ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรับสมองด้วยธรรม และ NLP  (อ่าน 981 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28436
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ปรับสมองด้วยธรรม และ NLP
« เมื่อ: ตุลาคม 18, 2017, 07:08:31 am »
0


ปรับสมองด้วยธรรม และ NLP
โดย ราช รามัญ

NLP : คือ Neoro-Linguistic Programming & Dharma Gateway
การเรียนรู้ศาสตร์ NLP (Neoro-Linguistic Programming) หรือศาสตร์แห่งพลังจิตสั่งจิต หรือแปลให้ตรงตัว ก็คือ โปรแกรมภาษาเกี่ยวกับจิต รวมถึงศาสตร์แห่งการเข้าถึงธรรมะภาคสมบูรณ์ที่กล่าวถึงคือกระบวนการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์ (Dharma Gateway) หรือปฏิจจสมุปบาท (Dependent Origination) รวมถึงการสวดมนต์ (To prayer) ตามลำดับที่กล่าวมานั้น

โดยที่หลักการทางวิทยาศาสตร์และหลักการทางศาสนาทั้งสองศาสตร์นั้น ได้เข้ามาเกี่ยวพันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีหลักปฏิบัติคล้ายๆ กัน ด้านการปฏิบัติ ให้มนุษย์ที่ต้องการแก้ไขปัญหาชีวิต ได้ตอกย้ำแนวคิดแห่งความสำเร็จและแนวคิดที่ทำให้จิตใจผ่องใส สงบ เยือกเย็น ทั้งหมดต้องทำให้เกิดความเคยชินและสื่อนั้นจะเข้าฝังในจิตสำนึก และแสดงออกสู่ภายนอกได้ ถ้าเป็น NLP ก็จะเรียกว่า “ภาษากาย” “วาจา” ถ้าเป็นการปฏิบัติธรรม เรียกว่า รู้ซึ้งถึงกระบวนการ “เกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์”

@@@@@@

เมื่อมนุษย์รู้ดังนี้แล้ว พฤติกรรมที่แสดงออกมาจะอยู่ในลักษณะของความมีสติและไม่ประมาทกับชีวิตอีกต่อไป ความประพฤติส่วนใหญ่จะเข้าสู่แนวแห่งการสร้างความเจริญเติบโตให้แก่ชีวิตและมุ่งสู่ความสงบสุข

ดังนั้น ทั้งศาสตร์ NPL จึงเป็นความคิดเดียวกับศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (Dependent Origination) ธรรมอันลึกซึ้งและปรากฏเป็นของลึกซึ้ง หลักธรรมข้อนี้ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เพราะหลายคนไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่แทงตลอด ที่ว่านี้แหละ หมู่สัตว์นี้จึงวุ่นวายเหมือนเส้นด้ายที่ขอดกันยุ่ง...” รวมทั้งการสวดมนต์ย้ำคิดย้ำทำแต่เรื่องดีๆ (To Prayer)


:25: :25: :25: :25:

โดยเฉพาะส่วนของการสวดมนต์นั่งสมาธินั้น เป็นการเข้าถึงจิตใจมนุษย์ได้ด้วยการกระทำซ้ำๆ ทุกๆ วัน เพื่อตอกย้ำจิตสำนึกให้นึกถึงแต่การทำความคิดเชิงบวก ตลอดจนการเข้าวัดทำบุญในบางโอกาสของคนที่ต้องการสงบจิตใจชั่วคราวและสั่งสมแนวคิดที่ได้จากการสวดมนต์ย้ำคิดย้ำทำแต่เรื่องการสร้างความดี

ในการสั่งจิตของทั้งสองศาสตร์ NLP กับปฏิจจสมุปบาท ซึ่งพ่วงถึงการสวดมนต์ภาวนา (T0 Prayer) ก็เพื่อสร้างสมาธิและการสวดมนต์ส่วนหนึ่ง ก็เป็นการบอกกล่าวกับตนเองชนิดหนึ่งเหมือนกันว่าให้ประพฤติปฏิบัติดีกับทุกๆ สิ่งและให้คิดดีทำดีกับทุกๆ สิ่งทั้งที่แวดล้อมรอบตัวเราและอยู่ห่างไกลตัว เช่นเดียวกับ “ศาสตร์สั่งจิต (NLP)” ที่ต้องสร้างสรรค์ความคิดเชิงบวกเพื่อตอกย้ำฝังรากลึกลงไปในจิตใต้สำนึกเพื่อให้สั่งการให้สมองทำงานโดยอัตโนมัติ


@@@@@@

ในขณะเดียวกันการล้างความคิดติดลบหรือความคิดเชิงไม่สร้างสรรค์ให้หายไปจากสมอง โดยการลืมสิ่งทิ่มแทงใจเหล่านั้น และตอกย้ำสิ่งที่คิดขึ้นมาใหม่และทำใหม่ โดยคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่ส่งผลให้เราสามารถยืนอยู่บนโลกมนุษย์นี้ได้อย่างมีความสุขและภาคภูมิใจกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาติภพหนึ่ง

จิตที่ทำให้นิ่งและสงบ จะทำให้การทำงานทั้งของศาสตร์ทั้งสองประเภทกลมเกลียวเป็นเนื้อเดียวกัน คือ การนำสื่อต่างๆ ที่ได้จากความคิด “เชิงบวก” มาสะสมไว้ในส่วนของ “พลังจิตใต้สำนึก” ในขณะที่ต้องมีการใช้ภาษากายประกอบไปด้วย โดยการนำสติสัมปชัญญะเข้ามาช่วยเพื่อความสำเร็จในทุกบททุกตอนของชีวิต


@@@@@@

To Prayer ก็เช่นเดียวกัน จะมีวิธีการสร้างสถิติด้วยการสวดมนต์เจริญภาวนาเป็นหลักของศาสนาพุทธซึ่งต้องทำให้กาย วาจา ใจ สำรวมที่สุด ไม่คิดฟุ้งซ่านใดๆ ในขณะสวดมนต์ให้ใจจดใจจ่อกับการเจริญภาวนาและการนั่งสมาธิ โดยตามหลักศาสนาพุทธจิตนั้นต้องนิ่งจริงๆ ห้ามคิดออกนอกประเด็น เพราะการคิดนอกประเด็นจะไม่เรียกว่า การนั่งสมาธิ หรือการทำสมาธิด้วยวิธีอื่นๆ ก็ตาม

สำหรับ NLP จะเน้นเรื่อง “วาจา” มากที่สุด รองลงมา คือ “อาการทางกาย” หรือการใช้ภาษากายที่เกี่ยวข้องกับรูป รส กลิ่น เสียง เพื่อส่งข้อมูลย้อนกลับเข้าไปเปลี่ยนจิตใต้สำนึกให้เป็นไปตามที่ต้องการ หากเปรียบเทียบกับบทสวดมนต์ บทสวดมนต์คือการเน้นถึงการสร้างพลังด้วยแรงศรัทธาหมั่นสวดภาวนา นั่งสมาธิ เพื่อให้จิตสงบ เมื่อจิตสงบสิ่งต่างๆ ที่ต้องการก็มักจะปรากฏให้เห็น

และการแลเห็นเป็นรูปธรรมก็จะตามมา ซึ่งก็จะทำให้คนผู้นั้นสามารถเลือกทางเดินที่ดีได้หากจะเลือกเอาทาง “ธรรม” ไปเลยต่อก็คงต้องบวช แต่หากจะยังคงวนเวียนอยู่กับสังคมมนุษย์โลกก็สามารถสร้างรากฐานชีวิตให้มีความสุขได้ ก็คงต้องศึกษาและเรียนรู้ “วิชาศาสตร์สั่งจิต”

@@@@@@

ดังนั้น การอาศัยการฝึกจิตวิญญาณให้มีความนิ่งและสงบให้ได้ทั้งทางกาย วาจา และใจ นั่นคือการละวาง แล้วจิตใจจะโปร่งใส เมื่อจิตโปร่งใส ก็เท่ากับคนเราสามารถเริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่ดีๆ ได้เสมอ อย่างไรก็ตามเพื่อความไม่ประมาทจิตใจของคนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ดังนั้นตามหลัก NLP มักจะบอกให้ผู้ปฏิบัติตอกย้ำความคิดเชิงบวกใส่ลงไปให้ได้ทุกวัน วันละ 3 ครั้ง หรือมากกว่านั้น

เพราะการกล่าวย้ำๆ ถึงความคิดเชิงบวกหรือการสวดมนต์ภาวนา จะเป็นการลบล้างความคิดเชิงลบที่เป็นอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้



ขอบคุณที่มา
https://www.posttoday.com/life/health/516556
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปรับสมองด้วยธรรม และ NLP
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2017, 07:25:32 pm »
0
ปรับ สมอง

  สู่โลกาภิวัติย์ THAILAND 4.0
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา