ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย  (อ่าน 8917 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

tcarisa

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 524
  • ก้าวน้อย แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อาจจะเป็นปัญหาที่จะตอบยากมาก เมื่อคุณยายข้างบ้านมานั่งร้องไห้ปรึกษาเรื่อง

  ลูกชาย จะไปบวชพระ ตลอดชีวิต ทิ้งให้คุณยายต้องอยู่ตัวคนเดียวไม่มีคนดูแล

 เนื่องด้วยลูกชายอายุ 30 กว่าปีแล้ว ตั้งใจจะบวชเณร บวชพระมาตั้งแต่เล็ก ๆ แต่เนื่องด้วยคุณยาย

ท่านนี้เป็นคุณครู ที่สามีเสียชีวิตแล้ว มีลูกชายคนเดียว จึงห้ามไว้ไม่ให้บวช เพราะกลัวควาวเหงา

ตอนนี้คุณยายท่านนี้เกษียณ และ กินบำเหน็จอยู่ ลูกชายก็ได้กล่าวคำเหมือนจะเด็ดขาดว่า อยากจะบวช

และต้องการบวชตลอดชีวิต

  คิดดูสิคะคนอื่นไม่อยากบวชพระ พ่อแม่อยากให้บวช นี่ลูกอยากบวช แต่ไม่ให้บวช

 เรื่องนี้ดิฉันไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่นิ่ง เพราะยังไม่กล้าให้ความเห็น....

 :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
เราเป็นหน่ออ่อน ที่รอการเติบโต
จึงขอสั่งสมบารมีธรรม เพื่อพระนิพพาน

Namo

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 206
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 10:24:18 am »
0
อายุลูกชาย ก็ 30 กว่าแล้ว ยังไม่มีภรรยา เลยแสดงให้เห็นว่า

 1.อาจจะตั้งใจเพื่อบวช
 
 2.ไม่ก็คุณแม่ ห่วงลูกชาย มาก จึงกีดกัน ให้ลูกชายอยู่กับตนเองเท่านั้น


  ถ้าเป็นกรณีที่ 1 นั้นก็น่าจะให้บวชได้ เพราะคุณแม่ มีบำเหน็จเลี้ยงอยู่แล้ว

  ถ้าเป็นกรณีที่ 2 นั้นถ้าจะลำบาก เพราะ เหมือนคนโรคจิต...

 วิเคราะห์เล่น .... แต่อาจจะไม่ใช่เป็นอย่างนี้


------------------------------------------

 สรุปแนะนำให้บอกคุณยาย ให้ ลูกชาย บวชพระเถิด เพราะเป็นพระ ก็สงเคราะห์ พ่อแม่ได้ นะคะ
 :25:
บันทึกการเข้า

P63

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 51
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 09:30:09 pm »
0
ถ้าแม่ไม่มีญาติพี่น้องอื่นดูแล เหลืออยู่ตัวคนเดียวกับลูก ลูกที่จะบวช น่าจะเกิดความกังวลมากกว่าความสบายใจ

การที่แม่มีบำนาญเลี้ยงตัว ก็เป็นเพียงเลี้ยงกาย แต่การดูแลจิตใจ และถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย ใครจะดูแล
ยกเว้นว่าแม่มีศรัทธาในพระศาสนา เต็มใจไปอยู่วัดด้วย เช่น ถือศีลเป็นชีปะขาว

ถ้าไม่สามารถบวชได้จริงๆ ถึงตัวจะไม่เป็นพระ แต่ใจเป็นพระก็ได้นี่ครับ ถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรมจริงๆ
แม้จะต้องอึดสักหน่อยเพราะภาระทางโลก


บันทึกการเข้า

prayong

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 72
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 12:33:23 am »
0
ดิฉันว่า น่าจะอธิบายกับคุณยาย เรื่องการบวช เถอะคะ แล้ว คุณยายอายุเท่าไหร่คะ

บอกให้ลูกชาย อดทนอีกสักหน่อยเุถอะคะ

 :25:
บันทึกการเข้า

tcarisa

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 524
  • ก้าวน้อย แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 08:51:41 am »
0
ดิฉันว่า น่าจะอธิบายกับคุณยาย เรื่องการบวช เถอะคะ แล้ว คุณยายอายุเท่าไหร่คะ

บอกให้ลูกชาย อดทนอีกสักหน่อยเุถอะคะ

 :25:

ยาย 68 ปี ลูกชาย 34 ปี
 ???
บันทึกการเข้า
เราเป็นหน่ออ่อน ที่รอการเติบโต
จึงขอสั่งสมบารมีธรรม เพื่อพระนิพพาน

Namo

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 206
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 07:57:52 am »
0
อรรถกถา ตักกลชาดก
ว่าด้วย การเลี้ยงดูบิดามารดา

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภบุรุษผู้เลี้ยงบิดาคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า น ตกฺกลา สนฺติ ดังนี้.
               ได้ยินว่า บุรุษนั้นเป็นลูกคนสุดท้องในตระกูลยากจนตระกูลหนึ่ง เมื่อมารดาตายแล้ว เขาลุกขึ้นแต่เช้า ทำการปฏิบัติบิดามีให้ไม้สีฟันแลน้ำบ้วนปากเป็นต้น จัดอาหารมีข้าวยาคูแลภัตเป็นอาทิ โดยสมควรแก่ทรัพย์ที่ตนได้มาด้วยการรับจ้างและการไถ บำรุงเลี้ยงบิดา
               ครั้งนั้น บิดาพูดกะเขาว่า ลูกรัก เจ้าคนเดียวทำการงานทั้งภายในภายนอก พ่อจักนำนางกุลทาริกามาให้เจ้าสักคนหนึ่ง นางจักได้ช่วยทำการงานในเรือน.
               เขากล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ขึ้นชื่อว่าสตรีมาเรือนแล้ว คงจักไม่ทำความสุขใจให้แก่ฉันและพ่อได้ ขอพ่ออย่าได้คิดเช่นนี้เลย ฉันจักเลี้ยงดูพ่อจนตลอดชีวิต เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้วฉันจักบวช.
               ลำดับนั้น บิดาได้นำนางกุลทาริกาคนหนึ่งมาให้ทั้งๆ ที่เขาไม่ต้องการเลย
               นางได้มีอุปการะและเคารพยำเกรงต่อพ่อผัวและผัว
               ฝ่ายผัวก็ยินดีต่อนางว่า เป็นผู้อุปการะต่อบิดาของตน จึงนำของที่ชอบๆ ใจ ซึ่งได้มาๆ มามอบให้ แม้นางก็ได้น้อมนำเข้าไปให้พ่อผัวทั้งสิ้น
               ต่อมา นางคิดว่า สามีของเราได้อะไรมา ก็มิได้ให้แก่บิดา ให้แก่เราผู้เดียวเท่านั้น เขาคงไม่มีความรักในบิดาเป็นแน่ เราจักใช้อุบายอย่างหนึ่งทำตาแก่นี้ให้เป็นที่เกลียดชังแห่งสามีเรา แล้วให้ขับเสียจากเรือน.
               ตั้งแต่นั้นมา นางก็ได้ทำเหตุที่ยั่วให้พ่อผัวโกรธ เป็นต้นว่า เมื่อจะให้น้ำก็ให้น้ำเย็นเกินไปบ้าง ร้อนเกินไปบ้าง ให้อาหารเค็มจัดบ้างจืดไปบ้าง ให้ภัตดิบๆสุกๆ บ้าง แฉะเกินไปบ้าง ดังนี้ เมื่อพ่อโกรธ นางก็กล่าวคำหยาบว่า ใครจักอาจปฏิบัติตาแก่นี้ได้ แล้วก่อการทะเลาะขึ้น แลแกล้งขากก้อนเขฬะเป็นต้น ในที่ทั่วๆ ไป แล้วฟ้องสามีว่า ท่านจงดูการกระทำของบิดา เมื่อฉันกล่าวว่า พ่ออย่าทำอย่างนี้ๆ พ่อก็โกรธ ท่านจะให้พ่ออยู่ในเรือนนี้หรือจะให้ฉันอยู่.
               เขาได้กล่าวกะนางว่า น้องรัก เจ้ายังเป็นสาวอยู่อาจที่จะเป็นอยู่ในที่ใดๆ ก็ได้ พ่อของฉันแก่แล้ว เมื่อเจ้าไม่อาจอดกลั้นแกได้ ก็จงออกจากบ้านนี้ไป.
               นางมีความกลัว หมอบลงแทบเท้าพ่อผัว ขอขมาโทษว่า ตั้งแต่นี้ไป ฉันจักไม่ทำอย่างนี้อีก แล้วนางก็เริ่มปฏิบัติตามปกติดังก่อน.
               ลำดับนั้น อุบาสก ตั้งแต่วันที่ถูกภรรยารบกวนบิดาให้เดือดร้อน ก็มิได้ไปฟังธรรมในสำนักพระศาสดา ต่อเมื่อภรรยาดำรงเป็นปกติแล้วจึงได้ไป
               ที่นั้น พระศาสดาตรัสถามเขาว่า อุบาสก เหตุไร? ท่านจึงไม่มาฟังธรรมถึง ๗ วัน.
               เขาได้กราบทูลเหตุการณ์ให้ทรงทราบ
               พระศาสดาตรัสว่า ในกาลนี้เท่านั้นที่ท่านไม่เชื่อถ้อยคำของภรรยา ไม่ขับบิดาออกจากเรือน แต่ในกาลก่อนท่านเชื่อถ้อยคำของภรรยาของท่าน นำบิดาไปป่าช้าผีดิบขุดหลุมฝังบิดา เราตถาคตเกิดเป็นบุตรมีอายุ ๗ ขวบแสดงคุณของมารดาบิดา ห้ามการฆ่าบิดาได้ในเวลาที่จะตาย คราวนั้นท่านเชื่อฟังถ้อยคำของเรา ปฏิบัติบิดาจนตลอดชีวิตแล้วไปเกิดในสวรรค์ โอวาทที่เราให้ไว้นี้นั้น แม้ท่านไปเกิดในภพอื่นก็ไม่ละวาง ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่เชื่อถ้อยคำของภรรยา ไม่ขับไล่บิดาออกในบัดนี้.
               อุบาสกนั้นทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว
               พระองค์จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้:-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ณ บ้านของชาวกาสีตำบลหนึ่ง ตระกูลแห่งหนึ่งมีบุตรน้อยคนเดียว ชื่อสวิฏฐกะ เขาบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาอยู่ ต่อมาเมื่อมารดาล่วงลับไปแล้ว ก็บำรุงเลี้ยงบิดา
               เรื่องทั้งหมดต่อไปนี้ เหมือนเนื้อเรื่องปัจจุบันนั่นแหละ
               ในที่นี้จะกล่าวแต่เนื้อความที่แปลก ดังต่อไปนี้.
               ครั้งนั้น หญิงนั้นกล่าวว่า ท่านจงดูการกระทำของบิดาเถิด เมื่อฉันกล่าวว่า อย่าทำอย่างนี้ๆ ก็โกรธ. แล้วกล่าวต่อไปว่า ข้าแต่นาย บิดาของท่านดุกับหยาบคาย ก่อการทะเลาะอยู่เรื่อย แกแก่คร่ำคร่า พยาธิเบียดเบียน ไม่ช้าก็จักตาย ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับแกได้ ในวันสองวันนี้แกต้องตายแน่ ท่านจงนำแกไปป่าช้าผีดิบ ขุดหลุมแล้วเอาแกใส่เข้าไปในหลุม เอาจอบทุบศีรษะให้ตาย เอาฝุ่นกลบข้างบนแล้วจงมา.
               นายสวิฏฐกะถูกภรรยารบเร้าอยู่บ่อยๆ จึงกล่าวว่า แน่ะหล่อน ขึ้นชื่อว่าการฆ่าคนเป็นกรรมหนัก ฉันจักฆ่าบิดาอย่างไรได้.
               นางกล่าวว่า ฉันจักบอกอุบายแก่ท่าน นายสวิฏฐกะกล่าวว่า จงบอกมาก่อน นางจึงบอกว่า ข้าแต่นาย ท่านจงไปที่บิดานอน ในเวลาเช้ามืด ทำเสียงดังให้คนทั้งหมดได้ยิน แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ลูกหนี้ของพ่อมีอยู่ที่บ้านโน้น เมื่อฉันจะไปแต่ลำพังเขาจะไม่ให้ เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้วเงินจักสูญ พรุ่งนี้เรานั่งบนยานไปด้วยกันแต่เช้าทีเดียว ดังนี้ แล้วนายจงลุกขึ้นตามเวลาที่บิดาบอกไว้ เทียมยานให้แกนั่งบนยานแล้วนำไปป่าช้าผีดิบ ขุดหลุมแล้วทำเป็นเสียงโจรปล้น ฆ่าแกแล้วผลักลงหลุมทุบศีรษะแล้วอาบน้ำมาเรือน.
               นายสวิฏฐกะคิดว่าอุบายนี้เข้าที จึงรับคำของนางแล้วตระเตรียมยานที่จะไป
               ก็นายสวิฏฐกะมีบุตรอยู่คนหนึ่งมีอายุ ๗ ขวบ เป็นเด็กฉลาดเฉียบแหลม เขาฟังคำของมารดา จึงคิดว่า มารดาของเรามีธรรมลามกยุบิดาเราให้ทำปิตุฆาต เราจักไม่ให้บิดาเราทำปิตุฆาต. แล้วก็ค่อยๆ ย่องเข้าไปนอนอยู่กับปู่ ครั้นได้เวลาที่บิดาบอกไว้ นายสวิฏฐกะเทียมยานแล้วกล่าวว่า มาเถิดพ่อ เราไปสะสางลูกหนี้กันเถิด. แล้วให้บิดานั่งบนยาน กุมารได้ขึ้นยานก่อนแล้ว
               นายสวิฏฐกะไม่อาจห้ามบุตรได้ จึงต้องพาไปป่าช้าผีดิบด้วย ให้บิดาและกุมารพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งกับยาน ตนเองลงถือจอบและตะกร้า เริ่มจะขุดหลุม ๔ เหลี่ยม ณ ที่ลับแห่งหนึ่ง
               แม้กุมารก็ลงแล้วไปสำนักบิดา ทำเป็นไม่รู้ เริ่มคำพูดกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

               ข้าแต่พ่อ มันนก มันเทศ มันมือเสือ และผักทอดยอด ก็มิได้มี พ่อต้องการอะไร จึงขุดหลุมอยู่คนเดียวในป่ากลางป่าช้าเช่นนี้เล่า.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตกฺกลา สนฺติ ได้แก่ มันนกก็ไม่มี. มันเทศ ชื่อว่า อาลุปานิ. มันมือเสือ ชื่อว่า วิลาลิโย. ผักทอดยอด ชื่อว่า กลมฺพานิ.

               ลำดับนั้น บิดาได้กล่าวคาถาที่ ๒ ตอบบุตรว่า:-
               แน่ะพ่อ ปู่ของเจ้าทุพพลภาพมากแล้ว ถูกกองทุกข์อันเกิดจากโรคภัยหลายอย่างเบียดเบียน วันนี้ พ่อจะฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม เพราะพ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้ามีชีวิตอยู่ อย่างลำบากเลย

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกพฺยาธีหิ คือถูกทุกข์อันเกิดจากพยาธิหลายอย่างเบียดเบียนแล้ว. บทว่า น หิสฺส ตํ ความว่า เพราะว่า พ่อไม่ปรารถนาจะให้ปู่ของเจ้านั้นมีชีวิตอยู่อย่างลำบากเช่นนั้น พ่อเข้าใจว่า ความตายของปู่เท่านั้นประเสริฐกว่ามีชีวิตอยู่เห็นปานนี้ จึงจักฝังปู่ของเจ้านั้นเสียในหลุม.

               กุมารได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวกึ่งคาถาว่า :-
               พ่อได้ความดำริอันลามกนี้แล้ว กระทำกรรมที่หยาบช้า อันล่วงเสียซึ่งประโยชน์.

               พึงทราบความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า ข้าแต่พ่อ ท่านคิดว่า เราจักเปลื้องบิดาออกจากทุกข์ จึงผูกไว้ด้วยมรณทุกข์ ชื่อว่ากระทำกรรมอันหยาบช้า อันล่วงเสียซึ่งประโยชน์ เพราะได้ความดำริอันลามกนี้ และเพราะก้าวล่วงประโยชน์ด้วยอำนาจแห่งความดำรินั้นตั้งอยู่.

               ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็ฉวยจอบจากมือบิดา ตั้งท่าจะขุดหลุมอีกหลุมหนึ่งในที่ใกล้ๆ กัน. ลำดับนั้น บิดาจึงเข้าไปถามกุมารนั้นว่า ลูกรัก เจ้าจะขุดหลุมทำไม?
               เมื่อกุมารจะตอบบิดา ได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-

               ข้าแต่พ่อ เมื่อพ่อแก่ลง ก็จักได้รับกรรมเช่นนี้จากลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตามเยี่ยงตระกูลนั้น จักฝังพ่อเสียในหลุมบ้าง.

               พึงทราบเนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า ข้าแต่พ่อ แม้ลูกก็จักฝังพ่อเสียในหลุมอีกหลุมหนึ่ง ในเวลาที่พ่อแก่บ้าง อธิบายว่า พ่อ เพราะเหตุนี้แล เมื่อพ่อแก่ลงก็จักได้รับกรรมเช่นนี้ ในหลุมที่ขุดไว้นี้จากตัวลูกบ้าง แม้ลูกเองก็จะอนุวัตรตามเยี่ยงตระกูลนั้น คือที่พ่อให้เป็นไปแล้วนั้น คือเมื่อเจริญวัยแล้ว อยู่กินกับภริยา ก็จักฝังพ่อเสียในหลุมบ้าง.

               ลำดับนั้น บิดาได้กล่าวคาถาที่ ๔ แก่กุมารว่า :-
               แน่ะพ่อ เจ้ามากล่าวกระทบกระเทียบขู่เข็ญพ่อด้วยวาจาหยาบคาย เจ้าเป็นลูกที่เกิดแต่อกของพ่อ แต่หาได้มีความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่พ่อไม่.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปกุพฺพมาโน แปลว่า ขู่เข็ญ. บทว่า อาสชฺช แปลว่า กระทบกระเทียบ.

               เมื่อบิดากล่าวอย่างนี้แล้ว กุมารผู้เป็นบัณฑิตจึงกล่าวคาถา ๓ คาถา
               คือคาถาโต้ตอบคาถา ๑ คาถา อุทาน ๒ คาถาว่า :-

               ข้าแต่พ่อ มิใช่ว่าฉันจะไม่มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อ แม้ฉันก็มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อ แต่เพราะฉันไม่กล้าจะห้ามพ่อผู้ทำบาปกรรมโดยตรงได้ จึงได้พูดกระทบกระเทียบเช่นนั้น.
               ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดเป็นคนมีธรรมอันลามก เบียดเบียนมารดาหรือบิดาผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า ย่อมเข้าถึงนรกโดยไม่ต้องสงสัย.
               ท่านสวิฏฐกะ ผู้ใดบำรุงเลี้ยงมารดาบิดาด้วยข้าวน้ำ ผู้นั้นครั้นตายไปภายหน้า เข้าถึงสุคติโดยไม่ต้องสงสัย.

               บิดา ครั้นได้ฟังธรรมกถาของบุตรดังนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า :-
               แน่ะพ่อ เจ้าจะเป็นผู้ไม่มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อก็หาไม่ เจ้าชื่อว่าเป็นผู้มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่พ่อแล้ว แต่พ่อถูกแม่ของเจ้าว่ากล่าว จึงได้กระทำกรรมที่หยาบคายเช่นนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหญฺจ เต มาตรา คือ อหํปิ เต มาตรา อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.

               กุมารได้ฟังดังนั้นแล้ว กล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ธรรมดาสตรีเมื่อเกิดโทสะขึ้นข่มไว้ไม่ได้เลย จึงทำชั่วบ่อยๆ ควรที่พ่อจะขับแม่ของฉันไปเสีย ไม่ให้ทำชั่วเช่นนี้อีกได้
               แล้วกล่าวคาถาที่ ๙ ว่า :-

               หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวฉัน พ่อจงขับไล่ไปเสียจากเรือนของตน เพราะแม่จะนำทุกข์อย่างอื่นมาให้พ่ออีก.

               นายสวิฏฐกะได้ฟังคำของบุตรผู้เป็นบัณฑิตแล้ว มีความโสมนัส กล่าวว่า เราไปกันเถิดลูก แล้วขึ้นนั่งบนยานกับบุตรและบิดาไปบ้าน.
               ฝ่ายหญิงอนาจารนั้นก็ร่าเริงยินดีว่า คนกาลกรรณีออกจากเรือนเราไปแล้ว จึงเอามูลโคสดมาทาเรือน หุงข้าวปายาสแล้วคอยแลดูทางที่ผัวจะมา ครั้นเห็นมาทั้งสามคนก็โกรธว่า พาคนกาลกรรณีที่ออกไปกลับมาอีกแล้ว จึงด่าว่า เจ้าคนร้าย เจ้าพาคนกาลกรรณีที่ออกไปแล้ว กลับมาอีกทำไม?
               นายสวิฏฐกะไม่พูดอะไรๆ ปลดยานแล้ว จึงพูดว่าคนอนาจาร เจ้าว่าอะไร? แล้วทุบนางนั้นเสียเต็มที่ กล่าวว่า แต่นี้ไปเจ้าอย่าเข้ามาเรือนนี้ แล้วจับเท้าลากออกไป ครั้นไล่ภรรยาไปแล้ว ก็อาบน้ำให้บิดากับบุตร แม้ตนเองก็อาบ แล้วบริโภคข้าวปายาสพร้อมกันทั้งสามคน หญิงใจบาปนั้นไปอยู่เรือนผู้อื่นได้ ๒,๓ วัน.
               ในกาลนั้น บุตรกล่าวกะบิดาว่า ข้าแต่พ่อ แม่ฉันคงยังไม่รู้สำนึกด้วยการถูกลงโทษเพียงเท่านี้ พ่อจงแกล้งพูดว่า จะไปขอลูกสาวลุงในตระกูลโน้นมาปรนนิบัติตัวกับบิดาและบุตร เพื่อทำให้แม่ฉันเก้อ แล้วถือเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้น ขึ้นยานไปเที่ยวอยู่ตามท้องนา แล้วกลับมาเวลาเย็น.
               นายสวิฏฐกะได้กระทำตามทุกประการ สตรีในตระกูลที่คุ้นเคยบอกหญิงนั้นว่า ได้ยินว่า ผัวของเธอไปบ้านโน้นเพื่อนำหญิงอื่นมาเป็นภริยา.
               หญิงนั้นสะดุ้งกลัวว่า ฉิบหายละเราคราวนี้ เราไม่มีโอกาสอีกแน่ คิดว่าจะอ้อนวอนบุตรดูสักครั้ง จึงแอบไปหาบุตร หมอบลงแทบเท้ากล่าวว่า ลูกรัก เว้นเจ้าเสียแล้ว คนอื่นไม่เป็นที่พึ่งของแม่ได้ ตั้งแต่นี้ไป แม่จะปฏิบัติพ่อและปู่ของเจ้าราวกะพระเจดีย์ที่ประทับไว้ เจ้าจงช่วยให้แม่ได้เข้ามาอยู่ในเรือนนี้อีก.
               กุมารกล่าวว่า ดีแล้วแม่ ถ้าแม่ไม่ทำเช่นนี้อีก ฉันจักช่วย แม่อย่าประมาท.
               ครั้นเวลาบิดามา ได้กล่าวคาถาที่ ๑๐ ว่า:-

               หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ เป็นแม่บังเกิดเกล้าของตัวฉัน ซึ่งมีใจบาปนั้น ถูกทรมานดังช้างพังที่นายควาญฝึกให้อยู่ในอำนาจแล้ว จงกลับมาเรือนเถิด.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาต เป็นต้น ความว่า ข้าแต่พ่อ บัดนี้ หญิงชั่วผู้เป็นเมียของพ่อ ซึ่งก่อเหตุวุ่นวายนั้น ถูกทรมานดังช้างพังที่นายควาญฝึกให้อยู่ในอำนาจ สิ้นพยศแล้ว.
               บทว่า ปุนราวชาตุ คือจงกลับมาสู่เรือนนี้อีกเถิด.

               กุมารนั้น ครั้นแสดงธรรมแก่บิดาดังนี้แล้ว ก็ไปนำมารดามา นางขอขมาโทษผัวและพ่อผัวแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ประกอบด้วยธรรมเครื่องข่ม ปฏิบัติผัวพ่อผัวและลูกเป็นอย่างดี สองผัวเมียตั้งอยู่ในโอวาทของลูก ทำบุญมีทานเป็นต้น แล้วได้ไปเกิดในสวรรค์.

               พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจธรรม บุรุษผู้เลี้ยงบิดาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
               พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า
                         บิดาบุตรและหญิงสะใภ้ในครั้งนั้น ได้มาเป็น บิดาบุตรและหญิงสะใภ้ในบัดนี้
                         ส่วนกุมารผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาตักกลชาดกที่ ๘

ที่มาเนื้อหา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1400
บันทึกการเข้า

Namo

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 206
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 08:12:43 am »
0
ลูกที่สามารถช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ ตั้งอยู่ในคุณธรรม
มีจิตใจแจ่มใสเบิกบานได้ก็ได้บุญมากทีเดียว
เพราะเป็นการให้และช่วยให้ท่านได้สิ่งล้ำค่า
การให้สิ่งของมันเสียได้เสื่อมได้
บางครั้งกลายเป็นดาบสองคมก็มี
การรับใช้ก็ช่วยท่านได้เฉพาะชาตินี้
แต่คุณงามความดีไม่มีโทษอย่างนั้นเลย
ไม่ลอยตัวตามความเชื่อถือของใคร
ไม่มีขึ้นมีลง ไม่มีใครแย่งชิงได้
และยังเป็นเสบียงในการเดินทาง ไปสู่ชาติหน้าได้ด้วย

ท่านจึงเรียกคุณธรรมต่างๆ ว่าเป็นอริยทรัพย์ คือเป็นทรัพย์อันประเสริฐ คือความเป็นอิสระจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง

เรา ควรจะให้ความสุขสบาย แก่ผู้มีบุญคุณต่อเรา ให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ แต่ในขณะเดียวกันไม่ควรลืมความจริงว่า สิ่งที่สูงกว่านั้นยังมีอยู่ ต้องเข้าใจว่าการช่วยลดความทรมาน ในการตุรัดตุเหร่ในวัฏสงสารของพ่อแม่ ยังสู้ลดเหตุที่พ่อแม่ต้องรับการทรมานนั้นต่อไปไม่ได้

มติของพระพุทธศาสนาในเรื่องการตอบแทนบุญคุณจึงขึ้นอยู่กับหลักความเชื่อของเราว่า

๑. การเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์และการไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นสุข

๒. การเวียนว่ายตายเกิดมีกิเลสเป็นเชื้อ

๓. มนุษย์ปล่อยวางกิเลสได้และควรปล่อยวาง

๔. การปล่อยวางกิเลสและบำเพ็ญความดีคือการปฏิบัติไปสู่ความสุขที่แท้จริง

ปัญหา อยู่ที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะได้ปลูกฝังหรือชักนำให้คุณพ่อคุณแม่ของเราเจริญด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา อย่างที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้ ก่อนอื่นของให้เตรียมตัวรับความผิดหวัง เราอาจจะทำไม่ได้เหมือนกันหรืออาจจะได้ผลน้อย ไม้อ่อนของเรายังดัดยากพอสมควร ทำไมไม้แก่ของท่านต้องดัดง่าย อย่ารำคาญท่านเลย อย่าหงุดหงิด อย่าท้อแท้ ใจจะไม่เป็นบุญ การที่คนเราเปลี่ยนยากเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นขอให้ทำโดยไม่ต้องคาดหวังมาก ทำเพราะเป็นหน้าที่ของลูกที่ดี อย่ายอมให้เป็นทุกข์กับการทำความดีเลย
บันทึกการเข้า

Namo

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 206
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2011, 08:41:23 am »
0
ได้ไปสอบถามทางลูกชาย ของคุณยายแล้ว

เธอมีความตั้งใจอยากให้คุณแม่ ได้เห็นชายผ้าเหลือง ของตนบ้างแต่เพราะตนเองมีความตั้งใจอยากบวช

มาตั้งแต่เล็กแล้ว เกรงว่าจะห้ามใจตนเองไม่ให้ลาสิกขาได้ ( สึก ) จึงได้บอกแม่ไปว่า บวชตลอดชีวิต เพื่อ

ให้แม่ได้ดีใจ ว่าลูกมีความตั้งใจ ที่จะบวชภาวนา แต่ผลกับทำให้แม่ไม่สบายใจ เพิ่มเข้าไปอีกเพราะคิดว่า

จะหลีกรี้หนีหน้าจากไป ก็หน้าเสียดาย นะคะเรียนจบ ตั้ง ป.ตรี อุตสาหกรรม มช. แต่จะไปทำงานแม่ก็ห้ามไว้

ก็พึ่งเห็นว่าแม่เป็นอย่างนี้ มีแต่เขาจะดีใจที่ลูกชายบวช คุณยายจัดได้ว่าเป็นคนมีฐานะ จึงไม่ทุกข์ร้อนเรื่องการ

ทำมาหากิน งานนี้คิดว่าคงต้องไปช่วยชักแม่น้ำทั้ง 5 โน้มน้าว ใจคุณยายสักหน่อย จะดีหรือไม่คะ เพื่อนๆ
 :25:

บันทึกการเข้า

suchin_tum

  • ไม่กลับมาเกิด
  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 486
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2011, 06:06:40 pm »
0
ผมว่าเป็นเรื่องของคนในครอบครัวนั้น เราไม่ควรไปยุ่งกับเขา
บันทึกการเข้า
ขอน้อมอาราธนากำลังแห่งครูอาจารย์กรรมฐานมัชฌิมาจงมาประสิทธิ์ประศาสตร์

fasai

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +20/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 540
  • ทางสายกลาง
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 10:41:36 pm »
0
คุณ Namo ต้องเสียสละเวลาไปชักนำเรื่อง ธรรมะ ให้คุณยายรับทราบ ชวนไปทำบุญ บ้างนะคะ เอาหนังสือธรรมะ
แผ่นบรรยายธรรม ไปฝาก ถ้าไม่รู้จะเอาที่ไหนไปฝาก ก็ขอพระอาจารย์เลยก็ได้ ท่านต้องอนุเคราะห์แน่นอนคะ

อนุโมทนา ในบุญกุศล นะคะ
 :25:
บันทึกการเข้า
ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม
ใครสร้างกรรมอย่างไร ก็รับผลกรรมอย่างนั้น

sanrak

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 116
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 09:39:40 am »
0
คุณ Namo ต้องเสียสละเวลาไปชักนำเรื่อง ธรรมะ ให้คุณยายรับทราบ ชวนไปทำบุญ บ้างนะคะ เอาหนังสือธรรมะ
แผ่นบรรยายธรรม ไปฝาก ถ้าไม่รู้จะเอาที่ไหนไปฝาก ก็ขอพระอาจารย์เลยก็ได้ ท่านต้องอนุเคราะห์แน่นอนคะ

อนุโมทนา ในบุญกุศล นะคะ
 :25:

อันนี้ต้องเป็นหน้าที่ ครูอริสา จขกท. คะ ไม่ใช่คุณ นะโม นะคะ คุณฟ้าใส

 :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า

udom

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 97
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 02:34:15 am »
0
ก็ขอให้คุณ tcarisa ได้ไปทำหน้าที่ประสานความเข้าใจในเรื่องอานิสงค์การอุปสมบถครับ เพราะถ้าเป็นผมก็
อยากให้ลูกผู้ชายทุกคนได้อุปสมบถครับ เพราะมานึกถึงบุญในการอุปสมบถแล้วผมเองก็ยังเสียใจอยู่ทุกวันนี้
เพราะเมื่อก่อนจะเป็นลูกน้องมาลาไปบวชบ้าง คนอื่นจะบวชบ้าง ผมก็จะห้าม จะปราม พอถึงเวลาผมจะไปบวช
บ้าง ก็มีเหตุให้งานต่าง ๆ เข้ามาทำให้ผมต้องยุ่งและไม่ได้บงชสักที นี่ก็จะเข้าหลัก 50 ปีแล้วยังวุ่นวายอยู่กับ
งานอยู่เลย

 ดังนั้นผมว่า ถ้าใครจะบวช ผมก็ขออนุโมทนากับงานบุญนี้ ครับ ไม่ขวาง ไม่ขัด สนับสนุนครับ
แต่กรณีของคุณยาย ถ้าไม่เดือดร้อนเรื่องฐานะแล้ว การบวชพระลูกชาย นั้นน่าจะเป็นบุญกุศลครับ
อีกอย่างถึงคุณยาย จะอยู่ตัวคนเดียว แต่ระเบียบของพระสามารถบวชแล้ว ดูแลพ่อแม่ได้ครับแม้
กระทั่งบิณฑบาตรให้พ่อแม่ บริโภค ก็ยังไม่ผิดวินัย ผมเห็นพระกตัญญู ก็มีมากหลายรูป หลายองค์ครับ



พระถอดจีวรไปช่วยแม่ไถนา



ติดตามอ่านได้ที่นี่ครับ
http://cyberwalker.multiply.com/journal/item/155/155







มีคำกล่าวของครูอาจารย์กล่าวให้ผมฟังว่า

การได้เกิดมาเป็น มนุษย์ เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้เกิดมาเป็น มนุษย์ แล้ว การได้ กัลยาณมิตร ก็เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้กัลยาณมิตร แล้วการได้เกิดมา พบพระพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้พบพระพุทธศาสนา แล้วการได้ ครูอาจารย์ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มาสอน ก็เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้ครูที่เป็น สัมมาทิฏฐิ มาสอนแล้ว การได้อุปสมบถในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้ อุปสมบถ ในพระพุทธศาสนาแล้ว การได้ ดวงตาเห็นธรรม ก็ยังเป็นเรื่องยาก

เป็นต้นครับ

 :25: :25: :25:

บันทึกการเข้า

suchin_tum

  • ไม่กลับมาเกิด
  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 486
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 09:47:00 am »
0
หากน้อมใจผู้เป็นมารดาสําเร็จก็นับเป็นเรื่องปีติ หากเป็นเราเองเมื่อก่อนเราก็คงอยากทําแบบนี้แต่เผอิญเราไปได้ยินเรื่องๆหนึ่ง ที่ครูบาอาจารย์เตือนเพื่อนคนหนึ่ง-ว่า-(ห้ามปรามาสเทวดาประจําตัวของผู้อื่น)เทวดาท่านก็มีหัวจิตรหัวใจหากไม่พอใจ โดดมาใส่เราเราอาจเจ็บ-หรือป่วย-หรือถูกเบียดเบียนได้ทันที หากท่านเหล่านั้นยังไม่หมดกรรมต่อกันล่ะแล้วถ้าเทวดาโกรธล่ะ-เทวดามีเจโตปริยญาณทุกองค์-รู้หมดว่าเรากําลังทําอะไร เรื่องที่เรากังวลจบแล้ว อยากให้ทุกท่านได้ข้อสังเกตไว้พิจราณา เรื่องนี้มีเพิ่มอีก 2 องค์ ไม่ได้มีแค่มนุษย์เท่านั้น
บันทึกการเข้า
ขอน้อมอาราธนากำลังแห่งครูอาจารย์กรรมฐานมัชฌิมาจงมาประสิทธิ์ประศาสตร์

DANAPOL

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-1
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 332
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 08:32:40 am »
0
เป็นลูกสาวคนสุดท้องค่ะ มีพี่ชาย 1 คนแต่บวชได้ 4 พรรษาแล้ว
ตอนแรกบวชแล้วยังอยู่ในวัดที่ กรุงเทพฯ เมื่อบวชได้สักพัก หลวงพี่
ได้ไปหาครูบาอาจารย์และย้ายไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อที่ต่างจังหวัด
ซึ่งไม่ใช้โทรศัพท์และเปิดรับแขกเฉพาะวันอาทิตย์ ไปมาหาสู่ลำบาก

     แม่เป็นคนคิดมาก ขี้กังวล ห่วงสารพัด และติดลูก ติดครอบครัว
โดยเฉพาะลูกชาย แม่รักมาก ใครไม่กลับบ้านแม่จะนอนไม่หลับ
ไปไหนต้องไปด้วยกัน ตอนแรกที่หลวงพี่บวช ไม่ได้ตั้งใจจะบวชนาน
แต่เมื่อบวชไปก็ขออยู่ต่อ จนมาถึงวันนี้ แม่คงเข้าใจแล้วว่าลูกจะไม่สึก
ตอนแรกที่หลวงพี่ยังอยู่กรุงเทพ แม้จะทุกข์ใจที่ลูกไม่สึกแต่ก็ยังไม่
หนักเท่าตอนนี้ เพราะตอนอยู่วัดในกรุงเทพ แม่คิดถึงก็ยังไปหาได้
แต่เมื่อไปอยู่ต่างจังหวัด ไปหาลำบากและแม่ก็เกรงใจหลวงพ่อไม่กล้าไปหาบ่อยๆ

       ทุกวันนี้ แม่ยังทำใจไม่ได้ค่ะ ร้องไห้อาลัยอาวรณ์ ใครพูดใครปลอบอย่างไร ทั้งพระ ทั้งคนใกล้ตัว ญาติพี่น้อง แม่ก็ทำใจไม่ได้ บอกแต่ว่าไม่มาเป็นแม่ไม่รู้หรอก หลวงพี่แนะนำให้ปฎิบัติธรรม เดินจงกรม แม่ก็เดินไปคิดไป คิดพะวงถึงแต่ลูก เรียกหาแต่ลูก ไปไหนเห็นอะไรก็คิดถึงลูก บางวันแย่มากๆ ก็โทรมาร้องไห้กับลูกสาว พูดอะไรไปก็ไม่ยอมฟังค่ะ บอกแต่ว่า ทำไม่ได้ แม่ต้องตายเร็วแน่ อยู่ได้ไม่นานเพราะตรอมใจ (คิดไปถึงว่าพระลูกชายฆ่าแม่ให้ตายเร็วขึ้น)และถ้าตายไปก็คงไปไม่ดี เพราะจิตพะวง ความคิดนี้ค่อนข้างน่ากลัวมากค่ะ บางทีก็เอาคำพูดนี้ไปขู่หลวงพี่ด้วย 

       ยอมรับค่ะว่าบางทีเหนื่อยและท้อ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ทุกวันนี้
ไม่ค่อยไปไหนกับใคร เลิกงานก็รีบกลับบ้าน เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ค่อยไปไหน
จะไปไหนก็พาแม่ไปด้วย ไม่อยากทิ้งแม่ไว้ แม้จะมีพ่ออยู่บ้านเป็นเพื่อนแล้ว
แม่ ก็ยังไม่หายจากอาการนี้  พยายามบอกแม่ว่า ทุกคนช่วยแม่แล้ว แม่ต้องช่วยตัวเองด้วย ต้องให้ความร่วมมือ แต่พูดจบเค้าก็จะบอกแต่ว่า เค้าทำไม่ได้ เค้าทำไม่ได้ อะไรก็ไม่ๆๆๆสักอย่าง พูดอะไรไปก็ปฎิเสธหมด แล้วก็อ้างแต่ว่า ใครไม่มาเป็นเค้าไม่รู้หรอก  คนอื่นๆก็จะพูดแต่ว่า ลูกบวชหนะดีแล้ว
ต้องอนุโมทนา เค้าก็จะบอกว่าดีแต่เค้าทำใจไม่ได้ เค้าไม่เหมือนคนอื่น

        และถ้าใครฟังแล้วพยายามบอกหรือให้คิดไปอีกแง่ เค้าจะไม่อยากคุยด้วย เหมือนไปขัดคอเค้า ไม่เข้าใจความทุกข์ของเค้า และเค้าจะชอบพูดว่า ทำใจไม่ได้ เพราะเค้ามีลูกคนเดียว (บางทีฟังแล้วก็น้อยใจเหมือนกัน) บางครั้งเค้านึกได้ว่ามีลูกสาวอยู่ในวงสนทนาด้วย เค้าก็จะพูดแก้ว่า มีลูกชายคนเดียว ส่วนตัวแล้วไม่ได้คิดอะไรมากเพราะว่าโตแล้ว แต่เป็นห่วงแม่
เพราะว่าไม่สามารถอยู่ดูแลเค้าได้ตลอดวัน ที่สำคัญคนที่เค้าโหยหาไม่ใช่จขกท. แต่เป็นลูกชายที่บวช แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

         พยายามไปหาบทความ หรือคนที่มีประสบการณ์เหมือนแม่ เพื่อนำไปเล่า แต่ก็หาไม่พบ พระที่บวชอยู่ที่สำนักด้วยกันก็มีหลายท่านที่แนะนำ
ให้กำลังใจแม่ แต่แม่จะหาเหตุผลมาสนับสนุนความทุกข์ของตัวเองตลอด
ว่าแม่คนอื่นเค้ามีลูกชายหลายคนมาบวชสักคนไม่เป็นไร แต่แม่มีลูกชายคนเดียว และแม่ก็ไม่เหมือนแม่คนอื่นๆที่ทำใจได้

         ไม่รู้จะขอคำแนะนำกับใคร จึงเข้ามาห้องนี้ เผื่อว่าจะมีท่านที่มีประสบการณ์หรือประสบเหตุใกล้เคียงกัน สามารถแนะนำหรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อมารดาของจขกท.ได้บ้าง ก็ฝากไว้ด้วยค่ะ มีคำแนะนำ หรือมี link ที่น่าสนใจ แนะนำได้ค่ะ

ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ

จากคุณ    : จุดที่ท้องฟ้าบรรจบท้องทะเล


เรื่องราวส่วนใหญ่ ก็จะคล้ายอย่างนี้ครับ
บันทึกการเข้า
รหัสธรรม ต้องใช้ปัญญาคือความรู้ ผู้ถือกุญแจคือใครหนอ...

Mario

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 208
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มีนาคม 04, 2011, 08:52:42 am »
0
อ่านเรื่องของแม่จขกท.
แล้วช่างคล้ายกับแม่ของพระกุมารกัสสปะในสมัยพุทธกาลเหลือเกิน
เพียงแต่แม่ของพระกุมารกัสสปะรักลูกมากจนบวชชีตามไปอยู่วัดด้วย
แม่ของจขกท.จึงแพ้ไปนิด
ลองไปหาอ่านเองหรือลองเอาไปให้แม่หรือพระอ่านก็ดี
จะได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์บ้าง....

ลองอ่านเวอร์ชั่นแบบย่อๆของอาจารย์เสฐียรพงษ์ดูครับ...

พระ เถระต่อว่ามารดา     ฝ่ายนางภิกษุณีผู้เป็นมารดาของพระกุมารกัสสปะ ตั้งแต่วันที่พระเจ้าปเสนทิโกศลรับเอาบุตรของนางไปชุปเลี้ยงเป็นต้นมา น้ำตาของนางก็ได้ไหลหลั่งเพราะความทุกข์เกิดจากพลัดพลากจากบุตรผู้เป็นที่ รัก เป็นเวลานานถึง ๑๒ ปี

   แม้ต่อมาจะทราบว่าบุตรชายของนางมาบวชแล้วก็ตาม แต่นางก็ยังมิได้เห็นหน้าพระลูกชายเลย จนกระทั้งเช้าวันหนึ่ง นางได้พบท่านพระกุมารกัสสปะกำลังออกเดินรับบิณฑบาตอยู่ ด้วยความดีใจสุดจะยับยั่ง นางได้ร้องเรียกขึ้นว่า ลูก ' ลูก ' แล้ววิ่งเข้าไปหาเพื่อจะสวมกอดพระลูกชาย แต่เพราะว่านางรีบร้อนเกินไป จึงสะดุดล้มลงเสียก่อน

   พระกุมารกัสสปะคิดว่า ' ถ้าหากว่าเราพูดกับมารดาด้วยถ้อยคำอันไพเราะแล้ว นางก็ยิ่งเกิดความสิเนหารักใคร่ในตัวเรามากยิ่งขึ้น และจะเป็นเหตุทำให้นางเสื่อมเสียโอกาสบรรลุอมตธรรมได้ ควรที่เราจะกล่าวคำพูดที่ทำให้นางหมดอาลัยในตัวเราแล้ว นางก็จะได้บรรลุอมตธรรม' ดังนี้แล้ว จึงกล่าวแก่นางว่า ' ท่านมัวทำอะไรอยู่ จึงตัดไม่ได้แม้กระทั้งคววามรัก '

   ถ้อยคำของพระกุมารกัสสปะ ทำให้นางรู้สึกน้อยใจและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นางคิดว่า ' เราร้องไห้เพราะคิดถึงลูกชายนานถึง ๑๒ ปี เมื่อพบลูกชายแล้ว กลับถูกลูกชายพูดจาตัดเยื่อใยให้ต้องซ้ำใจอีก ' ด้วยความน้อยใจเช่นนี้ นางจึงตัดรักตัดอาลัย หมดความสิเนหาในตัวลูกชายอย่างสิ้นเชิง แล้วนางก็ได้ตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนได้บรรลุพระอรหัตผลในวันนั้นนั่นเอง


จากคุณ    : tiger18
บันทึกการเข้า
hero ผู้ปราบอธรรม มาแว้ว
มาเพราะยายกบ เป็นคนชวน
ฝากตัวด้วยไม่ถนัดเว็บ ธรรม
แต่เป็น hero ต้องไม่กลัว ธรรม