ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มีดเล่มนั้น  (อ่าน 4827 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

นิรตา ป้อมนาวิน

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1212
  • อย่างน้อยชาตินี้ขอปิดอบายภูมิ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
มีดเล่มนั้น
« เมื่อ: กันยายน 20, 2015, 01:02:58 pm »
0
มีดเล่มนั้น

"มีดเล่มนั้น" เป็นเรื่องวิบากกรรมของสามีของคุณยายผาง ไทยอ่อน ซึ่งขณะนี้คุณยายผางอายุ ๘๙ ปีแล้ว อยู่บ้านเลขที่ ๑๐ บ้านม่วง หมู่ที่ ๑๔ ต.บ้านทุ่ม อ.เมือง จ.ขอนแก่น

คุณยายผางได้เล่าเรื่องของกฎแห่งกรรม หรือกรรมตามมาสนองให้แก่ผู้เขียนฟังว่า คุณยายเกิดมาเป็นลูกชาวนา พออายุได้ ๒๐ ปี ก็ได้แต่งงานอยู่กินกับหนุ่มในหมู่บ้านเดียวกัน ชื่อนายช่วง ไทยอ่อน

พอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็ยึดอาชีพทำไร่ทำนา ตามพ่อแม่ปู่ย่าเคยทำกัน และเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเป็นฝูงๆ เพื่อเอาไว้ทำไร่ ไถนา หรือเอามาเทียมเกวียน หรือไม่ก็เอาไว้ขายให้คนเขาไป

สมัยเมื่อ ๗๐ ปีโน้น บ้านเมืองเรายังไม่เจริญเหมือนสมัยทุกวันนี้ อะไรๆ มันก็ไม่อดไม่อยาก ไม่ทุกข์ไม่ยาก ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ไปหมด วัว-ควายก็ไม่มีค่างวดอะไรนักหรอก การคมนาคมไปไหนมาไหนอย่างเก่งก็ขี่ม้า หรือไม่ก็ขี่เกวียนกันไป

ยายผางกับตาช่วงมีลูกชายหญิง ๔-๕ คน อายุตาช่วงตอนนั้นคงจะอยู่ในราว ๕๐ กว่าปีเห็นจะได้ ยายก็คงจะอายุ ๔๐ กว่าปี ก็คงประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๐ นี้ล่ะ

ในปีนั้น ตาช่วงคิดอย่างไรก็ไม่รู้ คือคิดอยากจะฆ่าวัว-ควายขายให้คนกิน เพราะวัวควายตอนนั้นก็เลี้ยงเอาไว้มากมาย ในเย็นวันหนึ่งตาช่วงก็ได้มาปรึกษากับยายว่า

"ยายเอ้ย วัว-ควายของเราก็เลี้ยงเอาไว้มากมาย จะคอยให้คนเขามาซื้อเอาไปทำไร่ไถนา เอาไปเทียมเกวียน หรือว่าเอาไปฆ่ากิน มันก็คงจะยาก เพราะวัวควายคนอื่นเขาก็มีถมไป สู้เราจับเอามันมาฆ่าขายเนื้อ ให้คนกิน ได้เงินมาใช้ไม่ดีหรือยาย?"

พอยายได้ยินตาช่วงผู้เป็นสามีพูดเช่นนั้น ตอนแรกยายก็ตกใจ เพราะนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำว่าฆ่าวัว-ควายจากปากสามีของตน เพราะพ่อแม่ของยายเองท่านไม่เคยฆ่าวัว-ควาย หรือสัตว์ใหญ่อย่างนี้มาก่อนเลย ยายก็ตอบไปว่า

"ตาช่วง แกจะเป็นบ้าไปแล้วหรือ วัวควายเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณต่อคนเรา ที่คนเรามีข้าวมีของ มีอยู่มีกิน มาจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่เพราะวัวและควายช่วยพลิกฟื้นดิน ทำไร่ ไถนา เอาวัวเอาควายมาเทียมเกวียน ทำการขนส่งข้าวของต่างๆ ก็เพราะวัวและควายเหล่านี้มิใช่หรือ แกคิดยังไงถึงคิดจะฆ่าเขาได้ลงคอ แกไม่คิดถึงบุญคุณเขาเหรอตาช่วง อีกอย่าง แกไม่กลัวเรื่องบาปเรื่องกรรมจะตามมาสนองหัวแกเหรอ"

ตาช่วงพอได้ยินคำว่าบาปกรรมแค่นั้น ถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย แต่พอแกนิ่งคิดอยู่สักครู่ ก็ตอบว่า "ยาย หากแกกลัวบาปกรรม ก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉันดอก ฉันจะหาคนมาช่วยฆ่าเอง"

ถึงแม้ยายจะพูดหว่านล้อมต่างๆนานา ทั้งคัดค้านอย่างไรก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายตาช่วงเลยไปหาคนงานในหมู่บ้านมาอีก ๒ คน เป็นลูกมือในการฆ่าวัว-ควายขาย

การฆ่าวัว-ควายของตาช่วง แกจะเอาบริเวณหลังบ้านเป็นที่ฆ่า คือตัวใดที่จะฆ่า ก็จะเอาเชือกมาคล้องคอผูกเอาไว้ แล้วก็จูงไป สู่ที่ฆ่า พอเอาเชือกผูกติดกับต้นเสาเรียบร้อยแล้ว ตาช่วงก็จะเอาฆ้อน มาตีกระหน่ำลงไป ยังหัวของวัว หรือควาย ที่เคราะห์ร้ายตัวนั้น

พอวัวหรือควายโดนฆ้อนทุกหัวเสียงดังโพล๊ะ! แค่นั้นมันก็จะดิ้น เพื่อให้หลุดจากการผูกมัด ปากมันก็จะร้อง ด้วยความเจ็บปวด .....โอ๊ก...อุ๊ก...โอ๊ก....อุ๊ก....อุ๊ก.......

ถ้าวัวหรือควายมันพูดได้ มันคงจะพูดอ้อนวอนขอชีวิตจากคนว่า "เอาฆ้อนอะไรมาทุบหัวฉัน ฉันทำผิดอะไร ถึงกับจะฆ่า จะแกงฉันน่ะ โอ้ย! ฉันเจ็บนะ ใช้ฉันทำงานการอะไร ฉันก็ช่วยทำทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการไถไร่ ไถนา คราดนา เทียมเกวียนช่วยขนข้าวของ ไม่ว่าจะเป็นงานหนักงานเบา ถึงฉันจะหิวน้ำหิวหญ้า เหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยบ่นสักคำ แล้วอย่างนี้ ยังมาตอบแทนบุญคุณฉัน ด้วยการเอาฉันมาทุบมาฆ่า มันยุติธรรมแล้วหรือ ที่มาทำกับฉันอย่างนี้"

เปล่าเลย! แม้วัวหรือควายจะร้องอยู่อย่างน่าเวทนาสงสาร แต่ตาช่วงยังคงเอาฆ้อนทุบกระหน่ำลงไป บนหัวของวัวควาย ที่เคราะห์ร้าย เหล่านั้น จนล้มลงไปกองกับพื้นดิน จากนั้นตาช่วงก็จะเอา "มีดอันแหลมคม" ทิ่มแทงไปยังซอกคอ และ บริเวณหน้าอก ของวัวควาย จนมันตาย แล้วแกกับลูกน้องก็จะพากันจัดการแล่เนื้อ เถือหนัง ขายให้คนที่มาซื้อ มาหา เอาไปกินกัน

วัวควายบางตัวพอรู้ว่า ตัวเองจะโดนฆ่า ดูมันเซื่องซึมเหงาหงอย น้ำตาของมันจะรินไหลอยู่ตลอดเวลา ตาช่วงหาหญ้า หาน้ำ ให้มันกิน มันจะไม่ยอมกินหญ้า และน้ำนั้นเลย ยายเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่ยายก็พูดอะไรไม่ได้

พอถึงเวลาทำการฆ่า ตาช่วงกับลูกน้องก็จะมาจูงเอาวัวควายที่จะฆ่านั้นไปสู่หลักประหาร มันจะไม่อยากไป มันพยายาม ใช้คอ สะบัดเชือกที่ผูกอยู่ เพื่อให้หลุดไปสู่อิสรภาพของมัน

วัวควายบางตัวพอตาช่วงมาจูงไปสู่ที่ฆ่า มันเหมือนจะรู้ตัวในชะตากรรม มันจะไม่ยอมเดินไปทางนั้นเอาเสียเลย แม้ตาช่วงกับลูกน้อง จะพยายามไล่ต้อนไปอย่างไร มันก็ไม่ยอมไป ได้แต่ร้องสะบัดเชือดหนีไปทางอื่น

บางตัวถึงกับเข่าอ่อนทั้งสองข้าง คือมันจะเอาขาหน้าทั้งสองพับลงกับพื้น เหมือนคนนั่งคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิต แต่จะดิ้นรน อ้อนวอนอย่างไร มันก็หนีไม่พ้นมือเพชฌฆาตของตาช่วงเลย

พอวัวควายที่เคราะห์ร้ายเหล่านั้นโดนฆ่าแล้ว ผู้คนก็จะพากันมาซื้อเอาเนื้อวัวเนื้อควายไปทำอาหารกินกัน แต่หากวันใด ขายเนื้อไม่หมด ตาช่วงก็จะใช้ให้ยายเอาตะกร้าใส่เนื้อ แล้วหาบไปขายตามหมู่บ้านต่างๆที่อยู่ในละแวกนั้น

ถ้ายังขายไม่หมดอีก ตาช่วงก็จะเอามาทำเนื้อแห้งบ้าง ทำหม่ำบ้าง ทำส้มเนื้อบ้าง ทำไส้กรอกเนื้อบ้าง แล้วเอาไปหาบขายอีกที กระทั่ง วัวควาย ของตัวเองหมด แกก็หันไปซื้อวัวควาย ของชาวบ้าน มาฆ่ามาขายอีกต่อไป

พระท่านว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมคือการกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ หากใครกระทำกรรมดี หรือว่า กรรมชั่วลงไปก็ตาม กรรมๆนั้นก็จะตกเป็นสมบัติ ของคนคนนั้นในทันที

สมบัติที่เกิดจากกรรมดี-กรรมชั่ว ที่ตนกระทำลงไปนี้เรียกว่า สมบัติบุญ-สมบัติบาป จะติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ มันจะไม่มีรั่ว มีซึม ไม่มีหกตกหล่นไปที่ไหนอื่นใดเลย จะแบ่งบุญแบ่งบาปที่เรากระทำขึ้นนี้ไปให้ใครอื่นก็ไม่ได้ เรียกว่า ใครกระทำกรรมอะไร ดีหรือชั่ว ก็เป็นสมบัติของคนนั้น ตลอดชีวิต และตลอดไป

ทำดีย่อมได้ดีเป็นรางวัลตอบสนอง ทำชั่วทำเลวย่อมได้รับผลของกรรมชั่วนั้นตอบสนอง ดังเรื่องของตาช่วง คนนี้เหมือนกัน หลังจากที่ฆ่าวัว และควายขายมาถึงปีที่ ๓ นั้น เจ้ากรรมนายเวรที่ตาช่วงก่อกรรมทำเข็ญไว้ เขาจะมาถามเอาความเจ็บปวด เอาความทรมานของเขา คืนไปบ้าง

ในเย็นวันหนึ่งของปีนั้น หลังจากตาช่วงเสร็จภารกิจทางบ้านแล้ว ก็ได้เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ไปพูดคุยเล่นกับญาติๆ พอได้นั่งพูดคุย กับบรรดาญาติ จนมืดค่ำแล้ว แกกะจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินกลับมาบ้าน

ทันใดนั้นขาของแกที่เคยลุกขึ้นนั่งยืนเดินได้ มันกลับกลายเป็นไม่มีเรี่ยวมีแรง กลายเป็นคนขาอ่อน ขาเปลี้ย หมดเรี่ยวแรง ไปเสียเฉยๆ อย่างนั้นเอง (ภาษาอีสาน เว้าว่าเป็นร่อยตายฝ่าย)

แกพยายามจะลุกอย่างไร ก็ไม่สามารถจะลุกจะยืนได้เหมือนอย่างปกติที่เคยทำมา แขนขาด้านซ้าย มันชา ตายด้านไปหมด สุดท้าย พวกญาติๆ เห็นว่าไม่ดี เลยพากันหาม ร่างของตาช่วงมาส่งยังบ้านยาย

พอมาถึงบ้านไม่นาน แกก็ปวดขี้ปวดเยี่ยว แต่ทว่าจะขี้ก็ขี้ไม่ออก จะเยี่ยวก็เยี่ยวไม่ออก ได้แต่เบ่ง แต่ก็เบ่งไม่ออก แกคงจะเจ็บ จะปวดเต็มทน จึงได้แต่ร้องได้แต่คราง....โอ๊ก...อุ๊ก...โอ๊ก...อุ๊ก....โอ๊ก.....อุ๊ก...... ฟังเสียงร้อง ก็ไม่ผิดไม่เพี้ยน จากเสียง ของวัวควาย ยามที่แกเอาฆ้อนทุบหัวเขา อย่างไรก็อย่างนั้นเลยทีเดียว

เสียงร้องครางของแกจะดังอยู่ตลอดเวลา เพราะขี้เยี่ยวไม่ออก ต้องทรมานมาก ผู้คนต่างก็ได้ยินเสียงร้องคราง พากันมาดู อาการเจ็บป่วย กะทันหันของตาช่วง เต็มบ้านไปหมด

บ้างก็ว่าผีเข้า ไปตามหมอธรรมมารักษา แต่อาการตาช่วงกลับไม่ดีขึ้นมาเลย แกนอนร้องครางตลอดทั้งคืน

ยายก็คิดว่า นี้แหละหนอเวรกรรม พอถึงตอนเช้า เห็นว่าอาการป่วยของตาช่วงไม่ดีขึ้น ยายและบรรดาญาติ ก็พากันเอา วัวเทียมเกวียน แล้วนำตาช่วงส่งโรงพยาบาลขอนแก่น

พอเอาตาช่วงไปถึงโรงพยาบาล หมอก็เอาไปตรวจดูอาการป่วย แล้วหมอก็สวนขี้สวนเยี่ยวให้พอขี้และเยี่ยว ออกมาได้ อาการป่วย ของตาช่วง ค่อยสบายขึ้นมาหน่อย อาการร้องและครางจึงค่อยหยุดไป

ตาช่วงอยู่ที่โรงพยาบาล ๗-๘ วัน เพื่อพักรักษาโรคอัมพาต โรคร่อย โรคตายเพี้ยง โรคตายฝ่าย แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นมาเลย ยิ่งเห็นแต่เขา เอารถเข็นคนตาย ออกมาจากโรงพยาบาล คือคนตาย เพราะโรคอหิวา เลยหวาดกลัว จึงพากันลาคุณหมอ กลับมาพักรักษา อยู่ที่บ้าน

พอมาถึงบ้าน ยายและลูกๆ ก็จะคอยป้อนให้ จะขี้ยายก็ให้ขี้ใส่กระโถน จะเยี่ยวก็เยี่ยวตามสายยางที่หมอต่อไว้ให้ แล้วก็กางมุ้ง ให้นอนอยู่บนบ้าน อย่างนั้นเอง

ในขณะที่ตาช่วงนอนป่วยอยู่นี้ แกจะถามหามีดคู่มือที่เคยใช้ฆ่าวัวควาย ยายและลูกๆก็ไปเอามาให้แก ตาช่วง จะหวงมีด เล่มนั้นมาก คือจะเอามีดเล่มนั้นวางเอาไว้ไม่ห่างกายเลย หากมีใครสักคนมาเยี่ยมดูอาการป่วยของแก แกจะรีบหยิบ เอามีดเล่มนั้น มากอดเอาไว้ เสมือนหนึ่งกลัวใครจะมาแย่งเอามีดเล่มนั้นไป

ตาช่วงนอนป่วยทรมานในการขี้การเยี่ยวอยู่เป็นเวลาถึง ๓ เดือนกว่าๆ ลูกชายคนเล็กเกิดป่วยเป็นไข้ (ภาษาอีสานเว้าว่า เป็นไข้หมากไม้) หากใครป่วยเป็นไข้หมากไม้นี้ ขืนไปกินผลไม้เข้าไปล่ะก็ ถ้ารักษาไม่ทัน ก็จะถึงแก่ความตายในเวลาไม่นาน

ยายก็มัวแต่ดูอาการป่วยของตาช่วง ก็ไม่ค่อยสนใจกับลูกป่วยลูกไข้ ลูกได้ไปกินผลไม้ มันเลยผิดไข้นั้น ลูกตัวร้อนมาก ไข้ขึ้นสูง รักษาไม่ทัน สุดท้าย ลูกชายคนเล็กนั้น ก็มาตายลง

พอลูกชายยายตาย ยายและญาติๆ ก็ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตาช่วง พอป้อนข้าวป้อนน้ำแล้ว ก็ปล่อยให้แกนอนป่วย อยู่คนเดียว บนบ้าน เพราะยายและชาวบ้านก็พากันไปจัดการงานศพของลูกชาย

พอเอาศพลูกชายของยายไปป่าช้า ตอนนั้นปล่อยให้ตาช่วงอยู่คนเดียวที่บ้าน แกคงจะคิดหนัก คิดสงสารลูก ที่มาตายจาก คิดว่าตัวเอง อยู่ไปก็เป็นภาระแก่ลูกและเมีย คิดว่าตัวเองป่วยคงจะไม่รอดตายแน่ ทรมานในการกินการขี้การเยี่ยว อย่ากระนั้นเลย เราควรตายดีกว่า ตาช่วงคงจะคิดแบบนี้

แล้วแก็เอามีดเล่มนั้น มีดที่แกเคยฆ่าวัวฆ่าควายตายมาแล้วมากมาย เอากระหน่ำแทงเข้าที่หน้าอก และตามร่างกาย จนตัวตาย โดยที่ยายและลูกๆ ไม่มีโอกาสที่จะช่วยเหลืออะไรได้เลย

มีดเล่มนั้น คือมีดที่แกใช้ฆ่าวัว ฆ่าควาย ศพแล้วศพเล่า บัดนี้มีดเล่มเดียวกันนี้ ได้ย้อนหันกลับมาฆ่าตัว ของตาช่วงเอง ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของ มีดมรณะนั้น แล้วอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องของกฎแห่งกรรม หรือว่า กรรมตามมาสนองแล้ว ท่านคิดว่า มันจะเป็นอะไรไปเล่า คุณยายผาง ไทยอ่อน กล่าวกับผู้เขียนในที่สุด

ก่อนจาก ผู้เขียนขอฝากบทกวีธรรมเอาไว้สักบท เพื่อเป็นคติเตือนใจเอาไว้ว่า



เกิดเป็นคน จนหรือมี ดีหรือชั่ว
อยู่ที่ตัว กระทำ กรรมตามสนอง
 หากทำดี ดีคงส่ง ให้เรืองรอง
 ทำชั่วต้อง ได้รับกรรม ที่ทำมา

- ก่อแก่น -

(สารอโศก อันดับที่ ๒๕๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๕)

ขอบคุณที่มา http://www.asoke.info/09Communication/Dharmapublicize/Sanasoke/sa254/125.html
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มีดเล่มนั้น
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 26, 2015, 06:03:07 am »
0

สาธุ สาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา