ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560  (อ่าน 15478 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: กันยายน 05, 2017, 07:45:09 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: กันยายน 05, 2017, 07:51:08 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0


เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ตอนนั้นฉันประสบกับทุกข์ มากมายหลายอย่าง จนสติ แทบจะขาด แต่เพราะความเป็นผู้นำ ผู้สอนมาก่อน ในด้านศีลธรรม จึงพอยับยั้งสติ ประคองตนให้รอด ตอนนั้น มันไม่สบายใจ มีความกังวล ต่ออนาคต มากมายหลากเรื่อง ทั้งเรื่องหากิน ประจำวัน ตลอดถึงหนี้สินที่เราไม่ได้ก่อ แต่ต้องรับผิดชอบด้วย ของตระกูล ตอนนั้นความเป็นทุกข์ ก็ดึงอุปนิสัยเก่า กลับมาหลายอย่าง สิ่งที่เคยพบเห็น เคยฝึกไว้ตอนเป็น สามเณรนั้น ก็ประดังกลับมาทำให้นึกถึง ครูอาจารย์ ที่เป็นพระสงฆ์ เมื่อคิดถึง ก็อยากไปหา ไปขอคำปรึกษา ที่จริงอยากให้ช่วยเหลือเลย ความคิดเห็นแก่ตัวมันได้แค่นั้น แต่เหมือนกรรมบังไว้ พอไปหาครูอาจารย์รูปไหน ก็ไม่เจอสักรูป สักองค์ ต้องมีอันทราบว่าไม่อยู่ ตอนนนั้นเดินทางไปหลายจังหวัดด้วย มีสมุทรปราการ อ่างทอง อุทัยธานี ลพบุรี ชลบุรี สิงห์บุรี ฉะเชิงเทรา อยุธยา ในสายภาคกลาง แต่ก็ หาไม่เจอเลยสักรูป สักองค์ ไปถึงแล้ว เหมือนท่านไม่อยากพบเรา ก็จะได้ข้อความ คล้าย ๆ กัน ว่า ท่านไม่อยู่ไปธุระ เป็นเดือน อย่างนี้แทบจะทุกที่ มีบางที่เท่านั้นที่ไม่รู้จะถามใคร คือ เงียบกริบ ไม่มีใครให้ถาม ตอนนั้นใจมันก็ทุกข์อยู่นะ แต่สุดท้ายเมื่อไปไม่เจอก็ต้องเดินทางกลับมา ก็เริ่มใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ สักเดือนกว่า ๆ หมดค่ารถ ค่าน้ำมัน ไปร่วมหมื่น ถามว่าทำไมไม่ใช้มือถือติดต่อ นี่มัน 25 ปีที่แล้วนะ ไม่ใช่ 25 วันที่ผ่านมา มือถือตอนนั้นไม่ได้มีเกลื่อนตอนนั้นมือถือ 3110 กำลังฮิตราคา 5000 - 8000 ค่าโทรต่อนาทีหลายบาท คนทั่วไปพกไม่ได้ แต่ อีกอย่างพระสงฆ์ฝ่ายภาวนานั้นไม่ใช้มือถือกันด้วย มันก็เป็นอย่างนี้ ฉันเองปัจจุบันมีก็แค่พกไม่ค่อยได้โทรหาใคร และก็มักจะสั่งคนมีเบอร์ว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าได้โทรมา
ให้ ติดต่อฉันทางเฟค ง่ายกว่าทางมือถือ
เมื่อการไปหาครูอาจารย์ หาไม่พบเลย นานเข้าใจก็จะเริ่มจะหายทุกข์ เพราะการเดินทางแต่ละครั้ง มันได้เวลาพักไปด้วย คือ ทุกข์ ก็เดินทางมองวิวข้างทางไป นั่งนึกมองเห็นคนเดินทางไปด้วย ในรถโดยสารต่าง ๆ ก็เห็นบางคนก็สุข บางคนก็ทุกข์ ไปถึงวัดบางวัดก็ร่มเย็นนั่งพัก ได้ชื่นใจเติมพลัง บางวัดไปถึงแล้วก็ต้องรีบออกเพราะเร่าร้อน ทั้งพระทั้งวัด สัมผัสได้ทันทีเวลาได้สนทนา หรือ ก้าวเท้าเข้าวัด จะรู้ทันทีว่า วัดนี้นั่งได้นาน นั่งไม่ได้นาน แต่ส่วนใหญ่ก็จะนั่งพักสักชั่วโมงกว่า ๆ
ด้วยการแสวงหา อย่างนี้ จิตมันก็คิดอย่างนี้ ในค่ำคืนจากนั้นสักประมาณ 1 เดือนกว่า ๆทีทำแบบนี้ ฉันก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง ท่านเข้ามาหาให้เห็นทุกคืน เป็นเวลาเกือบ สิบวัน
ก็คิดอยู่ว่า เราคิดถึงครูอาจารย์ ต่าง ๆ มากไป จึงมาสร้างภาพหลอกในตอนนอนหลับอย่างนี้ จะเล่าไปตามลำดับ ฝันนี้จะเกิดประมาณเวลา 03.00 น. ทุกคืน
คืนแรก เห็นพระสงฆ์รูปนี้ เดินถือไม้เท้ามายืนมอง ที่เรานอนอยู่ พอลืมตามองท่านสักพัก ท่านก็ยิ้มให้แล้วก็เดินกลับไป
คืนที่สอง เห็นอีกแบบเดิม แต่คราวนี้ อยากถาม ยกมือไหว้ท่านในท่านอน ท่านยิ้มแล้ว็ก็เดินจากไป
คืนที่สาม เห็นอีกแบบเดิม ตะแคงตัว นั่ง กราบท่าน พอเงยหน้าขึ้นท่านก็หายไป
คืนที่สี่ เห็นอีกแบบเดิม แต่คราวนี้กลัวท่านหายไป เลยกราบที่เท้าท่านเอามือยึดไว้ เงยหน้ามอง ท่านก็หายไปอีกเช่นกัน
คืนที่ห้า ลุกขึ้นกราบแบบเดิมจับเท้าไว้ แต่ไม่เงยหน้ามอง ๆ แต่เท้า ได้ยินเสียงท่านครั้งแรก ท่านถามว่า สบายใจหรือยัง ตอบท่านว่า สบายใจแล้ว ครับ หลวงพ่อ ตอบเสร็จท่านก็หายไป
คืนที่หก ทำแบบเดิม พูดแบบเดิม แต่ยังไม่หายไป รู้สึกมีมือแตะที่ศรีษะ แล้วเสียงพูดว่า
อย่ามัวแต่หาพระ ภายนอกเลย
จงเป็นพระที่เลิศเองเลย เป็นที่พึ่งแก่ตนเองดีกว่า
เสร็จแล้วท่านก็หายไป
คืนที่เจ็ด ก็แบบเดิมนั่นแหละ แต่คราวนี้ถามท่านว่า ผมจะเป็นพระที่เลิศเองได้อย่างไร ครับ
ท่านตอบว่า สวดบท อัคคโตเว ให้จบ 108 จบ แล้วก็จะเข้าใจ
คืนที่แปด ก็เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมตรงที่ว่า ท่านถามว่า ทำไมไม่สวด บท อัคคโตเว ตอบท่านไปว่า ผมไม่มีเวลาครับ ท่านพูดต่อว่า เพราะไม่ม่ศรัทธา ทุกข์ก็ต้องมีอยู่ต่อไป
ก่อนคืนที่เก้า ได้สวดบทอัคคะโตเว 2 - 3 จบแล้วนอน
คืนที่เก้า เหตุการณ์เหมือนเดิม แต่มีพูดเพิ่มเติมว่า ให้สวด 108 จบ ทุกวันนะ จนกว่า ทุกข์จะหายไป
คืนที่สิบ เหตุการณ์เหมือนเดิม แต่ วันนี้หลังจากพูดประโยค คืนที่ 9 แล้วท่านก็บอกว่า รักษารูปจิต ให้แล้ว นะ ขรัว จะไม่มาหาเราจนกว่า จะเข้าใจ
ตั้งแต่คืนนั้นมาก็ไม่ได้ฝันเห็นท่านอีกเลย ฉันก็เลยมาสวด บท อัคคโตเว ต้องบอกก่อนว่า ตอนนี้ยังไม่ได้สวดคาถา พญาไก่เถื่อน ( พญาไก่แก้ว ) เลยนะ แต่ตอนนั้นฉันก็สวดบทนี้ เป็นกรรมฐาน สวดจนจิตได้สมาธิ เช่นกัน และก็มีเหตุการณ์ เกิดขึ้นมาเป็นลำดับ ๆ ไป จนถึงปัจจุบัน
ที่จะบอกจากเรื่องนี้ ก็คือ ความศรัทธา ความเคารพ ความเลื่อมใส ในพระสงฆ์ มีความสำคัญ การปฏิบัติตามคำสั่ง ก็มีความสำคัญ เพราะบุคคลจะสำเร็จ ได้คุณธรรม ก็ต้องดำเนินกิจ ตามคำสอน และฝึกฝนจิต
ความทุกข์ของคนเรามีหลากรูปหลายแบบ ทุกข์เพราะทำมาหากิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง มีคนรัก คนไม่รัก พ่อ แม่ บุตร ธิดา ญาติ มิตร เป็นต้น ทุกข์เพราะผิดหวัง ไม่สมหวัง ทุกข์ เพราะ ความลำบากข่นแค้นตรากตรำ ทุกข์เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์อีกสาระพัดทุกข์ เป็นสิ่งที่เกิดคู่กับมนุษย์ ยิ่งคนไหน มีคนรักมาก ก็ทุกข์มาก คนไหนไม่ค่อยมีคนรักก็ทุกข์น้อย เพราะทุกข์นอกจากตนแล้ว ยังต้องแบกทุกข์ของคนอื่นอีก นี่เรียกว่า ชีวิตเรามีทุกข์ มากกว่าสุข แต่ที่จริงแล้ว สุขก็คือ ทุกข์เข่นกัน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ บุคคลผู้มองเห็นทุกข์ เป็นธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เขาย่อมมีความสุขเบื้องต้น
คุยกันพอให้ท่านทั้งหลายมีสติ กันบ้าง อย่ามัวแต่แบกทุกข์กันมาก มีโอกาสยามว่าง ก็นึกถึง พุทโธ พุทโธ พุทโธ อย่างนี้เรื่อย ๆ จะดีกว่า
สัตว์โลกที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ย่อมยินดี ในเสียงขับ ทัศนาภาพ ทำจิตให้เพลิดเพลิน ในสิ่งลวง ฉันใด
พระอริยะ ย่อมเห็นวิเวก ( ความสงัด ) เป็นสิ่งบันเทิง ( ปราโมทย์ ) มากกว่า และยินดี ในความสงัดนั้นเป็นกิจ เสมอ ๆ
ขอดวงตาเห็นธรรมจงมีแก่ท่าน
ขอความสำเร็จในธรรมจงมีแก่ท่าน
ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่าน
เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
บทเพลง อนุพุทธะ ( จงเป็นผู้รู้ตามเถิด )
ทำนอง ยังไม่มี
ประพันธ์ ธัมมะวังโส ๗ ก.ย.๖๐
( หนทาง แห่ง พุทโธ นั้น ไม่มีแสงมืด ปรากฏ อยู่
ผู้เดินในทาง สาย พุทโธ
ล้วนแล้ว ต้อง สละ ตัณหา อุปาทาน )
เพียงหนึ่ง เดียว ที่พ้นจากการ กลับมา
มันมีความสุข ที่ไม่มีความสนุก เจือปน
เป็นความสุข สงบ ที่ปราศจาก การเสีย และการได้
รูปกายนี้ เป็นที่ สถิตย์ รูปจิต
เมื่อรูปกาย ไม่สามารถต้านทาน กฏธรรมชาติ แล้ว
รูปจิต ก็เดินทางหา รูปกายใหม่
เมื่อรูปจิต ได้รูปกายใหม่ ทุกสิ่งก็กับไปสู่เริ่มต้น
ชีวิต เริ่มต้นด้วยต้นทุน เสบียง จาก การสะสมของ ชีวิตเก่า
วนแล้ว วนเล่า ด้วยการได้ สมหวัง และ เสีย ไม่สมหวัง
ทุกครั้งที่ เสีย รูปจิตก็ทุกข์ รูปกายก็หวั่นไหว
ทุกครั้งที่ ได้ รูปจิตก็อยากได้อีก รูปกายก็สั่นไหวด้วยความอยาก
( หนทาง แห่ง พุทโธ นั้น ไม่มีแสงมืด ปรากฏ อยู่
ผู้เดินในทาง สาย พุทโธ
ล้วนแล้ว ต้อง สละ ตัณหา อุปาทาน )
เมื่อชีวิต เกิดความผูกพัน กับ ชีวิต อื่น
การเฝ้าคอย รอคอย ผูกพัน รัก โลภ โกรธ หลัง จึงมียิ่งขึ้น
เมื่อ ชีวิต มีภาระ จาก ภาระ ชีวิต ที่ผูกพัน โยงใย
รูปจิต ก็ อุปาทาน มากขึ้น
เมื่อ อุปาทานมีมากขึ้น อัตตาก็มีมากขึ้น
เมื่อ อัตตา มีมากขึ้น ความทุกข์ ของชีวิต ก็มีมากขึ้น ทวีคูณ
( หนทาง แห่ง พุทโธ นั้น ไม่มีแสงมืด ปรากฏ อยู่
ผู้เดินในทาง สาย พุทโธ
ล้วนแล้ว ต้อง สละ ตัณหา อุปาทาน )
เพียงช่วงเดียว สักครั้ง หนึ่ง ที่โอกาส แห่ง ศีล สมาธิ ปํญญา จะสมบูรณ์
ไม่ได้มีบ่อยครั้ง ที่ รูปจิต จะได้ภาวะ ที่ ศีล สมาธิ ปัญญา จะเท่ากัน
เมื่อ ศีล สมาธิ ปํญญา สมบูรณ์ เท่ากันนั้นจึงเป็นโอกาส อันเหมาะสม
จง แผ่ เมตตา ( ความรัก ) ให้ตนเอง
จง แผ่ เมตตา ( ความรัก ) ให้สรรพชีวิต
จง มองเห็นตามความเป็นจริง ด้วยสภาวะ นั้น
จง ใครครวญ ภาระกิจ ที่พรมหจรรย์ ต้องการจริง
จง อดทน ต่อการสร้างกุศล
จง อดกลั้น ต่อการจากอกุศล
จง บำเพ็ญ มรรคสมังคี เป็น ผู้รู้ตาม เถิด
( หนทาง แห่ง พุทโธ นั้น ไม่มีแสงมืด ปรากฏ อยู่
ผู้เดินในทาง สาย พุทโธ
ล้วนแล้ว ต้อง สละ ตัณหา อุปาทาน )

บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: กันยายน 08, 2017, 09:20:08 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: กันยายน 16, 2017, 11:44:11 am »
0





ช่วงนี้ พอจ พยายามปิดวาจา และ เข้ากรรมฐานให้มากที่สุด ดังนั้นจึงไม่ตอบ คำถาม ใด ๆ เลยแก่ ใคร ดังนั้นใครที่ได้คุยด้วยตอนนี้ ต้องถือว่า พิเศษมาก และ เมตตา เป็นพิเศษด้วย
การภาวนา เป็นเรื่องส่วนบุคคล ดังนั้นการที่ พอจ จะเข้ากรรมฐานระดับ ไหน จึงไม่สามารถ มาโพทะนา ให้ท่านทั้งหลายทราบได้แค่ ภาวนา พิเศษ ก็จักทำในช่วงเข้าพรรษา มีเนสัชชิกธุดงค์ และ เข้ากรรมฐาน ต่อเนื่อง เท่านั้นที่ทำเป็นอยู่ประจำ
ชีวิต ของแต่ละคน ก็มีปัญหา มีอุปสรรคแตกต่างกันไป ทุกคนต้องประคองตน ให้อยู่ในกุศล ให้มากที่สุด เพราะกุศล จักทำให้ท่านทั้งหลาย มีความสุขได้ คนที่ขาดกุศล ย่อม นั่ง นอน ยืน เดิน ไม่มีความสุข
กุศล เกิดขึ้นได้จากการคิดดี พูดดี ทำดี
เจริญพร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 16, 2017, 11:47:26 am โดย ธัมมะวังโส »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: กันยายน 16, 2017, 11:46:26 am »
0
ถาม ทำไม ธรรมทาน จึงเลิศกว่า อภัยทาน
ตอบ ธรรมทาน เป็น วิวัฏฏ ( เป็นแม่บท )
คำว่า วิวัฏฏ หมายถึง พ้นจากสังสารวัฏ
วิวัฏฏ มีดังนี้
สัญญาวิวัฏฏญาณ
เจโตวิวัฏฏญาณ
จิตตวิวัฏฏญาณ
วิโมกขวิวัฏฏญาณ
สัจจวิวัฏฏญาณ
ในขณะแห่งมรรคใดมีสัญญาวิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคนั้น
ย่อมมีเจโตวิวัฏฏ์
ในขณะแห่งมรรคใดมีเจโตวิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคนั้นย่อมมี
สัญญาวิวัฏฏ์
ในขณะแห่งมรรคใดมีสัญญาวิวัฏฏ์ เจโตวิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคนั้นย่อมมีจิตตวิวัฏฏ์
ในขณะแห่งมรรคใดมีจิตตวิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคนั้นย่อมมี
สัญญาวิวัฏฏ์ เจโตวิวัฏฏ์
ในขณะแห่งมรรคใดมีสัญญาวิวัฏฏ์ เจโตวิวัฏฏ์จิตตวิวัฏฏ์
ในขณะแห่งมรรคนั้นย่อมมีญาณวิวัฏฏ์
ในขณะแห่งมรรคใดมีญาณ-*วิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคนั้นย่อมมีสัญญาวิวัฏฏ์ เจโตวิวัฏฏ์ จิตตวิวัฏฏ์
ในขณะแห่งมรรคใดมี สัญญาวิวัฏฏ์ เจโตวิวัฏฏ์ จิตตวิวัฏฏ์ ญาณวิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคนั้นย่อมมีวิโมกขวิวัฏฏ์
ในขณะแห่งมรรคใดมีวิโมกขวิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคนั้นย่อมมีสัญญาวิวัฏฏ์ เจโตวิวัฏฏ์ จิตตวิวัฏฏ์ ญาณวิวัฏฏ์
ในขณะแห่งมรรคใดมีสัญญาวิวัฏฏ์ เจโตวิวัฏฏ์ จิตตวิวัฏฏ์ ญาณวิวัฏฏ์ วิโมกข-*วิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคนั้นย่อมมีสัจจวิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคใดมีสัจจวิวัฏฏ์ ในขณะแห่งมรรคนั้น ย่อมมีสัญญาวิวัฏฏ์ เจโตวิวัฏฏ์ จิตตวิวัฏฏ์ ญาณวิวัฏฏ์
วิโมกขวิวัฏฏ์ ฯ
สรุปสั้น ก็แล้วกัน เพราะเนื้อหาส่วนนี้มียาวมาก ก็คือ
ที่ธรรมทาน เลิศกว่า อภัยทาน เพราะธรรมทาน รอง รับ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ในขณะที่ อภัยทาน ปุถุชน ก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องมี มรรค แค่มี ศีล ก็ทำได้ เพราะศีล เป็น อภัยทาน คนมีศีล คือ คนที่ อภัยทาน คำว่า อภัยทาน หมายถึงความไม่เบียดเบียนตนเองก่อน และ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
เจริญพร
แม่บท - จตฺตาโรเม ภิกฺขเว ปุคฺคลา สนฺโต สํวิชฺชมานา โลกสฺมึ กตเม จตฺตาโร อนุโสตคามี ปุคฺคโล ปฏิโสตคามี ปุคฺคโล ตตฺโต ปุคฺคโล ติณฺโณ ปารคโต ถเล ติฏฺติ พฺราหฺมโณ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุคคลผู้ไปตามกระแส ๑ บุคคลผู้ไปทวนกระแส ๑ บุคคลผู้มีตนตั้งอยู่แล้ว ๑ บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งตั้งอยู่บนบก ๑
เมื่อผู้ภาวนาเข้าสู่การภาวนา ไม่ว่าจะทางตรง หรือ ทางอ้อม ย่อมมีผลภาวนา เกิดขึ้นไม่ว่าจะเล็ก จะน้อย ย่อมมีความสุขส่วนหนึ่ง ในขณะเดียวกันความทุกข์ ก็จะถาโถม มากขึ้นแก่ผู้ภาวนา ยิ่งรู้จักทุกข์ ก็ยิ่งเห็นทุกข์ และยิ่งภาวนา ก็ย่อมยิ่งจะถูกเบียดเบียน จากผู้ไม่ภาวนา ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้น พระพุทธเจ้า ตรัสยกย่อง ผู้ทวนกระแส มากที่สุด เพราะผู้ทวนกระแสนั้น ก็คือ ผู้ภาวนาเบื้องต้น
แม่บท - พระคาถา
ตสฺมา หิ ธีโร อิธุปฏฺิตาสติ
กาเม จ ปาเป จ อเสวมาโน
สหาปิ ทุกฺเขน ชเหยฺย กาเม
ปฏิโสตคามีติ ตมาหุ ปุคฺคลํ ฯ
เพราะฉะนั้น ธีรชนในโลกนี้ เป็นผู้มีสติตั้งมั่นแล้วไม่เสพกาม และไม่ทำกรรมอันเป็นบาป แม้ประกอบด้วยทุกข์ก็ละกามได้ นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่าไปทวนกระแส
ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย เมื่อมีเส้นทาง คือ มรรค แล้ว อย่าได้ท้อถอย เพียงเพราะทุกข์ ที่ถาโถมเข้ามาจากกรรมทั้งเก่า และใหม่ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีความอดทนและตั้งมั่น ศรัทธา ต่อพระรัตนตรัย อย่าได้หวั่นไหว จงตั้งสติ และ อดกลั้น อดทน แม้ชีวิตนี้จะสิ้นไป ก็อย่าให้ เหตุสิ่งใด มาทำให้ใจของท่าน คลอนแคลนจากเป้าหมายคือ การไปสู่ประตูอมตะ นั่นเลย
ไฟล์เสียงแม่บท- ผู้ทวนกระแส
http://cloudbox.3bb.co.th/…/MTYwMTF8ZjU4ZWRkM2E0MTYzOTllZTI…
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: กันยายน 16, 2017, 11:47:00 am »
0
ถาม พอจ ได้จัดให้มีการทอดผ้าป่า กฐิน หรือ ไม่คะ
ตอบ พอจ อยู่องค์เดียว มาตลอดหลายปี ผ้าป่า กฐิน ไม่มีความจำเป็น สำหรับ พอจ กฐิน ต้องมีพระจำพรรษาด้วยกัน 5 รูป ส่วนผ้าป่า ก็ไม่ได้ขาดแคลนผ้าใช้ เพราะ พอจ อธิษฐานใช้ผ้า 3 ปี เปลี่ยน แต่รอบนี้อาจจะหลายปี เพราะว่าผ้าทนอึด
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ วัดแต่ละวัด กรรมการแต่ละวัด กำลังทะยอย พิมพ์ซองแจกซอง กฐิน ผ้าป่า หลังออกพรรษา กัน ทั่วประเทศ ก็ทำกันอย่างนี้ คนไหน รู้จักพระมาก รู้จักวัดเยอะ ศรัทธามีทั่ว ลูกน้องที่ทำงานมีมาก คนรู้จักมากเยอะ ก็เป็นบารมีอย่างหนึ่งนะ ดังนั้น ซอง ก็ต้องมีมาก เป็นธรรมดา อย่าทำให้จิตของตนเป็นทุกข์ เพราะเรื่องการทำบุญกันเลย
ดังนั้นอย่าได้ทุกข์ ใจ เพราะการทำบุญกับ พอจ เพราะ พอจ ไม่ได้บังคับหรือ ข้อร้องให้มาทำบุญ กับ พอจ เกิดจากศรัทธาของท่าน ทำกันด้วยตนเอง เป็นมหากุศล ก็ขอบคุณทุกท่าน ที่ช่วยเหลือ ส่งเสริม ปิดทองหลังพระ กับ พอจ กันมาด้วยดี แต่ขอให้ทุกท่าน จงทำตามสะดวก อย่าได้เดือดร้อน เพราะการนี้ อันไหน ช่วยได้ พอมีกำลังก็ช่วย อันไหนช่วยไม่ได้ เพราะเกินกำลัง ก็อนุโมทนา กับคนอื่นไป
ที่ พอจ ไม่อยากสร้างนั่นนี่ ก็เพราะว่า ไม่ต้องการมาขอรับบริจาค ใด ลำพังแค่ พยุง สถานี การทำงานปิดทองหลังพระนี้ ก็ ลำบากแก่ลูกศิษย์ พอสมควรแล้ว ยิ่ง พอจ อยู่วิเวกอีก ไม่ยุ่งกับสังคมวัด โลก ทำงานเผยแผ่ ธรรมทาน เป็นรอง ภาวนา เป็นหลัก อย่างนี้ก็รู้ ถึง ภาวะเศรษฐกิจทุกอย่าง ด้วยดี ถึงความยากลำบากในการหาทรัพย์ ของทุกท่าน
พอได้อ่านจดหมาย หลายท่านที่ส่งมาเรื่อง การไม่มีกำลังทำบุญ ของ พอจ อย่าได้เคือง หรือ ให้มีโทษ อันที่จริงมันไม่มีโทษอยู่แล้ว และเข้าใจทุกสถานะ ของท่านทุกคนดี อย่าได้ไปปริวิตก ว่า พอจ ให้ฉันเป็นภาระ อย่างนี้ ไม่ควรเลย จะเป็นทุกข์แก่จิต ของท่านกันได้
ทำบุญกับ พอจ หรือไม่ทำ ในห้องนี้ ถ้าท่านยังอยู่ ยังมีชื่อ ก็ยังชื่อว่า เป็นผู้มีโอกาสในการศึกษา พระกรรมฐาน อยู่
ความสุขจริงแท้ ไม่ได้อยู่ที่เงินทอง อยู่ที่การบริหารจิต ในการใช้เงินทองมากกว่า ถึงแม้ไม่มีเลย ก็อย่าให้จิตเป็นทุกข์ ฝึกฝนจิตไว้ในส่วนนี้
ยาม จะมี มีให้เป็น ไม่เป็นทุกข์
ยาม มี สุข มีให้เป็น อย่าใหลหลง
ยาม ไม่มี คงจิตไว้ ไม่ตกลง
ยาม ได้ ปลง เห็นตัวธรรม ธรรมดา
ขอดวงตาเห็นธรรม จงมีแก่ท่าน
ขอความสวัสวดี จงมีแก่ท่าน
เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #48 เมื่อ: กันยายน 16, 2017, 11:49:59 am »
0
ถาม มองโลกตามความเป็นจริง ได้ประโยชน์ อย่างไร
ตอบ การมองโลกตามความเป็นจริง ก็คือ มองด้วยจิต หลุดพ้น จากการบังคับ ควบคุม เมื่อมองโลก โดยมีความสำนึกว่า เราไม่สามารถ บังคับ ควบคุมได้ การปล่อยวาง การจางคลาย การละกิเลส จึงจักมีได้
ยกตัวอย่างเรื่องสงคราม การฆ่ากัน เพื่อการมีอำนาจ มันไม่ได้สูญหายไปไหน ยังมีอีกหลายที่ ประเทศ ขณะนี้ก็ทำสงครามอยู่ แม้แต่ในบ้านเมืองเราเอง คนก็ยังทำสงครามกัน แม้แต่บ้านใกล้ เรือนเคียง ก็ทำสงครามกันอยู่ แม้ในบ้านเราเอง พี่น้องญาตมิตรก็ทำสงครามกันอยู่
ที่ไหน ปราศจากสงคราม ที่นั้นก็มีสันติสุข
แต่ความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้ แม้แต่วัดที่มีพระพุทธเจ้า เป็นประมุข ประธานะ พระสงฆ์ที่เป็นปุุถุชน ก็ยังทำสงคราม ตามวิสัยตนจนทำให้เกิด วินัยบัญญัติ เรื่องการทำลายสงฆ์ให้แยกแตกจากกัน ดั่งตัวอย่างพระเทวฑัตร เป็นต้น
ดังนั้นการมองโลก ตามความเป็นจริง จักทำให้เรารู้บทบาทของตน และ ทำหน้าที่ตามบทบาทให้ถูกต้อง โดยยกระดับจิตสูงขึ้นไม่ต้องมาเป็นทุกข์ ในเรื่องการจัดการโลก
เมื่อถึงเวลา ที่ สัตว์ทั้งหลาย กระทำสงคราม กันทั้งหมด ก็เป็นเวลาที่ทุกคน ต้องยอมรับชะตากรรม ไม่อยากเจอ ก็อย่าเกิด เท่านั้น
ถ้าเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีทางหนีพ้นเรื่องพวกนี้
พระอริยะ จึงมีความปรารถนา ไม่เกิดอีกต่อไป ก็จะยุติเรื่องนี้ ได้
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #49 เมื่อ: กันยายน 16, 2017, 11:50:22 am »
0
ถาม พระโสดาบัน ยังติดกามคุณอยู่ไหม คะ
ตอบ ยังติดอยู่ พระโสดาบัน ยัง มีบุตร ตามความปรารถนา ตน เสพกาม สืบพันธ์ ค้าขาย ร่ำรวย ยากจน มีได้ทั้งหมด แต่ พระโสดาบัน จะดีแค่ 3 อย่าง
1. เวลาทุกข์ เกิด ก็หายไว ( ไม่ใช่ไม่มีทุกข์ )
2. เป็นคนที่ไม่หลงงมงาย มีข้อปฏิบัติตรง ต่อ พระนิพพาน
3. เป็นผู้มีความเคารพเลื่อมใส ในพระรัตนตรัย ไม่มีการจ้วงจาบปรามาส ต่อ พระรัตนตรัย
ดีที่สุด คือ
ไม่มีกำเนิด ในอบายภูมิ 4 ต่อไป คือไม่เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาณ สัตว์นรก เปรตร และ อสุรกาย ได้เกิดสองที่เท่านั้น คือ เป็น มนุษย์ กับ เทวดา
มีชาติที่แน่นอน 1 ชาติ 3 ชาติ 7 ชาติ ไม่เกินนี้ แต่การเป็นเทวดา 3 ชาตนี้อาจจะยาวกนาน หลายพระพุทธเจ้า ในพระพุทธเจ้าอองค์นี้ก็มี เทวดาอริยะโสดาบัน มาเป็น พระอรหันต์ ก็หลายองค์
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #50 เมื่อ: กันยายน 16, 2017, 11:50:43 am »
0
ถาม เป็นพระโสดาบัน รู้ได้อย่างไร คะ
ตอบ ข้อพิสูจน์ ทางกรรมฐาน สำหรับตัวท่านเอง ที่ไว้ตรวจสอบตนเองได้ ว่าเราเป็นอริยะหรือยัง
1.ในระดับพระโสดาบัน ต้องว่างเว้น จากการหลับแล้วฝัน เรื่องลามก พระโสดาบันไม่ผิดศีล 5
ถ้ายังมีความฝันลามก อย่างนี้อยู่ให้รู้เลยว่า ยังไม่เป็น โสดาบัน
2.สำหรับในสายกรรมฐาน แล้ว จะดูรังษี ของจิต เท่านั้น รังษีจิตจะแผ่สร้าน คลุมตัว แต่ละชีวิตไว้ เหมือนพยัพแดด ผู้มีทิพยจักษุ ย่อมสามารถมองเห็น รังษีนี้ได้
3.การเข้าตรวจสังโยช์ ด้วยอำนาจวิปัสสนาญาณ ว่า ละสังโยชน์ 3 ได้หรือ ไม่ แต่วิธีนี้ สำหรับคนที่ไม่เป็น พระสกิทาคามี ใช้ไม่ได้ อุปนิสัต ของ สัตว์ผู้ข้อง ย่อมเข้าข้างตนเอง
4. เข้าผลสมาบัติ ด้วยอำนาจ ผลสมาบัติ จักสามารถเข้า สมาบัติ จากการละกิเลส ได้ ขั้นต่ำ 1 ทิวา 1 ราตรี
5. ตรวจ ลัญจกร ของ พระโสดาบัน ( ครูอาจารย์ ผู้มีทิพยจักษุ เท่านั้น จึงทำได้ )
เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #51 เมื่อ: กันยายน 16, 2017, 11:51:21 am »
0
ผู้ฝึก กรรมฐาน ที่ไม่สมควรได้รับการฝึกกรรมฐาน ตามโอวาท ของครู
1. เป็นผู้ฝักใฝ่ ในโลก ( เป็นผู้ชอบคลุกคลี ในสังคม )
2. ไม่เป็นผู้สดับธรรม ตามกาล ( หมายถึง ไม่ฟังธรรม เมื่อถึงเวลาสมควร )
3. เป็นคนมี ทิฏฐิ ที่ไม่มุ่งสู่ อริยะมรรค ( หมายถึง ไม่ต้องการคุณธรรมใน พุทธศาสนาปัจจุบัน )
4. เป็นคนทุศีล ( ทำผิดศีล )
5. เป็นผู้ขาด อุปัฏฐาก อุปถัมภ์ ครูอาจารย์
6. เป็นผู้ชอบอิสระ ในแนวทางการฝึกกรรมฐาน
7. เป็นผู้ที่ยังไม่มีกุศล เกิดขึ้น
8. เป็นอาภัพบุคคล เช่น พิการทางหู ทางตา ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เป็นบัณเฑาะว์ เป็นคนมีจริตผิดเพศ เป็นต้น
9. เป็นผู้ทำอนันตริยกรรม 6
10. เป็นผู้ขาดสัจจะ มากบ่อยครั้ง ( อันนี้ ขึ้นอยู่กับ วินิจฉัย )
บุคคลทั้ง 10 ไม่พึงสอนกรรมฐาน ไม่พึงติดตามไปสอน กองกรรมฐาน
บุคคลผู้ควรได้รับการสอนกรรมฐาน
1. เป็นผู้ตั้งมั่นในศีล
2. เป็นผู้มีความสงัดกาย จิต ดีระดับหนึ่ง
3. เป็นผู้ให้ความเคารพต่อ พระรัตนตรัย
4. เป็นผู้อดทน อดกลั้น ต่อการรับโอวาท
5. เป็นผู้มีความเพียร ติดต่อ ไม่ขาดตอน
6. เป็นผู้ทำตามขั้นตอน ของกรรมฐาน
7. เป็นผู้อุปถัมภ์ อุปัฏฐากครูอาจารย์
8. เป็นผู้ตั้งมั่น ในอริยะมรรค มีความปรารถนา อย่างน้อยพระโสดาบัน
9. เป็น มนุษย์ ที่มีทิฏฐิ ดีงาม
10.เป็นผู้รักษา สัจจะอธิษฐาน
บุคคลทั้ง 10 นี้ เป็นบุคคลที่ครูอาจารย์ ควรติดตาม และถ่ายทอดพระกรรมฐาน ให้
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #52 เมื่อ: กันยายน 16, 2017, 02:19:00 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #53 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2017, 12:07:20 pm »
0


( หลักปฏิบัติ จานด่วน )
สำหรับ ปุถุชน เมื่อ สิ่งกระทบใจ เกิดขึ้น แล้วควบคุมไม่ได้ จิตจึงแปรปรวน ทำให้ทุกข์ ทำให้สุข ทำให้อทุกขมสุข มีกำลังสูง จิต จึงเข้าสู่หวั่นไหว ด้วย รัก ชอบ ชัง ยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ภาวนา สิ่งที่ต้องทำก็คือ การสำรวมระวัง ในสิ่งที่กระทบใจ
การสำรวมระวัง ก็คือ การตั้งสติ การตั้งสติ ก็จะอยู่ในความไม่ประมาท เมื่อมีความไม่ประมาท ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ก็จักมีอยู่ ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น และ ก็ยิ่งขึ้น จนสมบูรณ์ เป็นสมาธิ
สำหรับพระอริยะ ตั้งแต่ พระอนาคามี ขึ้นไป ท่านดับ การปรุงแต่ง ก่อนที่ ผัสสะ ทั้งหลายจะเกิด นั่นจึงทำให้ จิต ของพระอนาคามี ไม่หวั่นไหว ด้วยรัก ด้วยชัง
สำหรับพระอริยะ พระอรหันต์ ท่านดับการปรุงแต่ง อย่างสิ้นเชิง แล้ว จิตจึงพ้นจาก สภาพที่อะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ต่อไป คือ ถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา นั่นเอง
เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #54 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2017, 12:07:54 pm »
0
ถาม คนตายแล้วไปไหน คะ
ตอบ คนตายแล้วมีสองอย่าง คือ จุติใหม่ กับ รอการจุติ
จุติ มี 7 ประการ ภาษาพระ เรียกว่า วิญญาณฐิติ 7
การจุติใหม่ และ การรอการจุติ มีปัจจัย จาก กรรม ที่ตนได้สร้างไว้ จากอดีต ถึง ปัจจุบัน รวมอยู่ด้วย ดังนั้น การจุติ และ รอจุตินั้น จึงเป็นเรื่องซับซ้อน ถามว่าใครไปจัด ก็ตนเอง จัดเอง จะเกิดดีก็ต้องทำดี จะเกิดไม่ดี ก็ต้องทำไม่ดี ได้รับวิบากดี ก็แสดงว่าทำดี ได้รับวิบากไม่ดี ก็แสดงว่าทำไม่ดี
คนบางคนทำไม่ดี มาทั้งชีวิต มาทำบุญใส่บาตร วันเดียว ฟังธรรมภาวนา ครั้งเดียวกะว่า กลบเกลื่อน ลบหนี้กรรม ทั้งชีวิตเลยนั้น มันเป็นไปไม่ได้
กรรมดี ก็ส่งผลดี
กรรมไม่ดี ก็ส่งผลไม่ดี
จะสุข จะทุกข์ จะได้ดี หรือ ขัดสน มันเกิดจากกรรมที่ตนสร้างไว้ก่อน ระบบกรรมเป็น ระบบยุติธรรม และยุติธรรม เสมอ ๆ ดังนั้น กรรมที่ทำไม่ดีในอดีต ย่อมส่งผลกับชีวิตปัจจุบันด้วย
สิ่งเดียว ที่เมื่อวิบากไม่ดี มา ไม่ควรหลบหนี วิบากนั้น เพราะจะทำให้วิบากสะสม ไปหนักข้างหน้า ผู้ภาวนา ไม่พึงเลี่ยงวิบากใด ๆ เลย ควรจะต้องรับวิบาก ที่ตนทำไม่ดีไว้ จึงควร แต่เพราะนิสัยคนส่วนใหญ่ ไม่ชอบลำบาก ทั้ง ๆ ที่ วิบากลำบาก ตนสร้างไว้ ก็พยายามเลี่ยงวิบากกรรมนั้นไป ผลัดผ่อนไปรวมกัน จนวิบาก เล็ก ๆ กลายเป็นวิบากใหญ่ หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น กรรมบางอย่างก็เป็นกรรมเบา ๆ แต่ถ้าสะสมเป็นก้อนใหญ่ มันก็เป็นหนี้ใหญ่ ได้ เช่นกัน
ดังนั้นคนที่ตายไปแล้ว รอจุติ กับ จุติเลยนั้น ก็อาศัย บุญ บาป ที่ตนสร้างไว้ตั้งแต่ อดีต จนถึงปัจจุบัน เป็น ทุนจัดการนั่นเอง
จุติ ที่ดี ก็มาจาก กรรม ที่ดี
จุติ ที่ไม่ดี ก็มาจาก กรรม ที่ไม่ดี
เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #55 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2017, 10:02:17 am »
0


วันออกพรรษา
มีเหตุสำคัญ สองอย่างที่ควรรู้
1. เทโวโรหณะ วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก
เป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ทรงเปิดโลก สามโลก ให้เห็นซึ่งกันและกันชั่วขณะที่พระองค์ เสด็จลงจาก การโปรดพุทธมารดา โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกนรก ต่างคนต่างได้เห็นซึ่งกันและกัน ในขณะนั้น ซึ่งมีเพียงครั้งเดียว ในพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง การเปิดโลกทั้งสามนี้ เพื่อให้สัตว์ที่ได้เห็นขณะนั้น ได้มองเห็นความจริง ถึงวิบาก 3 ประการ คือ วิบากแห่งสุข คือ สวรรค์ วิบากแห่งทุกข์ คือ นรก วิบากของผู้มีโอกาสเลือกจะไป ทุกข์ หรือ สุข คือ โลกมนุษย์
ดังนั้น การเชื่อเรื่อง บุญ บาป จึงไม่มีโทษ มีแต่คุณ เพราะคนเชื่อเรื่องบุญบาป ย่อมกลัวบาป และ แสวงบุญ ส่วนคนไม่เชือ ย่อมไม่กลัวบาป และกระทำบาป
2.มหาปวารณา การอนุญาตให้ชี้ข้อบกพร่อง
ปวารณา คือการบอกกล่าว อนุญาต อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ มหาปวารณา จัดเป็นสังฆกรรม เพราะมีบุพพกิจ และ ปกรณ์ สังฆกรรม ต้องสวด ดังนั้น วันมหาปวาณา จึงงดการทำปาฏิโมกข์ เพราะว่าเป็นสังฆกรรมใหญ่ จะช้า จะเร็วขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ชี้ข้อบกพร่อง บางครั้งการภาวนา ที่ขาดครูอาจารย์ ก็มีความจำเป็นต้องชี้ข้อบกพร่องจากผู้อยู่ร่วมกัน
สำหรับ มหาปวารณา เป็นการชี้แจงข้อปฏิบัติ ที่ยังผิด ในสายกรรมฐาน คือเรื่องนี้ไม่ใช่ ไปชี้ความผิด ทางวินัยสงฆ์ เพราะการชี้ความผิดทางวินัยสงฆ์ คือ ปาฏิโมกข์ การชี้ข้อพร่อง ที่ผู้อยู่ร่วมกัน ปฏิบัติผิดพลาดในเวลาหนึ่งพรรษา สามเดือน ที่ได้ปฏิบัติ กันมานั้น ทำไมคุณธรรมไม่ก้าวหน้า นี่คือ หัวใจของ มหาปวารณา
3 เดือนผ่านไป ภาวนาก้าวหน้ากันไหม กิจที่ครูอาจารย์ สั่งให้ทำได้ทำหรือไม่ ต้องทบทวนตนเองกันด้วย
ถึงแม้จะมีผู้บอกข้อบกพร่อง ดูแลอย่างไร
ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน ในการภาวนา
ตนต้องเตือนตนเอง เพื่อไปสู่การภาวนาที่ควร
ขอดวงตาเห็นธรรม จงมีแก่ท่าน
ขอความสำเร็จในธรรม จงมีแก่ท่าน
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน เทอญ
เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #56 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2017, 08:02:19 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #57 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2017, 08:02:58 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ปิดทองหลังพระ เข้าพรรษา พ.ศ. 2560
« ตอบกลับ #58 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2017, 08:58:41 am »
0
ยิ่งภาวนา ก็ ยิ่งมีคนเบียดเบียน สัตว์เบียดเบียน ยิ่งดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนเบียดเบียนมากขึ้น เพราะคนที่เบียดเบียน ย่อมไม่กลัว คนดี คนภาวนาเพราะเขารู้ว่า คนดี คนภาวนา ไม่ทำร้ายเขากลับ ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม ดังนั้นการตั้งมั่น ในคุณงามความดี สำหรับปุถุชน ต้องอาศัย ความอดทน และเป้าหมาย เพื่อ อริยผล จึงจะทำได้
ผู้ภาวนาไม่ควรโกรธ ไม่ควรเกลียด ไม่ควรทำร้ายกลับ หรือโต้ตอบ ต้องวางใจให้เป็นอุเบกขา ไม่ว่า จะลำบากอย่างไร ก็ต้องอดทน และทนเพื่อออกจากสังสารวัฏ
พอจ ภาวนา เป็น พระเลือกวิเวก ชีวิตไม่ได้สบาย ลำบากยิ่งกว่าพระในวัด ทั้งด้านการฉัน การเป็นอยู่ ปัจจัย สี่ก็ลำบาก แถมในขณะเดียวกัน ก็ถูกประนาม หยามหมิ่นทั้งกายและ ใจ บางครั้งถูกคนด่า คนที่เราช่วยเหลือ ด่าเราเอง แม้แต่ศิษย์หลายคนที่ท้อถอย ก็เป็นอย่างนั้น
การเลือกเป็นพระสายภาวนาปฏิบัติ ต้องมีใจสูงอดทน ถ้ายังไม่เป็นพระอริยะ ต้องอดทน ต้องข่มกลั้น เพราะเพศสมณะนี้ เป็นเพศที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
คนส่วนใหญ่ ไม่มีความเคารพในพระภาวนาอยู่แล้ว ในปัจจุบัน เขาเลือก เฉพาะพระที่สวดให้เขาได้ บริการเขาได้ อย่างในวัด ดังนั้น คนทั้งหลายไม่ยินดีในการทำบุญใส่บาตร พอจ กัน ก็เป็นอย่างนี้มา 12 ปีแล้ว ชิน และ พอจ ก็ต้องอดทน ข่มกลั้นในช่วงแรก แต่เมื่อภาวนาเราสูงขึ้น จนถึงขั้นสูง จิตของเราก็จักอ่อนโยน เป็นหลัก เอื้อเฟื้อ สม่ำเสมอ และใส่ใจ ในความทุกข์ ของทุกคนที่มาเกี่ยวข้อง
ดังนั้นขอให้ศิษย์ทุกท่าน จงตั้งมั่นในกุศล อย่าได้ท้อถอย เพียงเพราะไม่ได้ยศ ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้ลาภสักการะ ไม่ได้สุขแบบเขา จงพอใจในการภาวนาที่ทำให้สิ้นสุดกองทุกข์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เถิด
แม้พรรษาจะผ่านพ้นไปแล้ว กายก็เป็นอันเดิม จิตสูงส่งขึ้นหรือไม่ อยู่ที่่ท่านทั้งหลายไม่ทิ้งธรรมภาวนา ไม่ทิ้งเป้าหมาย ของตนเอง
ขอให้ทุกท่านจงมีความสุข ในการภาวนา และนอกการภาวนา แม้มันจะลำบากอย่างไร ก็อย่าได้ท้อถอย อย่าได้ประมาท หลงทางไปในทางที่ผิด อย่าได้เพลิดเพลิน โลกจนเกินไป เพราะอายุของท่านทั้งหลาย ไม่แน่นอน
ขอดวงตาเห็นธรรมจงมีแก่ท่าน
ขอความสำเร็จในธรรมจงมีแก่ท่าน
ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านเทอญ
เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ