ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การช่วยญาติที่ดีที่สุด คือ ช่วยให้ญาติได้สามารถช่วยตัวเองได้  (อ่าน 1288 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 :25: :25: :25:

สูตรสำเร็จในชีวิต (15) : การสงเคราะห์ญาติ

คราวนี้มาว่าถึงสูตรสำเร็จข้อที่ 17 การสงเคราะห์ญาติ

ญาติ คือใคร การสงเคราะห์ทำอย่างไร ไม่จำเป็นต้องพูดมาก (หน้ากระดาษมีน้อย พูดน้อยขนาดนี้ยังไม่ค่อยจะพอเขียนเลย) เอาเป็นว่าคนเราจะอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ ย่อมมีญาติพี่น้อง เทือกเขาเหล่ากอ ไม่มีใครเกิดมาเองจากกระบอกไม้ไผ่

มีสุภาษิตอยู่บทหนึ่งกล่าวว่า ต้นไม้ที่เกิดในป่ามากมายนั้นเวลาลมพัดแรงๆ มันย่อมช่วยกันต้านลมไว้ได้ ไม่หักโค่นได้ง่ายฉันใด คนที่มีญาติพี่น้องมาก ย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยกันได้เมื่อยามมีภัยฉันนั้น

ความสำคัญของญาติจึงอยู่ที่การช่วยเหลือเจือจานซึ่งกันและกันนี่แหละครับ ญาติที่สักแต่ว่าเป็นญาติทางสายเลือด แต่ไม่เคยช่วยเหลือกัน แถมยังจะกินเลือดกินเนื้อกันอีกด้วย ไม่ควรค่าแก่การนับเป็นญาติแต่ประการใด คนอื่นที่มิใช่สายเลือดสนิทคุ้นเคยคอยสงเคราะห์ด้วยไมตรีจิตเสียอีก เรียกว่าญาติที่แท้จริง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปสฺสาสปรมา ญาติ ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างประเสริฐ

@@@@@@

เมื่ออ้างพระพุทธเจ้าแล้วก็ขออ้างต่อไปว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นตัวอย่างของคนที่บำเพ็ญญาติสังคหะ หรือการสงเคราะห์ญาติอย่างสมบูรณ์ที่สุด ลองทบทวนดูก็ได้ พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญจริยา 3 ประการครบถ้วนคือ

    1. ญาตัตถจริยา (ทำประโยชน์แก่ญาติ) แม้ว่าพระองค์จะทรงสละโลกียวิสัยเสด็จออกบวชแล้วก็ตาม (ศัพท์ศาสนาว่า “เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์”) ก็ยังทรงสงเคราะห์ช่วยเหลือพระประยูรญาติ ทั้งฝ่ายศากยะและฝ่ายโกลิยะเสมอ

     2. โลกัตถจริยา (ทำประโยชน์แก่ชาวโลก) ทรงสละความสุขส่วนพระองค์เสด็จออกไปเทศนาสั่งสอนชาวโลก ช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์ วันเวลาผ่านไปแต่ละวันเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกแทบทั้งนั้น แม้เวลาจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานยังอุตส่าห์ข่มทุกขเวทนาสั่งสอนคนอื่น ดังทรงโปรดสุภัททปริพาชก เป็นต้น

     3. พุทธัตถจริยา (ประโยชน์ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า) ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อความดำรงมั่นแห่งพระศาสนา ทรงก่อตั้งคณะสงฆ์อันเป็นชุมชนตัวอย่างขึ้นในสังคม รวมทั้งตั้งสถาบันพุทธบริษัทคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสิกา เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา

งานทั้งหมดนี้ทรงทำในฐานะที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า


@@@@@@

เฉพาะข้อแรกคือ สงเคราะห์ญาตินั้นเห็นได้ชัดเจนว่า หลังจากทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนามั่นคงที่แคว้นมคธแล้วก็เสด็จไปโปรดพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติเมืองกบิลพัสดุ์

เมื่อพวกญาติฝ่ายโกลิยะกับศากยะจะฆ่าฟันกันเพราะแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีมาทำนา เลือดกำลังจะนองแผ่นดินอยู่พอดี พระองค์เสด็จไปห้ามไว้สั่งสอนให้พวกเขาปรองดองกัน

ชาวพุทธได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็นอนุสรณ์ครั้งนี้ปางหนึ่ง เรียกว่า “ปางห้ามญาติ” ครั้งสุดท้าย พระเจ้าวิฑูฑภะยกทัพไปหมายจะฆ่าพวกศากยะให้ตายหมด พระองค์เสด็จไปห้ามไว้ตั้งสามครั้ง พระญาติของพระองค์รอดตาย เพราะพระมหากรุณาของพระองค์

คนเรานั้นไม่ควรลืมญาติ ยิ่งได้ดิบได้ดี ลืมตาอ้าปากได้ยิ่งต้องหันมาสงเคราะห์อนุเคราะห์ช่วยเหลือญาติของตนเท่าที่จะทำได้ ดูพระจริยาวัตรของพระพุทธองค์เป็นตัวอย่างก็แล้วกัน และการช่วยญาติที่ดีที่สุด คือ ช่วยให้ญาติได้สามารถช่วยตัวเองได้




ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 มิถุนายน 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2563
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_315975
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




สูตรสำเร็จในชีวิต (16) : การสงเคราะห์ญาติ (2)

ผมเล่าถึงพระพุทธองค์ ทรงสงเคราะห์พระญาติของพระองค์หลายครั้ง เราชาวพุทธควรจะเอาแบบอย่าง ขนาดพระผู้ตรัสรู้แล้วท่านยังไม่ลืมญาติพี่น้อง ปุถุชนเราก็ไม่ควรลืมพี่ลืมน้อง ควรเป็นที่พึ่งพาอาศัยของกันและกัน

คำว่า “พึ่งพาอาศัยกัน” บอกอยู่ในตัวแล้วว่า ทุกคนต้องเป็นที่พึ่งพาของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย มิใช่คอยแต่จะพึ่งพาเขาท่าเดียว เช่น พี่อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือน้องๆ ทางด้านทรัพย์สินเงินทองได้ น้องๆ ก็ต้องช่วยพี่ ด้วยการทำตนให้ดีให้เหมาะสมเป็นการตอบแทนอีกทางหนึ่ง มิใช่คอยแต่จะแบมือขอจากพี่ฝ่ายเดียว อย่างนี้เป็นต้น การช่วยเหลือเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งช่วยตัวเองได้ เป็นหัวใจของการสงเคราะห์อนุเคราะห์ที่ถูกต้อง

พวกศากยะพระญาติของพระพุทธเจ้านั้นมีข้อด้อยอยู่ประการหนึ่ง คือความหยิ่งในสายเลือดของตน มักดูถูกคนอื่นว่าชาติตระกูลต่ำ ขนาดพระเจ้าปเสนทิโกศลเจ้าผู้เป็นใหญ่เหนือพวกศากยะยังถูกพวกศากยะดูหมิ่นลึกๆ เลยครับ (แต่ไม่ได้แสดงให้ปรากฏเด่นชัด เพราะกลัวปเสนทิโกศลเล่นงานเหมือนกัน)

@@@@@@

เมื่อครั้งปเสนทิโกศลต้องการจะเป็นญาติทางสายเลือดกับพระพุทธองค์ ทรงส่งทูตไปขอนางกษัตริย์จากศากยวงศ์มาอภิเษกสมรส พวกศากยะแอบส่งลูกนางทาสีที่เกิดจากเจ้ามหานามไปให้ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสถาปนาให้เป็นอัครมเหสี มีโอรสองค์หนึ่งชื่อวิฑูฑภะ

ต่อมาความลับแตก พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพิโรธมากกำลังจะยกทัพมาบดขยี้พวกศากยะอยู่พอดี พระพุทธองค์เสด็จไปห้ามไว้ ทรงอธิบายว่า เชื้อสายทางมารดาไม่สำคัญ ถึงมารดาจะเป็นนางทาสี โอรสก็เป็นของพระองค์ย่อมเป็นโอรสของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ดี

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเชื่อพระพุทธองค์ ทั้งแม่ทั้งลูกจึงรอดไป แต่ผู้เป็นลูกคือเจ้าชายวิฑูฑภะ ต่อมาไปเยี่ยมพระเจ้าตาที่เมืองกบิลพัสดุ์ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามขนาดว่า นั่งที่ไหน เขาจะเอาน้ำนมมาล้างที่นั่งตรงนั้น เพื่อขับไล่เสนียด


@@@@@@

วิฑูฑภะทราบภายหลังจึงผูกอาฆาตว่า เป็นใหญ่มาเมื่อใดจะเอาเลือดในลำคอพวกศากยะล้างตีนตนให้ได้ รอให้เสด็จพ่อยกราชบัลลังก์ให้ไม่ทันใจ จึงปฏิวัติพ่อตั้งตนเป็นกษัตริย์ วันดีคืนดีก็ยกทัพไปหมายจะล้างแค้นให้สาแก่ใจ พระพุทธองค์เสด็จไปห้ามไว้เสด็จไปประทับใต้ต้นไม้เงาโปร่งในแดนของพวกศากยะ วิฑูฑภะเข้าไปทูลถามว่า ทำไมไม่ประทับใต้ต้นที่เงาหนาทึบ (ซึ่งอยู่แดนแคว้นโกศล)

พระองค์ตรัสเป็นปริศนาว่า “มหาบพิตร ร่มเงาของญาติ ย่อมเย็นกว่า”
วิฑูฑภะรู้ทันทีว่า พระองค์เสด็จมาปกป้องพระญาติ จึงถอยทัพกลับด้วยเกรงพระบารมีพระพุทธองค์ มากี่ครั้งๆ ก็พบพระพุทธองค์ ณ จุดนั้น

ครั้งสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นกรรมเก่าของพวกศากยะตามทันสุดจะห้ามไว้ได้ จึงไม่ได้เสด็จไปประทับ ณ จุดนั้นอีก วิฑูฑภะจึงได้โอกาสทำลายล้างพวกศากยะเกือบหมดสิ้น ที่เหลือก็หนีกระเจิดกระเจิงไปอยู่ที่อืน เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดก่อนพุทธปรินิพพานไม่กี่ปี

พระพุทธองค์ตรัสกับเหล่าสาวกในภายหลังว่า “พวกศากยะหยิ่งเพราะชาติและโคตร ดูหมิ่นแม้กระทั่งญาติตนเอง จึงประสบความพินาศปานฉะนี้”



ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2563
https://www.matichonweekly.com/column/article_318200
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ