ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การเป็นพระโสดาบัน 7 ชาติ หมายถึงอย่างไร ครับ  (อ่าน 3586 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

แพนด้า

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 248
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การเป็นพระโสดาบัน 3ชาติ 7 ชาติ หมายถึงอย่างไร ครับ

 หมายถึงการเกิดมาเป็นพระโสดาปัตติมรรค  หรือว่า พระโสดาปัตติผลครับ

 และพระโสดาบัน เกิดมาใหม่แล้วเป็นพระโสดาบัน นี้ดูอย่างไรครับ

   :smiley_confused1: :c017:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: การเป็นพระโสดาบัน 7 ชาติ หมายถึงอย่างไร ครับ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 08, 2012, 09:15:29 am »
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์
เอกกนิทเทส


[๔๗] บุคคลชื่อว่าสัตตักขัตตุปรมะ เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็นโสดาบัน มีอันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลนั้นจะแล่นไปท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ๗ ชาติ แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมะ


[๔๘] บุคคลชื่อว่าโกลังโกละ เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็นโสดาบัน มีอันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลนั้นจะแล่นไปท่องเที่ยวไปสู่ตระกูลสองหรือสาม (๒ หรือ ๓ ชาติ) แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า โกลังโกละ

[๔๙] บุคคลชื่อว่าเอกพิชี เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ มี อันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลนั้นเกิดในภพมนุษย์อีกครั้งเดียว(๑ ชาติ) แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่าเอกพิชี


[๕๐] บุคคลชื่อว่าสกทาคามี เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เพราะทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง เป็นสกทาคามี ยังจะมาสู่โลกนี้คราวเดียว(๑ ชาติ)เท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่าสกทาคามี


[๕๑] บุคคลชื่อว่าอนาคามี เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนี้เรียกว่า อนาคามี





[๕๒] บุคคลชื่อว่าอันตราปรินิพพายี เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้นมีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นเพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน ในระยะเวลาติดต่อกับที่เกิดบ้าง ยังไม่ถึงท่ามกลางกำหนดอายุบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อันตราปรินิพพายี

[๕๓] บุคคลชื่อว่าอุปหัจจปริพพายี เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน เมื่อล่วงพ้นท่ามกลางกำหนดอายุบ้าง เมื่อใกล้จะทำกาลกิริยาบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อุปหัจจปรินิพพายี


[๕๔] บุคคลชื่อว่าอสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้นย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นโดยไม่ลำบากเพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า อสังขารปรินิพพายี

[๕๕] บุคคลชื่อว่าสสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบ แห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นโดยลำบาก เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า สสังขารปรินิพพายี


[๕๖] บุคคลชื่อว่าอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็นไฉน
       บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น จุติจากอวิหาไปอตัปปา จุติจากอตัปปาไปสุทัสสา จุติจากสุทัสสาไปสุทัสสี จุติจากสุทัสสีไปอกนิฏฐา ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นในอกนิฏฐา เพื่อละสัญโญชน์เบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี





[๕๗] บุคคลชื่อว่าโสดาบัน ชื่อว่าปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล เป็นไฉน
       บุคคลผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อละสัญโญชน์ ๓ ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สัญโญชน์ ๓ อันบุคคลใดละได้แล้ว บุคคลนั้นเรียกว่าโสดาบัน


       บุคคลปฏิบัติแล้วเพื่อความเบาบางแห่งกามราคะและพยาบาท ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เพราะราคะและพยาบาทของบุคคลใดเบาบางแล้ว บุคคลนี้เรียกว่า สกทาคามี

       บุคคลปฏิบัติแล้วเพื่อละไม่ให้เหลือ ซึ่งกามราคะและพยาบาท ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล กามราคะและพยาบาทอันบุคคลใดละได้หมดไม่มีเหลือ บุคคลนั้นเรียกว่า อนาคามี

      บุคคลปฏิบัติแล้ว เพื่อไม่ให้เหลือซึ่งรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะ และอวิชชา ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล รูปราคะ อรูปราคะมานะ อุทธัจจะ อวิชชา อันบุคคลใดละได้หมดไม่มีเหลือ บุคคลนี้เรียกว่า อรหันต์

           เอกกนิทเทส จบ



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖ บรรทัดที่ ๒๗๓๔ - ๒๙๓๙. หน้าที่ ๑๑๒ - ๑๒๐.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=36&A=2734&Z=2939&pagebreak=0
ขอบคุณภาพจาก http://gotoknow.org/,http://www.84000.org/,http://www.jepata.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 08, 2012, 10:16:37 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: การเป็นพระโสดาบัน 7 ชาติ หมายถึงอย่างไร ครับ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 08, 2012, 10:15:33 am »
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
มหาวรรค ทิฐิกถา


      [๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งถึงความเชื่อแน่ในเราชนเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ บุคคล ๕ จำพวกเชื่อแน่ในธรรมนี้บุคคล ๕ จำพวกเชื่อแน่ในภพสุทธาวาส ในธรรมนี้ ฯ

      บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือ
          สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ๑
          โกลังโกละโสดาบัน ๑
          เอกพิชีโสดาบัน ๑
          พระสกทาคามี ๑
          พระอรหันต์ในปัจจุบัน ๑
      เชื่อแน่ในธรรมนี้ ฯ


      บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือ
          อันตราปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑
          อุปหัจจปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑
          อสังขารปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ สสังขารปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑
          อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีอนาคามีบุคคล ๑
      เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ


      ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงความเชื่อแน่ในเราบุคคลเหล่านั้นทั้งหมด ถึงพร้อมด้วยทิฐิ บุคคล ๕ จำพวกนี้เชื่อแน่ในธรรมนี้บุคคล ๕ จำพวกนี้เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ





      [๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเลื่อมใสในเราอย่างแน่นแฟ้น บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเหล่านั้นรวม ๕ จำพวกนี้ เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕ จำพวกเชื่อแน่ในภพชั้นสุทธาวาส
ในธรรมนี้ ฯ


      บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือ สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ๑ ... พระอรหันต์ในปัจจุบัน ๑ เชื่อแน่ในธรรมนี้ ฯ
      บุคคล ๕ จำพวกนี้ คือ อันตราปรินิพพายีอนาคามีบุคคล ๑ ... อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีบุคคล ๑ เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้ ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเลื่อมใสในเราอย่างแน่นแฟ้น บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเหล่านั้นรวมเป็น ๕ จำพวกนี้ เชื่อแน่ในธรรมนี้ บุคคล ๕ จำพวกนี้ เชื่อแน่ในภพสุทธาวาสในธรรมนี้
      ฉะนี้แล ฯ


           จบทิฐิกถา



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๓๓๓๒ - ๔๐๖๙. หน้าที่ ๑๓๗ - ๑๖๖.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=3332&Z=4069&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=294
ขอบคุณภาพจาก http://www.84000.org/,http://www.khunsamatha.com/




อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค
๒. ทิฐิกถา

อรรถกถาภววิภวทิฏฐินิเทศ

     บทว่า อิธ วิหาย นิฏฺฐา เชื่อแน่ในภพสุทธาวาส ในธรรมนี้ คือละกามภพนี้แล้ว ปรินิพพานในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส.

     บทว่า สตฺตกฺขตฺตุปรมสฺส คือ พึงถืออัตภาพเกิดในภพ ๗ ครั้ง คือ ๗ คราวเป็นอย่างยิ่ง ชื่อว่า สตฺตกฺขตฺตุปรโม คือไม่ถือเอาภพที่ ๘ อื่นไปจากภพที่อุบัติถืออัตภาพนั้น. ได้แก่พระสัตตักขัตตุปรมโสดาบันนั้น.

    บทว่า โกลงฺโกลสฺส ชื่อว่า โกลังโกละ เพราะไปสู่ตระกูลจากตระกูล.
     ความว่า เพราะไม่เกิดในตระกูลต่ำจำเดิมแต่ทำให้แจ้งโสดาปัตติผล ย่อมเกิดในตระกูลโภคสมบัติมากเท่านั้น. ได้แก่พระโกลังโกลโสดาบัน.
     บทว่า เอกพีชิสฺส ท่านกล่าวพืชคือขันธ์. พระโสดาบันมีพืชคือขันธ์หนึ่งเท่านั้น ถืออัตภาพหนึ่งชื่อว่าเอกพีชี. ได้แก่พระเอกพีชีโสดาบัน.


     ชื่อของบุคคลเหล่านี้ เป็นชื่อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งไว้. เพราะบุคคลผู้ถึงฐานะประมาณเท่านี้ ชื่อว่าสัตตักขัตตุปรมะ ประมาณเท่านี้ชื่อโกลังโกละ ประมาณเท่านี้ชื่อว่าเอกพีชี เพราะเหตุนั้น จึงเป็นชื่อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งให้แก่บุคคลเหล่านี้.

     จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ว่า บุคคลนี้จักถึงฐานะประมาณเท่านี้ บุคคลนี้จักถึงฐานะประมาณเท่านี้แล้วจึงทรงตั้งชื่อนั้นๆ แก่บุคคลเหล่านั้น.





    จริงอยู่ พระโสดาบันมีปัญญาอ่อนเกิด ๗ ภพ จึงชื่อว่าสัตตักขัตตุปรมะ
     มีปัญญาปานกลาง เกิดอีกไม่เกินภพที่ ๖ จึงชื่อว่าโกลังโกละ
     มีปัญญากล้าเกิดภพเดียว จึงชื่อว่าเอกพีชี.
     การที่พระโสดาบันเหล่านั้น มีปัญญาอ่อน ปานกลางและกล้านี้นั้น ย่อมกำหนดเพราะบุรพเหตุ.
     พระโสดาบันแม้ ๓ เหล่านี้ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งกามภพ แต่ในรูปภพและอรูปภพย่อมถือปฏิสนธิแม้มาก.


     บทว่า สกทาคามิสฺส ชื่อว่าสกทาคามี เพราะมาสู่กามภพคราวเดียว ด้วยสามารถแห่งปฏิสนธิ. ได้แก่พระสกทาคามีนั้น.
     บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม อรหา พระอรหันต์ในปัจจุบัน คือพระอรหันต์ในอัตภาพนี้แล.
     ปาฐะว่า อรหํ ดังนี้บ้าง.

     บทว่า อิธ นิฏฺฐา เชื่อในธรรมนี้ ท่านกล่าวหมายถึงผู้ท่องเที่ยวไปสู่กามภพ. ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายเกิดในรูปภพและอรูปภพ ย่อมไม่เกิดในกามภพ ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง.
     บทว่า อนฺตราปรินิพฺพายิสฺส ชื่อว่า อนฺตราปรินิพฺพายี เพราะจะปรินิพพานด้วยการดับกิเลสในระหว่างกึ่งอายุ.

     อนึ่ง พระอนาคามีนั้นมี ๓ จำพวก คือ
          ท่านผู้จะปรินิพพานในระหว่างใกล้เกิด ๑
          ท่านผู้จะปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ถึงกึ่ง ๑
          ท่านผู้จะปรินิพพานในระหว่างอายุถึงกึ่ง ๑.
     ได้แก่พระอันตราปรินิพพายีอนาคามีนั้น.
 




      บทว่า อุปหจฺจปรินิพฺพายิสฺส ได้แก่ พระอนาคามีผู้พ้นอายุกึ่ง หรือใกล้จะถึงกาลกิริยา แล้วนิพพานด้วยการดับกิเลส.
      บทว่า อสงฺขารปรินิพฺพายิสฺส ได้แก่ พระอนาคามีผู้ไม่ต้องทำความเพียรมากนัก แล้วปรินิพพานด้วยการดับกิเลส โดยไม่ต้องใช้ความเพียรนัก.
      บทว่า สสงฺขารปรินิพฺพายี ได้แก่ พระอนาคามีผู้ต้องทำความเพียรมาก แล้วปรินิพพานด้วยการดับกิเลส ต้องใช้ความเพียรยากลำบาก.
      บทว่า อุทฺธํโสตสฺส อกนิฏฺฐคามิโน ได้แก่ พระอนาคามีผู้มีกระแสเบื้องบน คือกระแสตัณหา กระแสวัฏฏะในเบื้องบน เพราะนำไปในเบื้องบน หรือมีกระแสในเบื้องบน คือกระแสมรรคในเบื้องบน เพราะไปในเบื้องบนแล้วพึงได้. ชื่อว่าอกนิฏฐคามี เพราะไปสู่อกนิฏฐา.
      ได้แก่พระอนาคามีอุทธังโสตอกนิฏฐคามีนั้น.
      นี้ คือพระอนาคามี ๔ ประเภท.

      ท่านผู้ยังพรหมโลก ๔ ตั้งแต่อวิหา ให้บริสุทธิ์แล้วไปสู่อกนิฏฐาจึงปรินิพพาน ชื่อว่าอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี.
      ท่านผู้ยังพรหมโลก ๓ เบื้องต่ำให้บริสุทธิ์ แล้วตั้งอยู่ในสุทัสสีพรหมโลก จึงปรินิพพาน ชื่อว่าอุทธังโสโต ไม่ชื่อว่าอกนิฏฐคามี.
      ท่านผู้ไปสู่อกนิฏฐาจากนี้แล้วปรินิพพาน ไม่ชื่อว่าอุทธังโสโต ชื่อว่าอกนิฏฐคามี.
      ท่านผู้ปรินิพพานในที่นั้นๆ ในพรหมโลก ๔ เบื้องต่ำ ไม่ชื่อว่าอุทธังโสโต ไม่ชื่อว่าอกนิฏฐคามี.
      พระอนาคามี ๕ เหล่านี้ ท่านกล่าวถือเอาสุทธาวาส.


      ส่วนพระอนาคามีทั้งหลาย เพราะยังละรูปราคะอรูปราคะไม่ได้ ยังหวังอยู่ย่อมเกิดในรูปภพและอรูปภพที่เหลือ แต่พระอนาคามีทั้งหลายเกิดในสุทธาวาสไม่เกิดในที่อื่น.
      บทว่า อเวจฺจปปสนฺนา เลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้น คือรู้ตรัสรู้ด้วยอริยมรรคแล้ว เลื่อมใสด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหว.
      บทว่า โสตาปนฺนา คือ ท่านผู้ถึงกระแสอริยมรรค.
      แม้บุคคลผู้ตั้งอยู่ในอริยผลทั้งปวง ท่านก็ถือเอาด้วยบทนี้.


               จบอรรถกถาภววิภวทิฏฐิกถา 

       
               
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31.0&i=294&p=3       
ขอบคุณภาพจาก http://www.84000.org/,http://www.kammatan.com/,http://images.palungjit.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 08, 2012, 10:17:14 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: การเป็นพระโสดาบัน 7 ชาติ หมายถึงอย่างไร ครับ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 08, 2012, 11:23:27 am »
0
การเป็นพระโสดาบัน 3ชาติ 7 ชาติ หมายถึงอย่างไร ครับ

 หมายถึงการเกิดมาเป็นพระโสดาปัตติมรรค  หรือว่า พระโสดาปัตติผลครับ

 และพระโสดาบัน เกิดมาใหม่แล้วเป็นพระโสดาบัน นี้ดูอย่างไรครับ

   :smiley_confused1: :c017:


  เมื่อเอ่ยถึงโสดาบัน จะหมายถึง โสดาปัตติผล เท่านั้น
  (จาก..พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์ เอกกนิทเทส)

  ความต่างของโสดาปัตติมรรค และ โสดาปัตติผล อธิบายได้ยาก
  ในอรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา ปัจจเวกขณญาณนิทเทส
  ได้อธิบายไว้ว่า มรรคเป็นเหตุ บทสรุปของการทำให้เกิดเหตุ คือ ผล (ตามความเข้าใจของผม)


   โสดาปัตติผลมี ๓ จำพวก
   ๑. บุคคลนั้นจะแล่นไปท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ๗ ชาติ แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมะ
   ๒. บุคคลนั้นจะแล่นไปท่องเที่ยวไปสู่ตระกูลสองหรือสาม (๒ หรือ ๓ ชาติ) แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า โกลังโกละ
   ๓. บุคคลนั้นเกิดในภพมนุษย์อีกครั้งเดียว(๑ ชาติ) แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่าเอกพิชี


   เมื่อโสดาปัตติผลเกิดเป็นมนุษย์ รู้ได้อย่างไงว่า เป็นโสดาปัตติผล
   ขอแนะนำให้อ่านกระทู้นี้ครับ

   ทรงสอนวิธี "พยากรณ์โสดาบัน"
   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3225.msg11469#msg11469
   ชวนเป็น พระโสดาบัน กันก่อนเถอะคะ ไปตามลำดับ
   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=2199.0
   องค์ของการบรรลุโสดา ๔ อย่าง
   http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=5124.msg18772#msg18772

   และขอแนะนำให้ดาวน์โหลด หนังสือ พุทธวัจน์ คู่มือโสดาบัน ไปอ่านทำความเข้าใจ

           พุทธวัจน์ คู่มือโสดาบัน ฉบับที่ ๑
           พุทธวัจน์ คู่มือโสดาบัน ฉบับที่ ๒
           (ต้องการดาวน์โหลด ให้คลิกที่ตัวอักษร)

   โดยทั่วไปการวัดความป็นโสดาบันเป็นเรื่องปัจจัตตัง บุคคลทีเป็นโสดาบันจะรู้ได้เอง
   บุคคลอื่นๆจะรู้ได้ยาก ยกเว้นผู้มีญาณทัสสนะหรือตาทิพย์ ที่สามารถอ่านกิเลสของบุคคลอื่นได้
   เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า โสดาปัตติผลละสังโยชน์ ๓ ข้อแรกได้ ขอยกตัวอย่างผลของการละสังโยชน์มาแสดง

โสตาปัตติยังคะ 4 (องค์คุณเครื่องบรรลุโสดา, คุณสมบัติที่ทำให้เป็นพระโสดาบัน, คุณสมบัติของพระโสดาบัน)
       1. ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระพุทธเจ้า
       2. ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระธรรม
       3. ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระสงฆ์
       4. ประกอบด้วยอริยกันตศีล คือ ศีลอันเป็นที่ชื่นชมพอใจของพระอริยะ บริสุทธิ์ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิแปดเปื้อนหรือครอบงำ และเป็นไปเพื่อสมาธิ
           หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ครองเรือนด้วยใจปราศจากมัจฉริยะ ยินดีในการแจกจ่ายแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่น


     เหนื่อยแล้วครับ ขอคุยเท่านี้

      :25:
     
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ