ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “บุญ…ครั้งสุดท้าย” เรื่องเล่าชีวิตจริงของ ผู้บริจาคอวัยวะ  (อ่าน 451 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28436
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0





“บุญ…ครั้งสุดท้าย” เรื่องเล่าชีวิตจริงของ ผู้บริจาคอวัยวะ

ผมเป็น “คุณพ่อ” ที่มีลูกสองคน คนหนึ่งเป็นลูกสาวชื่อยุ้ย อีกคนเป็นผู้ชายชื่อโอ…ทั้งสองถือเป็นของขวัญจากฟ้าที่ผมรักมากที่สุด ผู้บริจาคอวัยวะ

ตั้งแต่เด็ก ลูกสาวจะติดผมมากเพราะผมมีเวลาอยู่กับเขาเยอะ มักพาเขาไปเที่ยวบ่อย ๆ ไปไหนไปด้วยกันตลอดแม้แต่เวลาที่ผมไปทำงาน จนเมื่อลูกโตขึ้นเราจึงย้ายครอบครัวมาอยู่ลำปาง

ยุ้ยเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ไม่เคยทำความเดือดร้อนใจให้พ่อแม่เลย ช่วงที่ใกล้จะจบมัธยม 6 ยุ้ยก็แอบไปบริจาคอวัยวะรวมถึงดวงตาให้สภากาชาดไทยโดยที่ไม่มีใครในครอบครัวรู้เรื่องเลยสักคน

เวลาผ่านมาเกือบปี ผมบังเอิญได้เห็นบัตรสำหรับผู้บริจาคอวัยวะของลูก พอถาม ยุ้ยบอกผมแค่ว่า อยากทำบุญ…แต่ผมเชื่อว่า แรงบันดาลใจที่ลูกอยากบริจาคอวัยวะและดวงตา อาจเป็นเพราะตอนที่เขายังเด็ก ผมมักมีอาการแสบตาเมื่อไปหาหมอ ยุ้ยก็จะคอยถามหมอตลอดว่า “คุณพ่อจะเป็นอะไรมากไหมคะ”

…ตั้งแต่นั้นมาลูกคงฝังใจ กลัวว่าผมจะตาบอด พอใกล้จะขึ้นปี 3 ลูกชายเล่าให้ฟังว่า ยุ้ยแอบไปกระซิบบอกน้องว่า “ถ้าพี่ยุ้ยได้งานทำเมื่อไหร่ พี่จะพาพ่อไปผ่าตัดตา”

@@@@@@

ถัดจากวันนั้นมาอีก 3-4 วัน เขาก็มาขอผมไปงานวันเกิดเพื่อน ลูกสาวผมเป็นคนรักเพื่อน และเพื่อน ๆ ก็รักเขามากเพราะเขาเป็นคนคุยสนุก อัธยาศัยดี เวลาใครมีปัญหาอะไรก็มักจะมาหาเขาที่บ้านเสมอก่อนไปผมกอดเขาแน่น หอมแก้มอีกสองสามทีเหมือนที่เคยทำตามปกติ ก่อนบอกว่า “อย่ากลับดึกนะลูก พ่อรักลูกนะ”

ผมนั่งรอลูกจนถึงประมาณสี่ทุ่มเมื่อเห็นว่ายังไม่กลับ ภรรยาผมจึงโทร.หาด้วยความเป็นห่วง ลูกรับโทรศัพท์แล้วบอกว่ากำลังจะกลับบ้าน ได้ยินอย่างนั้นผมก็หมดห่วง จึงปิดมือถือ เดินไปรอที่ระเบียงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูคอยรับลูก

ทว่า…รอแล้วรอเล่าลูกสาวผมก็ยังไม่กลับมา…

“พ่อ! ยุ้ยเกิดอุบัติเหตุอาการหนักมาก พ่อรีบไปโรงพยาบาลเถอะ!” เพื่อนของลูกสาวเป็นคนขับรถมาบอกผมที่บ้าน ระหว่างรอลูกอยู่หน้าห้องเอกซเรย์ ทุกคนเล่าให้ผมฟังว่า ระหว่างทางกลับบ้านเพื่อนคนหนึ่งของลูกสาวเกิดรถเสียระหว่างทางในที่เปลี่ยว ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าเพื่อนจะเป็นอันตรายเขาเลยรีบขับมอเตอร์ไซค์ไปหาเพื่อนด้วยความเร็ว พอเบรกรถเลยพลิกคว่ำ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ หัวไปกระแทกกับฟุตบาธ


@@@@@@

เมื่อหมออนุญาตให้เข้าไปเยี่ยม ภาพที่ผมเห็นคือ ลูกสาวที่ผมรักมีสายออกซิเจนสอดอยู่ในจมูก ทั้งตัวของลูกแทบไม่มีแผลบาดเจ็บเลย ยกเว้นตรงศีรษะ ราวกับลูกยังคงสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร

“ยุ้ย เป็นยังไงบ้างลูก” ผมก้มลงกระซิบถามลูกเบา ๆ

…มีเพียงความเงียบงันและเสียงจากเครื่องวัดชีพจรของลูกตอบกลับมา…

ทันทีที่ออกจากห้องเอกซเรย์ ยุ้ยก็ถูกส่งตัวเข้าไอซียู ผมรอหมออยู่หน้าห้องตรวจด้วยความหวัง ก่อนที่หมอจะเดินออกมาบอกว่า “ขอแสดงความเสียใจกับคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับ” หมอชี้ให้เราดูผลเอกซเรย์พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า หมอทุกคนรวมถึงแพทย์เฉพาะทางด้านสมองได้วินิจฉัยแล้วว่าลูกผมมีภาวะ “สมองตาย”

คนที่มีภาวะสมองตายคือคนที่ไม่สามารถตอบสนองอะไรได้อีกแล้ว หมออธิบายให้ผมฟังว่า พอสมองตายแล้วอวัยวะอื่น ๆ ของลูกผมจะตายไปตามลำดับและจะเสียชีวิตในที่สุด

“ทำไมหมอไม่ผ่าตัดลูกผม”

@@@@@@

ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตั้งคำถามถามซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเพียงให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ให้ลูกผมฟื้นขึ้นมาพูดคุยกับพ่อแม่อีกสักครั้ง

“ถ้ามีโอกาสรอดแม้สัก 5-10 เปอร์เซ็นต์ หมอก็ยินดีจะผ่าให้” ทันทีที่หมอตอบแบบนั้น หัวใจคนเป็นพ่อก็แทบแตกสลายเพราะนั่นหมายถึงลูกผมคงไม่มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว

ครั้งหนึ่ง ผมเห็นเท้าของลูกกระดิกใจผมลิงโลดขึ้นมาทันที คิดว่าปาฏิหาริย์อาจมาเยือนครอบครัวเรา ทว่า…ความฝันก็ไม่เป็นจริง เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมงลูกผมก็ไม่ฟื้น ผมและภรรยาจึงเริ่มทำใจว่าลูกของเราคงต้องจากเราสองคนไปแล้วจริง ๆ

ช่วงเวลานั้นแพทย์ซึ่งดูแลลูกผมมาปรึกษาครอบครัวเราเรื่องบริจาคอวัยวะ เพราะลูกสาวผมได้บริจาคอวัยวะไว้ แม้จะกังวลว่าจะกลายเป็นการฆ่าลูกหรือเปล่า ชาติหน้าลูกจะเกิดมาอวัยวะครบไหม หรือควรปล่อยให้เขาตายไปตามธรรมชาติ แต่สุดท้ายเราทั้งคู่ก็ตัดสินใจได้ว่าจะบริจาคอวัยวะของลูก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยุ้ยได้แสดงเจตจำนงไว้แล้วว่าต้องการจะบริจาคอวัยวะ อีกส่วนหนึ่งคือผมเชื่อว่า เมื่อชีวิตลูกกำลังจะสิ้นสุดลง และจะไม่ได้ใช้อวัยวะนี้อีกแล้ว ลูกซึ่งเป็นผู้ให้มาตลอด ก็คงอยากให้เรามอบอวัยวะที่ยังใช้ได้นี้ให้แก่ผู้ที่กำลังรอคอยด้วยความหวัง


@@@@@@

แม้จะไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับลูกผม แต่ลูกผมอาจได้เป็นปาฏิหาริย์ของใครอีกหลายคน และนั่นคงเป็นสิ่งที่ยุ้ยต้องการมากที่สุด

ผมคิดเสมอว่า เมื่อผมบริจาคอวัยวะของลูกไป ลูกผมก็จะยังไม่ตายไปจากโลกนี้ แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้จะอยู่ในร่างคนอื่นก็ตาม แพทย์แจ้งให้ผมทราบภายหลังว่าอวัยวะของลูกสามารถช่วยชีวิตคนได้ถึง 6 คนด้วยกัน คือ ดวงตา 2 คน ตับ 1 คน ไต 2 คน และหัวใจอีก 1 คน

หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยเราก็นำร่างของลูกมาจัดงานศพ ความดีและความรักของยุ้ยที่มีต่อทุกคน ส่งผลให้มีคนหลั่งไหลมาร่วมงานศพมากมาย เพื่อนของลูกทุกคนช่วยงานกันอย่างขยันขันแข็งจนพ่อและแม่อย่างเราแทบไม่ต้องขยับตัว…เป็นภาพที่ผมเห็นแล้วภูมิใจในตัวลูกมาก เพราะอย่างน้อยลูกก็ทำความดีไว้ไม่น้อย

ทุกวันนี้เมื่อนึกถึงยุ้ย ผมและภรรยาก็มักจะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ลูกตลอดเวลาทำกับข้าวอร่อย ๆ ก็จะนึกถึงลูกเสมอ แม้ว่าความคิดถึงจะทำให้เราสองคนเศร้าใจไปบ้าง แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

“คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะ หนูไปดีแล้ว จะไปเป็นเทวดาแล้ว” ผมฝันถึงลูกในคืนวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าเรื่องที่ฝันจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่า ลูกคงอยากให้ผมคลายความกังวลใจในตัวเขา

ทุกครั้งที่นึกถึงลูกสาวคนนี้ ผมยังคงภูมิใจในตัวเขาเสมอ ที่เขามีเจตนาจะทำบุญครั้งสุดท้าย และได้สมความปรารถนาในสิ่งที่ตั้งใจ…

@@@@@@

ข้อคิดเห็นจากพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ

น่าภาคภูมิใจแทนพ่อแม่ที่ลูกไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเอง สิ่งไหนที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเขาก็พร้อมจะสละออกไป ถือเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่ง ส่วนพ่อและแม่ที่กังวลว่าจะเป็นการฆ่าลูก ก็ต้องเข้าใจว่า จริง ๆ แล้วเป็นเจตนาของลูกที่ทำไว้ก่อนแล้ว จึงถือเป็นบุญ ไม่ได้เป็นบาป พ่อแม่ต้องมองในแง่บวก แง่กุศล ว่าลูกได้ทำบุญใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไป

บางคนพอจากไปแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่คนที่ได้ส่งต่ออวัยวะ ได้ต่อชีวิตให้กับคนอีกหลายคน ถือว่าได้ประโยชน์มาก ยิ่งถ้าผู้ที่ได้รับบริจาคเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ เป็นผู้ที่รังสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับบ้านเมืองด้วยแล้วก็ยิ่งถือเป็นบุญใหญ่ น่าอนุโมทนา

ส่วนใครที่กลัวว่าบริจาคอวัยวะไปแล้ว ชาติหน้าอวัยวะจะขาดหาย อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะความจริงยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ถ้าเราไม่ให้ เราจะได้สิ่งใดมา เพราะเราเคยช่วยเหลือ เกิดมาจึงมีคนช่วยเหลือ ยิ่งเราบริจาคอวัยวะหรือทำบุญด้วยอวัยวะมาหลายชาติ อวัยวะก็จะยิ่งทนทานต่อการใช้งาน เป็นต้นว่าให้ดวงตาก็จะมีดวงตาที่สดใส ไม่เป็นโรค

หากพ่อแม่ไม่มั่นใจว่าลูกจะตายจริงหรือไม่ จะเป็นการฆ่าลูกหรือเปล่า ก็ต้องศึกษาหาข้อมูลให้ดี เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองและทุกคน พระพุทธเจ้าเองก็ทรงเตือนให้มีปัญญาในการให้ทาน ทรงให้ใช้วิจารณญาณ ตรึกตรอง สืบถามสอบสวนให้ทราบที่มาที่ไปให้ถี่ถ้วนก่อนจึงจะดีที่สุด


ที่มา : นิตยสารซีเคร็ต
เรื่อง : ธีระพัทธ์ วงษ์ทอง
เรียบเรียง : ณัฐนภ ตระกลธนภาส
ภาพ : https://pixabay.com
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/inspiration/11693.html#cxrecs_s
By Minou ,21 May 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ