ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เวลาที่รู้สึกเหงา ๆ อ้างว้าง ว้าเหว่ เราควรทำอย่างไร ดีคะ  (อ่าน 11308 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

catwoman

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 88
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เวลาที่รู้สึกเหงา ๆ อ้างว้าง ว้าเหว่ เราควรทำอย่างไร ดีคะ

  หลายครั้งที่รู้สึกอย่างนี้ จนรู้สึก เซ็ง ๆ กับชีวิต คะ
  เราควรทำอย่างไร ดีคะ ที่ถูกต้องในแนวกาารภาวนา คะ

  เพราะเวลารู้สึกอย่างนี้ ก็ไม่เอาการภาวนาเลยคะ เคยนั่งกรรมฐาน แล้ว ก็นั่งได้แป๊บเดียวเอง ทำให้รู้สึก หงุดหงิด ขึ้นมา มากขึ้น คะ


  thk56 :c017:
บันทึกการเข้า

modtanoy

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-5
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 213
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผ่อนคลาย ดูหนัง สนุก ๆ เล่มเกมส์ กีฬา หย่อนใจ

  หางานอดิเรกทำ ไปช่วยกวาดลานวัด บ้าง ก็ได้ คะ

  :coffee2:
บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ปุถุชน ย่อม เข้าหาสุข อย่างปุถุชน เพื่อหนี ทุกข์

 การเข้ากรรมฐาน เพื่อให้สุขเกิด สำหรับท่านทั้งหลาย อาจจะเป็นเรื่องยาก
 
ส่วนอารมณ์เหงา ๆ อ้างว้าง ว้าเหว่ เซ็ง ๆ กับชีวิต ย่อมจะเกิดขึ้น เมื่อ เราไม่เห็นว่า เราเป็นคนสำคัญ สำหรับคนอื่น ๆ  แก้ได้โดยง่าย  ทางโลกจะมีกิจกรรมอาสา มากมาย อย่างเช่น ครูอาสา  อ่านหนังสือเสียงให้คนตาบอกฟัง และอื่น ๆ อีกมากมาย หรือจะเข้ามาช่วยงานการที่วัด ก็สามารถกระทำได้ ได้เห็นคนมาทำบุญ ได้ช่วยพระปฏิสันฐาน ได้บุญด้วย ได้เจอกับผู้คนที่ดี ๆ ด้วย ได้กัลญาณมิตร สามารถจะพานำ ไปทำกิจกรรมที่ดี ๆ  เดียวก็จะหายเหงา

  เพื่อน ๆ สมาชิกธรรม มีใครพอจะเสนอ งานอาสาต่างมาไว้ให้ ก็จะเป็นการดีนะจ๊ะ แบ่งบุญกัน คนละงานสองงาน ที่น่าสนใจ
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

mongkol

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 95
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การหางาน ให้แก่ตน ก็คือ การหางาน ให้แก่จิต

   ถ้าเหงามาก ๆ ควรปฏิบัติ กรรมฐาน ให้มันสุดๆ ไปเลยดี หรือไม่ครับ คนที่มีเวลาเหงา แสดงว่า มีเวลามาก ใช่หรือไม่ครับ

    ดังนั้นผมว่า มาร่วม ทำปาฏิหาริย์ แห่งลมหายใจเข้าออก ตามที่พระอาจารย์สอนกันดีหรือไม่ครับ

 
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ความเหงาๆ เพราะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งในใจที่ตั้งความสำคัญมั่นหมายไว้ในใจอยู่ เช่น
- อยากมีใครสักคนมาอยู่ข้างๆ
- อยากทำในสิ่งที่ตนเองชอบ
- อยากให้มีสิ่งไรที่ตนคลื้นเครง เพลิดเพลินยินดีเข้ามา
แต่เมื่อมันไม่เป็นไปตามที่ตั้งความสำคัญมั่นหมายไรๆไว้ในใจ มันก็เกิดเป็นความไม่พอใจยินดี เกิดความเบื่อหน่ายด้วยความว่างที่ลุ่มหลง เกิดความเบื่อหน่ายจากความขุ่นมัวใจ ไม่พอใจยินดี จนร้อนรุ่มเศร้าหมองใจ

นี่ล่ะคือเหตุแห่งทุกข์ของคุณ เป็นเห็นให้เกิดอาการของจิตนั้นๆ

ดังนั้นเมื่อรู้แล้วว่าขณะที่ตนเซ็ง เกิดความเบื่อหน่าย ในทางธรรมให้คุณเจริญกำหนดจิตดังนี้
1. มีสติรู้ตามว่า เราถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว ให้รู้ว่าเกิดความเศร้าหมองใจอยู่
2. มีความรู้ตัวทั่วพร้อมว่านี่น่ะเรากำลังอยู่ในสภาพใดอยู่ อยู่อย่างไร กำลังเสพย์อารมณ์ความรู้สึกยังไง มีอาการของกายกับจิตเป้นยังไง
3. มีความรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเราก็นั่งอยู่ของเราตามปกติ นอนตามปกติ ยืนตามปกติ กินตามปกติ ขับถ่ายตามปกติ แต่เรานั้นแหละที่เราจิตเข้าไปเสพย์กับอารมณ์ความรู้สึกในความลุ่มหลงไม่พอใจยินดีนั้น มันจึงเกิดทุกข์ เกิดความเศร้าหมองใจจากการที่เราไม่ได้เสพย์สิ่งไรๆที่ให้ความเพลิดเพลินยินดีไรๆที่เราตั้งสำคัญมั่นหมายไว้ในใจ
4. เมื่อรู้แล้วดังนี้ คือ คุณได้เจริญปฏิบัติให้ รู้จิตตานุสติปัฏฐาน(1-2) รู้ทุกขอริยะสัจ(1-2) รู้ทุกขสมุทัยอริยสัจ(3)
5. เมื่อเห็นดังนี้ตามในข้อ 1-4 แล้ว นี่คุณได้เห็นแล้วตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ได้เกิดปัญญาจนจิตเห็นจิตในเบื้องต้นแล้ว ได้กำหนดรู้ทุกข์ ได้เห็นในสมุทัยคือสิ่งที่ควรละแล้ว ทีนี้ก็ละที่เหตุนั้น
6. ทีนี้ลองละทีเหตุนั้น โดยเห็นว่าไอ้ความติดใจเพลิดเพลินอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ หรือ ความไม่พอใจยินดี ไม่ชอบนั้น ไม่ชอบนี้ มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่จิตแต่มันแค่เกิดประกอบกับจิต มันไม่มีประโยชน์ไรๆนอกจากทุกข์ วางใจไว้กลางๆละความติดข้องใจนั้นเสียจากความพอใจและไม่พอใจนั้น แล้วระลึกถึงสิ่งดีงามที่เราเคยได้ทำมาแล้ว ระลึกถึงความสุขในกุศลใดๆที่เราได้รับมา จิตใจเราจะแจ่มใสเบิกบาน ไม่เศร้าหมองอีก
7. เมื่อจิตใจไม่เศร้าหมอง คุณก็จะเห็นเองว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ยังไงในตอนนี้ เห็นว่าสิ่งใดที่ควรละ เมื่อละแล้วมันมีประโยชน์สุขยังไง เมื่อมีประโยชน์สุขจิตใจก็แจ่มใสเบิกบานยังไง (นี่เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยะสัจเกิดขึ้นแก่คุณแล้ว) ทีนี้คุณก็จะเห็นเวทนานุสติปัฏฐาน จิตตานุสติปัฏฐาน จนเห็นธรรมมานุสติปัฏฐานคือธรรมใดๆที่เกิดขึ้นในตนทั้งกุศลและอกุศลทั้งปวง
8 แล้วกำหนดจิตเมตตาแก่ตนเสียว่า ขอข้าพเจ้าจงเป็นปกติสุขยินดี มีจิตแจ่มใสเบิกบาน ปราศจากกาม ราคะ โมหะ พยาบาท ซึ่งเป็นตัวร้อนรุ่ม เป็นเครื่องเศร้าหมองใจทั้งหลายเหล่านี้ ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่ผูกเวรพยาบาทเบียดเบียนใคร มีจิตเบิกบานด้วยธรรมแจ่มใสไม่เศร้าหมอง มีความปกติสุขยินดีด้วยกาย วาจา ใจ ไม่เบียดเบียนทำร้ายตนเองและผู้อื่น มีความปารถนาดี อนุเคราะห์แบ่งปันสุขแก่ตนเองและผู้อื่น มีความยินดีเมื่อตนเองและผู้อื่นพ้นจากทุกข์ หลุดจากความร้อนรนเศร้าหมองกายใจ มีความวางใจไว้กลางๆไม่ติดข้องใจทั้งความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีด้วยความแจ่มใส เบิกบาน ปิติ สุข มีจิตตั้งมั่นดีผ่องใสเป็นกุศลเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้เทอญ ปารถนาดีกับตนเองอย่างไรก็แผ่ไปให้ผู้อื่นทั้งที่รัก เกลียด เฉยๆ ทั้งที่รู้จัก และ ไม่รู้จักอย่างนั้น แผ่ไปโดยไม่มีประมาณ ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา ทำอย่างนี้เป็นเบื้องต้นประจำ จิตใจคุณจะแจ่มใสเบิกบาน อยู่ที่ใดก็เป็นสุขไม่ร้อนรุ่มใจ ไม่เศร้าหมองใจ นอนก็หลับสบาย


วิธีการแก้ในทางโลก ก้อย่างที่หลายๆท่านบอกไว้คือ ทำอะไรให้ตนเองเพลินเพลินยินดี จิตก็จะไม่หดหู่ แต่มันก้ไม่ใช่ทางดับทุกข์จริงๆ พอสักพักมันก็เกิดขึ้นใหม่อีกไม่รู้จบ เพราะยังแก้ด้วยการอิงในโลภะ โมหะ เป็นหลัก ไม่ได้แก้ด้วยทางดับความเศร้าหมองนั้นด้วยธรรมไม่ให้เหลือ

ลองเลือกปฏิบัติดูครับ สุดท้ายก็ขอให้เจริญในธรรมครับ
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

ฟ้าใหม่แจ่มใส

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 226
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


  ได้มาอ่านกลอน กับภาพที่พระอาจารย์ ท่านลงไว้ แล้ว รู้สึกอึ้ง แสดงให้เห็นว่า พระอาจารย์ท่านมุ่งการสอนให้เรามาตลอดแต่เราไม่ได้ติดตามอ่าน กัน มีหลายหัวข้อที่ละเลยไปไม่ได้อ่าน พอเห็นภาพธรรมคำกลอนแล้ว รู้สึก อึ้งไปว่า เราหลุดไปได้อย่างไร จึงไม่ได้อ่าน


 :c017: thk56 st12 st12
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องว่า ยายกบ เพราะชวนมาศึกษาธรรมะ

Arscoop

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 2
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ดีมากๆเลยครับ
บันทึกการเข้า