คือเพื่อความชัดเจนในการภาวนา เพื่อความมั่นใจในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีจริง จำเเป็นหรือไม่ว่าเราควรจะต้องพิสูจน์ความเชื่อ เรื่องโลกนี่้ โลกหน้า ให้เข้าใจก่อนเพื่อสนับสนุการภาวนา หรือว่าเราจะภาวนาโดยไม่ต้องไปสนเรื่องพวกนี้ กันครับ
ในแนวทางและความคิดในสิ่งที่ผมปฏิบัติมานะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่คุณ- คุณยังไม่ต้องไปสนใจในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เพราะเป็นสิ่งที่คุณยังไม่รู้เห็น แม้ได้ยินได้ฟังมาคุณก็จะเกิดความคิดติดข้องใจทันทีว่า ตายแล้วเวียนว่ายตามวัฏฏสงสารจริงหรือ ไม่เห็นจะสัมผัสได้เลย นี่ล่ะครับเรียกว่าสิ่งที่มีอาจจะมีอยู่แต่เรามองไม่เห็น เมื่อมองไม่เห็นจิตก็ติดข้อง ขัดข้องสงสัย เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างตามแต่ความคิดปรุงแต่งในแต่ละช่วงๆ
- ทีนี้มามองสิ่งที่เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ที่คุณรับรู้ได้ง่ายๆ ในกระทู้ก่อนคุณแพนด้าบอกว่ามีแต่สุข พระพุทธเจ้าบอกว่าสุขมีอยู่จริง สภาพใดที่ไม่มีความทุกข์ หรือ ทุกข์น้อยมาก ไม่มีความอัดอั้นคับแค้นไม่สบายกาย-ใจ ไม่มีความโศรกเศร้าเสียใจ ไม่มีความเจ็บปวดทางกาย มีความพอใจยินดีอยู่ในสิ่งนั้นๆอยู่เราจึงบัญญัติสภาพนี้ขึ้นมาว่า สุข สุขที่ผมพอจะรับรู้ได้มีสองแบบคือ
1. สุขแบบธรรมคือที่หมดแล้วซึ่งความติดในสุข และ ทุกข์ มีความว่างพ้นจากกิเลสตัณหา
2. สุขทางโลกคือมีความเสพย์พอใจยินดี เสพย์สมดั่งความปารถนาใคร่ได้ติดข้องต้องการในสิ่งนั้นๆ
ทีนี่สุขนี้มีจริงใช่ไหมครับคุณเองก็รับรู้และสัมผัสได้ใช่ไหมครับ
- อย่างที่ผมเคยบอกว่ายิ่งมีสิ่งที่พอใจยินดี สุขกาย สบายใจ ด้วยความติดข้องใจมากเท่าไหร่ เราก็จะพานพบกับสิ่งที่ เกลียด กลัว อัดอั้น อึดอัด คับแค้นกาย-ใจ โศรกเศร้า เีสียใจ ไม่สบายกาย-ใจ ไม่พอใจยินดีมากเท่านั้น นี่เรียกว่า ทุกข์ นั่นเอง การภาวนาจะช่วยทำให้คุณเห็นจริงในเรื่องนี้เองครับ
- นี่เห็นไหมสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราที่เราพบเจออยู่ทุกวันนี้ก็คือข้อที่เป็นเหตุแห่งการภาวนาแล้วครับ แค่คุณรู้ว่า สุขกาย-ใจมีจริง ทุกข์กาย-ใจมีจริง ความอัดอั้นมีจริง ความคับแค้นใจมีจริง ความไม่สบายกาย-ใจมีจริง ความขุ่นมัวใจมีจริง ความปิติสุขมีจริง ควาสงบมีจริง ความว่างมีจริง ความทะยานอยากมีจริง ความติดข้องต้องการ-ความโกรธเกลียด-ความกำหนัดใคร่ได้้มีจริง เมื่อไม่ได้ตามที่ตนเองติดข้องพอใจต้องการเราก็เป็นทุกข์ มีความขุ่นมัวใจ ขัดเคืองใจ อัดอั้น คับแค้นกาย-ใจ ด้วยกรที่จะให้เรานั้นได้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เราจึงต้องภาวนาปิบัติรู้ในทั้ง สมถและวิปัสนา เพื่อเห็นปรมัตถธรรมนั่นคือสภาพจริงที่เป็นอยู่ของมัน ซึ่งมันไม่นาพิศมัยใคร่ได้เลย ติดข้องใจ พอใจต้องการไปก็มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น แม้ที่เราเรียกว่าสุขอยู่แต่เมื่อความสุขนั้นดับลงไปจิตใจเราก็จะมีแต่ ว่างกับทุกข์ เท่านั้น ทุกข์นี้จึงมีอยู่จริงและคุณก็สามารถสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตัวคุณเอง
- กำหนดรู้ดูสภาพความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตนเอง ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอยู่ที่รับรู้ได้ แล้วจับเอาสิ่งนั้นมาเป็นองค์ภาวนา ภาวนาเพื่อเห็นทุกข์ ภาวนาเพื่อพ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ๆที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้น
- เมื่อคุณเห็นทุกข์ คุณจะเกิดความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายในสภาพแรกอาจจะยังเกิดขึ้นด้วยโทสะอยู่ แต่มันจะทำให้ทัศนคติของคุณเปลี่ยนไป มองเห็นสัจธรรมมากขึ้น และจิตจะน้อมเข้าสู่วิปัสนาได้ง่าย
- หากคุณขุ่นเคือง ข้องใจในองค์ภาวนา หรือ จดจ่อจดจ้องว่าต้องไปรู้นั่นรู้นี่ที่มันมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ เพื่อนำมาเป็นองค์ภาวนา ชาตินี้คุณจะมีแต่ความขุ่นข้องใจไม่เห็นธรรมไม่เห็นจริงแน่นอน เพราะสิ่งที่คุณพยายามจะจับเอาสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้มาตั้งเป็นตัวตนอุปาทานขึ้น
- เหมือนไปคว้าจับอากาศแล้วบอกว่าอากาศนี้มีรูปร่างจับต้องได้ ซึ่งอากาศนั้นเป็นธาตุที่มีอยู่จริงแต่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จับต้องไม่ได้ แต่หากเข้าถึงธรรมเห็นสภาพปรมัตถธรรมแล้วคุณจะรับรู้ถึงการสัมผัสได้ของอากาศธาตุ เห็นไหมครับ..คุณมองไม่เห็นว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดจึงไม่สามารถที่จะไปยึดจับเอามันมาได้ ซึ่งสภาพนั้นมีจริงไหมผมเองก็ไม่รู้ แต่เมื่อสมถวิปัสนาไปจนถึงจุดๆหนึ่งเราก็จะสัมผัสได้รับรู้ได้จริงในสิ่งนั้นเอง ไม่ใช่คุณเจน ญาณทิพย์ที่สัมผัสวิญญาณได้นะครับ แต่สิ่งที่เราคนปฏิบัตินั้นจะสัมผัสได้ก็คือ สภาพที่เป็นปรมัตถธรรม
- ตั้งเอาสิ่งที่เรารู้เห็นสัมผัสได้เป็นองค์กัมมัฏฐาน เพื่อให้เราเห็นและไปได้เร็ว จนเห็นในทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ เห็นทางพ้นทุกข์ แล้วเข้าถึงความพ้นทุกข์ เห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นความไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน
ผมมีความรู้เห็นเพียงเศษผงหากไม่สามารถก่อเกิดประโยชน์แม้น้อยนิดแก่คุณได้ก็ขออภัยและอโหสิกรรมแก่ผมด้วยนะครับ