ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไข่มุกถ้ำ รู้จักกันหรือป่าว ในยุคกระแสตื่นเรื่องพระธาตุ  (อ่าน 16815 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

udom

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 97
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า

พบได้ในถ่ำโดยเฉพราะ เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา และหายาก
คนไทยมักจะเรียกว่า ลูกนิมิตในถ่ำ และมีความเชื่อที่ว่าเป็นลูกหินศักดิ์สิทธิ์
สามารถนำมาใช้ฝึกสมาธิได้ และผู้ที่ได้ครอบครองจะช่วยให้เป็นคนที่ใจเย็นได้

ความเป็นมาในไทยเรียกว่า พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หรือ ไข่มุกกวนอิม ไข่มุกถ้ำ ไข่หินตัน หรือพญางูเผือก แล้วแต่คนจะเรียกกัน!

ธาตุกายสิทธิ์อีกชนิดหนึ่งที่จัดได้ว่ามีความแข็งของโมล์เท่ากับ 10 โมล์คือแข็งแกร่งเท่าเพชรหรือมากกว่าเพชรและมีพลังเทียบเท่ากับธาตุ กายสิทธิ์เหล็กไหลและพระบรมสารีริกธาตุเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีลักษณะและสีสรร รูปร่างเหมือนกับพระธาตุสมเด็จองค์ปฐมเลยครับ และยัง มีอีกชิ้นที่รูปร่างเหมือนกับพระธาตุของพระธาตุของพระอรหันต์ไม่ทราบพระนาม ด้วยครับ แต่องค์ขนาดเท่าลูกปิงปองเนี่ยก็หนักและมีพลัง เกินตัวมาก ด้วยความแข็งที่เท่ากับเพชรดังนั้นจึงมีพลังมากขนาดทำลายก้อนหินขนาดที่ใหญ่ กว่าได้

แต่บางคนบอกว่าใช้หินเจียที่เขาใช้ตัดเหล็ก มาค่อยๆตัดผ่าซีกกว่าจะตัดเข้าก็ใช้เวลานานมากครับ ซึ่งคนเก่าแก่บอกว่าเขาเอาไว้ ใต้ฐานพระพุทธรูปหรือที่พระธาตุหรือเจดีย์ต่างๆครับ เพราะบางคนก็เล่าว่าข้างในไข่มุกกวนอิมนั้นเป็นลูกแก้ว 7 สี บางคนก็บอกว่ามี 12 ราศีอยู่ข้างใน บางคนก็บอกว่ามีองค์เหล็กไหลอยู่ข้างใน ไข่มุกกวนอิมมักจะมีอยู่ในถ้ำลึกที่คนเข้าถึงยาก มีอยู่ทางภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคกลางกับภาคอิสานผมไม่รู้ว่ามีหรือไม่เพราะมันไม่มีข่าวออกมา และมีที่ถ้ำในธิเบตครับ ก็ที่ลามะธิเบตใช้ทำลูกประคำแขวนคอนั่นเอง เพราะจะมีองค์เล็กๆเท่าหัวแม่โป้งก็มี

อีกความเห็นหนึ่งที่ได้มาคือ พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า เหล็กไหลสีขาว ธาตุกายสิทธิ์พลังเย็น

พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาและหายาก พระลามะทิเบตชอบมีไว้ประจำตัว เพราะจะพบได้เฉพาะในถ้ำในภูเขาประเทศทิเบต และลึกเข้าไปในแคว้นเชียงตุงของพม่า และทางเหนือของประเทศลาว

ส่วนในประเทศไทยจะพบในถ้ำลึกกลางป่าเขาทางภาคเหนือ พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าชอบ อากาศหนาวจัด จึงมีพลังเย็น มีอานุภาพทางแคล้วคลาดล่องหนหายตัวได้ชั่วคราว ถูกไฟไม่ยืด แต่ถ้าใช้คาถาอาคมยืดได้ มีมายาในตัว งอกขึ้นได้เล็กลงได้ ถ้าจะนำไปสร้างพระเครื่องจะต้องใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุบังคับ หากพลังจิตไม่แก่กล้าพอก็ทำไม่ได้

พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าผู้ ครอบครองจะหมดสิ้นอายุขัย มีเคราะห์ร้ายถึงตายเมื่อใด ไข่มุกกวมอิมจะถือโอกาสล่องหนอันตรธานหายไป ผู้ครอบครองคนใดเมื่อรู้ว่าไข่มุกกวมอิมของตนหายก็อย่าได้ตกใจจนขวัญเสีย มีสติปลงให้ตก ทำบุญสุนทาน แผ่เมตตา ทำสมาธิให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อจะต้องตายไปจริงๆ จิตจะได้สู่สุคติในสัมปรายภพ

คนไทยมักจะเรียกว่า พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ไข่มุกกวมอิม เหล็กไหลสีขาว เหล็กไหลชีปะขาว เหล็กไหลน้ำหนึ่งไข่มุกถ้ำ ไข่หินตัน แล้วแต่คนจะเรียกกัน!

เกจิอาจารย์บางท่านเรียกว่า “พญางูเผือก” มีสีขาวเป็นมันเลื่อมคล้ายเกล็ดงู และมีความเชื่อที่ว่าเป็นลูกหินศักดิ์สิทธิ์ สามารถนำมาใช้ฝึกสมาธิได้ มีไว้กับตัวกับบ้านถือว่าเป้นศิริมงคลยิ่งนัก

ในทางธรณีวิทยานั้นจัดได้ว่าเป็นธาตุที่มีความแข็งของโมล์เท่ากับ 10 โมล์ เทียบเท่ากับเพชรหรือมากกว่าเพชร ทุบไม่แตก ตัดไม่ขาด และมีพลังเทียบเท่ากับธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลและพระบรมสารีริกธาตุเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีลักษณะ สีสรร และรูปร่างเหมือนกับ"พระธาตุสมเด็จองค์ปฐม"

ถ้าองค์ขนาดเท่าลูกปิงปองจะหนักและมีพลังเกินตัวมาก ด้วยความแข็งที่เท่ากับเพชรดังนั้นจึงมีพลังมากขนาดทำลายก้อนหินขนาดที่ใหญ่ กว่าได้










ที่มาภาพและเรื่อง
http://www.spantique.com/product.detail_0_th_1385102
บันทึกการเข้า

udom

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 97
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า

udom

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 97
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ลองอ่านเรื่องนี้ประกอบดูนะครับ


เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 500 ปี พระสงฆ์ทั้งหลายที่มาไม่ทันพระพุทธเจ้าแต่ยังทันพระศาสนา ในสมัยนั้นยังมีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรม ยึดถือพระธรรมอันเคร่งครัดอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านั้นต่างแยกย้ายออกหาที่สงบวิเวกปฏิบัติธรรม

.............เขา สามร้อยยอด เป็นที่สนุกสำหรับการปฏิบัติธรรมเพราะเป็นป่าหิมพานต์ชั้นหนึ่ง ผู้ที่มาพักอาศัยส่วนใหญ่เป็นพระอภิญญาเพราะท่านต้องเข้ามาบิณฑบาตข้าวใน เมือง ในกรุงเทพ เพียงครู่เดียวก็กลับไป คนใส่บาตรก็เห็นเป็นพระธรรมดา สถานที่ท่านอยู่ไม่มีคนเห็นเพราะอยู่ในป่าลึก พระสงฆ์เหล่านี้มีความขยันหมั่นเพียรปฏิบัติธรรมเคร่งครัดดังได้อยู่เฉพาะ พระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบกับมีอาจารย์ใหญ่ผู้เป็นศากยวงศ์ มาจากประเทศอินเดีย มาสอนปฏิบัติกรรมฐานให้หมดจากกิเลส ให้รีบปฏิบัติธรรมให้ทันพระพุทธเจ้าซึ่งรออยู่แล้ว พระ สงฆ์ทั้งหมดต่างปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตตผลนิพพานในถ้ำเขาสามร้อยยอดนั้น การมาปฏิบัติธรรมในที่นี้เป็นการหนีภัยอันตรายคืออันตรายจากการที่มีคนมาหา ไม่หยุดหย่อนไม่อาจจะปฏิบัติธรรมได้ ดังเช่นพระสงฆ์ในปัจจุบันนี้ไม่ห่วงการตัดกิเลส ห่วงแต่โชคลาภ

.............สังขารของพระอรหันต์ที่นิพพานในถ้ำมีเป็นจำนวนมาก ต่อมาช้านานกลายเป็นก้อนหินมีเทวดารักษา ก้อนหินนั้นมีลวดลายต่างๆ กัน พระอรหันต์ที่มีอานุภาพมากหินพระธาตุก็มีลวดลายสวยงาม พระอรหันต์ทีมีอานุภาพน้อยหินก็ไม่มีลาย พระอรหันต์แต่ละองค์จะมีฤทธิ์ไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์แบบหนึ่ง พระอานนท์มีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระกัสสปะมีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระสารีบุตรมีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระโมคคัลลาน์มีฤทธิ์อีกอย่างหนึ่ง บารมีที่สร้างมาเป็นอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง อารมณ์เกิดเป็นนิมิตเป็นกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง พิจารณากรรมฐานนั้นให้ถึงอรหัตตผล ตัวอย่างเช่น ใช้กสิณไฟ กสิณน้ำ กสิณลม เอาสิ่งนั้นมาเป็นนิมิตเป็นรูปพระ พิจารณาให้กว้างและลึก ทำจนแก่กล้าขึ้น เรียนมาก รู้มากขึ้น เป็นพระอรหันต์ที่โปรดสัตว์ได้มาก พระธาตุก็มีลักษณะสวยงามมีลวดลายมาก

ที่มาเนื้อเรื่อง

http://relicsofbuddha.com/page9-3.htm
บันทึกการเข้า

udom

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 97
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระบรมสารีริกธาตุบนยอดภูเขาทอง กรุงเทพฯ ก็เป็นลักษณะกระดูกขาวๆ เหมือนที่อินเดีย เพราะรัฐบาลอินเดียทูลเกล้าถวาย ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ส่วนรูปที่ตีพิมพ์เผยแพร่ ในเอกสารของวัดสระเกตุ ที่เหมือนพลอยนั้น เป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดพบในปรางค์ประธานในวัดหลวงของพระนครศรีอยุธยา

กะโหลก ศีรษะของพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้านำมาให้พราหมณ์วังคีสะ เคาะแล้วท่องมนต์เพื่อจะทราบว่าเจ้าของกะโหลกไปเกิดที่ใดนั้น ก็มีลักษณะเหมือนกะโหลกของคนทั่วไป ไม่ได้ใสเป็นแก้ว ไม่อย่างนั้น พราหมณ์วังคีสะคงจะแยกแยะถึงความแตกต่างได้แล้ว

แต่การที่พระธาุตุบางองค์มีสีคล้ายพลอย มีความใสเหมือนแก้ว และมีสัีนฐานกลม ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะอะไร

แต่ ชานหมาก นี่ดูท่าจะเริ่มมาจากศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งก็น่าแปลกประหลาดมากๆ เพราะร่างของหลวงพ่อฤาษีลิงดำยังไม่ได้รับการฌาปนกิจ และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยปรากฏว่า สิ่งของนอกกายที่ไม่ใช่กระดูกหรือเส้นผม จะกลายเป็นพระธาตุไปได้

ที่ร่างของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็มีกลุ่มละอองสีขาวจำนวนมากปกคลุมร่างกาย ศิษยานุศิษย์บอกว่าไม่ใช่เชื้่อรา แต่เป็นพระธาตุ

ผม เองก็มีพระธาตุเช่นกัน มีอยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นหินสีขาวเหลี่ยมๆก้อนใหญ่ คล้ายหินในตู้ปลาตามตลาดนัดสวนจตุจักร เจ้าของบอกว่าเป็นพระธาตุพระโมคคัลลานะ แต่พออัญเชิญขึ้นลอยน้ำกลับลอยไม่ได้ และมีเสียงหล่นลงก้นแก้วคล้ายหินหนักๆ

ส่วน อีกองค์หนึ่งไม่ทราบว่าเป็นของท่านใด ไม่รู้ว่าเป็นพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุ แต่กลม ใส คล้ายแก้ว เม็ดเล็ก ผิวด้านหนึ่งมีรูพรุนคล้ายผิวด้านในของกระดูก ตอนได้มาเป็นสีแก้วใส แต่เปิดผอบดูแต่ละครั้งสีจะเปลี่ยนไปทุกที บางทีก็เป็นสีน้ำตาลอ่อน บางทีก็เป็นสีแดง บางทีก็เป็นสีน้ำตาลเข้ม บางทีก็เป็นสีเทา บางทีก็เป็นสีเหลือง บางทีก็เป็นสีขาวขุ่นเ้หมือนงาช้าง และบางทีก็ใสเหมือนแก้ว บางทีก็ทึบแสง

เคยทดลองอัญเชิญขึ้นลอยน้ำใน แก้ว ครั้งแรกจมน้ำลงก้นแก้ว ก็ใจเสีย แต่พอลองอัญเชิญขึ้นลอยบนผิวน้ำเป็นครั้งที่สอง ก็สามารถลอยน้ำได้สบายๆ บนผิวน้ำ

เท่าที่สังเกต ถ้าใช้นิ้วหยิบจับ พระธาตุจะเปลี่ยนสีในทันทีจากใสเหมือนแก้วแล้วเปลี่ยนเป็นขาวขุ่นเหมือนสีงา ช้าง พอปล่อยนิ้ววางลง ก็จะเปลี่ยนกลับมาใสเหมือนแก้วในทันที เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง จนครั้งหลังๆ ไม่กล้าใช้มือเปล่าหยิบจับ ต้องใช้สำลีบริสุทธิ์

จากคุณ    : ปริญญาบ้าเกมส์

ที่มา
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10221234/Y10221234.html
บันทึกการเข้า