ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อนันตชินะ “ผู้ชนะไม่มีที่สิ้นสุด”..!?!  (อ่าน 1628 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อนันตชินะ “ผู้ชนะไม่มีที่สิ้นสุด”..!?!
« เมื่อ: มิถุนายน 02, 2019, 01:30:35 pm »
0
:25: :25: :25:

เสด็จพระพุทธดำเนินไปโปรดเบญจวัคคีย์ พบอุปกาชีวกในระหว่างทาง


บุคคลแรกที่พระพุทธเจ้าพบเมื่อเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์
สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (7)


ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกบอกว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยจะไปโปรดเวไนยสัตว์นั้น ทรงนึกถึงดาบสผู้เป็นอาจารย์ทั้งสอง คืออาฬารดาบส กาลามโคตร กับอุททกดาบส รามบุตร แต่ท่านทั้งสองสิ้นชีวิตไปก่อนหน้านั้น 7 วัน จึงทรงตั้งพระทัยจะไปเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ ศิษย์เก่าที่เคยอุปฐากดูแลพระองค์ขณะบำเพ็ญทุกรกิริยา

จึงเสด็จพุทธดำเนินมุ่งหน้าไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (ปัจจุบันคือสารนาถ) ซึ่งในเขตเมืองพาราณสี ระยะทางห่างจากพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ประมาณ 230 กว่ากิโลเมตร ระหว่างทางทรงพบอาชีวก (นักบวชประเภทหนึ่ง) นามว่าอุปกะ อุปกะเห็นบุคลิกอันสง่างามของพุทธองค์ ก็ประทับใจ ใคร่จะรู้ว่าเป็นใคร จึงทูลถามว่าท่านเป็นใคร ท่านบวชเจาะจงใคร ใครเป็นอาจารย์ของท่าน


@@@@@@

พระพุทธเจ้าตรัสตอบอุปกะเป็น “คาถา” คือบทกวีว่า
“เราเอาชนะสรรพสิ่ง เรารู้สรรพสิ่ง ไม่ติดอยู่ในสิ่งทั้งปวง ละกิเลสทุกอย่าง หลุดพ้นเพราะหมดตัณหา เมื่อเราตรัสรู้เองแล้ว ควรจะอ้างใครว่าเป็นอาจารย์เล่า”

อุปกะได้ยินดังนั้น ก็กล่าวต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เป็นอนันตชินะสิ”
อนันตชินะของอุปกะนี้แปลว่า “ผู้ชนะไม่มีที่สิ้นสุด” คงเป็นคำที่รู้กันดีในสมัยนั้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นเช่นนั้น
อุปกะจึงสั่นศีรษะ กล่าวว่า “หุเวยฺยาวุโส” แล้วก็หลีกทางไป

ที่ยกคำพูดของอุปากะมา ยังไม่แปล ก็เพราะคำพูดประโยคนี้เป็น “รหัส” ไขข้อข้องใจว่า “ดูด” เอ๊ย อุปกะเชื่อพระพุทธเจ้าหรือไม่ รายละเอียดเป็นจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวได้รู้เอง ตามผมมาก็แล้วกัน

@@@@@@

ผู้แต่งพุทธประวัติในยุคต่อมามักจะพูดเหมือนกันว่า อุปกะ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า จึงสั่นศีรษะ บางฉบับเพื่อให้เห็นว่าไม่เชื่อมากขึ้น กล่าวว่า นอกจากสั่นศีรษะแล้ว อุปกะแกแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกด้วย

ผมว่าตรงนี้ เราตีความผิด เพราะเราเอาวัฒนธรรมไทยไปตัดสินวัฒนธรรมอินเดีย จริงอยู่วัฒนธรรมไทยเรามีอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งมากับพระพุทธศาสนาจำนวนมาก แต่ในเรื่องสั่นศีรษะนี้แขกกับไทยถือไม่เหมือนกัน

ไทยสั่นศีรษะ แสดงว่าปฏิเสธ แต่แขกสั่นศีรษะแปลว่าเขายอมรับครับ
อ้าว ถ้าไม่เชื่อผม ไปคุยกับชาวอินตะระเดียดูสิครับ ไม่ต้องไปถึงอินเดียก็ได้ แถวๆ พาหุรัดก็ได้ ลองไปต่อราคาผ้าเขาแล้วสังเกตดู ถ้าเขาสั่นศีรษะด๊อกแด๊กๆ ก็สบายใจได้ว่าตกลงครับ


@@@@@@

นอกจากตัดสินจากวัฒนธรรม ยังมีเหตุผลสนับสนุนอีกอย่างหนึ่ง คือ คำพูดของอุปกะเองนั้นแหละบ่งชี้ข้อนี้ด้วย คือแกพูดว่า หุเวยฺยาวุโส (หุเวยฺย-อาวุโส) แปลตามตัวอักษรว่า “ดูก่อนผู้มีอายุ คำที่ท่านพูดนั้นพึงมีได้พึงเป็นได้” แปลความง่ายๆ ว่า “คุณ ที่ท่านพูดนั้นเป็นไปได้” น้ำเสียงของอุปกะแสดงว่าแกเชื่อพระพุทธเจ้าเกิน 70 เปอร์เซ็นต์แล้วครับ

เพราะเหตุนี้ฝรั่งจึงแปลว่า “I see” เวลาเราไอซีกับใครแสดงว่าเราเห็นด้วย ใช่อ๊ะป่าว.?

ผมเป็นคนขี้สงสัย เมื่อสงสัยอะไรแล้วก็ไม่อยากให้ค้างคาอยู่เช่นนั้น เมื่อสงสัยเรื่องอุปกะจึงตามดูจนถึงที่สุด อยากรู้ว่าหลังจากพบพระพุทธเจ้าแล้วแกไปไหน ก็ได้ทราบจากอรรถกถาว่า อุปกะแกไปยังหมู่บ้านนายพรานริมน้ำแห่งหนึ่ง (หมู่บ้านริมน้ำน่าจะเป็นหมู่บ้านชาวประมง แต่เขาบอกว่าหมู่บ้านนายพรานล่าเนื้อจริงๆ) หัวหน้าหมู่บ้านเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้อยู่ที่นั่น แล้วก็นำอาหารบิณฑบาตไปถวายทุกวัน วันไหนไม่ว่างก็ให้จาปาลูกสาวของตนไปส่ง

@@@@@@

เด็กหญิงจาปาก็ทำหน้าที่นำอาหารไปถวายหลวงพ่อเป็นประจำ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่พอนานเข้าหลวงพ่อก็เปี๊ยนไป๋ มองดูสีกาวัยรุ่นแล้วก็หลงรัก พยายามปลงอนิจจัง ยุบหนอ พองหนอ อย่างไรก็ไม่ไหว เพราะกามเทพซุกซน แผลงศรปักอกหลวงพ่อดังฉึก

วันหนึ่งหลวงพ่อไม่ยอมฉันอาหาร เอาแต่นอนคลุมโปง ครางฮือๆ อยู่ จาปาไปรายงานให้พ่อทราบ หลวงพ่อเป็นอะไรไม่รู้ ข้าวปลาไม่ฉันเอาแต่ครางฮือๆ

พ่อรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบไปหา จับเข่าถามตรงๆ ว่า เป็นอะไรไปท่าน ข้าวปลาไม่ยอมฉัน ท่านเจ้าคุณ เอ๊ย อุปกะจึงบอกว่าอาตมาคงจะบวชต่อไปไม่ไหวแล้วละ เพราะหลงรักลูกสาวโยมเข้าเต็มเปาแล้ว


@@@@@@

นายพรานบอกว่า ถ้ารักจริงก็สึกมาสิ เห็นว่าได้รับอนุญาตแล้ว อุปกะจึงสึกออกมา แต่งงานกับลูกสาวนายพราน พ่อตาใหม่ๆ หมาดๆ ถามว่า “ท่านได้เรียนศิลปวิทยาอะไรบ้าง”

อุปกะตอบว่า ไม่เรียนอะไรเลย มัวแต่บวชอยู่ “อ้าว แล้วจะเอาอะไรทำมาหาเลี้ยงชีพ” พ่อตาร้องเมื่อเห็นลูกเขยหน้าเจี๋ยมเจี้ยม จึงบอกว่า “ไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นมาช่วยข้าก็แล้วกัน” ตั้งแต่นั้น เมื่อนายพรานล่าเนื้อได้ แล่เนื้อแล้ว อุปกะก็จะหาบเนื้อนั้นตามพ่อตาไปขายนำเงินมาเลี้ยงครอบครัว จนกระทั่งมีบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อสุภัททะ

เวลาเนิ่นนานไป ระยะข้าวใหม่ปลามันหมดไป สองสามีภรรยามักระหองระแหงกันเสมอ เวลาเมียโมโหมาก็จะด่าลูกกระทบพ่อว่า “ไอ้ลูกฤๅษีขี้เกียจ มึงไม่น่าสึกมาเลย กูไม่น่าแต่งงานกับฤๅษีขี้เกียจอย่างมึง…”

@@@@@@

ทำให้อุปกะสลดสังเวชใจ พลันก็นึกถึง “อนันตชินะ” ขึ้นมาได้ จึงลงเรือนไป ตั้งใจจะไปบวชเป็นสาวกของอนันตชินะ ภรรยาพูดไล่หลังว่ามึงไปแล้วไม่ต้องกลับ

พอสามีไปไม่กลับจริงๆ จึงตามไป พบสามีกำลังจะบวชอยู่พอดี ขอร้องให้กลับบ้าน อุปกะไม่ยอม นอกจากจะไม่กลับแล้วยังร่ายโศลกด่าภรรยา ลามไปถึงสตรีอื่นด้วยอย่างสาดเสียเทเสีย เรียกว่าฉุนขาดเลย ขนาดด่าว่า ควายกูยังไม่ซื้อเลย ฮิฮิ

ท้ายที่สุด อุปกะก็ได้อุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ส่วนจาปา เมื่อสามีไม่กลับ ก็ตัดสินใจไปยังสำนักภิกษุณี บวชเป็นภิกษุณีอีกคน

ถ้าดูตามนี้แสดงว่าอุปกะแกเชื่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อมีความทุกข์ขึ้นมาก็ยังนึกถึงพระพุทธเจ้า จนกระทั่งตามมาบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ด้วยประการฉะนี้แล



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2562
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2562
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_198045
ขอบคุณภาพจาก : http://www.84000.org/tipitaka/picture/f34.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2019, 01:36:02 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ