ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมแทงตลอดได้ยาก  (อ่าน 846 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ธรรมแทงตลอดได้ยาก
« เมื่อ: สิงหาคม 06, 2020, 06:08:13 am »
0



ธรรมแทงตลอดได้ยาก

ธรรมอย่างหนึ่งแทงตลอดได้ยาก คือ เจโตสมาธิอันไร้ขอบเขต

ธรรม ๒ อย่างแทงตลอดได้ยาก คือ สิ่งใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยเพื่อความเศร้าหมองของเหล่าสัตว์
และสิ่งใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยเพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์

ธรรม ๓ อย่างแทงตลอดได้ยาก คือ
เนกขัมมะเป็นที่ถ่ายถอนกาม ๑
อรูปเป็นที่ถ่ายถอนรูป ๑
นิโรธเป็นที่ถ่ายถอนสิ่งที่เกิดแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว อาศัยเหตุเกิดขึ้นแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑


ธรรม ๔ อย่างแทงตลอดได้ยาก คือ
สมาธิเป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ๑
สมาธิเป็นไปในส่วนข้างทรงอยู่ ๑
สมาธิเป็นไปในส่วนข้างวิเศษ ๑
สมาธิเป็นไปในส่วนข้างแทงตลอด ๑

ธรรม ๕ อย่างแทงตลอดได้ยาก คือ
เนกขัมมะ พรากแล้วจากกามทั้งหลาย ๑
ความไม่พยาบาท พรากแล้วจากความพยาบาท ๑
ความไม่เบียดเบียน พรากแล้วจากความเบียดเบียน ๑
อรูป พรากแล้วจากรูปทั้งหลาย ๑
ความดับกายของตน พรากแล้วจากกายของตน ๑

ธรรม ๖ อย่างแทงตลอดได้ยาก คือ
เมตตาเจโตวิมุตติ เป็นที่สลัดออกจากพยาบาท ๑
กรุณาเจโตวิมุตติ เป็นที่สลัดออกจากการเบียดเบียน ๑
มุทิตาเจโตวิมุตติ เป็นที่สลัดออกจากอรติ (ความไม่พอใจ) ๑
อุเบกขาเจโตวิมุตติ เป็นที่สลัดออกจากราคะ ๑
เจโตวิมุตติอันหานิมิตมิได้ เป็นที่สลัดออกจากนิมิตทั้งปวง ๑
ความถอนขึ้นซึ่งอัสมิมานะ เป็นที่สลัดออกจากลูกศร คือ ความเคลือบแคลงสงสัย ๑

ธรรม ๗ อย่างแทงตลอดได้ยาก ได้แก่ สัปปุริสธรรม ๗ คือ   
เป็นผู้รู้เหตุ ๑
รู้ผล ๑
รู้จักตน ๑
รู้ประมาณ ๑
รู้กาลเวลา ๑
รู้บริษัท ๑
รู้จักเลือกบุคคล ๑

@@@@@@@

ธรรม ๘ อย่างแทงตลอดได้ยาก ได้แก่ กาลที่มิใช่ขณะ มิใช่สมัยเพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกนี้ และพระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับ ยังสัตว์ให้ถึงความตรัสรู้ แต่บางบุคคลนี้
๑. เข้าถึงนรกเสีย
๒. เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย
๓. เข้าถึงเปตวิสัยเสีย
๔. เข้าถึงเทพนิกายซึ่งมีอายุยืนอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย
๕. เกิดในปัจจันตชนบท ถิ่นของคนผู้ไม่รู้ความ
๖. เกิดในมัชฌิมชนบท แต่เป็นมิจฉาทิฐิ
๗. เกิดในมัชฌิมชนบท แต่เป็นคนมีปัญญาทราม โง่เขลา เป็นใบ้
๘. เป็นคนมีปัญญา ไม่โง่เขลา ไม่เป็นใบ้ รู้ความ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติในโลก

ธรรม ๙ อย่างแทงตลอดได้ยาก ได้แก่ ความต่าง ๙ คือ
๑. ความต่างแห่งธาตุ
๒. ความต่างแห่งผัสสะ ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งธาตุ
๓. ความต่างแห่งเวทนา ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งผัสสะ
๔. ความต่างแห่งสัญญา ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งเวทนา
๕. ความต่างแห่งความดำริ ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งสัญญา
๖. ความต่างแห่งความพอใจ ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความดำริ
๗. ความต่างแห่งความเร่าร้อน ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความพอใจ
๘. ความต่างแห่งความแสวงหา ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความเร่าร้อน
๙. ความต่างแห่งความได้ ย่อมบังเกิดเพราะอาศัยความต่างแห่งความแสวงหา


ธรรม ๑๐ อย่างแทงตลอดได้ยาก ได้แก่ อริยวาส ๑๐ คือ
๑. ละองค์ ๕ คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ความสงสัยลังเลได้แล้ว
๒. ประกอบด้วยองค์ ๖ คือ ไม่ยินดียินร้าย เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ในการรับรู้ผัสสะทางอายตนะทั้ง ๖
๓. มีธรรมอย่างเดียวเป็นเครื่องรักษา คือ สติ
๔. มีธรรมเป็นพนักพิง ๔ ด้าน คือ พิจารณาแล้วเสพ พิจารณาแล้วอดกลั้น พิจารณาแล้วเว้น และพิจารณาแล้วบรรเทา
๕. มีสัจจะเฉพาะอันบรรเทาแล้วจากการยึดถือความเป็นจริงเพียงบางส่วนของสมณพราหมณ์เป็นอันมาก
๖. มีความแสวงหาทุกอย่างอันสละแล้วโดยชอบ คือ ละการแสวงหากาม ละการแสวงหาภพ ละการแสวงหาพรหมจรรย์
๗. มีความดำริไม่ขุ่นมัว คือ ละความดำริในกาม ความดำริ ในความพยาบาท ความดำริในความเบียดเบียน
๘. มีกายสังขารอันระงับแล้ว คือ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขา และสติบริสุทธิ์อยู่
๙. มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว คือ พ้นแล้วจากราคะ โทสะ โมหะ
๑๐. มีปัญญาหลุดพ้นดีแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ราคะ  โทสะ โมหะ มีรากอันเราถอนขึ้นแล้ว มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา



อ้างอิง : ทสุตตรสูตร (เป็นคำกล่าวของพระสารีบุตร) พระไตรปิฏกเล่มที่ ๑๑  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
ขอบคุณ : https://uttayarndham.org/node/5728#dhamma-2874
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ