ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไม่ปฏิบัติกรรมฐาน จะสามารถ บรรลุธรรมได้หรือไม่ครับ  (อ่าน 5463 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
แบบว่า ไม่ชอบการไปนั่งกรรมฐาน เดินจงกรมประมาณนี้ คือในอุดมคติของผม การบรรลุธรรมนั้นเป้นการใช้ปัญญาในการเห็นธรรม น่าจะได้มาจากการอ่าน การฟัง และเห็นในธรรม นั้น ๆ จึงมีความคิดว่า การไปนั่งหลับตา เดินเคร่ง ๆ อยู่นั้น เป็นเรื่อง ที่เป็น การทรมานตน

   เพราะส่วนตัวคิดว่า การนั่งกรรมฐาน นาน ๆ นั้นเป็นการทรมานตน ทางสายกลาง คือ ต้องไม่ทำให้ตนเองเดือนร้อน ใช่หรือไม่ครับ
 
 :smiley_confused1: :c017:
บันทึกการเข้า

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คิดว่าน่าจะได้นะคะ เพราะสมัยครั้งพุทธกาล การสำเร็จเป็นพระอริยะบุคคลก็ไม่ได้ไปนั่งกรรมฐาน หรือ เดินจงกรมกันก่อนคะ แต่สมัยก่อนพระพุทธเจ้ารับรองไว้นะคะ สมัยนี้ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว รับรองไม่ได้ ไม่มีใครเชื่อหรอกคะ คงต้องเก็บไว้ในใจ คะ ดังนั้นสมัยก่อนเวลาฟังพระธรรมจบก็สำเร็จเป็นพระอริยะบุุคคลชั้นต่าง ๆ กันไป

  เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้นะคะ

   :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เชื่อมั่นในบารมี ตนเองเกินไป หรือ ไม่ครับ ผมเชื่อว่า ยุคนี้เป็นยุคของ เวไนยะ เหมือนที่พระอาจารย์ตอบไว้นะครับเพราะยุคนี้ กึ่ง พุทธกาลแล้ว บัวที่บานแล้ว กับที่กำลังจะบาน นั้นยุคนี้น่าจะไม่มี พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสไว้ว่ายุคนี้เป็นยุค ของ พระอนาคามี นะครับ

   ที่นี้การที่คุณจะฟังธรรมแล้ว บรรลุธรรมเลยนั้น บารมีต้องถึงพร้อม และ ผู้แสดงธรรมน่าจะต้องเป็นระดับ พระอรหันตสาวก ขั้นอภิญญา 6 หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะครับ เพราะลำพังทุกวันนี้ อ่านพระไตรปิฏกสูตรเดียว สวดกัน มาเป็นร้อยจบแล้ว ผมยังไม่เห็นจะบรรลุเลยครับ ทั้งสวดแปล และ ไม่แปล นี่คำสอนของพระพุทธเจ้านะครับ ผมก็ยังรู้ตัวเองเลยอยู่ว่า พระโสดาบัน ยังไม่ได้แตะเลยนะครับ

   :49: :smiley_confused1: :13: :13:
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระพุทธเจ้า ท่านยังบําเพ็ญท่านั่ง ท่าขัดสมาธิเลย เราจะไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้าได้ยังไง
  และพระตถาคต ยังตรัส ศิล สมาธิ ปัญญา ไว้เป็นทางไปสู่ผล
    ศิล สมาธิ เท่ากับ เป็นทาง เป็น มรรค
     ปัญญาเป็นผลแล้ว
         ชอบเอาความคิด ไปเทียบกับปัญญา แล้วจะได้เจอมั๊ย ชาตินี้
               การฟังธรรมบรรลุ ในพระสูตร ต่างๆที่พระพุทธเจ้าตรัส พระพุทธเจ้าท่านใช้ในสถานะการณ์เฉพาะหน้า เพื่อเหตุ เพื่อผล เฉพาะหน้า เฉพาะภิกษุรูปนั้น เช่นพระสารีบุตร หรือ บุคคลผู้นั้น ยศสกุลบุตร พระพุทธเจ้าท่านทรงใช้ญาณพิเศษตรวจสอบแล้ว และได้แผ่พุทธบารมีของพระองค์ช่วย  ด้วยการตรัสกล่าว ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด
      การไม่ชอบนั่งกรรมฐาน ศิล สมาธิ ปัญญา ไม่ครบองค์ อย่าหวังที่จะดับปีติแบบโลกได้
                  ท่าขัด ความได้ลม มหาภูตรูป สับคืบ เข้าคืบ เข้าวัด ออกวัด เข้าสะกด อยู่ในตํารากรรมฐานมัชฌิมา แบบลําดับ ทําให้ถึงซึ่ง อิทธิบาท
          พระพุทธเจ้าตรัส ว่า ที่เรามีฤทธิ์มากอย่างนี้ ก็เพราะเจริญอิทธิบาทสี่
              พระพุทธเจ้าหนึ่งองค์ มี อัครสาวก ซ้าย ขวา ได้สองรูป
               และเอตะทัคคะ มีได้ แปดสิบรูป
      อย่าเอาตัวเราไปเทียบกับเหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า บารมีท่านเหล่านั้นต่างกับคนธรรมดา อย่างมนุษย์เรา แต่ละองค์ทรงฌาณสมาบัติ มาตั้งแต่กําเนิดแล้วก็มี ไม่อย่างนั้น คงไม่ใช่สาวก หรือเรียกสาวก ก็ต้องมีบุญร่วมกับพระพุทธเจ้ามาไม่ใช่น้อย
    ก็ดูพระพุทธเจ้า พระองค์ขัดสมาธิที่โคนต้นไม้ ใช้กสินดึงเมฆก้อนใหญ่ มาบังแสงแดดให้แก่ พระบิดา ที่กําลังอยู่ในพิธีไถนาหว่านข้าว(แลกนาขวัญ) ท่านทําได้ตั้งแต่สี้ขวบ ทรงฌาณสมาบัติมาแต่น้อย แล้วบรรดาพระสาวกล่ะ
     พระสาวกทั้งหลาย ที่ฟังธรรมบรรลุ อย่าง พระสารีบุตร อัครมีได้สององค์
       ข้าพเจ้าเห็นว่าอย่าไปเทียบบารมีแบบนี้เลย
       มันเป็นมานะสังโยชน์ และก็ไม่ได้อะไรด้วย
             ถ้าท่า กลัวเวทนา ตอนนั่งสมาธิ ก็คือไม่มีขันติ แล้วจะบ่ม อินทรีย์ ห้าให้แก่กล้าได้ยังไง กลัวเจ็บ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ฝึกวันละสามสิบนาที แต่ทําทุกวัน คงไม่เจ็บเท่าไหร่ ไม่ได้บังคับให้นั่งหลายชั่วโมง หรือว่านั่งเป็นคืน แบบนั้นถ้ามันยังไม่ถึงสภาวะของเค้า เราก็ทําไม่ได้หรอก
        อย่ายึด ในกามสุขนิโยค เอาสุขมากเกินไป ไม่ทํา คิด กลัวเจ็บ กลัวเวทนา กามสุข ไม่ใช่ทางสายกลางเช่นกันมันต้องทํา ไม่ไช่ไม่ทําสมาธิเลย ในท่านี้พระพุทธเจ้ายังเลือกท่านั่ง ไม่ลุกอธิฐานร่างกายแตกดับก็ไม่ลุก แล้วพระองค์ก็ได้พระโสดาบันคืนนั้น
       ถ้าไม่ปฏิบัติกรรมฐาน จะบรรลุธรรมได้หรือไม่ ก็ควรคิดกันเอาเอง
พระสาวกที่ฟังธรรมแล้วบรรลุ เหล่าสาวกท่านได้ ทรงสมาธิสูตรแล้ว คือ มีสมาธิทรง สมาธิสัมโพชฌงค์ มีสมถะ วิปัสสนา(ทรงฌาณ สมาบัติ) เมื่อพระองค์ได้ตรัสสูตร สังยุตต่าง เพื่อสัมปยุตธรรม เหล่าสาวกจึงฟังธรรมแล้วบรรลุ
           ข้าพเจ้าแค่มายกเปรียบเทียบให้ฟังเฉยๆ ส่วนตัวเราทั้งหลายให้คํานวนตัวเองดูตามสมควร ว่าฟังธรรมแล้วจะบรรลุได้มั๊ย อย่าเข้าข้างตัวเองมากเกินไปนะ เดี๋ยวจะเสียเวลา ต้องมากําเนิดเกิดอีก
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 18, 2012, 01:52:48 am โดย aaaa »
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ไม่ชอบการนั่งกรรมฐาน แต่ต้องการบรรลุธรรม อันนี้เป้นความคิดของคนที่ยังไม่ต้องการปฏิบัติ อาตมาเชื่อและเห็นมาแล้ว เวลาคนที่ต้องการปฏิบัตินั้น คือต้องการพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ

  เปรียบประดุจ เหมือน คนเดินกลางทะเลทราย ที่ไม่มีเสบียง

  ท่านนึกภาพดู เมื่อเสบียงไม่มี คงไม่เลือกวิธีการมากมายหรอก เพราะว่า ความทุกข์ คือ ความหิวกระหาย จะบีบคั้นให้ท่านทำทุกวิถึทางที่จะดับทุกข์กระหายหิวส่วนนั้น


 ฉันใดก็ดี มนุษย์ที่มีความปรารถนาออกจากทุกข์ คือ สังสารวัฏนี้ ย่อมไม่มานั่งเลือกว่า เราจะฟังธรรมอย่างเดียว จะสนทนาธรรมอย่างเดียว แต่เขาจะปฏิบัติเหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เธอจงทำความเพียรดุจไฟที่กำลังเผาไหม้ บนศรีษะ ดังนั้นผู้ที่ความปรารถนาจากการพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ คงไม่มานั่งรอกระบวนท่า วาสนา ใด ๆ ดอก หากแต่จะเร่งรีบทำความเพียร ไม่มัวยึดหลักการที่ผิด นานๆ ไม่หายใจเข้า หายใจออกอย่างไร้ประโยชน์ คือไม่ได้ดำเนินจิตในเส้นทางมรรค เลย


  ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายตระหนัก ในความสั้น ในความยาว ของลมหายใจเข้า และ ลมหายใจออกกันให้มากขึ้นท่านก็จะเข้าใจคำตอบได้ดีว่า บุญที่ทำให้บารมีเต็มนั้น ภาวนาที่ทำให้สมบูรณ์ มิใช่อยู่แต่เพียงฟัง อ่านเท่านั้น แต่มีอยู่ในหลากหลายวิธิ ด้วยกรรมฐาน


  กรรมฐานเป็นท่าข้าม จากสังสารวัฏ

   เจริญพร /เจริญธรรม
 
   ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธุลีธวัช (chai173)

  • ปัญญา นัตถิ อฌายโต “ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ”
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +35/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2905
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ไม่ชอบการนั่งกรรมฐาน เดินจงกรม คืออุดมคติของผมนั้นใช้ปัญญาในการเห็นธรรม จึงมีความคิดว่า การไปนั่งหลับตา เดินเคร่ง ๆ อยู่นั้น เป็นเรื่องทรมานตน ทางสายกลาง คือ ต้องไม่ทำให้ตนเองเดือนร้อน ใช่หรือไม่ครับ


หลับหู-หลับตา-ปิดปาก ไม่พูด ไม่เดือดร้อนใคร ไม่สอดเสือกเลือกคิด จิตจับอารมณ์เดียวเพียง และ พอ อ่านมาก

รู้ซ่าน ให้พล่านอวด ดีตรงไหน ผมนั้นวิจยะธรรมเป็นวันไม่วายไม่วางว่างไม่มีดีไม่ดีประสาทจะกินเอา ปัญญาใช้ได้

เกิดมี ต้องที่จิตรู้นิ่งแน่นเสียก่อน ปัญญาจึงใช้ตามได้ วางจริงทิ้งแน่ อย่างนี้จึงควรมากกว่า อย่าประมาทตื้นเขินกับ

ตัวเองเป็นหนอนชอนตำรานะครับ!




http://ourslivelife.blogspot.com/2011_04_01_archive.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 18, 2012, 09:39:58 pm โดย THAWATCHAI173 »
บันทึกการเข้า
ศรัทธา, ศีล, พาหุสัจจะ, วิริยารัมภะ, ปัญญา

สมภพ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 485
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ตามที่พระอาจารย์ให้ความหมายก็คือ เมื่อถึงเวลา ก็จะมีการปฏิบัติภาวนา กันทุกรูปแบบใช่หรือไม่ครับ

   :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ท่านทั้งหลาย ไม่ต้องเป็นห่วงรูปแบบ ของเข้าถึงธรรม
  พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสถึงเรื่องกุศลไว้ ถึง 10 ประการ  แต่สรรเสริญมากที่สุด คือ การภาวนา  เพราะการภาวนานั้นเป็นเครื่องการันตีให้เข้าถึงธรรม ได้อย่างดี
 
  ส่วนท่านที่คิดว่า ฟังธรรมแล้วจะบรรลุ หรือ เรียนแล้วจะบรรลุ  นั้นตอนนี้บารมียังไม่พอก็คงประมาณนั้นอยู่ แต่ถ้าบารมีท่านพอ  ท่านก็จะเข้าใจในเส้นทางที่ตนเองควรทำ
 
   ที่พูดให้ฟังอย่างนี้ ( เขียนให้อ่านอย่างนี้ )  ก็เพราะว่าตนเองได้ผ่านมาแล้วเมื่อก่อนจะเป็นผู้ชอบฟังธรรม  ต่อไปก็ชอบพูดธรรม และต่อไปก็กลับไปนั่่งฟังมากขึ้น  และต่อไปก็มาภาวนาให้มากขึ้น พิจารณาไปเพราะว่า สติปัญญา มันโตไปตามอายุ  และรู้ว่า ความเป็นไปได้คืออะไร ?
 
   โชคดีที่ยังไม่ตายไปก่อน จึงมีโอกาสได้ภาวนา เพราะตายไปก่อนก็ต้องมาชาติต่อไปอีก (เสียเวลาจริง )
 
    ดังนั้นเมื่อถึงเวลา สติปํญญา ก็จะโตไปกาล เมื่อนั้นก็จะภาวนาเอง นั่นแหละจ้า
 
   เจริญพร / เจริญธรรม
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

Hero

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 557
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สรุปแว่ ( สรุปว่า ) ต้องปฏิบัติกรรมฐาน ครับ เพราะกรรมฐาน เป็นการภาวนาจึงจะทำให้มรรคสมบูรณ์ ได้ แต่ถ้าไปม่ปฏิบัติกรรมฐาน ก็เสริมบารมีด้านอื่น ไปให้เต็มเสียก่อนก็ได้ นะครับ

  เอาไว้ เบื่อจริง ๆ แล้วก็ปฏิบัติกรรมฐาน เรียนกรรมฐาน กับครูอาจารย์

  ว่าแต่ ครูอาจารย์ ตอนนั้นจะมีหรือไม่นี่สิครับ เป็นเรื่องที่ต้องคิดและต้องกำหนดกันให้ดีนะครับ

 เรื่องนี้ก็สำคัญ นะครับ ผมว่าครูอาจารย์กรรมฐาน ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมเริ่มจะหายากกันมากขึ้นทุกวันแล้วนะครับ

  ??? :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
ทำไมต้องมีอินทรีแดง เพราะสังคมเราบางครั้งก็ตาบอด
ปล่อยให้คนดี เดือดร้อน ดังนั้นจึงต้องมีผู้ปกป้องคนดี
hero ไม่ได้มีแต่ในหนังเท่านั้น นะครับ

arlogo

  • 1.บรรพชิต
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +101/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 1176
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ไม่ปฏิบัติกรรมฐาน ก็บรรลุได้ ถ้าบารมีที่ทำมาสมบูรณ์แล้ว พร้อมแก่การงาน
ยกองค์ธรรมใด องค์ธรรมหนึ่ง ในการภาวนาก็สามารถด้วยวิปัสสนาญาณได้

    แต่การตั้งความดำริไว้อย่างนี้ อาจจะพลาดพลั้งได้ ภาวนาดีกว่า ปฏิบัติดีกว่า กระทำลงไปดีกว่า จะเกิดผลเพราะธรรมใดก็ตามม มีเหตุ มีปัจจัย มีผล นับเนื่องซึ่งกันและกัน ธรรมดับ ก็เพราะเหตุดับ ธรรมเกิด ก็เพราะเหตุเกิด เราพึงสร้างนิสัย ในการภาวนาไว้เนือง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลอันไพบูลย์ด้วยความประมาทเถิด

  ;)
บันทึกการเข้า
แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแต่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแต่เรา