หญิงหลายผัวททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา
กณเวรชาดก ว่าด้วยหญิงหลายผัว
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ การประเล้าประโลมของภรรยาเก่าของภิกษุ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
เรื่องราวปัจจุบันจักมีแจ้งใน อินทริยชาดก ส่วนในที่นี้ พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อชาติก่อนเธออาศัยหญิงนี้ จึงถูกตัดศีรษะด้วยดาบ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในฤกษ์โจร บนเรือนของคฤหบดีคนหนึ่งในกาสิกคาม พอเจริญวัยแล้ว กระทำโจรกรรมเลี้ยงชีวิต จนปรากฏชื่อเสียงว่าเป็นผู้กล้าหาญ มีกำลังดุจช้างสาร ใครๆ ไม่สามารถจับพระโพธิสัตว์นั้นได้
วันหนึ่งพระโพธิสัตว์นั้นเข้าโจรกรรมในเรือนของเศรษฐีแห่งหนึ่งลักทรัพย์มาเป็นอันมาก ชาวพระนครพากันเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มหาโจรคนหนึ่งปล้นพระนคร ขอพระองค์โปรดให้จับโจรนั้น พระราชาทรงสั่งเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครให้จับมหาโจรนั้น
.
ในตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้น ได้วางผู้คนไว้เป็นพวกๆ ในที่นั้นๆ ให้จับมหาโจรนั้นได้พร้อมทั้งของกลาง แล้วกราบทูลแก่พระราชา พระราชาทรงสั่งเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นนั่นแหละว่า จงตัดศีรษะมัน เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครมัดมือไพล่หลังมหาโจรนั้นอย่างแน่นหนา แล้วคล้องพวงมาลัยดอกยี่โถแดงที่คอของมหาโจรนั้น แล้วโรยผงอิฐบนศีรษะ เฆี่ยนมหาโจรนั้นด้วยหวายครั้งละ ๔ รอย จึงนำไปยังตะแลงแกง ด้วยปัณเฑาะว์อันมีเสียงแข็งกร้าว
@@@@@@
พระนครทั้งสิ้นก็ลือกระฉ่อนไปว่า ได้ยินว่า โจรผู้ทำการปล้นในนครนี้ถูกจับแล้ว ครั้งนั้น ในนครพาราณสี มีหญิงคณิกาชื่อว่าสามา มีค่าตัวหนึ่งพัน เป็นผู้โปรดปรานของพระราชา มีวรรณทาสี ๕๐๐ คนเป็นบริวาร ยืนเปิดหน้าต่างอยู่ที่พื้นปราสาท เห็นโจรนั้นกำลังถูกนำไปอยู่ ก็โจรนั้นเป็นผู้มีรูปงามน่าเสน่หา ถึงความงามเลิศยิ่ง มีผิวพรรณดุจเทวดา ปรากฏเด่นกว่าคนทั้งปวง
นางสามาเห็นเข้าก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่คิดอยู่ว่า เราจะกระทำบุรุษนี้ให้เป็นสามีของเราได้ด้วยอุบายอะไรหนอ รู้ว่ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง จึงมอบทรัพย์พันหนึ่งในมือหญิงคนใช้คนหนึ่ง เพื่อนำไปส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร โดยให้พูดว่า โจรนี้เป็นพี่ชายของนางสามา ท่านรับเอาทรัพย์หนึ่งพันนี้แล้วจงปล่อยโจรนี้
หญิงคนใช้นั้นได้กระทำเหมือนอย่างนั้น เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครกล่าวว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดัง เราไม่อาจปล่อยโจรนี้ได้ แต่ถ้าเราได้คนอื่นมาแทนโจรนี้แล้ว จะให้โจรนี้นั่งในยานอันมิดชิดแล้วจึงส่งไปได้ หญิงคนใช้นั้นจึงไปบอกแก่นางสามานั้น ก็ในเวลานั้น มีบุตรของเศรษฐีคนหนึ่ง มีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันนางสามา ให้ทรัพย์พันหนึ่งทุกวัน ในวันนั้น เศรษฐีบุตรนั้นก็ได้เอาทรัพย์หนึ่งพันไปยังเรือนนั้น ในเวลาพระอาทิตย์อัสดงคต ฝ่ายนางสามาเมื่อรับทรัพย์พันหนึ่งแล้ววางที่ขาอ่อนแล้วนั่งร้องไห้ เศรษฐีบุตรเห็นดังนั้นจึงถามว่า นางผู้เจริญ นี่เรื่องอะไรกัน
นางสามาจึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย โจรนี้เป็นพี่ชายของดิฉัน เขาไม่มายังสำนักของดิฉัน ด้วยละอายว่าตัวเขาทำกรรมต่ำช้า เมื่อดิฉันส่งข่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครๆ ส่งข่าวมาว่า ถ้าเราได้ทรัพย์พันหนึ่งจึงจักปล่อยตัวไป บัดนี้ ดิฉันได้ทรัพย์หนึ่งพันนี้แล้ว แต่ไม่ได้โอกาสที่จะไปยังสำนักของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร
@@@@@@
เศรษฐีบุตรได้ยินดังนั้นเพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในนาง จึงกล่าวว่า ฉันจักไปเอง
นางสามากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถือเอาทรัพย์ที่นำมานั่นแหละไปเถิด
เศรษฐีบุตรนั้นถือทรัพย์พันหนึ่งนั้นไปยังเรือนของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นคุมเศรษฐีบุตรนั้นไว้ในที่อันมิดชิด แล้วให้โจรนั่งในยานอันปกปิดมิดชิด แล้วส่งไปให้นางสามา แล้วอ้างต่อผู้อื่นว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดังในแว่นแคว้น ต้องรอให้มือค่ำเสียก่อนพวกเราจึงจักฆ่าโจรนั้นในเวลาปลอดคน
ครั้นค่ำลง เมื่อปลอดคนแล้ว จึงนำเศรษฐีบุตรไปยังตะแลงแกงโดยมีการอารักขาอย่างแข็งแรง แล้วเอา ดาบตัดศีรษะเสียบร่างไว้ที่หลาวแล้วเข้าไปยังพระนคร
ตั้งแต่นั้นมา นางสามามิได้รับอะไรๆ จากมือของคนอื่นๆ เที่ยวอภิรมย์ชมชื่นอยู่กับโจรนั้นนั่นแหละ โจรนั้นคิดว่า ต่อไป ถ้าหญิงนี้มีจิตปฏิพัทธ์ในชายอื่นอีก แม้ตัวเรา นางก็จักให้ฆ่าแล้วอภิรมย์กับชายคนใหม่นั้นเท่านั้น หญิงนี้เป็นผู้มักประทุษร้ายผู้อื่นอย่างเดียว เราควรรีบหนีไปที่อื่น แต่เมื่อจะไปจะไม่ไปมือเปล่า จักถือเอาห่อเครื่องอาภรณ์ของหญิงนี้ไปด้วย
@@@@@@
วันหนึ่ง จึงกล่าวกะนางสามานั้นว่า นางผู้เจริญ เราทั้งหลายอยู่เฉพาะในเรือนเป็นประจำ เหมือนไก่อยู่ในกรง พวกเราจักเล่นในสวนสักวันหนึ่ง นางสามานั้นรับคำ แล้วจัดแจงสิ่งของทั้งปวงมีของควรเคี้ยว และของควรบริโภคเป็นต้น ประดับประดาด้วยอาภรณ์ทั้งปวง นั่งในยานอันมิดชิดกับโจรนั้นแล้ว ไปยังสวนอุทยาน โจรนั้นเล่นอยู่กับนางสามานั้นในสวนอุทยานนั้น
จึงคิดว่า เราควรหนีไปเดี๋ยวนี้ จึงทำทีเหมือนต้องการจะร่วมอภิรมย์ ด้วยกิเลสฤดีกับนางสามานั้น จึงพาเข้าไประหว่างพุ่มต้นยี่โถแห่งหนึ่ง ทำทีเหมือนสวมกอดนางสามานั้น แล้วจึงกดลงทำให้สลบล้มลงแล้ว ปลดเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง เอาผ้าห่มของนางนั่นแหละผูกแล้วคล้องห่อนั้นไว้ที่คอ โดดข้ามรั้วอุทยานหลบหลีกไป
ฝ่ายนางสามานั้น เมื่อฟื้นขึ้น จึงลุกขึ้นมายังสำนักของพวกหญิงรับใช้ แล้วถามว่า ลูกเจ้าไปไหน ? พวกหญิงรับใช้กล่าวว่า พวกดิฉันไม่ทราบเลย แม่เจ้า นางสามาคิดว่า สามีของเราสำคัญว่าเราตายแล้ว จึงกลัวแล้วหลบหนีไป นางนึกเสียใจจึงจากสวนอุทยานนั้นแล้วไปบ้าน คิดว่าตั้งแต่เวลาที่เรายังไม่พบเห็นสามีที่รัก เราจักไม่นอนบนที่นอนที่ประดับตกแต่ง จึงนอนอยู่ที่พื้น ตั้งแต่นั้นมา นางไม่นุ่งผ้าสาฎกที่ชอบใจ ไม่บริโภคอาหาร ๒ หน ไม่แตะต้องของหอมและดอกไม้เป็นต้น คิดว่า เราจักแสวงหาพ่อลูกเจ้าด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งบ้างแล้วให้เรียกกลับมา
@@@@@@
นางจึงให้เชิญพวกคนนักฟ้อนมาแล้วได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง เมื่อพวกนักฟ้อนรำกล่าวว่า แม่เจ้า จะให้พวกเราทำอะไรบ้าง นางจึงกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่พวกท่านยังไม่ได้ไป ย่อมไม่มี ท่านทั้งหลายเมื่อเที่ยวไปยังคามนิคม และราชธานี แสดงการเล่นพึงขับเพลงขับบทนี้ขึ้นก่อนทีเดียว ในมณฑลสำหรับแสดงการเล่น เมื่อจะให้พวกฟ้อนรำศึกษาเอา
จึงกล่าวคาถาที่หนึ่ง แล้วสั่งว่า เมื่อพวกท่านขับเพลงขับบทนี้ ถ้าหากพ่อลูกเจ้าจักอยู่ในภายในบริษัทนั้น เขาจักกล่าวกับพวกท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านพึงบอกถึงความที่เราสบายดีแก่เขา แล้วพาเขามา ถ้าเขาไม่มา พวกท่านพึงให้เขาส่งข่าวมา
ดังนี้แล้วมอบเสบียงเดินทางให้แล้วส่งพวกนักฟ้อนรำไป พวกนักฟ้อนเหล่านั้นออกจากนครพาราณสี กระทำการเล่นอยู่ในที่นั้นๆ ได้ไปถึงบ้านปัตจันตคามแห่งหนึ่ง โจรคนนั้นก็หนีไปอยู่ในบ้านปัตจันตคามนั้น
พวกนักฟ้อนเหล่านั้น เมื่อจะแสดงการเล่นในที่นั้น จึงพากันขับร้องเพลงขับบทนี้ก่อนทีเดียวว่า....
@@@@@@
[๕๗๐] ท่านกอดรัดนางสามาด้วยแขน ที่กอชบามีสีแดงในวสันตฤดู เธอได้สั่ง ความไม่มีโรคมาถึงท่าน. โจรได้ฟังเพลงขับนั้นจึงเข้าไปหานักฟ้อนแล้วกล่าวว่า ท่านพูดว่า สามายังมีชีวิต แต่เราหาเชื่อไม่ เมื่อจะเจรจากับนักฟ้อนนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า....
[๕๗๑] ดูกรท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า ลมพึงพัดภูเขาไป ใครๆ คงไม่เชื่อถือ ถ้าลมจะพึงพัดเอาภูเขาไปได้ แม้แผ่นดินทั้งหมดก็พัดเอาไปได้ เพราะเหตุไร นางสามาตายแล้วจึงสั่งความไม่มีโรคมาถึงเราได้.? นักฟ้อนได้ฟังคำของโจรนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า...
[๕๗๒] นางสามานั้นยังไม่ตาย และไม่ปรารถนาชายอื่น ได้ยินว่า นางจะมีผัวเดียว ยังหวังเฉพาะท่านอยู่เท่านั้น. โจรได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า นางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม เราไม่ต้องการนาง แล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า...
[๕๗๓] นางสามาได้เปลี่ยนเราผู้ไม่เคยสนิทสนม กับสามีที่เคยสนิทสนมมานาน เปลี่ยนเราผู้ยังไม่ทันได้ร่วมรัก กับสามีผู้เคยร่วมรักมาแล้ว นางสามาพึง เปลี่ยนผู้อื่นกับเราอีก เราจักหนีจากที่นี้ไปเสียให้ไกล.
@@@@@@
โจรกล่าวว่า เราจักไปยังที่ไกลแสนไกลเช่นที่ที่เราไม่อาจได้ฟังข่าว หรือความเป็นไปของนางสามานั้น เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงบอกความที่เราจากที่นี้ แล้วไปที่อื่นแก่นางสามานั้น แล้วโจรนั้นก็ได้นุ่งผ้าให้กระชับมั่นแล้วรีบหนีไป ต่อหน้านักฟ้อนเหล่านั้นที่ยืนอยู่นั่นแหละ
นักฟ้อนทั้งหลายได้ไปบอกอาการกิริยาที่โจรนั้นกระทำแก่นางสามานั้น นางเป็นผู้มีความวิปฏิสารเดือดร้อนใจ จึงยังกาลเวลาให้ล่วงไปโดยปกติของตนนั่นแล
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันถึงภรรยาเก่า ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า เศรษฐีบุตร ในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุรูปนี้ นางสามาในครั้งนั้นได้เป็นภรรยาเก่า ส่วนโจรในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล อ้างอิง : อรรถกถา กณเวรชาดก ว่าด้วย หญิงหลายผัว
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=570พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดกภาค ๑. ๘.กณเวรชาดกว่าด้วยหญิงหลายผัว
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=2853&Z=2865ขอบคุณที่มา :
https://sites.google.com/site/dhammatharn/nithan-chadk/hying-hlขอบคุณภาพจาก :
https://palungjit.org/threads/อรรถกถา-กณเวรชาดก-ว่าด้วย-หญิงหลายผัว.615191/