไม่ต้องไปเที่ยวค้นหาจากที่ไหน
ยิ่งปลุกหมอให้ตื่นได้เร็วเท่าไร โอกาสที่จะปลอดจากมะเร็งร้ายในจิตใจก็มีมากขึ้น

จะเห็นได้ว่า มะเร็งกายนั้นต้องอาศัยคุณหมดที่ท่านมีความรู้ความชำนาญในเรื่องของร่างกาย
มาคอยตรวจรักษาให้ ส่วนมะเร็งใจนั้นตนเท่านั้นที่จะช่วยตนได้ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

http://www.doctor.or.th/node/2724
บันทึกการเข้า
ชีวิต นี้เพื่อพุึทธศาสน์

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: สมาธิ พิชิตความปวด
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2010, 08:35:17 am »
0
เป็นบทความ ที่มีประโยชน์ มากครับ เพราะเป็น เคสที่เกิดจริง จากประสพการณ์ จริง เพื่อน ที่ยังไม่ได้อ่าน

ผมแนะนำให้อ่าน ครับ

 ;)
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สมาธิ พิชิตความปวด
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2010, 09:28:24 am »
0
อ่านแล้ว คะ สาธุ กับคุณป้า ท่านด้วยนะคะ ที่มาแชร์ประสพการณ์ ชีวิต

นับว่าได้ความรู้ และ แนวทาง มั่นใจในการภาวนาเพิ่มขึ้น

สาธุ

 :25:
บันทึกการเข้า