รูปธาตุ ก็คือ รูปขันธ์ หรือ รูปเป็นแค่ตัวถูกรู้ เกิดมา ตั้งอยู่ ดับ ไป
นามธาตุ คือ จิต และ เจตสิก คือ เวทนาขันธ์(เจตสิก๑) สัญญาขันธ์(เจตสิก๑) สังขารขันธ์(เจตสิก๕๐) วิญญาณขันธ์(จิตปรมัตถ์ทั้งหมด)
วิญญาณธาตุ คือ จิตที่รู้อารมณ์ทางทวารทั้ง 6 หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นจิตปรมัตถ์อย่างอน่างหนึ่งใน วิญญาณขันธ์
เช่น ธาตุไฟ มีสภาพลักษณธเฉพาะคือร้อนเย็น ก็คือ รูปนั่นเอง
ธาตุดิน มีสภาพลักษณะเฉพาะคืออ่อนแข็ง ก็คือ รูปนั่งเอง
- แต่ที่เรามองให้เห็นในธาตุ คือ กายเรานี้คือ รูปขันธ์ มีมหาภูตรูป๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันเป็นหลักก่อให้เกิดเป็นรูปร่างโครงสร้างอาการทั้ง 32 ขึ้น
- การพิจารณาในธาตุ๔ นี้เป็นการง่ายที่จะรับรู้สัมผัสได้จริงมองเห็นได้จริงมีการรับรู้สภาพปรมัตถธรรมได้ง่าย
- การพิจารณาในรูปนามหากไม่เห็นจริงในธาตุก็ยากที่จะเข้าถึงสภาพปรมัตถธรรมในรูปนามได้ เพราะรูปนามนั้นกว้างมาก เสียง สี กลิ่น รส ก็เป็นรูป สิ่งใดที่ถูกรูป ถือเป็นรูปทั้งหมด นามมีเจตสิกอีก 52 ดวง มีจิตอีกเยอะมากไม่รู้เท่าไหร่
- ดังนั้น คุณรู้ในธาตุให้ละเอียดก็จะเข้าใจในรูปนามเช่นกัน
- หากคุณคิดว่ารูปนามง่ายมาก มันก็ไม่ยากครับ เอาแค่รับรู้สภาพปรมัตธรรมของนามกาอนก็ได้ เช่น เวทนานุสติปัฏฐาน การรู้ว่าตนเองสุข ทุกข์ เฉยๆนี่มันแค่เริ่มต้น 1 ในล้านเท่านั้น รู้จิตานุสติปัฏฐาน รู้ใน รัก โลภ โกรธ หลง ก็แค่พื้นๆ รู้สภาพความรู้สึกจริงเช่น อัดอั้นใจ คับแค้นใจ ขัดใจ ขุ่นมัวใจ ติดข้องใจ นี่ก็แค่พื้นๆของจิตานุสติปัฏฐานหรือการรับรู้ในนาม
- พิจารณาเอาครับว่าสิ่งไหนเริ่มต้นแล้วสามารถเชื่อมต่อกันไปวิปัสนาได้ง่ายด้วยปัญญาและจริตของคุณเอง จะเลือกพิจารณาอย่างไหนก็ไม่ผิด ถ้าเป็นไปตามคำสอนของพระตถาคตและเพื่อเห็นในอริยะสัจ๔จนถึงทางพ้นทุกข์