ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ?  (อ่าน 3546 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

udom

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 97
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ?
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 12:50:47 am »
0
เรื่อง วิญญาณ ( ผี ) สัมภะเวสี หรือ เทวดา เป็นเรื่องที่พูดลำบากมากครับ อยากทราบว่าเพื่อนแต่ละท่าน

แต่ละคนมีประสพการณ์ในการ เห็น พบ เจอ ประสพ กับตนเองมาในรูปแบบ ใดกันบ้างครับ

มาแชร์ประสพการณ์ กันหน่อยดีไหมครับ

 :25:
บันทึกการเข้า

ก้านตอง

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 195
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 03:34:52 am »
0
เคยถูกผีอำ คะ จะเป็นตอนนอนคะ เหมือนมีอะไรมากดทับร่างกายให้เคลื่อนไหวไม่ได้ตอนนั้นนึกได้อย่างเดียว

คะ พุทโธ คะ

 :bedtime2:
บันทึกการเข้า

เท่ากับผลรวม

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 169
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 05:01:26 am »
0
ผมเห็นผีทุกวันครับ

  ผีสุรา ผีการพนัน ผีอบายมุข น่ากลัวมาก ๆ ครับพวกผีพวกนี้ อยู่บ้านไหน บ้านนั้นพัง อยู่เรือนไหน เรือนนั้นแตก

ผีพวกนี้แม้แต่พระ ก็ปราบไม่ได้

 :85:

ล้อเล่นนะครับ น่าสนใจครับ เดี๋ยวไปค้นเรื่องมาโพสต์ให้อ่านครับ

 :29:
บันทึกการเข้า
ชีวิต นี้เพื่อพุึทธศาสน์

เท่ากับผลรวม

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 169
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ?
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 05:05:28 am »
0
ความรู้เรื่อง "เปรต" จากพระไตรปิฎก

เปรตคือสัตว์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยมารดาบิดา (โอปปาติกะ) ท่านว่าเปรตเกิดจากคนเราในสมัยที่เป็นมนุษย์ ชอบประกอบอกุศลกรรมเป็นอาจิณ หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว และไปอุบัติเป็น สัตว์นรกเสวยทุกข์เวทนาเป็นเวลานานแสนนาน พอหมดอายุขัยจากนรกแล้ว ด้วยเศษอกุศลกรรมที่ยังเหลืออยู่ก็จะส่งผลให้ไปอุบัติเป็นชีวิตใหม่อีกรูป แบบหนึ่งเพื่อ เสวยทุกขเวทนาบนโลกมนุษย์ มีชื่อเรียกว่า "เปรตวิสัย"

ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าเปรตเหล่านี้มีรูปร่างและลักษณะการเสวยทุกข์เวทนาจะแตก ต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ กรรม (การกระทำ) ของแต่ละบุคคล เช่น เปรตบางตนเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เคยประกอบอาชีพฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณ หลังจากหมดอายุขัยในนรกแล้วก็ไปอุบัติเป็นเปรตที่มีรูปร่างเป็นก้อนเนื้อให้ นกกาจิกแทะกลางอากาศ เปรตบางตนมีรูปร่างสวยงามแต่กลิ่นปากเน่าเหม็นคละคลุ้ง เพราะในสมัยมีชีวิตอยู่แม้จะประกอบกุศลกรรมบ้าง (ทำให้ร่างกายสวยงาม) แต่ปากคอระรานชอบด่าว่าผู้ทรงศีล เลยเกิดมาเป็นเปรตรูปร่างสวยงามแต่ปากเหม็น เป็นต้น สรุปคือ รูปร่างของเปรตแต่ละตัวล้วนแตกต่างกันไปตามอำนาจปรุงแต่งของกรรมที่ตนทำไว้ นั่นเอง หาใช่มีแต่เปรตตัวสูงเท่าต้นตาล ปากเท่ารูเข็ม อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจเท่านั้นไม่

ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวของเหล่าสาวกทั้งบรรพชิตและฆราวาสมากมายที่ได้พบ เห็นเปรตและมีโอกาสได้สนทนาด้วย ในการสนทนาส่วนใหญ่เปรตก็มักจะเล่าถึงเหตุผลของการที่ตนเองต้องมาเกิดเป็น เปรตรับทุกข์ทรมาน และมีสภาพที่น่าสมเพชเวทนาเช่นนี้ ว่าเกิดจากในสมัยที่ตนเป็นมนุษย์ได้กระทำกรรมชั่วอะไรไว้บ้าง และในตอนท้ายของการสนทนา เปรตก็มักจะขอร้องให้มนุษย์ที่ตนสนทนาด้วยให้ช่วยทำบุญให้ทาน อุทิศส่วนกุศลไปให้เปรตบ้าง เมื่อเปรตเหล่านี้ได้รับการอุทิศส่วนกุศลจากมนุษย์แล้ว ชีวิตของตนก็พ้นจากความทุกข์เวทนาจากเศษกรรมที่ยังเหลืออยู่ มีความปีติยินดี ไปอุบัติเป็นสัตว์โอปปาติกะขนิดใหม่ที่ดีขึ้นเช่น เทวดา เป็นต้น

ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์เองก็ทรงไม่สนับสนุนให้ชาวพุทธไปเที่ยววุ่นวายกับเรื่อง"เปรต" ให้เสียเวลา เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของประสบการณ์เฉพาะตน ที่ไม่สามารถจะนำไปยืนยันหรือพิสูจน์ให้ทุก ๆ คนได้เห็นตามได้ อีกทั้งการที่ไปวุ่นวายเรื่องเหล่านี้ยังเป็นการเสียเวลาไม่เอื้อต่อการ ปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์อีกด้วย ยกตัวอย่าง กรณีท่านพระมหาโมคคัลลานะที่เล่าให้เพื่อนภิกษุฟังว่าตนมองเห็นเปรตที่เขา คิชฌกูฏ เพียงเท่านั้นเอง บรรดาเพื่อนพระภิกษุหลายรูปที่ไม่สามารถเห็นตามได้ ต่างก็เพ่งโทษพระมหาโมคคัลลานะว่ากล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม (อวดคุณวิเศษว่าตนมีตาวิเศษสามารถมองเห็นเปรตได้อะไรทำนองนี้ ) จนพระพุทธองค์ต้องมาช่วยตรัสรับรองความบริสุทธิ์ใจของพระมหาโมคคัลลานะว่า สิ่งที่พระมหาโมคคัลลานะท่านได้เล่าให้ฟังนั้น เป็นสิ่งที่ท่านได้เห็นมากับตาจริง ๆ ท่านไม่มีเจตนาที่จะอวดฤทธิ์แต่อย่างใด จึงไม่ต้องอาบัติ

แม้พระพุทธองค์เองก็ตรัสว่า ท่านก็เคยได้เห็นเปรตเช่นเดียวกัน แต่การที่ท่านไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ก็เพราะว่าการกระทำเช่นนั้นจะก่อให้เกิดความแคลงใจสงสัยสำหรับผู้ที่ไม่มี ความเชื่อ อันจะก่อให้เกิดผลเสีย คือ ทำให้เขาไม่ศรัทธาในสาระสำคัญในพุทธศาสนาอีกต่อไป ผู้นั้นจะเสียประโยชน์หมดโอกาสไปเปล่า ๆ ดังจะขอยกพระพุทธดำรัสดังกล่าวมาอ้างดังต่อไปนี้

... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกาลก่อนเราก็ได้เห็นสัตว์ (เปรต) นั้น แต่เราไม่ได้พยากรณ์ (นำมาบอกเล่า หรือ พูดคุย )
ถ้าเราพยากรณ์สัตว์นั้น และคนอื่นไม่เชื่อเรา ข้อนั้นก็จะพึงเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเพื่อทุกข์ แก่เขาเหล่านั้น
สิ้นกาลนาน....
( วินัย เล่ม ๑ ข้อ ๒๙๕ หน้า ๔๒๗ บรรทัดที่ ๒๒-๒๔)

สรุปแล้ว เรื่อง "เปรต" ควรเป็นเรื่องที่พอรู้ไว้ให้เป็นความรู้รอบตัว โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเที่ยวตามพิสูจน์หาความจริงแต่อย่างใด (เพราะอาจจะทำให้ถูกหลอกลวงจากผู้ที่ไม่ปรารถนาดี ) ควรสนใจเฉพาะคำสอนที่เป็นสาระในพุทธศาสนาจะเป็นการปลอดภัยที่สุด

สำหรับผู้ที่มีความเชื่อเรื่องนี้ ก็ให้ยึดหลักการที่ท่านแนะนำไว้ให้แม่น ๆ ว่า หน้าที่ของชาวพุทธคือศึกษาพัฒนาตนเอง ส่วนเรื่อง เปรต หรือ ผีสางนางไม้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสียเวลาไปเที่ยวพิสูจน์ ดังที่กล่าวมาข้างต้น เพราะถึงแม้ท่านจะสามารถพิสูจน์เห็น"เปรต"มาได้ด้วยตนเองแล้ว (ด้วยการฝึกฝนจิตตนเองหรือด้วยเหตุปัจจัยอันใดก็แล้วแต่) แต่คนสมัยใหม่ที่เขาเชื่อเรื่องของเหตุผล เขาก็จะด่วนสรุปทันทีว่าท่านเป็นคนงมงาย แม้ว่าท่านจะนั่งยันนอนยันว่าเห็นมากับตาสักเท่าไรก็ตามที

แม้พระพุทธองค์ท่านยังรู้ขอบเขต ไม่เน้นสอนเรื่องเหล่านี้ คงเพียงแค่กล่าวผ่าน ๆ รับรองว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงเท่านั้น เพราะถ้าหากขืนไปเน้นพูดถึงเรื่องนี้มาก ๆ ผู้คนก็จะพาหลงทิศหลงทางจากหลักธรรมได้ง่ายๆ (เพราะมัวแต่ไปตระเวนตามล่าเปรตสุดขอบฟ้า) ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็จะคิดดูหมิ่นดูแคลนพุทธศาสนา กล่าวหาว่าสอนแต่เรื่องงมงายไปเลย จะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ถ้าไปยุ่งกับมันมาก ๆ จะก่อให้เกิดผลเสียต่อพระพุทธศาสนาในระยะยาว (พุทธศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่เสื่อมขนาดหนัก ก็เพราะเน้นสอน เรื่องอิทธิปาฎิหาริย์ ผีสางเทวดา นั่นเอง ท่านสามารถศึกษาบรรยากาศของพุทธศาสนาในสมัยนั้นได้ จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน )

สมมุติว่าวันดีคืนดีท่านเกิดไปเดินเจอเปรตตัวจริงที่ไหนเข้า ท่านก็รู้หลักการจากพระไตรปิฎกแล้วว่าควรปฏิบัติอย่างไร นั่นคือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรต ให้ท่านถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย

อันที่จริงไม่ใช่เพียงแต่ เปรต อย่างเดียวเท่านั้นที่ต้องการบุญกุศลจากมนุษย์ แม้เทวดาทั้งหลายก็ยังต้องการบุญกุศลจากมนุษย์เช่นเดียวกัน เพราะสัตว์เหล่านี้หมดโอกาสที่จะได้ทำบุญกุศลแล้ว มนุษย์คือสัตว์ชนิดเดียวที่มีโอกาสประกอบคุณงามความดีได้อย่างไม่มีที่สิ้น สุด มนุษย์จึงไม่ควรสยบยอมอยู่ใต้อำนาจผีสางเทวดา เที่ยวไปหมอบคลานกราบไหว้ผีสางเทวดา เพื่อขอพึ่งพาอาศัย ให้เป็นที่น่าอนาถใจ

มนุษย์ควรมีศักดิ์ศรีของตนเอง ควรพัฒนาตนเองให้ประเสริฐ ให้ผีสางเทวดามากราบไหว้ ทำตัวให้เป็นที่พึ่งของเจ้าพ่อเจ้าแม่ยังจะดีเสียกว่าไปพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ นี้ถ้าหากคนไทยสามารถปฎิวัติความคิดของตนเองเช่นนี้ ประเทศไทยก็จะได้พ้นจากอำนาจผีสางเทวดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ครองเมืองกันมานาน พุทธศาสนาของเราจะได้รุ่งเรืองกันเสียที
บันทึกการเข้า
ชีวิต นี้เพื่อพุึทธศาสน์

เท่ากับผลรวม

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 169
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ? ( แมวดำข้ามศพ -1 )
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 05:09:39 am »
0
เรื่องที่จะ อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องเล่า จาก Mail Forward
================================

ลุงและพ่อหันมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าและแววตาที่มีค่อยจะสู้ดีนัก

ผมจะพวกบรรดาหลานๆของปู่ต่างไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

บรรยากาศเงียบวังเวงจนน่าสะพรึงกลัว

ศพของปู่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าผวยผืนใหม่ตั้งแต่คอจรดเท้า เหลือไว้เพียงส่วนศีรษะ สามารถมองใบหน้าของปู่ได้ชัด หน้าของปู่ซีดคล้ำอมเขียวผิวหนังเหี่ยวยับย่น เปลือกปากเผยอจนเห็นฟันดำเป็นรางๆ เปลือกตาปิดสนิท นอนเหยียดยาวอยู่เหนือเสื่อจูดกลางบ้านไม้โบราณซึ่งสร้างตั้งแต่สมัยทวด มันเก่าแก่พอที่จะทำให้พวกเราบรรดาหลานๆของปู่ ไม่กล้าที่จะขึ้นมาเดินหรือวิ่งเล่นคนเดียว แม้ในเวลากลางวันก็ตาม โดยเฉพาะฉากรูปถ่ายของทวด ซึ่งเก่าคร่ำคร่าน่ากลัวมาก เวลาเดินผ่านเหมือนกำลังถูกสายตาของทวดจดจ้องอยู่ตลอดเวลา

บ้านไม้ของปู่หลังนี้เป็นบ้านไม้โบราณทรงปั้นหยามุงกระเบื้องดินเผายกพื้น สูงปล่อยใต้ถุนโล่ง ไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์ในไร่นาต่างๆ รวมถึงเป็นที่นั่งเย็บจาก สานอะไรต่อมิอะไรมากมายตอนที่ปู่มีชีวิตอยู่ ปู่มีลูกสองคน เป็นชายทั้งหมด คือพ่อกับลุง หลังจากย่าตายปู่ก็อยู่คนเดียว โดยพ่อกับลุงพอแต่งงานมีครอบครัวต่างแยกตัวออกไปสร้างบ้านใหม่ แต่ก็ไม่ไกลออกไปนัก

ขณะนี้เหนือศพของปู่ซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าผวยบริเวณอก ไอ้นิล แมวขนสีดำสนิทขึ้นไปนอนคู้กายเอาหัวแนบลำตัวอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสายตาหลาย สิบคู่ที่กำลังจ้องมองมันอย่างตระหนกตื่นหวาดผวา ซึ่งก่อนหน้าที่มันจะขึ้นไปนอนบนอกมันได้เดินวนเวียนปีนข้ามร่างปู่ไปมา เอาหัวไถถูตามศีรษะและร่างของปู่คล้ายไม่รับรู้ว่าปู่ได้จากโลกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงร่างกายที่ปราศจากวิญญาณเท่านั้น มันปฏิบัติเหมือนตอนปู่มีชีวิตทุกประการ ชอบเคลียคลอประจบประแจง ขึ้นไปนอนบนอกเวลาปู่นอน

ตอนที่ปู่มีชีวิตอยู่ ไอ้นิลเป็นเหมือนลูกคนที่สามของแกในยามบั้นปลายชีวิตที่ใกล้ชิดและรักแกมาก ถ้าหากวัดความรักโดยการคอยเคลียคลอเอาใจใส่ไม่หลบหนีห่างหายไปไหน และทำให้คนที่อยู่ใกล้มีความสุข ไอ้นิลเข้าข่ายทุกประการ และเช่นกัน ปู่ก็รักไอ้นิลมาก สังเกตจากการที่ทุกวันตลาดนัด สิ่งที่ปู่จะลืมไม่ได้ในการไปจับจ่ายซื้อของมากักตุนเอาไว้ นอกเหนือจาก ข้าวสาร กะปิ น้ำปลา เครื่องแกง น้ำมันพืช หรืออะไรต่างๆแล้ว ปลาทูนึ่งซึ่งสำหรับซาวข้าวให้ไอ้นิลกิน คือสิ่งที่ปู่ต้องซื้อทุกครั้ง ปู่จะกะประมาณซื้อปลาทูนึ่งเอาไว้พอเพียงกับชั่วระยะเวลากว่าจะถึงวันตลาด นัดอีก

การปฏิบัติของปู่ที่มีต่อไอ้นิล บางครั้วพวกเราหลานๆพากันคิดว่าท่านรักไอ้นิลมากกว่าพวกเราซึ่งเป็นหลานแท้ๆของแกเสียอีก

แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะพวกเราถึงจะเป็นหลาน ก็น้อยครั้งเหลือเกินที่จะคอยมาเอาใจใส่ปู่ เรามักจะคิดว่าท่านคนแก่ก็อยู่ส่วนท่าน เราเด็กๆก็อยู่ส่วนเรา ต่างมีโลกส่วนตัวคนละโลก โลกของคนแก่เป็นโลกที่เฉื่อยๆเนือยๆ ตื่นนอนล้างหน้าพูดจากับสัตว์เลี้ยงหุงหาข้าวปลาให้ต้นและสัตว์เลี้ยงกิน จากนั้นก็ละลายเวลาให้หมดไปกับการนั่งเหม่อลอยหรือทำงานจุกจิกอะไรสักอย่าง จนกว่าจะค่ำ กินข้าวเข้านอน วนเวียนอยู่อย่างนี้...น่าเบื่อ ไม่เหมือนโลกของเราเด็กๆที่เต็มไปด้วยความสดใสสนุกสนานร่าเริงโลดโผน ตื่นเต้นอยู่ตลอด

ในที่สุด ลุงเป็นคนทำลายบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวนั้นด้วยการลุกขึ้นไปหาเรียวไม้มาตี ไล่พร้อมทั้งตวาดด้วยเสียงอันดัง ไอ้นิลกระโดดหนี ร้องด้วยความตื่นกลัว มิวายลุงก็ยังใช้ให้ผมและพวกหลานๆของปู่ช่วยกันไล่ตีไอ้นิลให้ไปให้พ้น จากบริเวณบ้าน

ได้ผล ไอ้นิลกระโดดหนีหายเข้าไปในป่าหลังบ้านอย่างไม่มีวี่แววว่าจะหวนกลับมาอีก มันคงจะมีสำเหนียกแล้วว่า เวลานี้ไม่มีที่พึ่งให้มันพึ่งพาประจบประแจงอีกแล้ว

งานศพของปู่จัดขึ้นอย่างใหญ่โต ด้วยการร่วมกันดำเนินงานระหว่างพ่อกับลุง โดยตกลงกันว่าจะตั้งศพบำเพ็ญกุศล ๗ คืน ทุกคนจะมีพระมาสวดอภิธรรม ๓ เตียง ผมและหลานๆของปู่ถูกมอบหน้าที่ให้ค่อยต้อนรับจัดเลี้ยงแขกเหรื่อที่มาในงาน พ่อและลุงสั่งให้ล้มวัวสองตัวที่ปู่เคยเลี้ยงไว้ในขณะมีชีวิตอยู่เพื่อ เลี้ยงแขก แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อจำนวนคนที่มาในงานที่นับวันจะเพิ่มทวีขึ้น เรื่อยๆ ในที่สุดจึงต้องสั่งซื้อมาอีก ๓ ตัว

สิ่งที่ผมสังเกตได้คือ ตอนหัวค่ำช่วงพิธีกรรมทางศาสนาคนจะไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ที่มานั่งฟังพระสวดอภิธรรมส่วนมากจะเป็นคนเฒ่าคนแก่ในละแวกบ้านใกล้ๆเคียง ที่รู้จักมักคุ้นกัน แต่พอหลังจากพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จแล้วลับหลังพระกลับวัด บริเวณลานพิธีจะถูกแปรสภาพเป็นบ่อนขนาดย่อมทันที มีผู้คนมากมาย ซึ่งผมไม่ค่อยคุ้นหน้าว่าเป็นญาติฝ่ายไหนของปู่กันแน่แห่กันมาล้อมวงเล่นการ พนันจำพวกไพ่ ปอ ไฮไล จนแน่นขนัด ตั้งแต่ค่ำยันเกือบสว่าง บางวันพระออกบิณฑบาตแล้วยังไม่เลิกก็มี ยิ่งนับวันยิ่งเพิ่มจำนวนวงการเล่นออกไป จากหนึ่งวงเป็นสอง เป็นสามเป็นสี่ และพอถึงวันงานคืนสุดท้าย รอบบริเวณบ้านเต็มไปด้วยวงการพนัน ภาระการเลี้ยงดูอาหารซึ่งผมและบรรดาหลานๆของปู่ต้องคอยดูแลพวกที่มาในงานจึง ค่อนข้างหนักหนาสาหัสเอาพอสมควร บางคนมาทั้งครอบครัว กินกันคนละหลายๆรอบ มิหนำซ้ำยังตักใส่ถุงพลาสติกที่เตรียมไว้เอากลับไปกินที่บ้านก็มี

พ่อกับลุงมักจะขลุกอยู่ที่โต๊ะรับซองทำบุญจากแขกที่มาในงาน ต่างคนต่างไม่พูดอะไรกันจนผมอดสงสัยมิได้ว่าท่านทั้งสองมีเรื่องอะไรผิดใจ กันหรือเปล่า เพราะช่วงตลอดวันงานที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าทั้งสองมีเรื่องที่ถกเถียงจนขึ้นเสียงกันถึงสามครั้ง

วันเผาศพของปู่ผู้คนมากันจนเต็มศาลาคู่เมรุเผาศพที่วัด แต่ถ้าหากเทียบจำนวนคนในคืนสุดท้ายที่บ้าน นับว่าคนที่มาในวันเผาน้อยกว่ามาก พ่อกับลุงจากตอนแรกก่อนจะเข้างานตกลงกันว่าจะนิมนต์พระสวดมาติกาบังสุกุลวัน เผาให้เท่ากับจำนวนอายุของปู่ คือ ๘๕ ปี จะนิมนต์พระให้ได้ ๘๕ รูป ถวายปัจจัยรูปละ ๑๐๐ บาท แต่เอาเข้าจริงๆ ได้เพยง ๑๕ รูป เท่านั้น ซึ่งเหตุผลในเรื่องนี้ผมมารู้เอาก็หลังจากเสร็จงานศพปู่เรียบร้อยแล้ว
บันทึกการเข้า
ชีวิต นี้เพื่อพุึทธศาสน์

เท่ากับผลรวม

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +11/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 169
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ?
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 05:20:17 am »
0
หากไปถามแท๊กซี่ที่เคยขับรถมาเกิน30 ปี จะรู้ว่า เส้นทางจากปากซอยสามัคคี ด้านถนนติวานนท์ อ.เมือง จ. นนทบุรี จะมี ญ. อิสลามโบกรถและให้พาไปซื้อของปากคลองตลาดเวลา ตีสี่ เป็นประจำ

โชเฟอร์ทุกคนสารภาพว่า ได้คุยกับ ญ. คนนี้มาตลอดทาง แต่ไม่เคยเห็นหน้า เพราะเธอคลุมหน้าตามประเพณี แต่เมื่อถึงปากคลองฯ ไม่เคยมีใครได้รับเงินค่าโดยสารเลยแม้แต่คันเดียว เพราะเธอหายไปอย่างไร้รองรอยใดๆ ทั้งๆที่ไม่ได้หยุดหรือจอดติดไฟแดงที่ไหน ระยะเวลาวิ่งก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง

เป็นที่กล่าวขานไปทุกอู่แท๊กซี่ในเวลานั้น
บันทึกการเข้า
ชีวิต นี้เพื่อพุึทธศาสน์