ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ถามว่า..กิจที่ต้องกำหนดรู้ใน "ทุกขสัจ" นั้น มีกี่ประเภท.?  (อ่าน 870 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ถามว่า..กิจที่ต้องกำหนดรู้ใน "ทุกขสัจ" นั้น มีกี่ประเภท.?


ถามว่า : กิจที่ต้องกำหนดรู้ในทุกขสัจนั้น มีกี่ประเภท.? แต่ละประเภทมีประโยชน์อะไร.? ประเภทนั้นๆมีขอบเขตในวิปัสสนาญาณใด.?

ตอบว่า : กิจที่กำหนดรู้นั้น มี 3 ประเภท คือ

1. ญาตปริญญากิจ คือ กิจกำหนดรู้วิเสสลักษณะของนามและรูป เพื่อกระจายฆนสัญญา(ความสำคัญว่าเป็นกลุ่มก้อน)อันเป็นเหตุให้สำคัญว่าเป็นตัวเป็นตน
     - มีขอบเขตในญาณที่ 1. คือ นามรูปปริเฉทญาณ (ญาณแยกนามแต่ละนาม รูป แต่ละรูป)
     - และในญาณที่ 2 คือ ปัจจยปริคคหญาณ (ญาณจับปัจจัยได้)

2. ตีรณปริญญากิจ คือ กิจกำหนดรู้สามัญญลักษณะของนามและรูป เพื่อความรู้ได้ไวเท่าทันสันตติ(ความสือต่อการเกิดดับของนามและรูปที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว) อันเป็นเหตุให้เข้าใจว่าเที่ยง
     - มีขอบเขตในญาณที่ 3. คือ สัมมสนญาณ (ญาณที่จับต้องลักษณะร่วมของนามรูปที่เป็นหมวดๆได้ เช่น หมวดขันธ์ หมวดธาตุ หมวดอายตะ เป็นต้น) โดยเห็นนามรูปดับเป็นหมวดๆ เพราะเนื่องอยู่กับสามัญญลักษณะ ถัดจากเห็นนามรูปเกิดในปัจจยปริคคหญาณที่เห็นเป็นอย่างๆ เพราะเนื่องอยู่กับวิเสสลักษณะ
     - และในญาณที่ 4 คือ อุทยัพพยญาณ (ญาณที่เห็นนามรูปทั้งเกิดทั้งดับในญาณเดียวกัน)

3. ปหานกิจ คือ กิจที่ตัณหาถูกละไป แม้ไม่เด็ดขาด เพราะยังไม่ถึงมรรค แต่ก็อ่อนกำลังลงแทบโงศรีษะไม่ขึ้น มีขอบเขตตั้งแต่ ญาณที่ 5-11 คือ
     - ญาณที่ 5. ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณที่เห็นความแตกทำลายของนามรูปเนื่องๆ
     - ญาณที่ 6. ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณที่เห็นนามรูปเกิดเนื่องๆในภพภูมิต่างๆเป็นภัยน่ากลัว
     - ญาณที่ 7. อาทีนวญาณ ญาณที่เห็นเนื่องๆว่า นามรูปไม่ว่าเป็นไปในภพภูมิไหนก็ล้วนมีแต่โทษ
     - ญาณที่ 8. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณที่เห็นเนื่องๆว่า การมีนามรูปน่าเบื่อหน่าย
     - ญาณที่ 9. มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณประสงค์ที่จะหลุดพ้นจากความมีนามรูป
     - ญาณที่ 10. ปฏิสังขาญาณ ญาณใคร่ครวญหาอุบายหลุดพ้นจากนามรูป
     - ญาณที่ 11. สังขารุเปกขาญาณ ญาณที่วางเฉยต่อนามรูป

@@@@@@

สมดังที่ท่านพุทธโฆษาจารย์กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรค (3/231) ว่า
”ตตฺถ สงฺขารปริจฺเฉโต ปฏฺฐาย ยาว ปจฺจยปริคฺคหา ญาตปริญฺญาย ภูมิ. เอตสฺมึ หิ อนฺตเร ธมฺมานํ ปจฺจตฺตลกฺขณปฏิเวธสฺเสว อาธิปจฺจํ โหติ ฯ เป ฯ ภงฺคานุปสฺสนํ อาทิ กตฺวา อุปริปหานปริญฺญาย ภูมิ.”

แปลว่า ”ในการกำหนดเหล่านั้น ปัญญาจับตั้งแต่การกำหนดสังขารได้(คือ ปัญญาที่เรียกว่า นามรูปปริจเฉทญาณ) จนกระทั้งจับกำหนดปัจจัยได้(คือ ปัญญาที่เรียกว่า นามรูปปัจจยปริคคหญาณ) เป็นขอบเขตแห่งญาตปริญญา. ก็ในระหว่างนี้ มีการแทงตลอดปัจจัตตลักษณะของธรรมทั้งหลายเป็นใหญ่.

ส่วนปัญญาจับตั้งแต่การจับต้องลักษณะร่วมเป็นหมวดๆ (คือ ปัญญาที่เรียกว่า ส้มมสนญาณ) จนกระทั้งตามพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและดับไป (คือ ปัญญาที่เรียกว่า อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ) เป็นขอบเขตแห่งตีรณปริญญา ก็ในระหว่างนี้ มีการแทงตลอดสามัญญลักษณะนั่นแหละ เป็นใหญ่.

ปัญญาเบื้องสูง จับตั้งแต่ตามพิจารณาเห็นแต่ความแตกทำลายไป (คือ ปัญญาที่เรียกว่า ภังคานุปัสสนาญาณ) เป็นต้นไป เป็นขอบเขตแห่งปหาน ปริญญา”


@@@@@@

ในคัมภีร์นิสยอักษรปัลลวะกล่าวเห็นด้วยกับท่านพุทธโฆษาจารย์ว่า ขอบเขตแห่งปหานปริญญาในทุกขสัจสิ้นสุดที่สังขารุเปกขาญาณ เพราะอริยสัจ 4 มี 2 ส่วน คือ
     - ส่วนที่เป็นโลกิยธรรม ได้แก่ ทุกขสัจ(โลกิยจิต 81 เจตสิกที่ประกอบ 51 เว้น โลภเจตสิกในฐานะเป็นสมุทัยสัจ และ รูป 28 รวมธรรม 160 (ย่อแล้วก็คือ นามและรูปที่เป็นสังขารทุกข์) และสมุทัยสัจ (โลภเจตสิก) 
     - ส่วนที่เป็นโลกุตตรธรรม ได้แก่ นิโรธสัจ (นิพพาน) และ มรรคสัจ (องค์มรรค 8)

ในบรรดาวิปัสสนาญาณที่สูงกว่าสังขารุเปกขาญาณ (ญาณ ที่ 12, 13, 14, 15, 16) ที่พ้นจากขอบเขตการกำหนดรู้ทุกขสัจ(ปริญญากิจ) มีเหตุผลดังนี้
     - ญาณที่ 12. อนุโลมญาณ เป็นญาณที่ทำกิจอนุโลมให้เห็นอริยสัจทั้ง 4 เพราะสัจจญาณ และ กิจจญาณมีอานุภาพสูงสุดที่ญาณนี้
     - ญาณที่ 13. โคตรภูญาณ เป็นญาณที่ทำกิจข้ามโครตที่เกิดในมรรควิถีหน่วงนำเอานิพพานเป็นอารมณ์ได้เป็นครั้งแรกทั้งที่จิตเป็นโลกิยะอยู่ด้วยความพร้อมเพียงแห่งสัจจญาณ และกิจจญาณ เพื่อเปิดโอกาสให้กตญาณทำกิจได้ในมรรคญาณนั่นเอง
     - ญาณที่ 14. มรรคญาณ เป็นชื่อของปัญญาที่เกิดในมัคคจิต กระทำกิจอริยสัจจ์ 4 ให้สมบูรณ์ มีนิพพานเป็นอารมณ์ จิตเป็นโลกุตตรเพราะปหานกิเลสได้เด็ดขาด
     - ญาณที่ 15. ผลญาณ เป็นชื่อของปัญญาที่เกิดในผลจิต เป็นโลกุตตรจิตที่เสวยวิมุตติสุข จะเกิด 2-3 ขณะ เกิดถัดจากมัคคจิตโดยไม่มีระหว่างคั่น
     - ญาณที่ 16. ปัจจเวกขณญาณ เป็นปัญญาที่พิจารณามรรค, ผล, นิพพาน, กิเลสที่ละได้แล้ว, กิเลสที่ยังเหลืออยู่ เป็นญาณโลกิยญาณที่เกิดต่อจากมัคควิถี


 
ขอบคุณ : dhamma.serichon.us/ถามว่า-กิจที่ต้องกำหนดร/ 
บทความของ สมเกียรติ พลเดชอุดมคุณ
Author : admin , สิงหาคม 11, 2019   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 28, 2019, 07:29:10 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขออนุโมทนาสาธุ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา