ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สำหรับท่านที่ต้องการเป็นพระอริยะ ตั้งแต่พระโสดาบัน นี่เป็นขั้นตอนแรก ในวิปัสสนา  (อ่าน 5355 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


สำหรับท่านที่ต้องการเป็นพระอริยะ ตั้งแต่พระโสดาบัน นี่เป็นขั้นตอนแรก ในวิปัสสนา

  สำหรับวันนี้จะมาพูดหลักพื้นฐาน ในการประหารกิเลส ควรทำอย่างไร ?

  ควรทำดังนี้

  1. ต้องรู้จักกิเลส

  2.ต้องรู้อาการของกิเลส
 
  3.ต้องรู้เวลาที่กิเลสมันเกิด แล้ว จะดับกิเลสเบื้องต้นอย่างไร ท่ามกลางอย่างไร สิ้นสุดอย่างไร

  4.ต้องรู้ว่า กิเลสมันดับไป เพราะว่า ....

  5.ต้องรู้ว่า กิเลสไม่หวนกลับมาสู่ เราแล้ว


   การจะเป็นพระอริยะบุคคล ก็อย่างนีแหละนะ

   เอาหัวข้อแรกก่อน

    1. ต้องรู้จักกิเลส

       การรู้จักกิเลส ก็คือ การทักทายกิเลสได้ สามารถแยกแยะได้ ว่ากิเลส นั้น คือ กิเลสอะไร ??
       คนธรรมดา แยกไม่ได้ เพราะว่า การแยกกิเลส อาศัย เครื่องมือสองอย่างคือ

       สติ การระลึกตัวทั่วพร้อม
       สัมปชัญญะ การรู้ตัวอยู่เสมอ

       คุณธรรมสองอย่างนี้พัฒนา อยู่ อุปจาระสมาธิ ดังนั้น ถ้าท่านฝึก กรรมฐาน ห้องที่ 1 ห้องที่ 2 ห้องที่ 3 ในพระพุทธานุสสติ คุณสมบัติ ย่อมมีแก่ท่านแน่นอน ไม่ต้องห่วง

       ตัวกเลส ถ้าเอาแบบอภิธรรม คือ กิเลส 1500 ตัณหา 108 นี้ มันละเอีดยเกินไป ในสายการปฏิบัติ แค่แยก สามส่วนเท่านั้น คือ

      กิเลสที่เกิดเพียงส่วนเดียว คือ มี ราคะ มีโทสะ มีโมหะ ส่วนใดส่วนหนึ่ง
      กิเลสที่เกิดขึ้นสองส่วน คือ มีราคะมาก มีโทสะน้อย หรือ มีโทสะมาก มีราคะน้อย หรือ มีโมหะมาก มีโทสะน้อย อย่างนี้ เราเรียกว่า กิเลสที่เกิดสองส่วน คือมีอย่างหนึ่ง และมีอย่างหนึ่ง น้อย
      กิเลสที่เกิดสามส่วน ปนเป มีหนัก กลาง เบา  ยกตัวอย่าง ราคะ โทสะ กลาง โมหะเบา เป็นต้น

      ดังนั้นสิ่งที่ท่านต้องหัดเพื่อการเป็นการพระอริยะ ก็คือ การกำหนดรู้จักกิเลส 3 ประการ กิเลสเวลาที่เกิด ไม่มี 3 ตัวพร้อมกัน เพราะผลของกิเลส คือ ความทุกข์ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เมื่อเกิดจะส่งผลตัวที่มากก่อน นั่นเอง

      ยกตัวอย่าง กำหนดเพียงส่วนเดียวก่อน คือ เช่นเวลา โกรธ กำหนดเข้าไปดูมัน ว่า กิเลส ตัวโกรธ เป็นอย่างไร ลองดุนะ เมื่อเกิดแล้ว มีผลต่อใจอย่างไร มีผลต่อกายอย่างไร มีผลต่อภพปัจจุบันอย่างไร เป็นต้น

       การกำหนดได้ นั่นเรียกว่า มหาสติ หมายความว่า กำหนด กาย เวทนา จิต ธรรม ลงไปเรียนรู้ ในกิเลส ผล เรียกว่า สัมมปชัญญะ แต่ที่จริงต้องเรียกว่า สัมมาสติ ต่างหาก นี่แหละ สัมมาสติ

      ขอให้ท่านทั้งหลาย ทบทวน ทบทวน ให้เข้าใจก่อน ในขั้นแรก

       เจริญธรรม / เจริญพร

   
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 04, 2015, 05:38:51 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


ถ้าไม่ได้ฝึกภาวนา พุทโธ มาก่อน การเกิด ของ สติ และ สัมปชัญญะ มีกำลังไม่พอ ในการเข้าไปทักทายกิเลส สมัยก่อน เวลาฝึกกรรมฐาน แล้ว พอรวมหยั่งสัมมาสติ แล้ว ครูอาจารย์ก็จะทำการ แผ่เมตตาให้ตัว กิเลส เพราะถ้าไม่มีตัว กิเลส เราก็ไม่ได้เรียนรู้ กิเลส และ ประหารกิเลสได้

   คนจะประหารกิเลส แต่ไม่รูัจักกิเลส ก็คือ คนที่ ไม่รู้จก สมุทัยอริยสัจจะ นั่นเอง

   ดังนั้น ต้องทำความรู้จักกิเลส ที่เป็นการขวาง มรรค ผล นิพพาน ให้เข้าใจก่อน

      การเรียนอย่างนี้ ชื่อว่า สมุทัยอริยสัจจะ

   เจริญธรรม / เจริญพร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 03, 2015, 05:30:58 pm โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

nonestop

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 87
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 st12
  แล้วเราควรจำแนก กิเลส อย่างไร ครับ เบื้องต้น

   :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
nonestop  หยุดทำ้ร้าย หยุดเบียดเบียน หยุดการกลับมาเกิด กันเถิดครับ

saichol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 247
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

    ขออนุโมทนาสาธุ ครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st12 st12 st12

กราบเรียนถามพระอาจรย์เพิ่มเติมครับ

การที่เรายินดีที่กิเลสเกิดเพื่อจะเรียนรู้มันทั้งด้วยความคิดและของจริงอาการจริงนั้น โดยอาศัยจิตจับเอาผัสสะจากอาการนั้นๆ ทางภาษาแบบบ้านๆ คือ อาศัยจิตจับความรู้สึกในอารมณ์จากอารมณ์นั้นๆ ยินดีที่กิเลสเกิดขึ้นเพื่อที่เราจะได้ตามดูตามรู้มันไป ไม่มีปฏิฆะต่อมัน อันนี้เรียกแผ่เมตตาให้มันไหมครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 04, 2015, 04:23:05 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ถ้าไม่ผ่าน องค์ กรรมฐาน มันจะมีนิวรณ์ ความยินดี คือ กามฉันทะ  ความยินร้าย คือ พยาปาทะ ความเป็นกลาง คือ วิจิกิจฉา ดังนั้น ในการเข้าไปรู้จักกิเลส ต้องผ่านกรรมฐาน ทำหลังจากผ่าน การดับนิวรณ์ นี่คือความจำเป็นว่า ต้องเจริญ หลัง สมถะ ดังนั้นท่านจึงจัด วิปัสสนา เกิดหลัง สมถะ เพราะเหตุนั้น

   ถ้าหากจิต มีนิวรณ์ อยู่ ก็ไม่สามารถรู้จัก กิเลส ได้ แต่จะกลายเป็น ถูก กิเลส ครอบงำ

   ยกตัวอย่าง คนดูภาพลามก เพื่อรู้จัก กิเลส
             พระโยคาวจร ดูภาพลามก เพื่อรู้จัก กิเลส
            พระอริยะ พิจารณาภาพลามก เพื่อรู้จัก กิเลส
       
     ทั้งสามอาการนี้ไม่เหมือนกัน แต่ อยู่ ในบุคคลเดียวกัน ในสภาวะ ปุุถุชน ย่อมถูกครอบงำก่อน
    พระโยคาวจร มีสติสัมปชัญญะ สยบอารมณ์ เพื่อรู้ตามความเป็นจริง แต่ก็ยังมีโอกาสภาพ เพียงแว่บเดียวที่จิต ถูกครอบงำ ก็จะถูกครอบงำทั้งหมด แต่โอกาสจะนานกว่า ปุถุชน ส่วนพระอริยะ ตั้งแต่พระโสดาบัน โอกาสที่จะถูกครอบงำ ไม่มีเลย เพราะจิตเห็นแจ้งตามความเป็นจริงแล้ว ดังนั้น ตั้งแต่พระโสดาบันไป จึงไม่ตกไปในอบายภูมิ 4 อีก มีชาติที่แน่นอน

      ดังนั้น เป้าหมายกรรมฐาน เริ่มตั้งแต่ ระดับ พระโยคาวจร ขึ้นไป การเข้า อุปจาระฌาน เพื่อสยบนิวรณ์ 3 ตัว เป็นด่านแรก นั้่นก็คือ กามฉันทะ พยาบาท วิจิกิจฉา ส่วน ปฐมฌาน เพื่อละนิวรณ์ 5 คือ กามฉันทะ พยาบาท อุทธัทจจะกุกกุจจะ ถีนมิทธะ และ วิจิกิจฉา เพื่อทำ จิตเป็น เอกัคตา ในสมาบัติ

      สรุป การเข้าไปรู้จักกิเลส ต้องพ้นจากวิสัย ของ ความยินดี ( นิฏฐารมณ์ ) และ ความไม่ยินดี ( อนิฏฐารมณ์ ) ตลอดถึงความไม่ใส่ใจ ( อุเปกขารมณ์ ) ด้วยจึงจะถูกต้อง ในการเรียนรู้ สมุทัยสัจจะ อันเป็นระดับของ ปุถุชน และ พระโยคาวจร

      แต่หากเป็น พระโสดาบัน เข้าไปรู้จัก ตัวกิเลส ก็จะเรียกว่า สมุทัยอริยสัจจะ   อันเป็นระดับของผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว นั่นเอง


     เจริญธรรม / เจริญพร

   ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

Roj khonkaen

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 414
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
สมถะ สำหรับสกัดกองกิเลส วิปัสสนา ทำลายกองกิเลส
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2015, 09:29:43 am »
0
เปรียบ กิเลส เป็นกองโจร ที่คอบเข้ามาปลันชิง บ้านเรา
สิ่งที่เราต้องทำไว้ สม่ำเสมอ ก็คือ ความเตรียมพร้อม เพื่อรับสถานการณ์
แต่บางครั้ง ความสุข ความทุกข์ ความไม่เอาใจใส่ ที่เกิดขึ้นทุกวันนั้น บางครั้งก็ทำให้เกิดความประมาท

 ความประมาท เมื่อเกิด ก็ย่อมเป็นหนทางสู่ความตาย
 ตาย ในที่นี้ หมายถึงความพ่ายแพ้ นะ ไม่ใช่ตายร่างกาย
 เพราะคนไม่ประมาท ก็ต้องตายเช่นกัน ในส่วนร่างกาย

  ปกติ แล้ว คนทั้งหลายเมื่อรู้ว่าทุกข์ เกิดจากโจรเข้าปล้น ก็ย่อมหวาดกลัว เพราะกลัวที่จะถูกทำร้าย จึงไม่ขัดขืน ดังนั้นไม่ใช่ว่า ใคร ๆ จะเข้าต่อกรกับโจรได้ทุกคน ดังนั้น ในโลกเรานี้ จึงมีคนประเภท ปทปรม คือไม่สามารถที่จะรับธรรม คำสอนได้ คือทำอย่างไร ก็ไม่เข้า และคนประเภทนี้ มีอยู่จำนวนมากเสียด้วย

   เมื่อบุคคลใดมอง เห็น ทุกข์สัจจะ แล้ว ย่อมที่จะมีความเข้มแข็ง เพื่อจะต่อกร กับข้าศึก ( กิเลส ) หนทางที่คนทั้งหลาย ล้วนแล้ว แต่จะเข้าต่อกรนั้น มีมาตั้งแต่ยุคของผู้กล้าคนแรก ก็คือ สมถะ

   สมถะ เป็น กำลัง และเป็นข้อพิสูจน์ ถึงกำลังใจของนักสู้ ที่จะสู้กับกองโจร
   สมถะ เป็น กำลัง เพราะเป็นขจัดสะกด ลูกน้อง กองโจร ที่เข้ามาก่อนล่วงหน้า ให้หมดฤทธิ์ แต่อย่างไรก็ตาม สมถะ ก็เพียงยับยั้งได้ชั่วคราว เท่านั้น

   ในครั้งพุทธกาลนั้น ผู้ที่เข้ายังยั้งกองโจร ได้สูงสุดสมัยนั้น ก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้า ก็มีเพียงสองท่านคือ อุทกดาบส และ อาฬารดาบส สองดาบสนี้ อาศัยธาตุ เป็นที่ตั้ง ดาบสหนึ่งใช้ น้ำเป็นที่ตั้ง อีกดาบสใช้ เนวนาสัญญายตนะ เป็นที่ตั้ง เป็นทั้งรูปฌาน และ อรูปฌาน
 
    แต่การข่มลูกน้องโจร ไม่เด็ดขาด ความเด็ดขาด คือ ต้องประหารลูกน้องกองโจร ถึงจะถูก การที่จะทำลายกองโจร ไม่ใช่ไปตามฆ่า หน.โจร แต่ เป็นการเข้าริดรอน อำนาจของโจร ในวิปัสสนา เป็นอย่างนั้น การเข้าทะลาย คือ สัมปยุต กับ กิเลส ตัวใหญ่ โดยตรงโอกาสที่จะพ่ายแพ้ ก็มีสูง ดังนั้น กองวิปัสสนา จึงทำการริดรอนอำนาจของโจร ( กิเลส ) อย่างที่ละเล็ก ที่ละน้อย เริ่มจากนิวรณ์ 5 8 อุปกิเลส 16 จนกระทั่งถึงตัวใหญ่ สุด การประหารกิเลส ตัวน้อย ก็เพื่อไม่ให้กิเลส ตัวน้อย การเป็น กิเลสตัวใหญ่ หลายท่านหักด่าน เข้าไปทำลายรังโจร ด้วยการบ้าน สละบ้าน สละเรือน ด้วยการเสียสละ เกรียติยศ เพราะเป็นการสละใหญ่ ๆ แต่ ตัวย่อย ๆ ไม่ได้สละไว้ก่อน พอเข้ามาอยู่ในเพศบรรพชิต กิเลสตัวน้อย ก็เติบโต ขึ้นมาอีก กลายเป็น หน.ตัวใหม่ ตัวใหญ่ บิ๊กกว่า ทำให้หลายท่าน ที่หักด่านทำลายกองโจร สละโน่น สละนี่ มาตายหยังเขียด ที่ ด่านน้อยมันโตขึ้นมา

    ก็เห็นเป็นอันมาก นี่เรียกว่า ไม่รู้จัก ข้าศึก (กิเลส ) ไม่ทำความเข้าใจ ใน สมุทัยสัจจะ

   ดังนั้น ฆ่ากิเลส ( ประหารกิเลส ) ก็ต้องเริ่มจากประหารตัวเล็ก ที่มันอยู่กับเราก่อน เริ่มต้นที่

    1. ทาน การให้ทาน รู้จักเสียสละ แบ่งปัน ทำลาย มัจจริยะ ตัวน้อย ๆ ก่อน

    2. ศีล การมีศีล รู้จักการหักห้ามใจไม่ให้ทำบาป ไม่ว่าทั้งต่อหน้า หรือ ลับหลัง ไม่ลวงคน ไม่เบียดเบียน ทั้งตนและผู้อื่น

    3. ภาวนา รู้จัก ภาวนาโดยการฝึกฝนใจโดยตรง สร้าง สมถะ ให้ใจเข้มแข็ง สร้าง วิปัสสนา คือปัญญาให้เข้าใจ ในกองสังขาร

     ทั้งสามประการนี้ เป็นสิ่งที่พระโยคาวจร ควรพอกพูนเอาไว้ และสามประการนี้ไม่ได้เจาะจงศาสนา ๆ ไหน ก็ทำได้

    4. การตั้งจิตน้อมศรัทธา ในพระพุทธคุณ หมั่นท่อง บ่น คิดถึง ระลึก ตระหนัก เคารพ ในพระพุทธเจ้า อย่างสม่ำเสมอ และเชื่อมั่นใน พระพุทธคุณ อย่างหมดใจ เทใจ จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ก็มี ลมหายใจเป็นพระพุทธเจ้า

    5. การหมั่นเข้าสัปปยุทธ กับกิเลส ด้วยการ ข่มกลั้น ระวังสำรวมอินทริย์ ด้วยความอดทน ไม่ท้อถอย ให้ระลึกก่อนสัปปยุทธว่า  การเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จักจบสิ้นมีไม่ได้ ถ้าเรายังทำลาย กองกิเลสที่ใจเราไม่ได้

     ผู้ฝึกภาวนา ควรเรียนรู้อยู่อย่างหนึ่งว่า กิเลสภายนอก นั้นไม่สามารถชนะได้เลย แม้พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ชอบแล้ว กิเลสเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ของมันอย่างนั้น ไม่สิ้นสุด เป็นดุจระบบ อินฟินิตี้ คือไม่สิ้นสุด เหมือนภพชาติก็ไม่สิ้นสุด ดังนั้นกิเลสที่เราจะประหารได้ ก็มีแต่กิเลสภายใน ที่อยู่ในใจของเรา ในอนุสัยสันดานของแต่ละคน เมื่อละกิเลส ประหารกิเลสที่อยู่ในใจของเราได้แล้ว ประตูอมตะ ( ทางแห่งความไม่ตายอีกต่อไป ) ก็จะเปิดให้เราก้าวล่วงพ้นไป การก้าวล่วงพ้นไป นั้น ก็คือ สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิด พรหมจรรย์ นี้อยู่จบแล้ว กิจอื่นยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นผู้พร้อม แห่งการสิ้นสุด ชาติภพ ในปัจจุบันนั้น เอง

     ดังนั้น การเรียนรู้จักกิเลส และ วิธีการประหารกิเลส เป็นสิ่งที่พระโยคาวจร ต้องใช้ สติ ปัญญา วิริยะ ในการดำเนินกิจนี้ให้สิ้นไป

 
   เจริญธรรม / เจริญพร

 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 06, 2015, 10:49:03 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

     ขออนุโมทนาสาธุ ครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st12 st12 st12 st11 st11 st11 thk56 thk56 thk56

ผมหากระทู้ไม่เจอเพิ่งเห็นวันนี้โดยเข้าไปดูข้อมูลที่โพสท์กระทู้ของผม
ขอบพระคุณพระอาจารย์มากๆครับ เป็นประโยชน์แก่ผมอย่างสูง ผมจะเพียรต่อไปตามสติกำลังครับ

 thk56 thk56 thk56
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

ขอกราบนมัสการพระอาจารย์ธัมมวังโสครับ

เมื่อก่อนนี้ ผมเอาแต่ภาวนาและให้ทาน โดยไม่ใส่ใจในศีลนัก ปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ยังร้อนรุ่มคล้อยตามำกิเลาไปอยู่ดี

- แต่ทุกวันนี้ ผมเจริญศีล ทาน ภาวนาตามสติกำลัง มีพรหมวิหาร ๔ เป็นบาทฐานให้เกิดขึ้นอยู่ทุกขณะครอบคลุม ศีล ทาน ภาวนานั้น
- ส่วนการภาวนาของผม ณ ตอนนี้ ผ่อนลงจากการที่ทำสมาธิเอาเป็นเอาตายลงมา มาเป็นรู้ทันกายใจตนเป็นหลัก คือ มีสติ+สัมปะชัญญะเป็นเบื้องหน้าประครองอารมณ์ไว้ แล้วพิจารณาธรรมที่จะดับ ที่จะปหานะ ไปในระดับความคิด เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ หรือ กุศลวิตก ๓ ยังไม่ทำสมาธิเป็นจริงเป็นจัง แต่ตั้งสติที่ลมไว้ทุกขณะที่ระลึกถึงได้ เพียรปหานกิเลสที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือที่เกิดขึ้นแล้ว ทำกุศลให้เกิดขึ้น คงกุศลไว้ รักษากุศลไว้ไม่ให้เสื่อมให้มากที่สุดตามสติกำลังเพื่อละอุแปกิเลส ได้แก่ อกุศลวิตกเป็นต้น
เมื่อผมปฏิบัติอยู่อย่างนี้ๆ..ผมก็เห็นจริงดังที่พระอาจารย์ธัมมวังโสได้โพสท์เทสนาสอนทั้ง ๕ ข้อ โดยชอบ ว่าเป็นจริง ว่าแท้จริง ว่าเป็นทางล่วงพ้น ดังที่พระอาจารย์เทศนาสอนว่า..


    1. ทาน การให้ทาน รู้จักเสียสละ แบ่งปัน ทำลาย มัจจริยะ ตัวน้อย ๆ ก่อน

    2. ศีล การมีศีล รู้จักการหักห้ามใจไม่ให้ทำบาป ไม่ว่าทั้งต่อหน้า หรือ ลับหลัง ไม่ลวงคน ไม่เบียดเบียน ทั้งตนและผู้อื่น

    3. ภาวนา รู้จัก ภาวนาโดยการฝึกฝนใจโดยตรง สร้าง สมถะ ให้ใจเข้มแข็ง สร้าง วิปัสสนา คือปัญญาให้เข้าใจ ในกองสังขาร

     ทั้งสามประการนี้ เป็นสิ่งที่พระโยคาวจร ควรพอกพูนเอาไว้ และสามประการนี้ไม่ได้เจาะจงศาสนา ๆ ไหน ก็ทำได้

    4. การตั้งจิตน้อมศรัทธา ในพระพุทธคุณ หมั่นท่อง บ่น คิดถึง ระลึก ตระหนัก เคารพ ในพระพุทธเจ้า อย่างสม่ำเสมอ และเชื่อมั่นใน พระพุทธคุณ อย่างหมดใจ เทใจ จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ก็มี ลมหายใจเป็นพระพุทธเจ้า

    5. การหมั่นเข้าสัปปยุทธ กับกิเลส ด้วยการ ข่มกลั้น ระวังสำรวมอินทริย์ ด้วยความอดทน ไม่ท้อถอย ให้ระลึกก่อนสัปปยุทธว่า  การเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จักจบสิ้นมีไม่ได้ ถ้าเรายังทำลาย กองกิเลสที่ใจเราไม่ได้


สาธุ สาธุ สาธุ

ขอบพระคุณพระอาจารย์อย่างสูงครับที่ได้เมตตา กรุณาธรรมอันเป็นประโยชน์สุขพ้นจากทุกข์ทั้ง ๕ ข้อนี้ให้แก่ผมครับ







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 17, 2015, 04:43:09 pm โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา