ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนแรกที่เป็นต้นเหตุให้ "พระ รับ คหบดีจีวร"  (อ่าน 958 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28361
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

 :25: :25: :25:

สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (21) : คนแรกที่เป็นต้นเหตุให้ พระรับคหบดีจีวร

“คหบดีจีวร” คือ ผ้าสำเร็จรูปที่ชาวบ้านเขาถวาย คนแรกที่เป็นต้นเหตุให้มีพุทธานุญาตให้พระสงฆ์รับได้คือหมอชีวกโกมารภัจจ์

เมื่อก่อนนั้นพระสงฆ์ท่านใช้ผ้าบังสุกุลจีวรคือ แสวงหาเศษผ้าบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง มาตัดเย็บเป็นจีวร ต้องลำบากด้วยการแสวงหาผ้า ชาวบ้านอยากจะถวายผ้าสำเร็จรูปแก่พระภิกษุก็ไม่กล้า เพราะไม่มีพุทธานุญาตไว้ จึงใช้วิธีเลี่ยงๆ

เลี่ยงอย่างไร คือเมื่อเห็นพระภิกษุเดินมา ก็เอาผ้าสำเร็จรูปไปพาดไว้ที่กิ่งไม้บ้าง บนพุ่มไม้บ้าง แล้วก็หนีไปเสีย พระท่านเดินมาเห็นเข้าก็จะถามดังๆ ว่า “ผ้านี้มีเจ้าของหรือเปล่า” 3 ครั้ง เมื่อไม่มีเสียงตอบ ท่านก็จะกระทำ “ปังสุกูลสัญญา” (ความสำคัญว่าเป็นผ้าบังสุกุล) แล้วก็ซักหรือดึงเอาผ้านั้นไปตัดเย็บทำจีวร

ด้วยเหตุนี้จึงเรียกกิริยาอาการถือผ้านี้ว่า “ชักบังสุกุล” มาจนบัดนี้


@@@@@@

แม้ตอนหลัง เมื่อพระได้รับอนุญาตให้รับจีวรสำเร็จรูปได้แล้ว ก็ยังมีพิธีถวายผ้าบังสุกุลและมีการชักผ้าบังสุกุลอยู่ ดังจะเห็นทายกทายิกาเอาพุ่มไม้มาตั้งแล้วเอาจีวรพาดตามกิ่งไม้ให้เห็นเป็นสัญลักษณ์อยู่

ต้นเหตุให้มีการอนุญาตให้พระรับจีวรสำเร็จรูป มาจากหมอชีวกโกมาภัจจ์ พระเจ้าจัณฑปัชโชติ แห่งเมืองอุชเชนี หรืออุชย์นี แคว้นอวันตีซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของชมพูทวีป ทรงพระประชวรด้วยโรคร้ายชนิดหนึ่งรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ทรงทราบว่าที่ราชสำนักเมืองราชคฤห์มี “หมอเทวดา” คนหนึ่ง เชี่ยวชาญในการรักษาโรคต่างๆ จึงทรงมีพระราชสาสน์ไปขอหมอเทวดาคนนั้นจากพระเจ้าพิมพิสาร

พระเจ้าพิมพิสารส่งหมอชีวกไปตามคำขอ แต่ตรัสเตือนหมอชีวกว่า ได้ทราบว่าพระราชาองค์นี้ทรงมีพระอารมณ์ร้าย ให้หมอรักษาตัวให้ดี อย่าทำอะไรให้เป็นที่ขัดเคืองพระราชหฤทัย จนอาจก่อภัยแก่ตัวได้

หมอชีวกไปยังพระราชสำนักเมืองอุชเชนีตรวจพระอาการของพระเจ้าจัณฑปัชโชติอย่างถี่ถ้วน เตรียมปรุงโอสถถวายการรักษา ของพระเจ้าจัณฑปัชโชติตรัสว่า ยาอะไรข้าก็กินได้ ขออย่างเดียวอย่าใส่เนยใสเพราะข้าเกลียดเนยใส

@@@@@@

หมอถึงกับตกใจ เพราะยาที่ว่านี้จะต้องมีเนยใสประกอบด้วย จึงหาอุบายประกอบยาตามตำรับจนได้

เขากราบทูลขอพระบรมราชานุญาตพระราชทานของ 3 ชนิด คือ
(1) ให้จัดห้องปรุงยาอย่างมิดชิดมิให้กลิ่นออกมา
(2) ให้เปิดประตูเมืองไว้ตลอดเวลา
(3) ขอพาหนะฝีเท้าเร็วที่สุดชนิดหนึ่ง

พระราชาตรัสว่า ข้อ 1 น่ะมีเหตุผล แต่ข้อ 2 กับข้อ 3 จะเอาไปทำไม ไม่เห็นเกี่ยวกับการรักษาโรคอะไร

หมอชีวกกราบทูลว่า ที่ให้เปิดประตูเมืองไว้ตลอดเวลา ก็เผื่อว่า เวลาปรุงยาอะไร นึกถึงสมุนไพรอะไรจะได้ออกไปหามาทันที ไม่ต้องเสียเวลาขออนุญาตให้เปิดประตูเมือง ที่ขอพาหนะฝีเท้าเร็ว ก็เพื่อรีบไปเอาตัวยาให้ทันเวลา

เมื่อได้รับพระบรมราชอนุญาตแล้วเขาก็เข้าห้องปรุงยา เอาเนยใสผสม เคี่ยวจนได้ที่ประมาณหนึ่งจอกก็มอบให้มหาดเล็ก สั่งว่า ให้ตนออกจากเมืองไปได้สักพักหนึ่งค่อยให้ในหลวงเสวยพระโอสถ ว่าแล้วก็ไสช้างพังฝีเท้าเร็วออกจากเมืองไป


@@@@@@

เมื่อพระเจ้าจัณฑปัชโชติเสวยพระโอสถได้สักพัก ก็ทรงเรอ (ราชาศัพท์ว่าอย่างไร จนด้วยเกล้า ผู้รู้ช่วยบอกด้วย) ออกมา กลิ่นเนยใสก็โชยออกมา เท่านั้นแหละ พระเจ้าจัณฑปัชโชติก็ทรงพิโรธ ที่ถูกหมอชีวกหลอกให้เสวยสิ่งที่ทรงเกลียดที่สุด รับสั่งด้วยพระสุรเสียงดังว่า

“ไปตามกากะมาเดี๋ยวนี้ ไอ้หมอเจ้าเล่ห์ มันเอาเนยใสให้ข้ากินนี่หว่า ไปตามมันมาให้ได้ ข้าจะตัดคอมันให้หายแค้น”

กากะ คือทาสฝีเท้าเร็วที่สุดพอๆ กับแชมป์นักวิ่งโอลิมปิกประมาณนั้น รีบวิ่งตื๋อออกไปโดยพระราชาตรัสไล่หลังว่า “เอ็งอย่ากินอะไรที่หมอเจ้าเล่ห์ให้เป็นอันขาด เดี๋ยวเสียรู้มัน”

กากะวิ่งไปทันหมอชีวกที่ชายแดนจะข้ามเมืองอุชเชนีพอดี จึงจับแขนลากถูลู่ถูกังจะพากลับไปเฝ้าในหลวงให้จนได้ แต่หมอชีวกออกอุบายให้กินมะขามป้อมแก้กระหาย

@@@@@@

กากะเห็นมะขามป้อมเพิ่งหล่นจากต้น คงไม่มีอะไร จึงกินเข้าไป หารู้ไม่ว่าหมอชีวกเอายาถ่ายอย่างแรงใส่เล็บแล้วหยิกผิวมะขามป้อมแล้วยื่นให้กิน

สักพักเดียว ทาสกากะก็มีอาการท้องปั่นป่วน วิ่งเข้าหลังพุ่มไม้ขี้พุ่งยังกับท่อประปาแตก หมอชีวกหัวร่อก้ากๆ

พร้อมกล่าวว่า “ไม่เป็นไรเพื่อน ขี้ออกหมดแล้วก็หาย ฝากนำช้างไปคืนพระเจ้าอยู่หัวด้วย..ฮ่าฮ่า”

ทาสกากะเดินโซซัดโซเซกลับไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวด้วยอาการตัวสั่นงันงก พระเจ้าจัณฑปัชโชติทรงมีพระอารมณ์ดี ทรงพระสรวลก้ากๆ

“เอ็งคงเสียรู้ไอ้หมอเจ้าเล่ห์แล้วสิท่า ไม่เป็นไร ข้าหายดีแล้ว”

@@@@@@

เมื่อหายประชวร พระเจ้าจัณฑปัชโชติทรงรำลึกถึงคุณูปการของหมอชีวกจึงทรงส่งผ้ากัมพลสีทองเนื้อละเอียดอย่างดี อันเรียกว่าผ้า “สีเวยยกะ” (ผ้าที่ทอที่เมืองสีพี) สองผืนไปพระราชทานแก่หมอชีวกเป็นบำเหน็จรางวัล

หมอชีวกได้ผ้าสีทองแล้วนึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงนำไปถวายแต่พระพุทธองค์ไม่ทรงรับ เพราะยังไม่มีพุทธานุญาตให้พระสงฆ์รับผ้าสำเร็จรูปที่ชาวบ้านถวาย

หมอชีวกจึงกราบทูลขอพรพระพุทธเจ้าให้ทรงรับผ้าเนื้อสีทองที่เขาถวาย และทรงอนุญาตให้พระสงฆ์สาวกรับผ้าสำเร็จรูปที่ชาวบ้านเขาถวายด้วย พระพุทธองค์จึงทรงรับผ้านั้น แล้วมีพุทธานุญาตให้พระสงฆ์รับคหบดีจีวรแต่บัดนั้นมา

@@@@@@

เมื่อทราบว่ามีพุทธานุญาตให้ชาวบ้านถวายผ้าแล้ว ชาวบ้านต่างก็นำผ้าเนื้อหยาบบ้าง เนื้อละเอียดบ้าง ทอด้วยวัสดุต่างๆ กันมาถวาย จนพระสงฆ์เกิดความไม่แน่ใจว่าผ้าชนิดไหนควรรับ ไม่ควรรับ จึงนำความเข้าทูลถามพระพุทธองค์

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตจีวร 6 ชนิด คือ
    จีวรทอด้วยเปลือกไม้ 1
    ทอด้วยฝ้าย 1
    ทอด้วยไหม 1
    ทอด้วยป่าน 1
    ทอด้วยขนสัตว์ 1
    ทอด้วยของห้าอย่างข้างต้นผสมกัน 1”

หมอชีวกคือต้นเหตุให้มีพุทธานุญาตให้พระสงฆ์รับจีวรสำเร็จรูปจากชาวบ้าน ดังเรื่องราวที่เล่ามาข้างต้นนั้นแล



ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม - 5 กันยายน 2562
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ.2562
ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/column/article_224926
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 09, 2019, 09:06:54 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ