ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หลักวิปัสสนา ที่ควรอ่านและทราบ ของนักปฏิบัติกรรมฐาน เรียกว่า อนุปัสสนา 3  (อ่าน 6295 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ปัญญาวรรค วิปัสสนากถา

สาวัตถีนิทานบริบูรณ์

            [๗๓๑] ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารไรๆ โดยความเป็นของเที่ยงอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยามข้อ นี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตติยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม  ข้อ นี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผลอนาคามิผลหรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ

        [๗๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารไรๆโดยความเป็นสุขจักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผลอนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นทุกข์อยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลหรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ

        [๗๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นธรรมไรๆโดยความเป็นอัตตาอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติจักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้    เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม    จักทำให้แจ้งซึ่ง    โสดา ปัตติผลสกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นธรรมไรๆ โดยความเป็นอนัตตาอยู่  จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ     ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้       ผู้ประกอบด้วย    อนุโลมขันติจักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม     ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้     ผู้ย่างลงสู่  สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ

        [๗๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นนิพพานโดยความเป็นทุกข์อยู่จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผลอนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นนิพพานโดยความเป็นสุขอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยามข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลสกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ

        [๗๓๕] ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการเท่าไร ? ภิกษุย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการเท่าไร? ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ ภิกษุย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการ ๔๐ ฯ

        ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน

        ภิกษุย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน ฯ

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นทุกข์ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นโรค ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นดังหัวฝี ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นดังลูกศร ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นความลำบาก ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอาพาธ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอย่างอื่น ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของชำรุด ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นเสนียด ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอุบาทว์ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นภัย ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอุปสรรค ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นความหวั่นไหว ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของผุพัง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของไม่ยั่งยืน ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของไม่มีอะไรต้านทาน ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของไม่มีอะไรป้องกัน ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของไม่เป็นที่พึ่ง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของว่าง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของเปล่า ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของสูญ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นอนัตตา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นโทษ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความแปรปรวน  เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของหาสาระมิได้ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นมูลแห่งความลำบาก ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นดังเพชฌฆาต ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นความเสื่อมไป ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีอาสวะ ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นเหยื่อแห่งมาร ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความตายเป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความร่ำไรเป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความคับแค้นใจ  เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นของมีความเศร้าหมอง  เป็นธรรมดา ๑

ภิกษุ พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้อนุโลมขันติ เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยง ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม

ภิกษุ พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นทุกข์ ย่อมได้อนุโลมขันติ เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นสุข ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 29, 2011, 09:47:36 am โดย patra »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ภิกษุ พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นโรค ...


เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีฝี ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นดังลูกศร ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีลูกศร ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความลำบาก ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความลำบาก ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอาพาธ ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์ เป็นนิพพานไม่มีอาพาธ ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอื่น ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีสิ่งอื่นเป็นปัจจัย ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของชำรุด ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความชำรุดเป็นธรรมดา ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นเสนียด ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีเสนียด ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุบาทว์ ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุบาทว์ ..

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นภัย ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานอันไม่มีภัย ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุปสรรค ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุปสรรค ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหวั่นไหว ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความหวั่นไหว ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของผุพัง ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มี   ความผุพัง ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่ยั่งยืน ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์   เป็นนิพพานมี  ความยั่งยืน ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่ต้านทาน ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรป้องกัน ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพาน  เป็นที่ป้องกัน ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีที่พึ่ง ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่พึ่ง ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่าง ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่ว่าง ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่างเปล่า ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่เปล่า ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของสูญ ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานสูญ      อย่างยิ่ง ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอนัตตา ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นโทษ ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีโทษ ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของแปรปรวน          เป็นธรรมดา ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหาสาระมิได้ ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีสาระ ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นมูลแห่งความลำบาก ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีมูลแห่งความลำบาก ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นดังเพชฌฆาต ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่เป็นดังเพชฌฆาต ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของเสื่อมไป ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความเสื่อมไป ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีอาสวะ ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอาสวะ ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นเหยื่อแห่งมาร ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่เป็นเหยื่อแห่งมาร ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความเกิด   เป็นธรรมดา ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพาน    ไม่มีความเกิด ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความแก่   เป็นธรรมดา ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพาน     ไม่มีความแก่ ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความป่วยไข้   เป็นธรรมดา ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความป่วยไข้ ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความตาย           เป็นธรรมดา ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพาน           ไม่มีความตาย ...

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มี  ความเศร้าโศก ...     

เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความร่ำไร เป็นธรรมดา ...

เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพาน  ไม่มีความร่ำไร ...

เมื่อ พิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความคับแค้นเป็นธรรมดา ย่อมได้อนุโลมขันติเมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความคับแค้น ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม

เมื่อ พิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ย่อมได้อนุโลมขันติ เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความเศร้าหมอง ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ฯ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 29, 2011, 09:47:15 am โดย patra »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
  [๗๓๖]

การพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นอนิจจานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นทุกข์ เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นโรค เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นดังหัวฝี เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นดังลูกศรเป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นความลำบาก เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอาพาธ เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นอย่างอื่นเป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของชำรุด เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นเสนียด เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุบาทว์ เป็นทุกขาปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นภัย เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุปสรรค เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหวั่นไหว เป็นอนิจจานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของผุพัง เป็นอนิจจานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่ยั่งยืน เป็นอนิจจานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรป้องกัน            เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีที่พึ่ง เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่าง เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของเปล่า เป็นอนัตตานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของสูญ เป็นอนัตตานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอนัตตา เป็นอนัตตานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นโทษ เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา         เป็นอนิจจานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของหาสาระมิได้ เป็นอนัตตานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นมูลแห่งความทุกข์ เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นดังเพชฌฆาต เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยเป็นความเสื่อมไป เป็นอนิจจานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีอาสวะ เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยเป็นของมีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นอนิจจานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุ พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา เป็นทุกขานุปัสนา ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา เป็นทุกขานุปัสนา

โดยความเป็นของมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์  โดยความเป็นของมีความตายเป็นธรรมดา เป็นอนิจจานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา  เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุ พิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็น ของมีความร่ำไรเป็นธรรมดาเป็นทุกขานุปัสนา ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความคับแค้นเป็นธรรมดา เป็นทุกขานุปัสนา

ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา เป็นทุกขานุปัสนา ฯ

        ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ นี้

        ภิกษุย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการ ๔๐ นี้ ฯ

        ภิกษุผู้ได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ นี้

        ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการ ๔๐ นี้ มี

        อนิจจานุปัสนาเท่าไร ? มีทุกขานุปัสนาเท่าไร ? มีอนัตตานุปัสนาเท่าไร ?ฯ

        ท่านกล่าวว่า มีอนิจจานุปัสนา ๕๐

                     มีทุกขานุปัสนา ๑๒๕

                     มีอนัตตานุปัสนา ๒๕ ฉะนี้แล ฯ

จบวิปัสสนากถา ฯ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 29, 2011, 09:46:48 am โดย patra »
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ประสิทธิ์

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +14/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 639
  • จิตว่าง ก็เป็นสุข
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ผมตามอ่านเรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นพระสูตร แต่พระอาจารย์เรียบเรียงให้อ่านง่ายขึ้น

อันนี้เหมือนกับการเจริญ วิปัสสนา ในอนุวิปัสสนา 3 ใน กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ หรือป่าวครับ

 :25:
บันทึกการเข้า
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครชู ช่างเขา
ใครด่า ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ

:;

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เรื่องนี้ผมอ่านแล้ว เหมือนเปิดโลกทัศน์ เลยครับ ปกติเวลาพิจารณาวิปัสสนา ก็จะออกแบบวิปัสสนึก คือคิดเอา

เองไปเรื่อย ๆ พึงจะรู้ว่ามีหลักการเจริญวิปัสสนา ที่ปรากฏในพระไตรปิฏก อย่างเป็นขั้นเป็นตอนครับ

ศัพท์ที่ผมพึงเคยได้ยิน ก็คือ อนุโลมขันติ และ สัมมัตนิยาม


   อ่านหลายไปหลายรอบแล้ว และ ก็ทดสอบเจริญตาม รู้สึกดีไม่ต้องปรุงแต่งความคิด เพียงแต่พิจารณาไปตาม

ลำดับ เริ่มพอจะเข้าใจมากขึ้น แล้วครับ

    :25:
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
แนะนำให้อ่านครับ  สาธุ ครับ  :25:
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

patra

  • RDNpromote
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรมรรค
  • *
  • ผลบุญ: +100/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 971
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
อนุโลมขันติ คือ อะไร ?
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2011, 09:52:43 am »
0
อนุโลมิกขันติ

�����

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

ข้อความสมบูรณ์ มีศัพท์บางคำที่อาจเขียนผิด หน้า 2-3

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต

อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ


บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ได้แสดงขันติมาครั้งหนึ่ง จะแสดงต่อไป ขันติที่จะแสดงต่อไปนี้มีความหมายในทางเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อความสิ้นกิเลสและกองทุกข์ ขันติดังกล่าวนี้เรียกว่า อนุโลมิกขันติ ขันติที่เป็นไปโดยอนุโลม คืออนุโลมต่อความเห็นชอบ ก็คืออนุโลมอริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น เพื่อกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย ขันติดังกล่าวนี้เป็นขันติที่มีความหมายเป็นพิเศษกว่าขันติทั่วๆ ไป แม้ตามที่ได้แสดงอธิบายแล้ว และได้มีความหมายในทางเดียวกัน กับขันติที่ตรัสไว้ในโอวาทปาติโมกข์ว่า ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ขันติคือ ตีติกขา ความทนทาน เป็นบรมตบะ คือเป็นธรรมะที่เผากิเลสอย่างยิ่ง เป็นไปเพื่อนิพพาน

ดังที่ตรัสต่อไปว่า นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา  พระพุทธะทั้งหลายกล่าวนิพพานว่าเป็นอย่างยิ่ง ขันติเป็นบรมตบะ ดั่งนี้ จึงได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้อีกว่า ขันติ พลัง วยะ ตินัง ขันติเป็นกำลังของนักพรต หรือผู้บำเพ็ญพรตทั้งหลาย ดั่งนี้

ตีติกขาขันติ

อันขันติดังกล่าวว่า ตีติกขาขันติ ในโอวาทปาติโมกข์ หรือ อนุโลมิกขันติ ที่ยกขึ้นมาแสดงในวันนี้ จึงมีความหมายว่าเป็นความอดทน เป็นความทนทาน ต่ออารมณ์ทั้งหลาย คืออารมณ์ คือรูปที่เห็นทางตา อารมณ์คือเสียงที่ได้ยินทางหู อารมณ์คือกลิ่นที่ได้ทราบทางจมูก อารมณ์คือรสที่ได้ทราบทางลิ้น อารมณ์คือสิ่งถูกต้องที่ได้ทราบทางกาย อารมณ์คือธรรมะอันได้แก่เรื่องราวที่ได้รู้ได้คิดทางมโนคือใจ

อดทนต่ออารมณ์เหล่านี้ เพราะอารมณ์เหล่านี้เป็นที่ตั้งแห่งราคะความติดใจยินดีก็มี เป็นที่ตั้งแห่งโทสะความโกรธแค้นก็มี เป็นที่ตั้งแห่งโมหะความหลงก็มี เมื่อเป็นดั่งนี้จึงเกิดราคะโทสะโมหะ หรือว่าโลภโกรธหลงขึ้น ไหลเข้าสู่ใจหรือจิต เพราะฉะนั้น อดทนต่ออารมณ์ทั้งหลาย จึงมีความหมายถึงอดทนต่อกิเลสทั้งหลาย ที่บังเกิดขึ้นจากอารมณ์นั้นๆ ด้วย

บรมตบะ เครื่องแผดเผากิเลส

ขันติที่เป็นอนุโลมขันติ หรืออนุโลมิกขันติ จึงมีความหมายถึงความอดทนต่ออารมณ์ ต่อกิเลสดังกล่าว

เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะเป็น บรมตบะ คือเป็นเครื่องแผดเผากิเลส ผู้ที่ปฏิบัติขันติ ฝึกจิตใจให้มีความอดทนต่ออารมณ์ทั้งหลาย ต่อกิเลสทั้งหลาย ย่อมสามารถเผากิเลสทั้งหลายได้ ดับกิเลสทั้งหลายได้ เช่นเมื่อความโลภบังเกิดขึ้นในวัตถุอันเป็นที่ตั้งของความโลภ หรือราคะความติดใจยินดีบังเกิดขึ้นในวัตถุอันเป็นที่ตั้งของราคะ ก็มีความอดทน ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของโลภะหรือราคะ เมื่อความอดทนนี้มีกำลังที่แรงกว่ากำลังของกิเลส ก็ชนะกิเลสได้ กิเลสก็ดับหายไป เหมือนอย่างถูกเผาไป

เมื่อโทสะบังเกิดขึ้นก็เช่นเดียวกัน มีความอดทนต่อโทสะ ต่ออารมณ์ของโทสะ ไม่ยอมแพ้อำนาจของโทสะ และเมื่อความอดทนนี้มีกำลังกว่า โทสะกับอารมณ์ของโทสะก็ดับหายไป เหมือนอย่างถูกเผาสิ้นไป โมหะก็เช่นเดียวกัน ความหลงถือเอาผิด หลงติดอยู่ในวัตถุอันเป็นที่ตั้งของความหลง มีความอดทนต่อความหลง ความติด และอารมณ์ของความหลงนั้น เมื่อความอดทนมีกำลังก็เอาชนะโมหะได้ โมหะก็ดับหายไป เหมือนอย่างถูกเผาไป

ขันติที่ประกอบด้วยปัญญา

แต่ในการปฏิบัติทำขันติคือความอดทนนี้ เมื่อประกอบไปด้วยกับการปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ก็ทำให้เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ขึ้นมาได้ ขันติที่ประกอบด้วยปัญญานับว่าเป็นยอดของขันติที่ประกอบด้วยสมาธิด้วยศีล แต่ว่าก็ต้องอาศัยการปฏิบัติทั้งในศีลทั้งในสมาธิทั้งในปัญญาประกอบกันไป ทั้ง ๓ นี้มีปัญญาเป็นยอด แต่เมื่อมียอดก็ต้องหมายความว่าต้องมีต้นมีรากด้วย ศีลก็เหมือนอย่างราก สมาธิก็เหมือนอย่างต้น ปัญญาก็เหมือนอย่างยอด เมื่อเทียบกับต้นไม้ ฉะนั้น แม้จะยกยอดขึ้นมาแสดง ก็ต้องหมายความว่าต้องมีลำต้นต้องมีรากอยู่ด้วยกัน เป็นแต่เพียงต้องการจะชี้ว่าปัญญาเป็นยอด

เพราะฉะนั้น จึงได้มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ว่า ปัญญาเห็นอย่างไรจึงจะเป็นฐานะที่ว่าประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ ได้ตรัสแสดงไว้ว่า เมื่อยังเห็นสังขารอะไรๆ โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข เห็นธรรมะอะไรๆ คือทั้งส่วนที่เป็นสังขารทั้งส่วนที่เป็นวิสังขาร โดยความเป็นอัตตาตัวตน เมื่อยังเห็นดั่งนี้อยู่ก็ไม่เป็นฐานะที่จะชื่อว่าประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ และเมื่อไม่ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ ก็ไม่เป็นฐานะที่จักหยั่งลงสู่ความเป็นชอบ คือหยั่งลงสู่อริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น และเมื่อยังไม่หยั่งลงสู่ความเป็นชอบ หรือว่าสู่ สัมมัตตนิยาม คือความกำหนดแน่โดยความเป็นชอบ ก็ไม่เป็นฐานะที่จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย

ต่อเมื่อเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เห็นธรรมอะไรๆ ทั้งปวงโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตาตัวตน จึงเป็นฐานะที่จะชื่อว่าประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ และเมื่อประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ ก็เป็นฐานะที่จักหยั่งลงสู่นิยาม คือความกำหนดแน่แห่งความเป็นชอบ คือสู่นิยามแห่งอริยมรรคมีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น และเมื่อหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ ก็เป็นฐานะที่จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย

เมื่อเห็นนิพพานโดยความเป็นทุกข์

อนึ่ง เมื่อยังเห็นนิพพานโดยความเป็นทุกข์ก็เช่นเดียวกัน ไม่เป็นฐานะที่จะประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ ไม่เป็นฐานะที่จักหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ ไม่เป็นฐานะที่จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย ต่อเมื่อเห็นนิพพานโดยความเป็นสุข ดังที่มีปาฐะว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นบรมสุข จึงจะเป็นฐานะที่ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ เป็นฐานะที่จักหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ เป็นฐานะที่จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย ดั่งนี้

อนุโลมิกขันติด้วยอาการอย่างไร

และจะชื่อว่าได้อนุโลมิกขันติด้วยอาการอย่างไร จะชื่อว่าหยั่งลงสู่ความเป็นชอบด้วยอาการอย่างไร ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสจำแนกอาการไว้เป็นอันมาก แต่อาจสรุปลงได้เป็น ๓ คือเห็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เห็นนิพพาน โดยความเป็นเที่ยง โดยความเป็นสุข และโดยความเป็นปรมัตถ์ หรือ ปรมัตถะ คือมีอรรถะอย่างยิ่ง

กล่าวคือเห็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้อนุโลมิกขันติ เห็นความดับขันธ์ ๕ เป็นนิโรธคือความดับทุกข์เป็นของเที่ยงแท้ เป็นนิพพาน ย่อมได้หรือหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ คือสู่ทางอริยมรรค เห็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นทุกข์ ย่อมได้อนุโลมมิกะขันติ เห็นความดับขันธ์ ๕ เป็นนิโรธคือความดับทุกข์ เป็นสุข เป็นนิพพาน ย่อมหยั่งลง ย่อมได้นิยามแห่งความเป็นชอบ เห็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมได้อนุโลมิกขันติ เห็นความดับขันธ์ ๕ เป็นนิโรธคือความดับทุกข์ เป็น ปรมัตถะ คือ มีอรรถะอย่างยิ่ง อย่างละเอียด เป็นนิพพาน ย่อมหยั่งลงสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ ดั่งนี้

เพราะฉะนั้น อนุโลมิกขันตินี้จึงเป็นข้อสำคัญ ศีล สมาธิ ปัญญา อาศัยขันติมาก่อน คือในการปฏิบัติศีลสมาธิปัญญานั้นก็ต้องใช้ขันติ ต้องประกอบด้วยขันติ

และเมื่อได้ศีลสมาธิปัญญาขึ้น ก็ทำให้ได้ขันติที่สูงขึ้น คืออนุโลมิกขันติดังกล่าว คือเมื่อได้ปัญญาเห็นขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เมื่อได้ปัญญาดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้อนุโลมิกะขันติ ซึ่งนำไปสู่นิยามแห่งความเป็นชอบ คืออริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็จะกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลายได้

เพราะฉะนั้น นิยามแห่งความเป็นชอบคืออริยมรรค จึงกล่าวได้ว่าเป็นมรรคนั้นเอง และเมื่อได้มรรคก็ย่อมได้ผล คือกระทำให้แจ้งผลทั้งหลาย คืออริยผลทั้งหลาย ได้อริยมรรค ก็ได้อริยผล อนุโลมิกขันตินั้น จึงเป็นขันติที่อนุโลมต่ออริยมรรคอริยผล สอดคล้องต่ออริยมรรคอริยผล เป็นขันติที่ได้มาจากปัญญาที่เห็นขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา

และในการที่จะปฏิบัติในปัญญาในสมาธิในศีล ก็ต้องอาศัยขันติคือความอดทนมาโดยลำดับ แผดเผากิเลสมาโดยลำดับ ถ้าไม่อาศัยขันติก็ไม่อาจที่จะปฏิบัติให้สำเร็จได้ เป็นขันติในขั้นปฏิบัติตั้งแต่ในเบื้องต้น ครั้นได้ศีลได้สมาธิได้ปัญญา เห็นขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา จึงได้ขันติที่เป็นอนุโลมต่อมรรคผล อันเรียกว่าอนุโลมิกขันตินี้ มีลักษณะเป็นความทนทาน ไม่หวั่นไหว อันจะเปรียบได้อย่างภูเขาหินล้วน ไม่หวั่นไหวด้วยลมอันพัดมาแต่ทิศทั้งปวง ต่างจากต้นไม้เป็นต้นทั้งใหญ่ทั้งเล็ก เมื่อถูกลมพัดแม้จะไม่หักก็ไหว และแม้ว่าจะไม่โค่นล้มทั้งต้น กิ่งใบก็อาจที่จะหักหล่น ถ้าหากว่าถูกลมแรงมากก็จะต้องล้มทั้งต้น แต่ภูเขาหินล้วนนั้นย่อมทนได้ต่อลมอันพัดมาแต่ทิศทั้งปวง

อนุโลมมิกะขันติก็เช่นเดียวกัน เมื่อปฏิบัติให้เห็นไตรลักษณ์ในขันธ์ ๕ ได้ จิตก็จะแข็งแกร่งทนทาน ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์และกิเลสทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น จึงนำสู่อริยมรรคสู่อริยผล จึงเรียกว่าอนุโลมิกขันติ ขันติที่อนุโลม คืออนุโลมต่ออริยมรรคที่เรียกว่านิยามแห่งความเป็นชอบ และอริยผลทั้งหลาย ดั่งนี้

ตามที่แสดงมานี้ แสดงตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสเอาไว้ เป็นขันติที่มีลักษณะพิเศษกว่าขันติทั่วไป แต่ว่าในการปฏิบัตินั้นก็จะต้องปฏิบัติตั้งแต่ขันติคือความอดทน มีน้ำอดน้ำทน มีความอดกลั้นทนทาน ต่ออารมณ์และกิเลสทั้งหลาย ซึ่งอาจจะทนได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ว่าเมื่อฝึกอยู่บ่อยๆ แล้ว ก็จะทำให้ความอดทนนี้มีพลังยิ่งขึ้น สามารถอดทนต่ออารมณ์และกิเลสได้มากขึ้น

พร้อมทั้งเมื่อมีโสรัจจะคือความที่ทำใจให้สบาย โดยระบายอารมณ์และกิเลส ที่อัดอยู่ในใจออกไป ไม่ปล่อยให้อัดเอาไว้ ระบายใจออกไปให้สบาย อาศัยสติอาศัยปัญญา และอาศัยธรรมะอื่นๆ เช่นเมตตากรุณาเป็นต้น เข้ามาช่วย และเมื่อระบายออกไปได้ใจก็สบาย เมื่อใจสบาย กายวาจาก็เป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม เพราะฉะนั้นจึงตรัสแสดงว่าธรรมะคู่นี้ ขันติคือความอดทน โสรัจจะที่ท่านแปลว่าความเสงี่ยม เป็นธรรมะที่ทำให้งาม ดั่งนี้

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 29, 2011, 09:55:47 am โดย patra »
บันทึกการเข้า
ข้าพจ้า สนับสนุนการเผยแผ่ พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

ส้ม

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 184
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
ขันติที่จะแสดงต่อไปนี้มีความหมายในทางเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อความสิ้นกิเลสและกองทุกข์ ขันติดังกล่าวนี้เรียกว่า อนุโลมิกขันติ

อ้างถึง
ขันติ ที่เป็นไปโดยอนุโลม คืออนุโลมต่อความเห็นชอบ ก็คืออนุโลมอริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น เพื่อกระทำให้แจ้งอริยผลทั้งหลาย ขันติดังกล่าวนี้เป็นขันติที่มีความหมายเป็นพิเศษกว่าขันติทั่วๆ ไป

พอจับใจความ เรื่อง อนุโลมขันติ คะ

 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า
เส้นทางแสนเปรี้ยว จะมีสุขจริงบ้างหรือไม่ ?