ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปาฏิหาริย์แห่งศาสนา พระอริยะ..แม้สรีระร่างเผาไฟ แต่ "หัวใจ" ไม่สลาย  (อ่าน 2015 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เหนือคำอธิบาย!! ปาฏิหาริย์แห่งศาสนา พระอริยะ..แม้สรีระร่างเผาไฟ แต่ "หัวใจ" ไม่สลาย ! เชื่อ ทิ้งหัวใจไว้ให้สรรพสัตว์...

ยังมีเรืองราวอัศจรรย์อยู่มาก ในวงการศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการที่สรีระร่างของพระเถระ ไม่เน่าเปื่อย หรือ การที่เผาสรีระแล้ว เถ้ากระดูกกลับกลายเป็นพระธาตุ แล้วอีกปาฏิหาริย์หนึ่ง ที่อาจไม่ไดรับการกล่าวถึงมากเท่า 2 ประเด็นแรก แต่ก็จะไม่กล่าวถึงก็คงไม่ได้ นั่นคือ ปรากฎการณ์ "หัวใจ" ไม่ไหม้ไฟ ของพระอริยะ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือ พระภิกษุณี ดังนี้...
     



หลวงพ่อดาบส สุมโน  เดิมชื่อ สง่า  นามสกุล เจริญจิตต์

เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พ.ศ.๒๔๖๗ ปีชวด ตำบลบางกระไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เป็นลูกคนที่ ๖ ในจำนวนทั้งหมด ๘ คน บิดาชื่อ “นายเถียน” มารดาชื่อ “นางเวียง”

ครั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๕ อายุได้ ๑๘ ปี “คุณป้า” ได้นำ “เด็กชายสง่า” ไปบรรพชาที่ “วัดจันทนาราม จังหวัดจันทบุรี” เพื่อเรียนปริยัติธรรมซึ่งต่อมาสามารถ สอบได้ทั้ง “นักธรรมตรี” และ “นักธรรมโท”

พ.ศ.๒๔๙๐ ด้วยจิตที่มุ่งมั่นจะปฏิบัติธรรม แสวงหาธรรม จึงออกเดินธุดงค์ไป “จังหวัดเชียงใหม่” ตามเส้นทาง “อำเภอดอยสะเก็ด” สู่ “ถ้ำเชียงดาว” อำเภอเชียงดาวได้ธุดงค์พลัดเข้ามาสู่เขตพื้นที่ของ “อำเภอพร้าว” ในปี ๒๔๙๐ ถึง ๒๔๙๔ จึงพำนักและปฏิบัติธรรมใน “ป่าช้า” ของตำบลเวียง อำเภอพร้าว หรือ “วัดป่าเลไลย์” เป็นเวลาถึง ๔ ปี




ณ วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๔ ตรงกับแรม ๖ ค่ำ เดือนยี่เวลา ๑๗.๐๐ น. “พระภิกษุสง่า สุมโน”  ตั้งสัจจะอธิษฐาน ณ ดอยพระเจ้าหล่าย ขอสละเพศบรรพชิตขอลาสิกขาบทจากการเป็น “พระภิกษุสงฆ์” โดยหันมาถือการครองเพศเป็น “ดาบส” ที่มีเพียง ผ้าอังสะและผ้าสบง เพียงสองผืนหุ้มห่อร่างกายไว้จากนั้นจึงครองเพศเป็น “ดาบส” และปฏิบัติธรรมอยู่บน “ดอยพระเจ้าหล่าย” โดยมิได้ฉันทั้งอาหาร และน้ำถึง “๓ วัน ๓ คืน” จากนั้นจึงเดินทางลงจากดอยเพื่อธุดงค์ไปจังหวัด ต่างๆ ทั้ง แพร่ ลำปาง น่าน ยะลา ชุมพร และท้ายสุดปฏิบัติธรรมที่ “อาศรมไผ่มรกต” ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย จนมรณภาพ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๔ สิริอายุได้ ๗๖ ปี

“หลวงพ่อดาบส สุมโน” นับเป็น “ผู้บำเพ็ญเพียร” ด้วยศีลาจารวัตร บริสุทธิ์ผุดผ่องจนได้พบแสงสว่างแห่งธรรมเจิดจ้า และธรรม ที่ท่านแสดงให้บรรดาศิษย์ได้ยังความสุข ความสงบ ความร่มเย็น ให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่เคยฟังธรรมจากท่าน นอกจากนี้ ในวันเผาสรีระของท่าน แต่หัวใจของท่าน กลับเผาไม่ไหม้ แถมยังแปรสภาพเป็น สีเขียวมรกต อีกด้วยจึงนับได้ว่าท่านเป็น “ประทีปธรรม” แห่งภาคเหนือที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ และในจิตใจ ของประชาชนตลอดไป

โดยทุกวันนี้ หัวใจของท่าน ศิษยานุศิษย์ยังคงเก็บรักษาไว้ ณ กุฏิของท่านเพื่อเป็นที่สักการะแก่ผู้ศรัทธาโดยทั่วไป

นอกจากหลวงพ่อดาบส แล้ว ที่ไฟไม่อาจย่อยสลาย “ดวงใจ”ของท่านได้ ยังคงมีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศจีน




เรื่องราวของภิกษุณี “หยวนจ้าว”

พระธรรมาจารย์หยวนจ้าว (圆照法师) เป็นภิกษุณีชาวจีน เคยปฏิบัติธรรมท่ามกลางป่าดอยบนภูเขากวนอินซาน (ภูเขากวนอิม) มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย อาศัยในกระท่อมมุงจาก ไม่พูดคุยพร่ำเพรื่อ หากมีจิตใจเมตตาการุณย์มากนัก

เมื่อวันที่ ๒ เดือน ๖ ปี ๒๕๓๗ ท่านสั่งสอนศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายแล้วกล่าวว่า "เราจะทิ้งหัวใจไว้ให้สรรพสัตว์" ครั้นแล้วท่านก็สิ้นลม สิริรวมอายุได้ ๙๓ ปี เมื่อทำการฌาปนกิจพบอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุลักษณะต่างๆ มากมายกว่า ๑๐๐ ชิ้น มีพระภิกษุและภิกษุณีเป็นประจักษ์พยานหลายร้อยรูป

ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือพบว่า หัวใจ ของท่านไม่ไหม้ไฟอยู่ท่ามกลางเถ้าถ่าน กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มเหลือบแดงนิดๆ และลักษณะยังคงความนิ่มราวกับไม่ได้ผ่านไฟ สมกับที่ท่านกล่าวว่า "จะทิ้งหัวใจไว้ให้สรรพสัตว์"






อีกเรื่องราวหนึ่งของพระอริยะผู้ไฟไม่อาจผลาญหัวใจได้

เรื่องราวของหลวงปู่ ติช กวาง ดึ๊ก (Thích Quảng Đức) อายุ ๗๓ ปี จากวัดเทียน ในสมัยนั้นรัฐบาลเวียดนามใต้ต้องการให้ประชาชนเลิกนับถือศาสนาพุทธ และหันไปนับถือศาสนาคริสต์แทน ซึ่งท่านไม่อาจทนเห็นความทารุณโหดร้าย ในการใช้อำนาจรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธ จึงได้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะมอบชีวิตแก่พระพุทธศาสนา เพื่อหยุดเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด

พระภิกษุผู้เสียสละวัย ๗๓ ปีได้ก้าวลงจากรถ ไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีพุทธบริษัทแวดล้อมเป็นวงใหญ่ มีผู้หยิบถังน้ำมันเบนซิน ๕ แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนพระภิกษุ ติช กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นท่านติช กวาง ดึ๊กก็หยิบไม้ขีดไฟมาจุดไฟเผาร่างตนเอง ไฟลุกโชติช่วงท่วมร่าง ของพระภิกษุผู้เสียสละ ขณะที่ไฟลุกท่วมร่างอยู่ ปรากฏว่าพระภิกษุวัย ๗๓ ยังคงนั่งนิ่งด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ไม่ไหวติง ไม่แสดงอาการทุกขเวทนา ในสังขารแต่อย่างใดเลย เปลวไฟอันร้อนระอุได้เผาจีวรและผิวหนังไหม้เกรียมอยู่ประมาณ ๑๐ นาที ร่างของท่านที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น ก็หงายหลังอย่างเงียบสงบ

เมื่อเผาตัวเองแล้วหัวใจของท่านไม่ไหม้ ปัจจุบันยังถูกเก็บรักษาอยู่ที่ประเทศเวียดนาม ให้เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่ออิสรภาพในการนับถือศาสนาต่อไป


 
ข้อมูลจาก : คลังพุทธศาสนา, santidham.com , wikipedia
เรียบเรียงโดยจินต์จุฑา เจนสระคู : สำนักข่าวทีนิวส์
http://www.tnews.co.th/contents/363476
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 30, 2017, 09:05:05 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
องค์ที่  3 คือพระเวียตนาม

ที่ เผาตัวตาย

ในเหตุประท้วง

บังคับประชาชน ให้นับถือ คริสต์

ฆ่าพระ ฆ่าแม่ชี

สุดท้ายหัวโจก โดนยิงตาย

ทั้งพี่ทั้งน้อง

คือแกนนำ เหล่านั้น

ถูกทหารที่ทนไม่ไหวปฏิวัติ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา