ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไม ร่างกายคนตายแล้ว จึงแตกต่างกัน ทำไมบางคนตัวแข็ง ตัวอ่อน  (อ่าน 33641 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อันนี้เป็นศพของคนทั่วไป


อันนี้เป็นศพของคนที่กล่าวว่ารับธรรม ในสายธรรมหนึ่ง



คือสงสัยว่าทำไม จึงมีความแตกต่างกัน คะ แล้วรับธรรม นี้มีการรับอย่างไรคะ
 :smiley_confused1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 11, 2012, 10:52:20 am โดย sunee »
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

อัปโหลดโดย koonnk711 เมื่อ 27 มี.ค. 2011

สภาพแข็งทื่อหลังตาย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สภาพแข็งทื่อหลังตาย, สภาพศพแข็งทื่อ (อังกฤษ: Rigor Mortis) หรือการแข็งตัวของกล้ามเนื้อหลังตายเป็นการเปลี่ยนแปลงหลังการตายตามธรรมชาติอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์ เกิดจากสภาพแข็งทื่อหลังตายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายภายหลังการตาย

ซึ่งทางการแพทย์มีความเชื่อว่าสภาพแข็งทื่อหลังตายหลังการตายนั้น มีสาเหตุมาจากการที่สารให้พลังงานในเซลล์ชื่อว่า เอทีพี หรือ อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (อังกฤษ: Adenosine triphosphate) ที่มีอยู่ในมัดกล้ามเนื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดการสลายตัวไป เอทีพีที่เกิดขึ้นจากการสันดาปอาหารในเซลล์ของกล้ามเนื้อ โดยใช้ออกซิเจนเป็นตัวช่วย เพื่อทำให้กล้ามเนื้อสามารถทำงานได้เป็นปกติ



การเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย
เมื่อตาย ATP ที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อภายในร่างกายจะค่อย ๆ เริ่มหมดไป สารแอกตินกับไมโอซินที่มีอยู่เฉพาะในเซลล์กล้ามเนื้อ จะจับตัวกับกล้ามเนื้อและจะเริ่มต้นแข็งตัวอย่างช้า ๆ ทำให้บริเวณกล้ามเนื้อที่ปราศจาก ATP เกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย ส่งผลให้สภาพศพมีการเกร็งของแขนและขา

ถ้ากล้ามเนื้อภายในร่างกายถูกใช้อย่างงานหนักก่อนตาย กล้ามเนื้อในบริเวณส่วนนั้นจะเริ่มแข็งตัวอย่างรวดเร็ว ลักษณะของกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานหนักก่อนตายเช่น การออกกำลังกายอย่างรุนแรง การออกกำลังอย่างหักโหม ก็มีส่วนอาจทำให้ร่างกายเกิดการช็อกอย่างกระทันหันและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

การชักหรือมีไข้สูงในเด็กเล็ก ก็อาจมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ และทำให้ ATP ภายในกล้ามเนื้อมัดนั้นหมดไป ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการแข็งตัวทันทีหลังการตาย เรียกว่า คาดาเวอริคสปัสซั่ม (อังกฤษ: Cadaveric Spasm) เช่นในรายที่จมน้ำตายหรือเป็นตะคริว สภาพแข็งทื่อหลังตายก็มักเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ

ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ตายพยายามดิ้นรนตะเกียกตะกายที่จะเอาตัวรอดอย่างมากก่อนตาย เมื่อแพทย์ทำการผ่าศพทางนิติเวชศาสตร์จะพบว่า ในร่างกายของผู้ตายมีคาดาเวอริคสปัสซั่มที่มือเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นการพยายามไขว่คว้าหาสิ่งต่าง ๆ เพื่อฉุดตัวเองขึ้นจากน้ำ



ระยะเวลาการเกิด
โดยปกติระยะเวลาการเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตายจะเริ่มเกิดประมาณ 1-2 ชั่วโมงหลังตาย และเกิดการแข็งตัวเต็มทั่วร่างกายประมาณ 6-12 ชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มมีการอ่อนตัวลงอีกครั้งพร้อมกับการเน่าเปื่อยของร่างกาย กล้ามเนื้อภายในร่างกายจะเริ่มแข็งตัวพร้อมกันทุกมัด แต่กล้ามเนื้อบริเวณมัดเล็ก ๆ เช่น บริเวณข้อเล็กๆเช่นข้อนิ้วมือ กราม และคอจะปรากฏให้ตรวจพบได้อย่างชัดเจนและรวดเร็วกว่ากล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็กที่พบก่อนมักจะเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ใช้ในการเคี้ยวอาหาร

เพราะฉะนั้นเมื่อทำการชันสูตรพลิกศพจะพบว่าขากรรไกรมีการแข็ง กดไม่ลงก่อนกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ จากนั้นจะพบที่บริเวณนิ้วมือ แขน ขาแล้วจึงถึงบริเวณลำตัว

ถ้าสภาพแข็งทื่อหลังตายถูกทำลายไปเช่น ศพถูกจับดึงแขนที่งอพับแข็งเกร็งออก สภาพของแขนที่ถูกดึงออกมา ก็จะใม่ปรากฏสภาพแข็งทื่อหลังตายอีกต่อไป เพราะสภาพแข็งทื่อหลังตาย มีระยะเวลาแปรเปลี่ยนไปตามลักษณะและสภาพของร่างกายทั้งก่อนและหลังตาย

    ซึ่งระยะเวลาของสภาพแข็งทื่อหลังตายจะเริ่มต้นที่ระยะเวลาประมาณ 1–2 ชั่วโมง
    ก่อนจะปรากฏเต็มที่ประมาณ 6-12 ชั่วโมง และสลายไปภายหลังระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง
    เมื่อสภาพแข็งทื่อหลังตายสลายไปหมด สภาพของศพก็จะกลับมาอ่อนตัวเช่นเดิม



ประโยชน์ของสภาพแข็งทื่อหลังตาย
สภาพแข็งทื่อหลังตาย สามารถนำใช้ประโยชน์ในการสืบสวนเกี่ยวกับกรณีศพที่ถูกเคลื่อนย้ายไปมาได้ เช่น กรณีที่พบศพตายในท่านั่งบนเก้าอี้ เมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง สภาพศพก็จะเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย ทำให้ร่างกายแข็งตัวอยู่ในท่านั่ง ถ้ามีผู้อื่นมาเคลื่อนย้ายศพให้อยู่ในท่านอน แขนขาของศพก็จะคงยกแข็งค้างเสมือนยังอยู่ในท่านั่งนั้น จนกว่าสภาพแข็งทื่อหลังตายจะถูกทำลายไป

กล้ามเนื้อของเส้นขนที่ดึงให้ขนตั้งในขณะที่กลัวหรือเสียวนั้น ก็จะแข็งตัวด้วยหลังตายจึงสามารถเห็นศพมีการ "ขนลุก" ภายหลังการตายได้ และกล้ามเนื้อของถุงเก็บน้ำอสุจิ (อังกฤษ: Seminal Vesicle) ก็จะแข็งตัวและบีบเอาน้ำอสุจิออกมาภายหลังตายด้วย การชันสูตรพลิกศพและพบว่าศพมีน้ำอสุจิออกมา จึงไม่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่ามีการร่วมเพศก่อนตายแต่อย่างใด


ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/สภาพแข็งทื่อหลังตาย
ขอบคุณภาพจาก http://www.oknation.net/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2012, 10:52:30 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


การเน่าสลายตัว
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การเน่าสลายตัว (อังกฤษ: Decomposition) เป็นการเปลี่ยนแปลงหลังการตายตามธรรมชาติอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์ เมื่อเกิดการตายและหัวใจหยุดเต้น ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการตายตามลำดับก่อนหลัง โดยเกิดรอยเขียวช้ำหลังตาย สภาพแข็งทื่อหลังตาย

การลดลงของอุณหภูมิร่างกายหลังตายและเกิดการเน่าสลายตัวในลำดับสุดท้าย ซึ่งการเน่าสลายตัวของร่างกาย จะเกิดจากการสลายตัวของเนื้อเยื่อภายในร่างกายโดยมีหลักการเน่าสลายตัวสองประการคือ การเน่าสลายตัวของเซลล์เองและการเน่า



รูปแบบการเน่าสลาย

1. การเน่าสลายตัวของเซลล์เอง
การสลายตัวของเซลล์เอง (อังกฤษ: Autolysis) เป็นการเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีที่มีน้ำย่อยเซลล์ออกมาจากตัวเอง ทำให้เนื่อเยื่อเกิดการสลายตัว และเนื่องจากการสลายตัวของเซลล์เองเป็นปฏิกิริยาทางเคมี จึงขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและสภาพของสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย

ถ้าอุณหภูมิสูงจะเกิดปฏิกิริยาการเน่าสลายตัวอย่างรวดเร็วเช่น ศพในบริเวณทะเลทราย ความร้อนระอุของทรายจะเป็นตัวช่วยเร่งให้ศพเกิดการเน่าสลายตัวเร็วยิ่งขึ้น

ในทางตรงกันข้ามถ้าอุณหภูมิต่ำจะเกิดปฏิกิริยาการเน่าสลายตัวอย่างช้าเช่น ศพในบริเวณขั้วโลกเหนือ ความเย็นของหิมะ ธารน้ำแข็งจะเป็นตัวช่วยรักษาสภาพของศพให้เกิดการเน่าสลายตัวอย่างช้า ๆ

อวัยวะภายในร่างกายส่วนใดที่มีน้ำย่อยเซลล์จำนวนมาก อวัยวะในส่วนนั้นจะเกิดการเน่าสลายตัวอย่างรวดเร็ว เช่นเมื่อตายร่างกายจะเกิดการย่อยสลายที่บริเวณตับอ่อน ซึ่งจะเกิดการเน่าสลายตัวก่อนหัวใจ เป็นต้น

การเน่าสลายตัวในร่างกาย เกิดจากแบคทีเรียทำปฏิกิริยาเคมีในเนื้อเยื่อของร่างกาย เนื่องจากแบคทีเรียส่วนใหญ่มีอยู่ในลำไส้ใหญ่อยู่แล้ว หลังตายแบคทีเรียเหล่านี้จะเริ่มพัฒนาการและเจริญเติบโตมากขึ้น รวมทั้งเริ่มปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งแรกในร่างกายคือการเริ่มมีสีเขียวจาง ๆ ที่บริเวณท้องน้อย

เมื่อตายมาประมาณ 24 ชั่วโมง จะพบว่าบริเวณท้องน้อยด้านขวาจะเริ่มปรากฏสีเขียวมากกว่าด้านซ้าย เนื่องจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในบริเวณนั้นจะสร้างก๊าซซึ่งส่วนใหญ่เป็นก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งก๊าซนี้จะซึมซาบไปทุกส่วนของร่างกาย วิ่งไปตามเส้นเลือดทุกเส้นทำให้เส้นเลือดเกิดเป็นสีเขียวคล้ำ เป็นลวดลายมองดูคล้ายกับลายของหินอ่อนปรากฏบนบริเวณผิวหนังทั่วทั้งร่างกายเรียกว่า "Marbling"




2. การเน่า
การเน่า (อังกฤษ: Putrefaction) ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จะเกิดหลังจากเกิดการเน่าสลายของเซลล์ ตามใบหน้า ไหล่และหน้าอกเริ่มเกิดสีเขียวคล้ำและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายค่อย ๆ เกิดการอืดมากขึ้น บริเวณผิวหนังเริ่มเกิดถุงน้ำจากการที่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเกิดการเน่าสลายตัว ทำให้เกิดน้ำเหลืองดันใต้ผิวหนังส่งผลให้ผิวหนังโป่งบวมมากขึ้น

 และต่อมาผิวหนังก็จะเกิดการเน่าปริและหลุดลอกออกไป เส้นผม เส้นขนตามบริเวณร่างกายเกิดการหลุดออก ในช่วงระยะเวลานี้จะพบมีน้ำเหลืองซึ่งมีลักษณะสีแดงคล้ำไหลออกมาทางปากหรือทางจมูกของศพอีกด้วย

ระยะแรก
การเน่าสลายของร่างกายในระยะแรก จะมีน้ำเหลืองจำนวนมากไหลออกมาขังอยู่ตามช่องต่าง ๆ ในร่างกายเช่นในบริเวณช่องอก ช่องท้อง และในขณะเดียวกันร่างกายก็จะเกิดบวมพองมากขึ้นเรื่อย ๆ

เนื่องจากเกิดจากแรงดันของก๊าซที่เกิดขึ้นในร่างกาย ก๊าซที่มีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ลิ้นในกระพุ้งแก้มถูกดันออกมาจุกที่ปากในลักษณะของลิ้นจุกปาก เพดานปากและลิ้นไก่เกิดการเน่า ลูกนัยตาทั้งสองข้างจะถูกแรงดันให้ทะลักล้นออกมานอกเบ้าตา

ในผู้ชายถุงอัณฑะจะเกิดการโป่งบวมพอง อวัยวะเพศชายมีลักษณะบวมเป่งและมีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม ในผู้หญิงจะเกิดการบวมพองที่ทวารหนักและช่องคลอด จะถูกแรงดันทำให้เกิดการแบะออกมาภายนอก

ร่างกายทั่วไปถูกดันจนข้อต่าง ๆ มีการงอเข้ามาเล็กน้อย นิ้วมือบวมเป่งจนดันกันให้กางออกทั้งสองข้าง ซึ่งระยะเวลานี้เรียกว่าเกิดการอืดของร่างกายอย่างเต็มที่ ในอุณหภูมิทั่วไปในประเทศไทยประมาณ 3-4 วันหลังจากตาย

ระยะสุดท้าย
หลังจากการเน่าสลายตัวในระยะแรก อวัยวะบางส่วนจะเกิดจากหลุดลอก หลังจากในช่วงระยะเวลาประมาณ 3-4 วัน เนื้อเยื่อจะเริ่มสลายตัวมากยิ่งขึ้นจนเริ่มมองเห็นกระดูกบริเวณหน้าผากหรือโหนกแก้ม ซึ่งการเน่าสลายตัวของร่างกายในช่วงระยะเวลานี้ จะใช้เวลาประมาณ 7 วันและเริ่มมากขึ้นจนเห็นมองกระดูกซี่โครงและอวัยวะภายในช่องอกที่เน่าสลายตัวอยู่ภายใน

เมื่อเวลาประมาณ 2 อาทิตย์การเน่าสลายตัวจะเพิ่มมากขึ้นจนเกิดการสลายตัวในช่องท้อง จนสามารถมองเห็นอวัยวะต่าง ๆ ได้เกือบหมดในช่วงระยะเวลาประมาณ 3 อาทิตย์ และเมื่อ 4 อาทิตย์หลังจากตาย ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการตายและการเน่าสลายตัวจนมองเห็นกระดูกเกือบทั้งตัว

หลังจากนั้นเนื้อเยื่อภายในร่างกายยังคงย่อยสลายตัวต่อไป จนเส้นเอ็นต่าง ๆ ที่ยึดตามข้อกระดูกเริ่มหลุดออกจากกัน กระดูกนิ้วมือ กระดูกนิ้วเท้าหลุดแยกออกจากกัน ข้อมือ ข้อเท้าหลุดออกจากกัน

การเน่าสลายตัวของร่างกายในช่วงระยะเวลานี้จะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ร่างกายจะคงเหลือเพียงกระดูกสันหลังเท่านั้นที่ยังคงยึดติดกันอยู่ได้

และในช่วงระยะเวลา 6 เดือนหลังจากตาย กระดูกทุกชิ้นในร่างกายจะหลุดออกจากกันจนเกือบหมด และยังอาจจะได้กลิ่นเหม็นเน่าของกระดูกซึ่งคงมีอยู่ตลอดเวลา กลิ่นเหม็นเน่านี้อาจจะมีต่อไปอีกนานหลายเดือนกว่าจะหมดกลิ่น

ในช่วงระยะเวลาประมาณว่า 1 ปี ศพจะคงเหลือแต่เพียงโครงกระดูกขาวโพลน ปราศจากเนื้อเยื่อใด ๆ หลงเหลืออยู่อีกต่อไป


ซากหนูที่เกิดการเน่าสลายตัวแบบแห้งตายซาก

3. การเน่าสลายในความร้อน
บางครั้งศพที่อยู่ในสภาพแวดล้อมหรือภูมิประเทศที่มีสภาพอากาศร้อนและแห้งจัดเช่นในแถบทะเลทราย ร่างกายของผู้ตายอาจเกิดเป็นมัมมี่ (อังกฤษ: Mummification) ขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยบริเวณผิวหนังทั่วทั้งร่างกายเริ่มเปลี่ยนสีจากสีผิวหนังเดิมเกิดการเปลี่ยนแปลงออกไปเป็นลักษณะคล้ายหนังหมูตากแห้ง

แม้สภาพภายนอกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการแห้งแบบตายซาก แต่เนื่อเยื่อภายในจะยังคงสลายตัวต่อไป โดยที่ความร้อนจากทะเลทราย จะเป็นตัวแปรอย่างดีในการช่วยรักษาสภาพของศพไม่ให้เกิดการเน่าสลาย

ดังนั้นเมื่อมีการค้นพบมันมี่ในแถบอียิปต์ จะสามารถพบร่างกายมนุษย์ที่อยู่ในภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ยกเว้นแต่เพียงผิวหนัง ใบหน้า นิ้วมือเท่านั้นที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย หดแฟบลงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ซึ่งการเน่าสลายในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศเย็นหรือในโคลนตม จะเป็นการช่วยรักษาสภาพของศพได้เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดการเน่าสลายตามธรรมชาติได้อีกด้วย


การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่ออีกแบบหนึ่ง ที่จะทำให้เนื้อเยื่อไม่สลายตัวเรียกว่าอดิโพเซีย (อังกฤษ: Adipocere) เนื่องจากแบคทีเรียบางชนิดเช่น Clostridium Perfringens เกิดปฏิกิริยาให้เนื้อเยื่อไขมันเกิดการเปลี่ยนเป็นกรดบางประเภท Oleic, Palmitic and Stearic Acid ทำให้เนื้อก้อนนั้นมีลักษณะคล้ายก้อนขี้ผึ้ง สีออกเทาถึงน้ำตาล และมักพบในบริเวณเนื้อเยื่อไขมันในศพที่มักจะอยู่ในน้ำ ซึ่งต่อไปจะแข็งตัวแห้งเป็นของแข็งที่เปราะได้



ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/การเน่าสลายตัว
ขอบคุณภาพจาก http://www.buddhapoem.com/,http://statics.atcloud.com/,http://upload.wikimedia.org/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ขอบคุณภาพจาก http://www.fwdder.com/


คนที่ตายแล้วศพไม่เน่า สามารถอธิบายเป็นวิทยาศาสตรได้มั้ยครับ
คำถามจากคุณ : ZooM116

ความคิดเห็นที่ 1 จากคุณ : KS1
ลองคิดเป็นวิทยาศาสตร์ดู

1) ปกติสัตว์ทุกตัวเวลาตายแล้วร่างกายย่อมเน่าเปื่อยไปตามธรรมชาติเนื่องจากในร่างกายของสัตว์และในอากาศมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เช่น แบคทีเรียที่ย่อยสลายโปรตีนเป็นอาหารหรืออาศัยเซลล์ในสัตว์เพื่อขยายพันธุ์ ในร่างกายของสัตว์มีชีวิตก็จะมีระบบควบคุมกำจัดทำลายแบคทีเรียเหล่านี้ (เม็ดเลือดขาว เป็นต้น) ทำให้ร่างกายของสัตว์มีชีวิตไม่เน่าเปื่อยสลายไป

2) บางกรณีที่สัตว์ตายไปแล้วร่างกายหยุดทำงาน แต่ไม่เน่าเปื่อยตามธรรมชาติเนื่องจากสภาพของร่างกายสัตว์นั้นไม่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตเล็กๆนั่นเอง

3) คราวนี้ถามว่าแล้วเกิดสภาพเช่นนั้นได้อย่างไร คือ อาจเกิดจากสารเคมีบางอย่าง หรือ สภาวะความเป็นกรดด่าง หรือ ความชื้นความแห้ง หรือ ปัจจัยรอบด้านอื่นๆ คล้ายๆกับการที่เราเอาเนื้อไปหมักเกลือแล้วตากแดด เนื้อก็ไม่เสีย ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตเล็กๆไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้

4) คราวนี้ถามว่าทำไมไม่เป็นอย่างนี้ทุกคน คือ สัตว์ทุกตัวแต่ละตัวแต่ละคนแตกต่างกันตั้งแต่เกิดมาแล้ว ดีเอ็นเอ ก็เรียงตัวต่างกัน ส่วนผสมทางเคมีไม่ตรงกัน 100% โตขึ้นมาอาหารการกินก็ไม่เหมือนกัน คล้ายๆกับคำถามว่าทำไมบางคนเป็นมะเร็ง บางคนไม่เป็นมะเร็ง



ความคิดเห็นที่ 4 จากคุณ : -=Jfk=-
    คนตายแล้วศพไม่เน่าแต่แห้งแข็งไป เรียกกันว่า Mummification หรือการกลายสภาพไปคล้ายๆกับมัมมี่
พวกนี้ขึ้นกับหลาย Factor ทั้งตัวศพและสภาวะแวดล้อม


    ในเมืองหนาวศพที่ตายอยู่ในเขตน้ำแข็งที่หนาวเย็นและถูกน้ำแข็งกดทับไว้ เซลหยุดการเปลี่ยนแปลง แบคทีเรียไม่เจริญเติบโต ก็กลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งอยู่มาได้เป็นพันๆก็มี

    ส่วนทางบ้านเราเมืองร้อนปกติแล้ว ศพจะเน่าไว จากอุณภูมิที่ร้อน แบคทีเรียเจริญได้เร็ว
    แต่ในคนไข้ที่รูปร่างผอมบาง ระเหยน้ำออกจากร่างกายได้เร็วโดยเฉพาะถ้าเจออากาศ ที่ร้อนมากๆ บางทีก็ทำให้ศพแห้งได้ไว ก่อนที่จะเน่า (โดยเฉพาะถ้าได้รับยารักษาศพอย่างฟอร์มารีน มาก่อนมั่งก็ทำให้ยิ่งมีโอกาสแห้งก่อนเน่าได้มาก)


    ส่วนที่เราเห็น ภาวะแบบนี้ในพวกพระภิกษุที่มรณภาพ ผมสันนิษฐานว่า พระที่เคร่งๆส่วนใหญ่ประชาชนนับถือมักฉันแค่สองมื้อ หรือ ฉันมังสะวิรัตน์ด้วย รูปร่างมักจะผอมบาง และศพของท่านเหล่านั้นมักจะได้รับการบรรจุเก็บไว้ อย่างดีนานๆ มากกว่าเผาไปเหมือนคนปกติ

เราจึงพบ " เ ห็ น " ภาวะนี้ในพระมากกว่าคนธรรมดา


ที่มา http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X2731652/X2731652.html

   
    คำถามของคุณสุนีย์ ผมตอบไม่ได้ครับ
    ขอให้อ่านบทความแล้ววิเคราะห์เอาเอง
    เรื่องนี้เกินปัญญาของผมจริงๆ ขออภัยด้วย

     :welcome: :49: :25: :s_good:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอบคุณ ทุกคำตอบ คะ  :c017: :c017: :c017:

ได้รับความรู้ ทั้งแบบ วิทยาศาสตร์  อ่านพอจะเข้าใจ ว่าเกี่ยวกับ อุณหภูมิ สรีระของศพด้วย
แต่กรณี อย่าง พระที่เผาแล้ว กระดูก( อัฏฐิ ) เปลี่ยนเป็น เงิน ทอง กรวด หิน ประมาณนี้ เกิดจากอำนาจอะไร คะ

  ก็ยังอดสงสัย ไม่ได้ คะ

 
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระธาตุเกิดขึ้นได้อย่างไร
ครูบาอาจารย์ ท่านกล่าวไว้ว่า เหตุการเกิดพระธาตุเท่าที่พบเกิดขึ้นได้ ๓ เหตุ

๑. เกิดจากอานิสงส์ ผลจากการปฏิบัติธรรมอันยิ่งยวด
๒. เกิดจากพระผู้มีคุณธรรมอันวิเศษ ทำให้เกิด
๓. เกิดจากการอัญเชิญมาจากอากาศ


๑. เกิดจากอานิสงส์การปฏิบัติธรรมอันยิ่งยวด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักปฏิบัติเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ผลการเกิดพระธาตุในลักษณะนี้ จะเกิดจากผลการปฏิบัติตามภูมิธรรมยังภูมิของท่านนั้น ๆ มีภูมิธรรมที่บรรลุถึงจุดสูงสุด

พระธาตุของท่านสัณฐานใสเป็นเพชร เป็นแก้ว อัญมณี ครูบาอาจารย์ที่ท่านเริ่มจากการพิจารณาว่า คนเราเกิดจากการประชุมกันหรือการร่วมกันของธาตุ มีพื้นฐานจากธาตุ ๔ และธาตุ ๖ ธาตุ ๔ หมายถึง ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมกันเกิดเป็นร่างกาย ร่วมกับธาตุ ๖ เพียงแต่เพิ่มอีก ๒ ธาตุคือ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ


ทำให้เกิดชีวิตอากาศธาตุ เหมือนกันกับเครื่องยนต์กลไก เลือดลม ที่สูบฉีดเลี้ยงร่างกาย ร่วมกับวิญญาณธาตุ หรือธาตุรู้ นี่คือการประชุมกันเพื่อให้เกิดร่างกายขึ้นมา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านได้เห็นในส่วนนี้นำมาพิจารณาโดยแยกกันเป็น ๒ ส่วน จิตกับกาย

จิตมีธาตุรู้วิญญาณธาตุ อาศัยกายที่ประกอบจากธาตุ ๔ เป็นเครื่องพิจารณา จิตได้ความรู้จากกาย โดยท่านอาศัยข้อพิจารณาธรรมจากสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม


กาย ท่านพิจารณาเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของร่างกาย ยึดไว้ก็เป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง เมื่อพิจารณาท่านก็ปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น

เวทนา ท่านพิจารณาความสุข ความทุกข์ ความไม่สุข ไม่ทุกข์ (ที่ไม่ใช่อุเบกขา)
จิต จิตของเราความรู้สึกดีชั่ว

ธรรม กิเลส กิเลสไม่เกิดขึ้นได้ ส่วนดี ส่วนที่เสีย ก็ดับไป

เมื่อจิตใจท่านขัดเกลา โลภะ โมหะ โทสะ หรือเรียกว่า ฟัดกับกิเลส จิตใจ สะอาดขึ้น ละเอียดขึ้นจากผิวหนังไปถึงใต้ผิวหนัง ถึงเนื้อจนถึงกระดูก ธาตุขันธ์จะสะอาดเป็นอานิสงส์ ร่างกายได้รับอานิสงส์ เริ่มสู่ความเป็นอริยบุคคล เข้าสู่ชั้นโสดาบัน

เมื่อภูมิธรรมการปฏิบัติของท่านนั้น ๆ สูงขั้นตามธาตุขันธ์ ร่างกายยิ่งสะอาด ปฏิบัติขัดเกลาลดน้อยลงเหลือแต่สิ่งที่ดี จนถึงขั้นไกลจากกิเลสวรรณะ ความสดใสของกายเหมือนดั่งทองคำ

เคยมีครั้งหนึ่งเป็นเรื่องที่เล่าว่า หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา ท่านกล่าวว่า หลวงพ่อเนียม วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี ท่านจะมีวรรณะ ผิวพรรณที่ผ่องใส ในตามีความสุกสกาวเหมือนท้องฟ้า มีใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงถึงความร่มเย็น ที่มาจากผลานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรมอันยิ่งยวด

เมื่อท่านเหล่านั้นได้ละสังขารไป อัฐิของท่านอัศจรรย์เป็นพระธาตุเหมือนกับอัญมณีสดใส บางองค์อัฐิธาตุของท่านเกิดเป็นพระธาตุขึ้นเลยทันที บางองค์หลังจากนั้นไม่นาน อัฐิธาตุของท่านก็ค่อย ๆ แปรสภาพเป็นพระธาตุไปตามกาลเวลา ส่วนใหญ่ พบเห็นมากในพระวิปัสสนาจารย์สายพระป่า

บางองค์สังขารของท่านเป็นพระธาตุ ทั้ง ๆ ที่ท่านยังไม่ได้มรณภาพไป อย่างเช่น หลวงปู่เขียว วัดหรงบน จ.นครศรีธรรมราช ท่านถอนฟันและให้ลูกศิษย์เก็บไว้ ต่อมาฟันนี้ได้เกิดเป็นพระธาตุแก้วผลึกใส

หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ท่านเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล พยาบาลท่านหนึ่งเก็บชิ้นส่วนกระดูกอ่อนที่หลังจากผ่าตัดเอาไว้ ปรากฏว่าชิ้นกระดูกนั้นกลายเป็นผลึกแก้วใส หรือพระธาตุนั่นเอง ยังความศรัทธาอย่างสูงของชาวเชียงใหม่

หลวงปู่เจี๊ยะ เคยได้รับฟันของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ต่อมาฟันนั้นก็กลายเป็นผลึกแก้วใสเหมือนกัน

ฉะนั้นแล้ว เหตุที่เกิดจากอานิสงส์ ผลการปฏิบัติธรรมอันยิ่งยวดจนร่างกายเป็นพระธาตุ ส่วนใหญ่จะปรากฏขึ้นในนักปฏิบัติ แต่มิใช่หมายถึงแต่พระสงฆ์เท่านั้น ยังเกิดขึ้นกับปุถุชนคนทั่วไปได้ แต่ต้องเป็นนักปฏิบัติธรรม

ถึงแม้เกิดเป็นผู้หญิงเองก็อาจได้รับอานิสงส์แบบนี้ เหมือนกับท่านอุบาสิกาบุญเรือน วัดอาวุธฯ บางพลัด ท่านก็สำเร็จภูมิธรรมชั้นสูง มีอัฐิกลายเป็นพระธาตุ ฉะนั้นแล้วการปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาให้เกิดผลสูงสุดจึงไม่มีความเกี่ยวข้องในการแบ่งชนชั้นวรรณะ หรือเพศชายหญิงเลย

๒. เกิดจากพระผู้มีคุณธรรมอันวิเศษ ทำให้เกิดพื้นฐานก็มาจากอย่างแรกต้องบรรลุภูมิธรรมชั้นสูง นอกจากสังขารของท่าน บังเกิดเป็นพระธาตุแล้ว ยังให้สิ่งอื่น ๆ เกิดเป็นพระธาตุได้จิตตานุภาพ อย่างเช่น หลวงปู่เขียน วัดหรงบน ท่านฉันภัตตาหารเกิดก้างปลาติดฟัน และท่านได้นำก้างปลาที่ติดฟันออก แล้วให้ลูกศิษย์เก็บก้างปลาไว้

ซึ่งต่อมาก้างปลาชิ้นนี้กลายเป็นพระธาตุผลึกแก้วใส หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.อยุธยา ท่านชอบสร้างพระเนื้อผงสีขาว แต่ทำไมพระเครื่องท่านจึงขึ้นพระธาตุได้ พระธาตุที่ขึ้นกับพระเครื่องหลวงปู่ดู่ จะขึ้นเป็นเกล็ดใส ๆ แวววาว คล้าย ๆ ผลึกน้ำแข็ง

ซึ่งพระของท่านก็เป็นเนื้อผงสีขาว ๆ คล้ายชอล์ก ไม่มีส่วนผสมอื่น ๆ ที่แปลกไปกว่านั้น ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีได้ แต่พระท่านก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นพระธาตุได้

แต่มีข้อแม้ว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของพระของท่านที่ขึ้นพระธาตุส่วนใหญ่จะเป็นนักปฏิบัติธรรม อย่างนี้ก็เป็นเรื่องของจิตตานุภาพเหมือนกัน


เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่ง ที่ครูบาอาจารย์ท่านอธิบายไว้ว่า พระผู้มีกายสะอาดขึ้นถึงเป็นพระธาตุ ขี้หรืออุจจาระ ท่านจะหอม หรืออุจจาระท่านจะไม่มีกลิ่นเหม็น น่ารังเกียจเหมือนคนทั่ว ๆ ไป เพราะการบริโภคอาหารของท่าน

มื่อสังขารของท่านสะอาด การบริโภคอาหารผ่านร่างกายของท่านที่สะอาด ผ่องใส กากอาหารที่ผ่านร่างกายนั่นจะเป็นกากอาหารที่ไม่มีกลิ่นสกปรก น่ารังเกียจเหมือนปุถุชนคนทั่วไป อย่างเช่น หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค จ.นครสวรรค์ ขี้ท่านหอม อาจจะด้วยสังขาร อายุเกิน ๑๐๐ ปี การขบฉันจึงไม่เต็มที่เหมือนคนทั่วไป

   ๓. เกิดจากการอัญเชิญมาจากอากาศ โบราณมีความเชื่อว่าพระธาตุท่านจะเสด็จมาได้ตามอากาศ โดยท่านมาจากพระธาตุในส่วนที่ตกเรี่ยราด ผู้รักษาเกศาไว้ไม่ดี รักษาไม่สะอาด จนเขากล่าวไว้ว่าพระธาตุเมื่อรักษาดี ท่านจะเสด็จมาและเพิ่มได้ ถ้ารักษาไว้ไม่ดี ท่านก็จะค่อย ๆ หายไป

เรื่องนี้มีข้อพิสูจน์ได้จากหลาย ๆ ท่านได้พิสูจน์มาแล้วว่า พระธาตุเสด็จมาเองโดยผู้ที่ศรัทธา ผู้นั้นเตรียมอัญเชิญพระธาตุ โดยวิธีการเตรียมผอบ ปูด้วยผ้าขาว ดอกไม้หอม ตั้งไว้ในที่สะอาด สวดมนต์ ภาวนาอัญเชิญพระธาตุด้วยบท อิติปิโสเรือนเตี้ย

ถือศีลภาวนาแล้วพระธาตุจะเสด็จมาเอง แต่ทั้งนี้ผู้นั้นต้องศรัทธาอย่างแน่วแน่และแท้จริง เรื่องนี้ได้มีการพิสูจน์มาแล้ว สมัยหลวงปู่ลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ท่านได้อัญเชิญโดยวิธีนี้

ปรากฏว่าอัญเชิญอาราธนาสำเร็จ พระธาตุเสด็จมาได้จริง ๆ ท่านจึงได้สร้างพระธาตุเจดีย์ขนาดใหญ่ เพื่อประดิษฐานพระธาตุองค์นี้ ให้ได้สักการะดังที่เห็นในปัจจุบัน

ชาวพุทธนับถือพระธาตุสูงสุด สร้างเจดีย์ก็จะบรรจุพระธาตุไว้บนยอด นิยมนำของที่มีค่าและวิจิตรอลังการ ถวายเป็นเครื่องบูชา ดั่งที่ดู ได้จากพิพิธภัณฑ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดแสดงสิ่งของที่นำมาบูชาพระบรมธาตุ ตั้งแต่ครั้งในอดีต

อาทิ ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง มงคลวัตถุ และเครื่องรางของขลัง เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องประดับอันมีค่า ศิลปวัตถุและโบราณวัตถุ เครื่องเงิน เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องถม ตลอดจนสิ่งของที่แปลกผิดธรรมชาติ ล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของบรรพชนได้อย่างดี

ถึงแม้ในปัจจุบันการบูชาเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย แทนที่จะสรรหาหรือจัดทำสิ่งของนำมาถวายมักใช้ถวายด้วยเงินบำรุงแทนดูไม่ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต


ตามความเชื่อที่ว่า พระธาตุ หมายถึงสิ่งแทนความศักดิ์สิทธิ์อันสูงสุด แม้บรรจุไว้ในเจดีย์ยังต้องไว้ที่บนยอดสุด จึงไม่มีใครนิยมนำติดตัวไว้เหมือนพระเครื่อง เพราะคนเราอาจจะเข้าไปในสถานที่ที่สกปรก ที่ไม่สมควร หรือที่อโคจร จะเกิดกรรมแก่ทั้งตัวเองและผู้อื่น

เช่น ใส่พระธาตุไปลอดราวผ้า หรือไปลอดในสถานที่ ที่มีผู้อื่นอยู่สูงกว่า เท่ากับว่าเรานำพระธาตุไปลอดใต้สถานที่นั้น ๆ นอกจากเกิดกรรมแก่เราแล้ว บุคคลอื่น ๆ ที่อยู่สูงกว่า พาต้องรับกรรมไปด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้คือเรื่องของความเชื่อใน "พระธาตุ" มาแต่โบราณ



อ่านรายละเอียดอื่นๆได้ที่
พระบรมสารีริกธาตุ และ พระอรหันตธาตุ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=2958.0
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

สมภพ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 485
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0


พระบรมสารีริกธาตุ และ พระอรหันตธาตุ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=2958.0
โพสต์โดย
nathaponson


สาธุ มีประโยชน์ มากครับ
คลายความข้องใจ ในเรื่อง กายเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่น ๆ ได้ ทั้งหลักวิทยาศาสตร์ พุทธศาสน์

 :c017: :25: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 20, 2012, 07:53:17 am โดย สมภพ »
บันทึกการเข้า