ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตการทำงาน ที่ ดีเด่น แล้ว เดียวดาย  (อ่าน 3499 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ปอง

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 119
  • จิตที่ฝึกดีแ้ล้ว ย่อมนำสุขมาให้
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เนื่องจากเราทำงานดีจนเข้าตานาย แนวๆ ทำชื่อเสียงให้หน่วยงานบ่อยมากๆ เจ้านายเลยปลื้มค่ะ จนได้รับโล่ห์ เกรียติบัตร พนง. ดีเด่นเลยคะ

หล้งจากนั้นมา ก็เจอกระแสเ อารมณ์ ของเเพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วยกัน ตลอดเลยค่ะ โดนกลั่นแกล้ง หลายๆ เรื่องทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำ จากคนเพื่อนร่วมงานที่เคยคุยกัน ดีๆ ตอนหลังก็ไม่คุยกับเราและเดินหนี คะ หรือ พูดจากับเราไม่ดีเลย ค่ะ เปลี่ยนไปเลย ไม่เข้าใจ ยกแผนกไปเลย คะ

จนบรรยากาศการทำงาน เหมือนนั่งทำอยู่คนเดียว เลยคะ ต้อง พึ่งตนเอง เลยคะ


 :'( :'( :'( thk56
บันทึกการเข้า

faikum114

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 2
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ชีวิตการทำงาน ที่ ดีเด่น แล้ว เดียวดาย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 09, 2014, 06:01:04 pm »
0
เเย่จังนะครับอย่างนี้ ก้อคือผมว่าเค้าน่าจะอิจฉาอ่ะครับ อิจฉาจนหมั่นไส้ เเต่อย่าเครียดเลยครับเราทำดีที่สุดเเล้ว
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตการทำงาน ที่ ดีเด่น แล้ว เดียวดาย
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2014, 06:06:40 pm »
0
เป็นกระทู้เก่าที่โพสท์มาเป็นปีแล้วแต่ไม่มีผู้ตอบ ผมจึงขออนุญาตโพสท์คำตอบเพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านเจ้าของกระทู้ หรือ ผู้มาแวะชมดังนี้ครับ

- สภาวะของผู้ที่ไม่มีโอกาส ย่อมเดียดฉันท์ผู้ดีกว่าเป็นธรรมดา
- หากการได้มาซึ่งผลงานของคุน ไม่ได้มาจาก การขายเพื่อน๑ แย่งผลงานผู้อื่น๑ ไม่ถึงเอาผลประโยชน์เฉพาะตนไม่อนุเคราะห์เอื้อเฟื้อผู้อื่น๑ ไม่ใช้อำนาจกดช่มผู้อื่นเพื่อมห้ได้มา๑ หากไม่เป็นดั่ง ๔ ข้อนี้คุณก็ไม่ต้องกังวลใจใดๆ เพราะคุณไม่ผิดแน่นอน
- ทางแก้ไขมีอยู่ 2 ส่วนคือตัวคุณและผู้อื่น
1. แก้ที่ตัวคุณ ทำได้โดยไม่ยาก หรือ เป็นสิ่งที่คุณอาจจะทำอยู่ปล้วแต่พลาดพลั้งลืมไปคือ
    1.1 ความมีจิต เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา กล่าวคือ
        - มีความรักใคร่เอ็นดูปารถนาดีต่อผู้อื่น เสมอตน เห็นดั่งเขาเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก หลานตน ความเมตตานี้ในกิจการงาน หมั่นคอยสอดส่องดูแลว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเหนื่อยจากงานไหม ติดขัดเรื่องใดที่เราจะช่วยเขาจากทุกข์นั้นได้บ้าง เช่น ให้เวลาในการทำงานที่เร่งรีบยื่นระยะการส่งออกไปบ้างนิดหน่อย๑ มีน้ำใจซื้อข้าวซื้อน้ำให้เขาบ้าง๑ ชี้แนะวิธีที่ทำให้ผลงานออกมาได้ดีแล้วสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับเขา
       - มีความเอื้อเฟื้ออนุเคราะห์แบ่งปันให้ผู้อื่นด้วยปารนาให้เขาดับรับสุขเสมอตนหรือดีกว่าตน ความกรุณานี้ในกิจการงาน เมื่อชี้แนวทางที่ถูกต้องดีงามเพื่อให้เขาได้ทำงานออกมาได้ดีบ้างแล้ว ก็สงเคราะห์เขาด้วยการสนับสนุนในตัวเขา เช่น เสนอผลงานที่ดีและจุดเด่นของเขาต่อผู้ใหญ่บ้าง ให้เขาเห็นทางก้าวหน้าของตนบ้าง การสงเคราะห์นี้ต้องมีจิตอยากให้เขาพ้นทุกข์ จนน้อมไปสู่กายกรรมที่เป็นการให้จนถึงสละให้ ที่เรียกว่าทาน การสนับสนุนผู้อื่นที่ทำงานดีนั้นจิตเราย่อมมีความสงเคราะห์ให้เขาก่อนจนเกิดการกระทำให้เขาคือเสนอผลงานเขาต่อผู้ใหญ่เป็นต้น การสละให้นี้ บางครั้งหากเราสูงกว่าเขามากแล้วก้อยอมให้เป็นโอกาสเขาบ้างทั้งๆที่เราก็ควรจะได้
       - มีจิตยินดี เป็นสุขไปกับเขาดมื่อเขาได้ดีมีสุขและคงไว้ซึ่งสมบัติของเขาด้วยจิตที่ปราศจากความริษยาของเรา มุทิตานี้ในกิจการงาน เมื่อเราได้สงเคราะห์สนับสนุนให้เขาได้ดีแล้วช่วยให้เขามีผลงานได้ แม้บางครั้งเราจะยอมสละสิ่งที่เป็นของเราให้เขา เราควรมีจิตยินดีไม่ติดข้องแวะกับสิ่งใดๆอีกไม่ว่าวันนี้หรือวันหน้า สิ่งที่เราได้รับจากทานนั้นคือสุขไปพร้อมกับเขาที่สำคัญคือ ได้เพื่อน ลูกน้องที่ดีซื่อสัตย์กลับมาแน่นอนเพราะเราให้ความช่วยเหลือเขาด้วยดีแล้ว แต่หากเขาทำไม่ได้หรือได้แล้ว แม้รู้ว่าเราช่วยก็ยังตีหน้าเชิดใส่ ก็ให้เราระลึกรู้ในใจไว้ว่า เราได้มีเมตตาต่อเขาแล้ว สงเคราะห์และให้ทานเขาแล้ว ที่เขาทำไม่ได่ก็เป็นกรรมของเขาเองหรือที่เขาทำได้แล้วถีบหัวส่งเราเพราะจิตใจอกุศลของเขายังมีมากอยู่ทำให้ไม่มีกุศลจิตคิดในสิ่งที่ดีงามต่อผู้ใด เราก็ละความติดใจข้องปงะต่อเขาไปเสีย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามผลของการกระทำทางกายวาจาใจทั้งปวงของเขา เขาทำไม่ได้อาจเพราะยังขาดความรุ้และไม่เพียรศึกษาเพิ่มเติมทำให้หยุดอยู่กับที่ เขาอคติต่อเรามันก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเราไปบังคับเขาไม่ได้แม้แต่ตัวเราเองยังบังคับไม่ให้ไม่พอใจยินดีที่เขาอคติต่อเรายังไม่ได้เลย เขาก็ร้อนรุ่มถูกไฟเผาไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ของเขาเอง มันจะเผาเขาไปให้ร้อนรุ่มร้อนรนเดือดเนื้อร้อนใจทีละนิดๆจนเผาเขาทั้งเป็นเอง จากความถือตัวบ้าง กลัวคนอื่นได้ดีกว่าตนบ้างมันก็เป็นกรรมของเขาที่ต้องถูกไฟแห่งกิเลสที่เขาสร้างขึ้นมาเผาเขาเอง เราก็ไม่ต้องไปติดใจข้องแวะจากผลลัพธ์หรือการกนะทำของเขาอีก เพราะบรรลุบทที่เราควรทำการเอื้อเฟื้อแก่เขาแล้ว ติดข้องใจกับเขาไปเราก็เป็นทุกข์เปล่าๆ วางเฉยต่อเาเสียแล้วจะไม่ทุกข์อีก ไม่ตั้งความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีจากสิ่งที่เขาเป็นอยู่เพราะเราได้สงเคราะห์เขาแล้ว มีใจวางไว้กลางๆต่อเขาเราก็จะหมดทุกข์ที่เกิดต่อเขา นี่เรียกว่า อุเบกขาพรหมวิหาร๔
    1.2 ระลึกรู้เห็นในสัจธรรมอยู่เนืองๆ คือ
        - รู้ว่าเรานั้นย่อมมีความไม่ได้สมดั่งใจหวังปารถนาเป็นธรรมดา ปารถนามากก็ทุกข์มากปารถนาน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่ปารถนาเลยก็ไม่ทุกข์เลย ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรไปตั้งความพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีต่อบุคคล สัตว์ สิ่งของ หรือ สภาวะธรรมใดๆ เพราะมันหาประโยชน์ใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์
       - รู้ว่าเรานั้นย่อมมีความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจเป็นธรรมดาจะล่วงพ้นมันไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งของ คำพูดคนรอบข้าง อาหารการกิน สภาพแวดล้อมต่างๆย่อมไม่เป็นไปเพื่อความพอใจยินดีของเราทั้งหมด เราต้องพบเจอคำด่า ติฉินนินทา อาหารไม่ถูกปาก ปวดท้อง ปวดตา เผ็นไข้ ทำผลงานออกมาไม่สทดั่งใจ เจอคนที่คิดทำร้ายเรา เราย่อมเจอกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจอย่างนี้อยู่ทุกขณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรไปติดใจข้องปวะกับการกระทำไรๆของผู้อื่น และ สิ่งของสภาพแวดล้อมใดๆ เพราะมันหาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์
       - รุ้ว่าเรานั้นย่อมมีความพรัดพรากจากสื่งอันเป็นที่รักที่พอใจยินดีที่จำเริญใจทั้งสิ้นไปเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด สัตว์ใด สิ่งของใดทั้งสิ้น เราต้องพรัดพรากจากสิ่งเหล่านี้ไปทั้งหมดไม่ด้วยกาลเวลา ก็การดูแลรักษา สภาพแวดล้อม สภาวะธรรมปรุงแต่งแปรปรวนภายในกายและใจของสิ่งเหล่านั้น ไม่ก็ด้วยความตายของเขาหรือสิ่งเหล่านั้นหรือตัวเราเองด้วยเหตุนี้เราจึงเอาจิตไปผูกติดข้องกับสิ่งใดๆว่าเป็นความสุขของเราไม่ได้ ดังนั้นเราจึงควรละการเอาจิตไปผูกเอาความสุขสำเร็จของเราไปขึ้นไว้กับผู้อื่น หรือ สิ่งของ ฐานะ ลาภ ยศ เงินทองใดๆ เพรามันหาประโยชน์สุขอันแท้จริงไม่ได้นอกจากทุกข์
      - เมื่อเราไม่เอาความสุขสำเร็จของเราไปผูกขึ้นไว้กับใคร สิ่งของ ลาภยศ สรรเสริญใดๆ เราก็จะไม่ทุกข์อีก ความไมาสมปารถนาก็ไม่มี ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจก็ไม่มี ความพรัดพรากก็ไม่มีแก่เราอีก เพียงเรานั้นมีศรัทธาเชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรมบรรลุเป็นประอระหันต์โดยพระองค์เองของพรพุทธเจ้า เชื่อในพระธรรมที่พรพุทธเจ้าตรัสสอนว่าเป็นเครื่องออกจากทุกข์ได้จริง ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง เชื่อในความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและการชี้ทางเพื่อออกจากทุกข์ของพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า คือ ตั้งแต่โสดาบันจนถึงพระอรหันต์ มีความเคารพรัก เอื้อเฟื้อ กตัญญูรู้คุณ กตเวทีทดแทนคุณ ต่อ พ่อ แม่ บุพการีทั้งหลาย และ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ดำรงมั่นที่จะสำรวมในศีล มีศีล ๕ เป็นเบื้องต้น เจริญพรหมวิหาร ๔ และ เจริญในทานอยู่ไม่ขาดเว้น ทำสมาธิเพื่อล้างขยะในสมองไม่ให้เราคิดฟุ้งซ่านมีจิตตั้งมั่นควรแก่งาน เพียรละอกุศล ทำกุศลให้เกิดขึ้น คงกุศลไว้รักษากุศลไว้ไม่ให้เสื่อม แล้วชาตินี้หรือชาติใดๆของคุณก็จะไม่มีทุกข์อีก มีแต่คนรักใคร่ วาจาใดก็งดงาม รรูปร่างหน้าตางดงามแน่นอน นี่เป็นเมตตามหานิยมอันสูงเลยล่ะครับ

2. เปลี่ยนที่ตัวเขา คุณก็ต้องหาอุบายเพื่อชี้แนะแนวทางวิธีการทำงานให้เขา หาอุบายซื้อใจเขาให้ได้ แต่คุณต้แงมีความจริงใจต่อเขาก่อน ชี้แนะสาเหตุที่เราได้ดีแล้วชักชวนให้เขาทำตามและร่วมมือกันให้ได้ แต่ทางนี้ต้องอาศัยปัญญาและความอดทนสูง เรียกว่าขันติต้องมี ความรู้ต้องมี จิตวิทยาต้องดีเพราะต้อง้ปลี่ยนทัศนคติเขาใหม่ ดังนั้นจึงควรเริ่มจากผู้ที่อคติกับเราน้อยก่อน ปต่ก็ไม่ละเลยที่จะชักจูงคนที่ไม่ำอใจในตัวเรา พระพุทธเจ้าก็ชี้ทางและทำให้คนโยนิโสมนสิการและศรัทธาพระองค์ไม่ได้ทุกคน ดังนั้นคุณก็ทำเต็มกำลัลใจโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นดีที่สุด สุขก็จะมาหาคุณ ทุกข์ก็จะเกิดน้อยหรือไม่เกิดใงขึ้นในคุณอีกเลย

เพียรเจริญปฏิบัติให้ได้ตามนี้นะครับชีวิตคุณดีขึ้นแน่ ผมเองทำงานเต็มที่ถูกอคติกลั่นแกล้งนินทาจนถูกกดในเรื่องงานมาเป็น 10 ปี ผมอยู้ได้โดยไม่ทุกข์หรือทุกข์น้อยด้วยการเจริญปฏิบัติเช่นนี้ คุณลองทำดูครับได้ผลแน่นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 24, 2014, 06:12:51 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ