ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 339 340 [341] 342 343 ... 708
13601  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "วิธีเดินจงกรมไม่มีในพระไตรปิฏก" แต่เทียบเคียงได้กับ "อิริยาบถบรรพ" ของสติปัฏฐาน เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 10:32:57 am
อ้างถึง
  ข้อความโดย: Hero

วิธีการเดิน มีหรือไม่ครับ ในพระไตรปิฏก มีการกล่าวไว้อย่างไร ครับ

 ถ้าจะเดินจงกรม ตืองเดินอย่างไร ครับ

  thk56 st11 st12




 ans1 ans1 ans1 ans1


จงกรม [-กฺรม] ก. เดินไปมาโดยมีสติกำกับอย่างพระเดินเจริญกรรมฐาน เดินจงกรม. (ส.ป.จงฺกม). (ความหมายจาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน)

การเดินจงกรมไม่มีในพระไตรปิฏกโดยตรง แต่ให้พิจารณาในสติปัฏฐาน ๔ ในอิริยาบถบรรพของหมวดกาย ขอยกมาแสดงบางส่วน

      มหาสติปัฏฐานสูตร
      [๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
        - ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน
        - เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน
        - เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่าเรานั่ง
        - เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน
      หรือเธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ
      ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้างพิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง.....

      ...ฯลฯ..........





       อรรถกถา มหาสติปัฏฐานสูตร อิริยาบถบรรพ
       จะวินิจฉัยในปัญหาเหล่านั้น
       คำว่า ใครเดิน ความว่า ไม่ใช่สัตว์หรือบุคคลไรๆ เดิน.
       คำว่า การเดินของใคร ความว่า ไม่ใช่การเดินของสัตว์ หรือบุคคลไรๆ เดิน.
       คำว่า เดินได้เพราะอะไร ความว่า เดินได้เพราะการแผ่ไปของวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต.
       เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ คือจิตเกิดขึ้นว่า เราจะเดิน จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ก็ทำให้เกิดวิญญัติ ความเคลื่อนไหว การนำสกลกายให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่าเดิน.
       แม้ในอิริยาบถอื่นมียืนเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

        :25: :25: :25: :25:

       ก็ในอิริยาบถยืนเป็นต้นนั้น จิตเกิดขึ้นว่า เราจะยืน จิตนั้นทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว การทรงสกลกายตั้งขึ้นแต่พื้นเท้าเป็นที่สุด ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่ายืน.
       จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนั่ง จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ก็ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว ความคู้กายเบื้องล่างลง ทรงกายเบื้องบนตั้งขึ้น ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต เรียกว่านั่ง.
       จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนอน จิตนั้นก็ทำให้เกิดวาโยธาตุๆ ทำให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว การเหยียดกายทั้งสิ้นเป็นทางยาว ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำจิต เรียกว่า นอน.

        st12 st12 st12 st12

       เมื่อภิกษุนั้นรู้ชัดอยู่อย่างนี้ ย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เขากล่าวกันว่า สัตว์เดิน สัตว์ยืน แต่โดยอรรถแล้ว สัตว์ไรๆ ที่เดิน ที่ยืนไม่มี ประดุจคำที่กล่าวกันว่า เกวียนเดิน เกวียนหยุด แต่ธรรมดาว่า เกวียนไรๆ ที่เดินได้ หยุดได้เอง หามีไม่ ต่อเมื่อนายสารถีผู้ฉลาดเทียมโค ๔ ตัว แล้วขับไป เกวียนจึงเดิน จึงหยุด เพราะฉะนั้น คำนั้นจึงเป็นเพียงบัญญัติสมมุติเรียกกันฉันใด

       กายเปรียบเหมือนเกวียน เพราะอรรถว่าไม่รู้ ลมที่เกิดจากจิต เปรียบเหมือนโค จิตเปรียบเหมือนสารถี
       เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า เราจะเดิน เราจะยืน วาโยธาตุที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวก็เกิดขึ้น อิริยาบถมีเดินเป็นต้น ย่อมเป็นไปเพราะความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทำของจิต ต่อแต่นั้น สัตว์ก็เดิน สัตว์ก็ยืน เราเดิน เรายืน เพราะเหตุนั้น คำนั้นจึงเป็นเพียงบัญญัติสมมุติเรียกกัน ฉันนั้นเหมือนกัน......

      ...ฯลฯ..........


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=273
ขอบคุณภาพจาก
http://www.bansawangjai.com/
http://i.ytimg.com/
13602  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "การเดินจงกรมเป็นหมู่คณะ" มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 09:35:10 am



สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันโดยธาตุ
๕. จังกมสูตร
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖
    
     [๓๖๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ก็โดยสมัยนั้นแล         
     ท่านพระสารีบุตรจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระมหากัสสปก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระอนุรุทธก็จงกรมอยู่ ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระปุณณมันตานีบุตรก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระอุบาลีก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     ท่านพระอานนท์ก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
     แม้พระเทวทัตต์ก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ฯ




     
      [๓๖๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
      พวกเธอเห็นสารีบุตรกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีปัญญามาก

      พวกเธอเห็นมหาโมคคัลลานะกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีฤทธิ์มาก

      พวกเธอเห็นมหากัสสปกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธุตวาท

      พวกเธอเห็นอนุรุทธ กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้มีทิพยจักษุ

      พวกเธอเห็นปุณณมันตานีบุตรกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธรรมกถึก

      พวกเธอเห็นอุบาลีกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้ทรงวินัย

      พวกเธอเห็นอานนท์ กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นพหูสูต

      พวกเธอเห็นเทวทัตต์กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่
      ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
      พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีความปรารถนาลามก ฯ





      [๓๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันโดยธาตุเทียว คือ
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี


      แม้ในอดีตกาล สัตว์ทั้งหลายก็ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว โดยธาตุเทียว คือ
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี


      แม้ในอนาคตกาล สัตว์ทั้งหลายก็จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี


      แม้ในปัจจุบันกาล สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
      สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ฯ


      จบสูตรที่ ๕


อ้างอิง :-
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๔๐๘๗ - ๔๑๓๘. หน้าที่ ๑๗๐ - ๑๗๒.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=4087&Z=4138&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=365
ขอบคุณภาพจาก
http://www.bloggang.com/
https://dinnamfa.files.wordpress.com/
http://i.ytimg.com/
http://www.sptcenter.org/




อรรถกถาจังกมสูตรที่ ๕
 
     ถามว่า  ก็เพราะเหตุไร ภิกษุเหล่านั้นจงกรมแล้วในที่ไม่ไกล.
     ตอบว่า เพื่อถือการอารักขาว่า เทวทัตคิดร้ายในพระศาสดา พยายามจะทำความฉิบหายมิใช่ประโยชน์.


     ถามว่า ครั้งนั้น เทวทัตจงกรมแล้ว เพราะเหตุไร.
     ตอบว่า เพื่อปกปิดโทษอันตนกระทำแล้ว เป็นเหตุให้ผู้อื่นรู้ว่า ผู้นี้ไม่ทำ ถ้าทำเขาก็ไม่มา ณ ที่นี้.

     ถามว่า ก็เทวทัตเป็นผู้สามารถเพื่อจะทำความเสียหายต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้หรือ หน้าที่ต้องอารักขาพระผู้มีพระภาคเจ้า มีอยู่หรือ.
     ตอบว่า ไม่มี.


     เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อานนท์ ข้อที่ตถาคตพึงปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสจะมีได้.
     ส่วนภิกษุทั้งหลายมาแล้วด้วยความเคารพในพระศาสดา. เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว จึงรับสั่งให้ปล่อยภิกษุเหล่านั้นไป ด้วยพระดำรัสว่า อานนท์ เธอจงปล่อยภิกษุสงฆ์เถิด ดังนี้.


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=365




     ask1 ans1 ask1 ans1

    พระสูตรนี้บอกอะไแก่เราบ้าง.?
    ๑. สมัยพุทธกาลมี "การเดินจงกรมเป็นหมู่คณะ"
    ๒. สมัยพุทธกาลมี "การแบ่งสำนักครูบาอาจารย์" ตามอัธยาศัยของครูและศิษย์
    ๓. การที่คนเรามีอัธยาศัยต่างกัน ทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ทำให้เกิดมีนิกาย มีสำนัก มีกลุ่มแยกย่อยลงไปอีก หากคนเหล่านั้นมีคุณธรรมไม่พอ การรู้รักษ์สามัคคีจะเกิดขึ้นได้ยาก

    ขอคุยเท่านี้ครับ


     :welcome: :49: :25: :s_good:
 
13603  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ที่จงกรม ควรมีขนาดเท่าไหร่ อย่างไร.? เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 08:58:19 am



ว่าด้วยที่จงกรมมีโทษ ๕ อย่าง
               
      คำว่า ปญฺจโทสวิวชฺชิตํ (เว้นจากโทษ ๕ อย่าง) ความว่า ขึ้นชื่อว่า โทษแห่งที่จงกรมเหล่านี้มี ๕ อย่าง คือ
             ๑. เป็นที่แข็งและขรุขระ (ถทฺธวิสมตา)
             ๒. มีต้นไม้ภายใน (อนฺโตรุกฺขตา)
             ๓. เป็นที่ปกปิดด้วยชัฏ (คหนจฺฉนฺนตา)
             ๔. ที่แคบเกินไป (อติสมฺพาธนตา)
             ๕. ที่กว้างเกินไป (อติสาลตา).

      จริงอยู่ ที่จงกรมที่มีภูมิภาคแข็งขรุขระ เท้าทั้งสองของผู้จงกรมย่อมเจ็บ เท้าย่อมบวม จิตย่อมไม่ได้เอกัคคตา กรรมฐานย่อมวิบัติ. แต่ในพื้นที่อ่อนสม่ำเสมอกัน โยคีอาศัยที่อาศัยอยู่อันผาสุกแล้ว ก็ทำกรรมฐานให้สมบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบที่จงกรม เพราะเป็นภูมิภาคแข็งและขรุขระ ว่าเป็นโทษที่หนึ่ง.

      เมื่อต้นไม้มีอยู่ภายในที่จงกรม หรือมีอยู่ในท่ามกลาง หรือในที่สุดแห่งที่จงกรม ผู้จงกรมอาศัยความประมาทแล้ว ย่อมกระทบกับหน้าผากหรือศีรษะ เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมมีต้นไม้ภายใน พึงทราบว่าเป็นโทษที่สอง.

      เมื่อจงกรมในที่จงกรมอันรกด้วยชัฏมีหญ้าและเครือไม้เถาเป็นต้น ย่อมเหยียบสัตว์มีงูเป็นต้น ในเวลามืดให้ตาย หรือถูกสัตว์มีงูเป็นต้น ขบกัดเอา เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมปกคลุมด้วยชัฏ พึงทราบว่าเป็นโทษที่สาม.

     เมื่อเดินจงกรมในที่จงกรมแคบเกินไป โดยกว้างหนึ่งศอก หรือครึ่งศอก เล็บก็ดี นิ้วเท้าก็ดี ย่อมแตก เพราะลื่นไปในที่จำกัด เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมแคบเกินไป พึงทราบว่าเป็นโทษที่สี่.

     เมื่อจงกรมในที่จงกรมกว้างเกินไป จิตย่อมพล่าน ย่อมไม่ได้เอกัคคตา เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมกว้างเกินไป พึงทราบว่าเป็นโทษที่ห้า.





ว่าด้วยที่จงกรมอันไม่มีโทษ
             
      ก็ที่จงกรมขนาดเล็ก (อนุจงฺกมํ)
         - โดยส่วนกว้างหนึ่งศอกหนึ่งคืบ
         - ที่ข้างทั้งสองประมาณหนึ่งศอก
         - ด้านยาวประมาณ ๖๐ ศอก
         - มีพื้นอ่อนเกลี่ยทรายไว้เรียบเหมาะสม
      เพราะฉะนั้น ที่นั้นเช่นนั้น ได้เป็นเหมือนที่จงกรมของพระมหามหินทเถระผู้ยังความเลื่อมใสให้เกิดแก่ชาวเกาะในเจติยคีรี ด้วยเหตุนั้น สุเมธบัณฑิตจึงกล่าวว่า เราสร้างที่จงกรมเว้นโทษ ๕ อย่าง ที่อาศรมบทนั้นดังนี้.


อ้างอิง :-
อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ มาติกา ติกมาติกา ๒๒ ติกะ
www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=34&i=1&p=2#ว่าด้วยที่จงกรมมีโทษ_๕_อย่าง
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=34&A=1&Z=103




อานิสงส์ในการจงกรม ๕ ประการ
๙. จังกมสูตร
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒

     [๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการจงกรม ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
                ภิกษุผู้เดินจงกรมย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล ๑
                ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร ๑
                ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย ๑
                อาหารที่กินดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมย่อยไปโดยดี ๑
                สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรมย่อมตั้งอยู่ได้นาน ๑
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการเดินจงกรม ๕ ประการนี้แล ฯ


                จบสูตรที่ ๙


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  บรรทัดที่ ๖๒๙ - ๖๓๕.  หน้าที่  ๒๘.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=22&A=629&Z=635&pagebreak=0




อรรถกถาจังกมสูตรที่ ๙   
           
       พึงทราบวินิจฉัยในจังกมสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
       บทว่า อทฺธานกฺขโม โหติ ได้แก่ เมื่อเดินทางไกลก็เดินได้ทน คืออดทนได้.
       บทว่า ปธานกฺขโม ได้แก่ เพียรได้ทน.
       บทว่า จงฺกมาธิคโต จ สมาธิ ได้แก่ สมาธิแห่งสมาบัติ ๘ อย่างใดอย่างหนึ่งอันผู้อธิษฐานจงกรมถึงแล้ว.
       บทว่า จิรฏฐิติโก โหติ แปลว่า ตั้งอยู่ได้นาน.

       ด้วยว่านิมิตอันผู้ยืนอยู่ถือเอาเมื่อนั่งก็หายไป นิมิตอันผู้นั่งถือเอาเมื่อนอนก็หายไป ส่วนนิมิตอันผู้อธิษฐานจงกรม ถือเอาในอารมณ์ที่หวั่นไหวแล้วเมื่อยืนก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี ย่อมไม่หายไป.


               จบอรรถกถาจังกมสูตรที่ ๙ 
     

ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=29
13604  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระราชทานพระราชานุญาต ร่วมหล่อพระรูป "สมเด็จพระสังฆราชฯ" เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:32:45 pm


พระราชทานพระราชานุญาต ร่วมหล่อพระรูป "สมเด็จพระสังฆราชฯ"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บรรดาศิษยานุศิษย์ร่วมพระราชกุศลหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชฯประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร

................................................................

แจ้งความสำนักพระราชวัง

ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอนุสรณ์ถึง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า มีพระคุณูปการแต่พระองค์ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเป็นพระอภิบาลถวายโอวาทานุสาสน์ ในระหว่างทรงพระผนวช และทรงมั่นคงในพระธรรมวินัย เพียบพร้อมด้วยพระคุณธรรม และพระขันติธรรมอันสูงส่ง เป็นที่เคารพของบรรดาพุทธบริษัท ทั้งได้ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก เป็นประธานในพุทธจักรแห่งสยามรัฐสีมา ยาวนานถึง 25 ปี ได้ทรงบริหารการคณะสงฆ์ ทะนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนา เป็นหิตานุหิตประโยชน์แด่พุทธจักรและอาณาจักรอย่างไพศาล จึงต้องพระราชประสงค์จะทรงหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น ไว้เป็นที่สักการบูชาประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร สืบไปชั่วกาลนาน

แต่โดยที่ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังคปริณายก ทรงเป็นที่เคารพนับถือของบรรดาศิษยานุศิษย์ และสาธุชนทั้งหลายมาช้านาน ย่อมมีผู้ประสงค์จะมีส่วนร่วมในการหล่อพระรูปครั้งนี้บ้าง


 :25: :25: :25: :25:

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สำนักพระราชวังแจ้งความให้บรรดาศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิต คฤหัสถ์ และประชาชนทั่วไปทราบ หากผู้ใดมีศรัทธาประสงค์จะร่วม โดยเสด็จในการพระราชกุศลนี้ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาต

เพราะฉะนั้น ท่านผู้ใดประสงค์จะติดต่อในเรื่องนี้ประการใด ให้ติดต่อได้ที่กองคลัง สำนักพระราชวัง หมายเลขโทรศัพท์ 0-2224-3260, 0-2223-0915 หรือโอนเงินเข้า
     บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์
     ชื่อบัญชี “หล่อพระรูปสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก”
     หมายเลขบัญชี 061-211535-6

     ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในเวลาราชการ แล้วให้ส่งสำเนาหลักฐานการโอนเงิน พร้อมชื่อ นามสกุล และที่อยู่ ไปที่กองคลัง สำนักพระราชวัง หมายเลขโทรสาร 0-2222-2144 เพื่อรวบรวมให้วัดบวรนิเวศวิหารดำเนินการจัดส่งอนุโมทนาบัตรได้อย่างถูกต้องต่อไป


สำนักพระราชวัง
วันที่ 19 กรกฎาคม 2558


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/women/335892
13605  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบ "พระพุทธบาท-พระนอน" ในอุทยานฯตาพระยา จ.สระแก้ว เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:23:00 pm


พบพระพุทธบาท-พระนอน ในอุทยานฯตาพระยา จ.สระแก้ว

อุทยานฯตาพระยา จ.สระแก้ว ลาดตระเวนพระพุทธบาท-พระนอน ประสานกรมศิลปากรตรวจสอบ วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2558 เวลา 15:42 น. เมื่อวันที่ 19 ก.ค. นายนิพนธ์ โชติบาล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นายบุญเชิด เจริญสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตาพระยา จ.สระแก้ว ว่า

ระหว่าง ร่วมลาดตระเวนกับเจ้าหน้าที่ทหารนั้น ได้พบเห็นรอยเท้าพระพุทธบาท 1 คู่ และพบองค์พระนอน จำนวน 1 องค์ บริเวณหลักเขตชายแดนไทย-กัมพูชา หลักเขตที่ 2748p0280245-utm 1571858 ซึ่งห่างจากฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 215 (ช่องบาระแนะ) ที่พิกัด 48p 0280266 e1571949 n ประมาณ 200 เมตร



อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวอีกว่า จากการเข้าตรวจสอบของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติตาพระยา เจ้าหน้าที่ฐานปฏิบัติป้องกันรักษาป่าอ่างรัตนโกสินทร์ และเจ้าหน้าที่ฐานปฏิบัติตำรวจตระเวนชายแดนที่ 215 (ช่องบาระแนะ) ซึ่งได้มีการถ่ายรูป จับค่าพิกัด (wgs 84) และวัดขนาดความกว้างความยาวของรอยเท้าพระพุทธบาทคู่และองค์พระนอน เบื้องต้นนั้น พบว่า

    1.รอยเท้าพระพุทธบาทคู่ พบบริเวณพิกัด 48p 0280587 e 1571798 n รอยเท้าแต่ละข้าง มีความยาวจากปลายเท้าถึงปลายนิ้ว ยาว 156 เซนติเมตร(ซม.) และมีความกว้างของรอยเท้า ระยะ 46 ซม. ซึ่งมีความกว้างและความยาวเท่ากัน
    2.องค์พระนอนที่พบบริเวณพิกัด 48p 0280597 e 1571768 n มีความยาว 1.65 ม. ความสูง 40 ซม. บริเวณใกล้เคียงกับพระนอน พบหลักหินเล็ก จำนวน 2 หลัก สูงประมาณ 30 ซม. สลักเป็นภาษาเขมรซึ่งบริเวณที่พบเห็นดังกล่าวเป็นหน้าผาสูงบนเทือกเขาบรรทัด และเป็นพื้นที่ป่ารอยต่อระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยจากการตรวจสอบข้อมูลและประวัติความเป็นมา ยังไม่พบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และข้อมูลทางวิชาการ



"เบื้องต้นนั้นเรายังไม่มีหลักฐานอะไรชี้ชัดว่าทั้งรอยพระพุทธบาท และองค์พระที่พบนั้นเป็นของจริงหรือไม่ อย่างไร แต่สังเกตเบื้องต้นแล้วสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นของเก่าจริง อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของเราประสานงานกับกรมศิลปากรเข้าไปตรวจสอบแล้ว"นายนิพนธ์ กล่าว

ด้านนายเกษมสันต์ จิณณวาโส ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ กล่าวว่า บริเวณที่เจ้าหน้าที่พบทั้งรอยพระพุทธบาทและองค์พระนั้น เดิมเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างอ่อนไหว และไม่ค่อยปลอดภัยมากนัก พบว่ามีการฝังระเบิดเอาไว้หลายจุด แต่ต่อมาเมื่อมีการเคลียพื้นที่จนปลอดภัยในระดับหนึ่งแล้ว ก็มีการเข้าไปพบโดยชาวบ้าน แต่ยังไม่มีการรายงานอย่างเป็นทางการ พื้นที่ที่พบนั้นอยู่ในแนวเดียวกับโราณสถานอื่นๆที่พบมาก่อนหน้านี้ เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทเขาตาธม เป็นต้น อย่างไรก็ตามจะให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังกรมศิลปากรเพื่อตรวจสอบ..



นายเกษมสันต์ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้น จากรายงานการสำรวจของนายศรีศักร วัลลิโภดม นักประวัติศาสตร์ เมื่อปี 2550 นั้น ผู้สร้างพระนอนดังกล่าวเป็นอดีตนายทหารเขมรแดง ส่วนชิ้นส่วนปราสาทที่อยู่ใกล้ๆ เช่น เสาประดับกรอบประตู บรรพแถลง ทหารเขมรแดงนำมาจากปราสาทบันทายฉมาร์ ที่ตั้งอยู่ต่ำลงไปจากช่องบาระแนะในเขตประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ตามเรื่องรอยพระพุทธบาทคู่นี้แม้จะเป็นรอยใหม่ที่เพิ่งเจอ หรือเป็นรอยเก่าที่เคยเจอแล้วกลับมาเจอใหม่อีกครั้ง ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี โดยคาดว่าน่าจะมีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-20.

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/politics/335952
13606  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หลวงพ่อใจบุญเลี้ยงเด็กถูกทิ้ง อยากให้เด็กกินอิ่ม-นอนหลับ เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:15:33 pm



หลวงพ่อใจบุญเลี้ยงเด็กถูกทิ้ง อยากให้เด็กกินอิ่ม-นอนหลับ

โลกออนไลน์แห่แชร์ภาพพระรูปหนึ่ง ขณะกำลังเลี้ยงเด็กทารกที่ถูกนำมาทิ้งที่วัด เจ้าตัวเผยเพราะสงสารและอยากให้เด็กได้กินอิ่ม-นอนหลับ ยืนยันจะเลี้ยงเด็กต่อ


กรณีโลกออนไลน์ มีการเผยแพร่ภาพจากผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ “Tonaor WK Wing” เป็นภาพของพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งกำลังอาบน้ำและเลี้ยงดูทารกน้อยเพศชายคนหนึ่งที่วัด พร้อมระบุว่า ทารกคนดังกล่าว มีชื่อว่าน้องแอดวานซ์ อายุ 7 เดือน และมีหลวงพ่อประจวบ จากวัดศรีบุญเรือง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดู หลังจากที่หนูน้อยถูกทิ้งเอาไว้ข้างวัด ตั้งแต่ยังอายุเพียงไม่กี่วัน ภายหลังภาพดังกล่าวได้ถูกแชร์กันอย่างกว้างขวาง ทำให้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย หลายคนชื่นชมกับความเมตตาของหลวงพ่อ และด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูของหนูน้อย ทำให้มีผู้คนอยากเข้าไปแสดงความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก



ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ผู้สื่อข่าว “เดลินิวส์ออนไลน์” ได้ติดต่อไปยัง หลวงพ่อประจวบ สุนฺทโร อายุ 56 ปี พระภิกษุผู้รับอุปการะน้องแอดวานซ์‬ ซึ่งเปิดเผยว่า ภาพที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ เป็นภาพของอาตมาจริง โดยเด็กทารกคนดังกล่าว ได้ถูกทิ้งไว้บริเวณเครื่องบินร้าง หน้าทางเข้าวัด ยามแถวนั้นพบเข้า จึงนำเด็กมาให้อาตมา ซึ่งปกติอาตมาก็เคยอุปการะเด็กมาหลายคนแล้ว เมื่อเห็นเด็กถูกทิ้งแบบนี้ จึงเกิดความสงสารและตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กเอาไว้

โดยสิ่งของที่ติดตัวเด็กมา มีเพียงสูติบัตรจากโรงพยาบาล ไม่มีเอกสารระบุชื่อ-นามสกุล และการแจ้งเกิดแต่อย่างใด อาตมาจึงได้นำเด็กมาเลี้ยงดูที่กุฏิ ตั้งแต่นั้นมา โดยมีเด็กที่อาตมาเลี้ยงไว้อยู่แล้ว ช่วยกันดูแล นอกจากนี้พระที่วัด ญาติโยม และครู ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ก็ช่วยกันดูแล น้องแอดวานซ์‬เป็นอย่างดี ส่วนนมและผ้าอ้อมเด็กนั้น เมื่อได้รับบิณฑบาต ก็จะนำมาซื้อบ้าง บางครั้งก็มีคนมาทำบุญถวายให้



หลวงพ่อประจวบ ยังกล่าวอีกว่า น้องแอดวานซ์‬เป็นเด็กกินง่าย เลี้ยงง่าย ไม่งอแง ไม่ทำให้อาตมาและพระลูกวัดลำบาก และในวันที่ 23 ก.ค.นี้ หากไม่ติดขัดอะไร จะพาน้องแอดวานซ์‬ไปแจ้งเกิดตามกฎหมาย โดยจะมีเด็กที่อาตมาอุปการะไว้จนโต และมีงานทำแล้ว รับเป็นลูกบุญธรรม เพื่อให้เด็ก‬มีสิทธิตามกฎหมายเหมือนเด็กคนอื่น และจะนำมาเลี้ยงที่วัดตามเดิม

พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า เห็นเด็กที่ถูกทิ้งไม่มีใครเลี้ยงดู ก็รู้สึกสงสาร และไม่คิดจะส่งเด็กไปสถานสงเคราะห์ แม้จะไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนำมาอุปการะเลี้ยงดู เพราะอยากให้เด็กได้กินอิ่ม-นอนหลับ อาตมาคิดว่าการทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข สบายใจ และอยากแบ่งปันความเมตตาให้เพื่อนมนุษย์เท่านั้น..


ขอบคุณภาพประกอบจาก Tonaor WK Wing“
ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/335964
13607  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวไทลื้อ ลำปาง ผวาผีห่าเข้าบ้าน แขวนเสื้อแดงแก้เคล็ด เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:07:41 pm


ชาวไทลื้อ ลำปาง ผวาผีห่าเข้าบ้าน แขวนเสื้อแดงแก้เคล็ด

ชาวไทลื้อ เมืองรถม้าลำปาง ผวาห่าเข้าบ้าน หลังแค่เดือนเดียว มีคนในตำบลตายติดกันกว่า 20 ศพ โดยไม่ทราบสาเหตุ เผย พระธุดงค์ทัก ให้รีบเอาเสื้อแดงแขวนหน้าบ้านเพื่อเป็นแก้เคล็ด

เมื่อตอนเช้าวันที่ 19 ก.ค.ผู้สื่อข่าวได้ตระเวนไปยัง ต.กล้วยแพะ อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งเป็นหมู่บ้านไทลื้อกลุ่มใหญ่ และมีกลุ่มเดียวใน จ.ลำปาง ได้พากันเอาเสื้อแดงมาห้อยหน้าประตูรั้วเข้าบ้าน เพื่อแก้อาถรรพณ์ผีห่า เอาผู้ชายจึงพิสูจน์ว่า ก็พบว่าทั้งตำบลจำนวน 5 หมู่บ้าน พากันเอาเสื้อแดงมาห้อยหน้าประตูรั้วกันทุกครัวเรือน โดยผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่มีอายุมากกว่า 80 ปีขึ้นไป หลายคนกล่าวเหมือนกันว่า ในเดือน ก.ค.เพียงเดือนเดียวทั้งตำบลมีคนตายติดต่อกัน 20 ศพ แล้วและเป็นชายล้วนซึ่งแต่ละรายทุกคนเป็นตนขยันแข็งแรงสุขภาพดี แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตด้วยการเป็นลมเหมือนกันทุกราย ส่วนที่ชาวบ้านเอาเสื้อแดงมาห้อยหน้าบ้านกันทุกหลังคาเพราะผวาผีห่ามาเอาผู้ชาย

 :29: :29: :29: :29:

ทางพระแสวง ธีระธรรมโม พระลูกวัดหัวฝาย ม.4 ต.กล้วยแพะ อ.เมือง จ.ลำปาง กล่าวว่า จากที่มีข่าวคนตายติดต่อกันหลายรายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในตำบลนี้ จนมีพระธุดงค์องค์หนึ่ง มาทักกับชาวบ้านว่า เป็นผีนางแก้วต้องการเอาผู้ชายมาอยู่เป็นเพื่อน จึงให้แก้อาถรรพณ์ด้วยการเอาเสื้อแดงมาห้อยหน้ารั้วประตุบ้าน เเละเขียนป้ายติดว่า บ้านนี้ไม่มีคนเป็นลมตาย และบ้านนี้ไม่มีผู้ชาย จากข่าวลือปากต่อปากกันต่อๆ ไป จนทุกบ้านห้อยเสื้อแดงกันหมด

แต่ทั้งนี้ เป็นเรื่องความเชื่อถือมาแต่โบราณโดยเฉพาะคนไทลื้อ เป็นกลุ่มคนที่นับถือเรื่องผีสาง มาตั้งแต่บรรพบุรุษ รักคนในครอบครัว ไม่อยากตายจากกันไปและอยากอยู่ร่วมกันไปนานๆ ชาวบ้านใน ตำบลกล้วยแพะ อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งเป็นตำบลชาวไทลื้อ ต่างพากันนำเสื้อแดงมาแขวนหน้าประตูรั้วบ้าน หลังคนในตำบลเป็นลมเสียชีวิต ภายในเดือน ก.ค.นี้ เดือนเดียวกว่า 20 รายแล้ว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/512721
13608  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยังไร้ร่องรอย! สมภารหายพร้อมเงินผ้าป่า ไม่เชื่อไปกับสีกา เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:04:42 pm


ยังไร้ร่องรอย! สมภารหายพร้อมเงินผ้าป่า ไม่เชื่อไปกับสีกา

ตำรวจยังตามแกะรอยไม่เจอ กรณีเจ้าอาวาสวัย90ปี วัดที่จันทบุรี หายไปพร้อมกับเงินที่จะไปทอดผ้าป่ากว่า1แสนบาท และรถกระบะ1คัน ขณะที่ญาติโยมไม่เชื่อว่ามาจากเรื่องชู้สาว เพราะอายุมากแล้ว และเป็นพระที่ปฏิบัติดี คอยช่วยชาวบ้านมาตลอด...

เมื่อวันที่ 19 ก.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี พระครูสุพัฒนกิจอุดม หรือ หลวงพ่อ ทวีป สันตะจิตโต อายุ 90 ปี เจ้าอาวาสวัดโสมนาราม หรือ วัดชำโสม ม.10 ต.แสลง อ.เมืองจันทบุรี ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ พร้อมเงินสดกว่า 1 แสนบาท ที่เตรียมนำไปร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี ที่วัดไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ ในวันเสาร์ที่ 18 ก.ค.58 และรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ 4 ประตูสีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กท 9190 จันทบุรี ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นของวันพฤหัส ที่ 16 ก.ค.58 ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ


ทั้งนี้ พ.ต.อ.สุเทพ บุญค้ำ ผกก.สภ.เมืองจันทบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ตำรวจชุดสืบสวนได้มีการประชุม เร่งติดตามแกะรอย รถกระบะอีซูซุ คันที่หายไปพร้อมกับพระครูสุพัฒนกิจอุดม เจ้าอาวาสวัดโสมนาราม แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า พระครูสุพัฒนกิจอุดม เป็นผู้ขับเอง หรือมีผู้ใดเป็นคนขับรถยนต์คันดังกล่าวออกไป เนื่องจากขณะนั้นกรรมการวัด ตลอดจนพระลูกวัด ไม่มีใครอยู่ใกล้กับกุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งตำรวจได้แกะรอยจากกล้องวงจรปิด ตามเส้นทางที่คาดว่ารถยนต์จะผ่าน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้เบาะแส ขณะเดียวกัน ยังได้สอบถามไปยังที่วัดไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ ทราบว่ามีการทอดผ้าป่าสามัคคีจริง แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าพระครูสุพัฒนกิจอุดม ไปร่วมทอดผ้าป่าด้วยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการสืบสวน เจ้าหน้าที่ได้ตั้งไว้ 2 ประเด็น คือ ลักพาตัวไปเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ เนื่องจากมีเงินสดกว่าแสนบาท และรถยนต์ ส่วนประเด็นเรื่องชู้สาว ไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก เนื่องจาก พระครูสุพัฒนกิจอุดม มีอายุถึง 90 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ตัดทิ้ง เบื้องต้น ได้สอบปากคำบุคคลที่ใกล้ชิดสนิทสนม ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องไปแล้วหลายคนแต่ยังไม่มีข้อมูล เบาะแสที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี


"ส่วนพระครูสุพัฒนกิจอุดม จะเป็นผู้สั่งให้คนพาไป หรือมีผู้พาพระครูสุพัฒนกิจอุดม ไปนั้นยังไม่สามารถระบุได้ และหากว่าหลังจากวันนี้ ถ้าพระครูสุพัฒนกิจอุดม เดินทางไปร่วมทอดผ้าป่าที่วัดไพรบึงจริง แล้วเดินทางกลับมาวัดที่จันทบุรี ก็เป็นเรื่องที่ดี" ผกก.สภ.เมืองจันทบุรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงาว่า พระครูสุพัฒนกิจอุดม เจ้าอาวาสวัดโสมนาราม เป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติตัวดี มีสุขภาพแข็งแรงแม้จะมีอายุ 90 ปีแล้วก็ตาม แต่ไม่มีอาการป่วย หรือโรคประจำตัวใดๆ เป็นพระที่เอาใจใส่พระลูกวัดและญาติโยมเป็นอย่างดี ใครมีปัญหาเดือดร้อนมา เจ้าอาวาสก็จะช่วยแก้ปัญหาให้อย่างสม่ำเสมอ และเป็นพระที่ไม่ชอบไปที่ใดนานๆ ดังนั้น ชาวบ้านจึงไม่เชื่อว่าจะมาจากเรื่องผู้หญิง หรือชู้สาว.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/512738
13609  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุบลฯโชว์อีกปี ต้นเทียนทองคำ! จดลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวของไทย เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:01:01 pm


อุบลฯโชว์อีกปี ต้นเทียนทองคำ! จดลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวของไทย

อย่าลืมไปชมกันให้ได้ งานแห่เทียนพรรษาของ จ.อุบลราชธานี ปีนี้ มีต้นเทียนทองคำ มาร่วมด้วย5ต้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  ทรงเจริญพระชนมพรรษา5รอบ เผยเป็นต้นเทียนทองคำ ที่มีการจดลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวของไทย...

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ อบต.กุดลาด อ.เมืองอุบลราชธานี นายกฤตรัตนชัย ทองเรือง นายก อบต.กุดลาด พร้อมชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันเร่งทำต้นเทียนแกะสลักขนาดใหญ่ เพื่อร่วมขบวนแห่เทียน ในงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานีประจำปี 2558 ในวันที่ 31 ก.ค.นี้


งานแห่เทียนพรรษา ที่ จ.อุบลราชธานี

นายกฤตรัตนชัย ทองเรือง นายก อบต.กุดลาด กล่าวว่า ในปีนี้ อบต.กุดลาด ได้จัดทำต้นเทียนทองคำ เข้าร่วมงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานีประจำปี 2558 จำนวน 5 ต้น เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ ต้นเทียนแต่ละต้นบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ต้นเอกขนาดความสูง 2.19 เมตร ต้นรอง 2 ต้นสูง 2 เมตร และอีก 2 ต้นสูง 1.79 เมตร


"ต้นแรก นามว่า พระกกุสันธนะ มีไก่เป็นพาหนะ ต้นที่ 2 นามว่า พระโกบาคมน์ มีพญานาคเป็นพาหนะ ต้นกลางเป็นต้นเอก อยู่บนหลังเต่า นามว่า พระกัสสปะ ต้นรองต่อมา นามว่า พระโคดม คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แกะสลักเป็นลายไทย และภาพพุทธประวัติปางตรัสรู้ และต้นสุดท้าย นามว่าพระศรีอาริยเมตไตร เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ซึ่งยังเป็นพุทธทำนายอยู่ โดยทั้งต้นเทียนทั้ง 5 ต้นหลังแกะสลักแล้วจะมีการติดทองคำบริสุทธิ์ เพื่อเพิ่มความวิจิตรงดงามของลวดลายแกะสลักเทียน อันเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำออกโชว์สู่สายตานักท่องเที่ยว"นายก อบต.กุดลาด กล่าว

ต้นเทียนแกะสลักขนาดใหญ่

เร่งมือ ให้ทันวันงาน

สำหรับต้นเทียนทองคำ ทาง อบต.กุดลาด ซึ่งเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในโลกที่ริเริ่มทำขึ้นเป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา คือปี 2557 พร้อมได้มีการได้จดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา ให้การทำต้นเทียนทองคำเป็นลิขสิทธ์ของชาวตำบลกุดลาด อ.เมืองอุบลราชธานี เท่านั้น นักท่องเที่ยวและประชาชนที่สนใจสามารถมาร่วมชมความงดงามของต้นเทียนทองคำแห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศไทยได้อย่างใกล้ชิดที่ อบต.กุดลาด.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/512751
13610  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘สองแควชู้ตติ้ง’ ยิงกันสนั่น! กระสุนว่อน เฉียดหัวพระไปนิดเดียว เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 08:56:51 pm


‘สองแควชู้ตติ้ง’ ยิงกันสนั่น! กระสุนว่อน เฉียดหัวพระไปนิดเดียว

เดือดร้อนกันทั้งโยมทั้งพระ เมื่อมีการแข่งขันยิงปืนในสนามของทหาร แต่กระสุนกลับปลิวว่อน ตกใส่หลังคาศาลาและกุฏิพระพรุนไปหมด เท่าที่นับได้มีถึง 14 รู หลวงลุงนั่งอยู่ลูกปืนตกเฉียดหัวไปนิดเดียว เก็บหลักฐานมาได้ 2 หัว แจ้งตำรวจ...

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ที่วัดหนองบัว ถนนสนามบิน ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก มีหัวกระสุนปริศนาตกใส่หลังคาศาลาการเปรียญและศาลาปฏิบัติธรรมได้รับความเสียหายหลายแห่ง ทั้งยังเกือบถูกศีรษะพระในวัดด้วย หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบ

ที่บนศาลาการเปรียญภายในวัด พบพระเหลือง จารุธรรมโม อายุ 59 ปี พระลูกวัด เปิดเผยว่า ช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา ทางวัดหนองบัวได้มีชาวบ้านเข้ามาจัดเตรียมงานบวชนาค ขณะที่ตนเองกำลังนั่งตัดเล็บอยู่บนศาลาการเปรียญ จู่ๆ มีเสียงของแข็งกระทบกับกระเบื้องหลังคาทะลุตกลงมาตรงหน้า เฉี่ยวหัวตนไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น เมื่อสังเกตดูที่พื้นก็พบวัตถุคล้ายหัวกระสุนปืนไม่ทราบขนาดจำนวน 1 หัว และพบว่าที่ฝ้าเพดานด้านบนมีรูโหว่ขนาด 5 ซม. อีกด้วย นับว่าตนรอดจากการบาดเจ็บหรืออาจถึงเสียชีวิตไปได้อย่างฉิวเฉียด


 :41: :41: :41: :41:

ขณะเดียวกัน นายตะวัน กฐินเทศ อายุ 34 ปี ไวยาวัจกรวัดหนองบัว กล่าวว่า ขณะที่กำลังจัดเตรียมสถานที่บวชนาคที่ศาลาปฏิบัติธรรมด้านล่าง ชาวบ้านจำนวนกว่า 10 คนที่มาช่วยงานบวชพากันวิ่งหลบหัวกระสุนปืนที่หล่นใส่หลังคาเป็นรูพรุนกันจ้าละหวั่น และต่างขวัญเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่ทราบว่าหัวกระสุนปริศนานั้นปลิวมาจากที่ใด แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ก็สร้างความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เมื่อตรวจสอบบริเวณดังกล่าวก็พบว่า กระเบื้องหลังคาเป็นรูพรุนเต็มไปหมด และกระเบื้องมุงหลังคาห้องพักผู้มาปฏิบัติธรรมก็แตกเสียหายด้วย จึงช่วยกับชาวบ้านค้นหาหัวกระสุนปืน จนพบหัวกระสุนปืนขนาด 11 มม.สภาพบุบบู้บี้จำนวน 1 หัว นำไปให้พระเหลืองเก็บไว้เป็นหลักฐานรวมทั้งหมด 2 หัว และเชื่อว่ายังค้างอยู่บนฝ้าใต้หลังคาศาลาการเปรียญอีกหลายหัวด้วยกัน

ต่อมาเวลา 16.40 น. วันเดียวกัน พ.ต.ท.พิเชษฐ์ ปันกาวี พงส.ผนก.สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งจากศูนย์ปฏิบัติการรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน บก.ภ.จ.พิษณุโลก ว่าได้รับแจ้งจากพระเหลือง จารุธรรมโม อายุ 59 ปี พระลูกวัดวัดหนองบัวทางโทรศัพท์ว่า มีหัวกระสุนปืนตกใส่หลังคาศาลาปฏิบัติธรรมอีกจำนวน 2 นัด จึงไปตรวจสอบพร้อมตำรวจชุดสืบสวนจำนวนหนึ่ง โดยพระเหลืองได้พาตำรวจไปดูจุดที่กระสุนปืนตกใส่หลังคา ที่มีมากกว่า 14 รู พร้อมมอบหัวกระสุนปืน 2 หัวที่เก็บได้ให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานประกอบสำนวนคดี

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

นอกจากนี้ พระครูธรรมานุศาสก์ เจ้าอาวาสวัดหนองบัว ยังได้แจ้งให้ตำรวจทราบว่าเมื่อวานนี้ก็มีหัวกระสุนปืนตกใส่หลังคากุฏิทะลุฝ้าเพดานตกมาในกุฏิ 1 หัว แต่ไม่ได้ติดใจอะไร และโยนหัวกระสุนปืนทิ้งไปแล้ว ก่อนพาไปดูจุดเกิดเหตุภายในกุฏิบริเวณห้องรับแขก


เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเก็บหลักฐาน

ตำรวจสอบสวน พระเหลือง ทราบว่า ช่วงตั้งแต่เวลา 15.00 น. มีเสียงปืนมาจากทางสนามยิงปืนค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งกำลังมีการแข่งขันยิงปืนสั้นชาวบ้าน “สองแควชู้ตติ้ง ครั้งที่ 2” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 ก.ค.2558 ชิงถ้วยเกียรติยศของ พล.ต.ท.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม ผบช.ภาค 6 นายจักริน เปลี่ยนวงษ์ ผวจ.พิษณุโลก และ พล.ต.ต.พิสิฐ ตันประเสริฐ ผบก.ภ.จ.พิษณุโลก ดังถี่ยิบ จนทำให้พระภิกษุและชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดต่างหวาดผวาไปตามๆ กัน และยังมีหัวกระสุนตกใส่ศาลาปฏิบัติธรรมอีกถึง 2 นัด เลยตัดสินใจแจ้งให้ตำรวจทราบเหตุ เพราะเกรงว่าหากตกใส่ผู้ใดอาจทำให้บาดเจ็บหรือแก่ความตายได้ สำหรับหัวกระสุนดังกล่าวตำรวจชุดสืบสวนเปิดเผยว่า เป็นหัวกระสุนปืนซ้อมขนาด .38 ทำด้วยตะกั่วชนิดอ่อน ลักษณะบุบบู้บี้น่าจะกระแทกกับของแข็งก่อนมาตกใส่หลังคากุฏิ และศาลาภายในวัด

เบื้องต้น พ.ต.ท.พิเชษฐ์ พนักงานสอบสวน ได้โทรศัพท์รายงานให้ พ.ต.อ.ดำรงค์ หมื่นอาจยิ้ม ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก รับทราบ เพื่อจะได้ประสานไปยังผู้จัดการแข่งขันยิงปืน ให้หยุดทำการหยุดการแข่งขัน หรือหามาตรการป้องกันเพื่อความปลอดภัยต่อทรัพย์สินและชีวิตของชาวบ้านรวมทั้งพระภิกษุที่อยู่ใกล้เคียงกับสนามแข่งขันยิงปืนแล้ว แต่คาดว่าอาจมีวัยรุ่นสวมรอยที่มีเสียงปืนดังมาจากสนามยิงปืน แล้วเอาปืนมายิงขึ้นฟ้าด้วยก็ได้


 :32: :32: :32: :32:

ทั้งนี้ แหล่งข่าวที่เคยซ้อมยิงปืนในสนามแห่งนี้รายหนึ่งเปิดเผยว่า เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพราะผู้เข้าร่วมแข่งขันบางคนไม่ใช่มืออาชีพ อีกทั้งยังใช้กระสุนจริง ทำให้ยิงพลาดโดนขอบปูนใต้เป้ายิง หรือกระสุนปืนไปโดนแผ่นเหล็กและไม้ ที่เป็นบังเกอร์ด้านหลังในแนวสูงกว่าระนาบการยิง เป็นเหตุให้หัวกระสุนกระเด็นไปโดนหลังคาวัดหนองบัว อีกทั้งสนามยิงปืนแห่งนี้เป็นสนามแบบโอเพ่น ไม่มีหลังคาคลุมทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวน จะได้ประสานตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจที่เกิดเหตุเพื่อหาวิถีกระสุนปืน และจะสืบสวนสอบสวนถึงที่มาของกระสุนปริศนาดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/512752
13611  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รู้ไว้ใช่ว่า! เทคนิค การขับรถขึ้นเขา-ลงเขา ง่ายๆ-ปลอดภัย เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 12:27:43 pm


รู้ไว้ใช่ว่า! เทคนิค การขับรถขึ้นเขา-ลงเขา ง่ายๆ-ปลอดภัย

การขับรถขึ้นเขา ซึ่งเป็นที่สูง อาจต้องใช้รถยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์มากกว่า 1500 ซีซี ขึ้นไป ส่วนกรณีรถยนต์ อีโคคาร์ 1200 ซีซี ก็พอไปได้แต่ก็ต้องดูแรงบิดของรุ่นให้ดี

       ans1 ans1 ans1 ans1

      หลักการขับรถขึ้นเขาคร่าวๆ พอจะเล่าสู่กันฟังได้ดังนี้ครับ

      เริ่มจากการใช้เกียร์ต่ำ ปรับเปลี่ยนเกียร์ เมื่อรถเสียกำลัง อย่าลากเกียร์จนหมดแรงส่ง ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้ใช้เกียร์ 2 ในการขับขึ้นเขาลงเขา และเปลี่ยนไปใช้เกียร์ D บ้าง เมื่อรถอยู่ในทางราบ การขับให้ใช้เกียร์ช่วยตลอดทางเกียร์อัตโนมัติไม่พังง่ายๆ

      ขณะที่ เมื่อขับลงเขาที่ลาดชันมากและยาวไกล ก่อนเข้าโค้งให้เปลี่ยนเกียร์จากตำแหน่ง D มา 2 ถ้า 2 ยังเอาไม่อยู่ให้เปลี่ยนมา L แต่อย่าเปลี่ยนเกียร์ขณะฝนตกทางลื่นรถจะเสียการทรงตัว การใช้เกียร์แต่ละเกียร์ควรดูสภาพทางเป็นหลักในการพิจารณา





      ส่วนเกียร์ธรรมดาการทำงานจะง่ายกว่า มีเกียร์ให้เล่น 5 ตำแหน่ง และมีคลัทช์ช่วยในการส่งกำลังไปยังล้อตามที่เราต้องการได้ทุกขณะ แต่เกียร์อัตโนมัติบางรุ่นจะทำงานไม่ได้อย่างที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นควรประเมินสภาพทางก่อนใช้เกียร์ดีที่สุด

      ส่วนการขับเข้าโค้งธรรมดาหรือบนภูเขา ควรมองให้ไกลให้ลึกและให้คนนั่งข้างช่วยดูสภาพทางด้วย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีรถสวนมาให้ใช้วิธีตัดโค้งวิธีนี้จะช่วยให้รถทรงตัวดี, เข้าโค้งได้เร็ว, รถไม่ใช้กำลังมาก ลูกปืนล้อไม่ทำงานหนัก, ยางก็ไม่ล้มตัวมาก หน้ายางจะสัมผัสผิวถนนได้มากตามไปด้วย แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีรถสวนมา สมมติจะเข้าโค้งขวาก่อนเข้าโค้งให้ถอนคันเร่งลง หักพวงมาลัยไปทางซ้ายนิดหนึ่ง แล้วหักพวงมาลัยมาทางขวาเพื่อทำโค้งให้กว้างขึ้น ใช้พื้นที่ถนนทุกตารางนิ้ว ถ้ารถจะเลี้ยวซ้ายก็ให้เลี้ยวทางขวานิดหนึ่งแล้วเลี้ยวซ้าย การฝึกใหม่จะรู้สึกฝืนความรู้สึกบ้าง ถ้าขับชำนาญแล้วก็จะชินไปเอง




     เมื่อท่านผู้อ่าน ขับรถเข้าโค้งหักศอกขึ้นเขารูปฟันปลา การขับแบบนี้ต้องให้ผู้ช่วยดูรถด้านซ้ายด้วยโดยมองถนนด้านบนก่อนว่าไม่มีรถสวนลงมา กดแตรรถก่อนจะขับขึ้นไป หลักการขับก็เหมือนเข้าโค้งธรรมดา จะเลี้ยวซ้ายก็หักพวงมาลัยไปทางขวาก่อนแล้วหักพวงมาลัยไปทางซ้ายเข้าโค้ง เมื่อรถเข้าโค้งล้อหน้าจะเกิดแรงต้าน รถต้องใช้กำลังมาก ทำให้รถขับขึ้นได้ช้า ควรคืนพวงมาลัยกลับมาบ้าง และเร่งเครื่อง ทำแบบนี้เป็นจังหวะไปมาจนพ้นโค้ง การขับลงโค้งแบบนี้อย่าใช้ความเร็ว ควรลงช้าๆ ใช้เบรกช่วยชะลอความเร็วแต่อย่าเหยียบแรง ท้ายรถจะปัด ยิ่งหน้าฝนท้ายรถจะปัดได้ง่าย ถ้าท้ายรถปัดรถจะเสียการทรงตัว ให้หักพวงมาลัยไปทิศทางท้ายรถ เช่น เลี้ยวซ้ายท้ายรถปัดไปทางขวาก็ให้หักพวงมาลัยไปทางขวา เมื่อรถทรงตัวได้แล้วให้บังคับรถไปในทิศทางที่ต้องการ ถ้าเอาไม่อยู่ให้เลือกทางภูเขาไว้ก่อน อย่าเลือกทางหน้าผาก็แล้วกัน

      และหากว่าท่านต้องเบรก การเพิ่มระยะทางการเบรก การเบรกรถกะทันหัน รถเราอาจไปชนรถข้างหน้า ควรเลี้ยวรถดึงพวงมาลัยไปทางไหล่ทาง หรือมีพื้นที่เพื่อเพิ่มระยะทางการเบรก


       :welcome: :welcome: :welcome: :welcome:

      ทั้งนี้ การขับรถบนภูเขาที่มีทางคดเคี้ยวไปมาเป็นเวลานานๆ เมื่อถึงทางตรงลงเขายาวไกล อย่าขับเร็วเด็ดขาด คนขับส่วนมากจะขับเร็วรถมาก อันตรายมากนะครับทางแบบนี้ น้ำหนักรถ ความเร็ว ระยะทางถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เช่น มีรถ, คน, ฯลฯ ขึ้นจากข้างทางหักหลบไม่พ้นแน่ ถึงจะหักหลบได้แต่รถต้องเกิดอะไรแน่นอน ไม่พลิกคว่ำ แหกข้างทางเข้าป่า หรือไม่ก็ชนรถที่วิ่งสวนมา

      เมื่อต้องขับรถโค้งต่อเนื่องรูปตัว S ต้องมองให้ไกล มองให้ลึก เมื่อแน่ใจว่าทางว่าง ไม่มีรถสวนมาให้ถอนคันเร่งลง แล้วเสียบตัดโค้งในแนวการขับเป็นเส้นตรงที่สุด ง่ายไหม? ...ครับ แต่การขับรถลักษณะนี้ถ้าไม่แน่ใจเส้นทางข้างหน้าหรือทัศนวิสัยไม่ดีควรขับเข้าทางโค้งธรรมดา อยู่ในทางของเราเอง


       :49: :49: :49: :49:

      นอกจากนี้ ในส่วนการขับในทัศนวิสัยไม่ดี ทางโค้งแคบที่มีสันเขาบังสายตา ควรเข้าโค้งแบบธรรมดา ต้องบีบแตรส่งสัญญาณทุกครั้งก่อนจะเข้าโค้งเพื่อป้องกันรถที่วิ่งสวนมา เนื่องจากคนที่ขับรถเจ้าถิ่นบนภูเขาเป็นประจำจะขับรถตัดโค้ง

      และเมื่อต้องเจอกับทางลูกรังหรือทางที่มีหินลอย ทางแบบนี้ถือได้ว่าเป็นทาง ′ปราบเซียน′ กลิ้งกันมาหลายคันครับ การที่ล้อรถลอยตัวขณะวิ่งเข้าโค้งเราไม่สามารถบังคับได้อย่างที่ต้องการ และการที่เราไม่คุ้นเคยกับเส้นทางมาก่อนก็ไม่ควรขับรถด้วยความเร็ว




      ข้อควรระวัง

      1.ขณะขับรถขึ้นทางชันหรือขึ้นเขาควรเร่งความเร็วให้สม่ำเสมอเพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวลแต่อย่าเร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรงนะครับเพราะนอกจากความเร็วจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย

      2. อย่าใช้เกียร์ว่างในขณะลงเนินชัน หรือลงเขาโดยเด็ดขาด!! เพราะจะทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วสูง โดยไม่มีแรงหน่วงของเครื่องยนต์ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรใช้เกียร์ต่ำ และค่อยๆปล่อยรถให้ไหลลงเนินตามรอบเครื่องยนต์ และอย่าลืมควบคุมความเร็วของรถให้สัมพันธ์กับเกียร์ ด้วยนะครับ

      3. ควรใช้เกียร์ต่ำ คือเกียร์ 1 หรือ เกียร์ 2 (เกียร์อัตโนมัติคือ L)ในขณะขับรถขึ้นเขา เพราะถ้าใช้เกียร์ที่สูง อย่างเช่นเกียร์ 3, 4 หรือ 5 จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลังและแรงฉุดมากพอที่จะเคลื่อนที่ขึ้นเนินเขา นอกจากนี้ยังเป็นการผลาญน้ำมันโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

      สุดท้ายเพิ่มเติมไว้ ตอนขาลงก็ระวังเรื่องเบรกแล้วกันครับ ระวังจะไหม้ซะก่อน ผู้เขียนเคยเเล้ว รอบเครื่องเบรกก็กลัวเปลืองน้ำมัน ขาลงใช้เบรกมากไปหน่อย ลองเอามือไปเเตะถึงกับมือพองเลยทีเดียวครับ ...


ขอบคุณข้อมูล - http://www.khaoko.com/
http://auto.sanook.com/25579/
13612  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีแก้ภัยแล้งแบบอินเดีย เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 12:13:41 pm


วิธีแก้ภัยแล้งแบบอินเดีย

อินเดียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่หลายจุดเจอปัญหาภัยแล้ง ไปดูวิธีแก้ภัยแล้งของชายคนหนึ่ง

ซาคาราม บากัท (Sakharam Bhagat) อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ชื่อ เดนกันมาลนี้ ซาคาราม มีภรรยา 3 คน

ทูกี (Tuki) ภรรยาคนแรกบอกว่า หน้าที่เธอคือดูแลบ้านและลูก ๆ แต่ช่วงหลัง ๆ นี้ครอบครัวเผชิญกับปัญหาใหญ่ นั่นก็คือ การขาดแคลนน้ำ

เดนกันมาล ตั้งอยู่ในจุดที่แล้งตลอดทั้งปี อากาศจะร้อนระอุจนทำให้บ่อน้ำแห้งสนิท คนไม่มีน้ำกินน้ำใช้ ต้องเดินทางไปหาน้ำที่อื่น แต่ปัญหาคือไม่มีแม่น้ำที่อยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านเลย แม่น้ำที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาในการเดินไปและกลับถึง 12 ชั่วโมง ทูกิไม่สามารถที่จะทิ้งลูก ๆ ของเธอเพื่อไปนำน้ำกลับมาได้


 :96: :96: :96: :96: :96:

สามีก็คือซาคาราม จึงแก้ปัญหานี้โดยการแต่งงานกับซาครี (Saakhri)และแต่งงานอีกครั้งกับบักกี (Bhaggi) เพื่อที่ภรรยาที่สองและสามจะได้เป็นผู้ที่ไปนำน้ำกลับมาให้กับครอบครัวของเขา ขณะที่ทูกี ภรรยาคนแรกอยู่ดูแลลูก ๆ ที่บ้าน

การมีภรรยามากกว่า 1 คนเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายของประเทศอินเดีย ยกเว้นชาวมุสลิมที่สามารถมีภรรยาได้มาก 1 คน แต่ซาคารามเป็นนับถือศาสนาฮินดู แต่เขาให้เหตุผลว่าภาวะการขาดแคลนน้ำเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เขามีภรรยาคนที่สองและสาม


 :29: :29: :29: :29:

ซาครีและบักกีเป็นแม่หม้ายทั้งคู่ การแต่งงานใหม่กับซาคารามนั้น ทำให้ทั้งสองได้รับการยอมรับจากสังคมอีกครั้ง เนื่องจากในอินเดีย โดยเฉพาะชนบท ผู้หญิงที่สามีเสียชีวิตจะไม่มีที่ยืนในสังคม พวกเธอไม่สามารถเข้าร่วมพิธีทางศาสนา และในบางแห่ง พวกเธอถูกห้ามให้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมกับครอบครัว


ที่มา ch3.sanook.com/55231/วิธีแก้ภัยแล้งแบบอินเด
13613  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แปลก.! หนุ่มชัยภูมิตายแล้วฟื้น อ้างสลับวิญญาณมาเกิด เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 12:07:09 pm


แปลก! หนุ่มชัยภูมิตายแล้วฟื้น อ้างสลับวิญญาณมาเกิด

หนุ่มวัย 32 ปี ตายแล้วฟื้น ที่ จ.ชัยภูมิ อ้างสลับวิญญาณมาเกิด โดยจะช่วยเหลือมนุษย์ ให้ทำดี ปฏิบัติธรรม เข้าวัดทำบุญ

วันที่ 18 ก.ค. 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.ชัยภูมิ เกิดเรื่องฮือฮา ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ห้วยต้อน อ.เมือง มีชายวัย 32 ปี ตายแล้วฟื้น โดยได้รับการเปิดเผยจาก นายญาณาทัย พุ่มบ้านเซ่า พนักงานบริการใช้เช่ารถพยาบาลฉุกเฉินเอกชน ว่าเมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งจากมูลนิธิสว่างคุณธรรมชัยภูมิ ให้ช่วยนำรถตู้ไปรับศพชายคนดังกล่าว

ซึ่งเสียชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาล ใน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา นานกว่า 3 ชม. เพื่อนำศพกลับบ้านที่ จ.ชัยภูมิ แต่เมื่อนำรถไปถึงเพื่อรอรับศพกลับ ทางญาติๆและทางโรงพยาบาล กลับแจ้งว่าชายคนดังกล่าวฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง


 :96: :96: :96: :96:

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของชายคนดังกล่าว และได้รับการเปิดเผยจากภรรยา โดยเล่าว่า การกลับมาเกิดหรือตายแล้วฟื้นของสามีครั้งนี้ มีสิ่งผิดปกติตั้งแต่ก่อนที่สามีจะเสียชีวิตไม่กี่สัปดาห์ ที่มักจะพูดว่าฝันเห็นยมทูตมาหาตลอด

หลังจากนั้นวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา สามีก็หลับไปและไม่หายใจ ทางญาติจึงช่วยกันเร่งนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ช่วยปั้มหัวใจช่วยชีวิตอยู่นาน จนแพทย์ระบุว่าสามีเสียชีวิตไม่หายใจแล้ว


 :29: :29: :29: :29:

หลังจากสามีฟื้นขึ้นมา ก็บอกว่าเขาไม่ใช่สามีคนเดิม แต่เป็นอดีตสามีของตนในชาติก่อน สลับวิญญาณกับสามีในชาตินี้มาเกิด โดยมีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์ ให้ทำดี ปฏิบัติธรรม เข้าวัดทำบุญกันให้มากขึ้น ส่วนคนไม่ดีกรรมจะจัดการเอง และก็จะอยู่ในโลกนี้ได้เพียงอายุไขไม่เกินอายุ 84 ปี เท่านั้น ก็จะต้องกลับไปเกิดใหม่อีกครั้งในยมโลก

อย่างไรก็ตาม ภรรยาได้กล่าวว่า หลังจากสามีของตนฟื้น ก็จำญาติพี่น้องไม่ได้แม้แต่คนเดียว เดิมมีอุปนิสัย พูดภาษาอีสานพื้นบ้าน และจะพูดคลายคนติดอ่าง แต่ครั้งนี้กลับมามีท่าทางเหมือนยักษ์เป็นคนดุเคร่งครึม และพูดภาษาไทยกลางได้อย่างฉะฉาน รวมทั้งไม่รู้จักแม้กระทั่งว่าเงินใช้อย่างไรอีกด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://news.sanook.com/1832610/
13614  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เชียงใหม่ พระเกจิพุทธาภิเษก ทะเบียนรถยิ่งใหญ่ เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 11:54:44 am


พระเกจิพุทธาภิเษก ทะเบียนรถยิ่งใหญ่

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 18ก.ค.นายชาญชัย กีฬาแปง ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้นำป้ายทะเบียนรถเลขสวย หมวดอักษร ขน จำนวน 301 แผ่นป้าย ซึ่งจะทำการเปิดประมูลในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส ถนนช้างคลาน อ.เมืองเชียงใหม่ เข้าร่วมในพิธีมหาพุทธาภิเษกพระพุทธสันติสิริสรณ์ 84,000 องค์ ที่วัดสันติธรรม ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ เมื่อไม่กี่วัน ที่ผ่านมา เพื่อความเป็นสิริมงคลสำหรับผู้ที่ประมูลป้ายทะเบียนรถได้ นำไปติดรถ

พิธีมหาพุทธาภิเษกที่จัดขึ้นครั้งนี้ เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ของปี 2558 โดย พระพรหมเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานพิธี รวมทั้ง พระเกจิอาจารย์ชื่อดังจากทั่วประเทศมาร่วมพิธี เช่น พระมงคลสุธี หรือหลวงปู่แขก ประภาโส วัดสุนทรประดิษฐ์ จ.พิษณุโลก, พระครูธรรมะคุณาธร หรือ หลวงปู่ศูนย์จันทวัณโณ วัดป่าอิสระธรรม จ.สกลนคร, พระเทพวิสุทธิญาณ หรือหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล วัดอนาลโยทิพยาราม จ.พะเยา, พระราชปัญญาสาร์ท หรือหลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม วัดกระดึงทอง จ.บุรีรัมย์, พระราชวิทยาคม หรือหลวงปู่ครูบาสายทอง กิตติปาโล วัดท่าไม้แดง จ.ตาก เป็นต้น

“ดังนั้นป้ายทะเบียนรถเลขสวยทั้ง 301 แผ่นป้าย ที่จะนำออกประมูลในเดือน ก.ย.นี้ จึงเชื่อว่าจะมีความขลังและศักดิ์สิทธ์ เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ประมูลได้อย่างแน่นอน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-5327-8265 และ 08-1721-7999” นายชาญชัย กล่าว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/512629
13615  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ช่างปั้นพระ วัดลพบุรี หวิดสิ้นชื่อ ถูกยิงสาหัส "คาดฝีมือเจ้าอาวาส" เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 11:51:15 am


ช่างปั้นพระ วัดลพบุรี หวิดสิ้นชื่อ ถูกยิง 3 นัด สาหัส

ช่างปั้นพระพุทธรูปในวัดที่ลพบุรี หวิดสิ้นชื่อ ถูกมือมืดยิง 3 นัด อาการสาหัส คาดฝีมือเจ้าอาวาสปืนโหดจ่อยิง เหตุมีเรื่องทะเลาะโกรธแค้นส่วนตัวกันมาก่อน หลังเกิดเหตุมีคนเห็นเจ้าอาวาสหลบหนีไปแล้ว ตำรวจเร่งตามล่าคนร้าย

วันที่ 19 ก.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 18 ก.ค.58 พ.ต.ท.พิทักษ์ ชอบธรรม พนักงานสอบสวน สภ.ลำสนธิ อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี รับแจ้งจาก รพ.ลำสนธิ ว่ามีผู้ถูกยิงด้วยอาวุธปืนถูกส่งตัวเข้ารักษายังที่ รพ. หลังจากรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุเนตร หอกลอง ผกก. พ.ต.ท.สุรศักดิ์ นามประเสริฐ หัวหน้าพนักงานสอบสวน ผนพ. และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย พบร่างของนายขวัญพิพัฒน์ ถูไกรวงศ์ อายุ 45 ปี บ้านเลขที่ 57 ม.2 ต.น้ำอ้อม อ.กระนวล จ.ขอนแก่น ผู้บาดเจ็บถูกยิงด้วยอาวุธปืน 1 นัด เข้าที่บริเวณใกล้กับอวัยวะเพศอาการสาหัส ถูกนำตัวส่งต่อไปยัง รพ.พระนารายณ์ จ.ลพบุรี


 :41: :41: :41: :41:

จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเบื้องต้น นายขวัญพิพัฒน์ ผู้บาดเจ็บให้การว่า ตนเคยบวชเป็นพระ และเป็นช่างปั้นพระพุทธรูป อยู่ที่โต้เถียง ม.2 ต.หนองรี อ.ลำสนธิ ก่อนเกิดเหตุในช่วงเย็นตนได้เกิดมีปากเสียงทะเลาะโต้เถียงกับ พระครูพิบูลธรรมสมังคี หรือ พระไพฑูรย์ ศรีรักษ์ อายุ 55 ปี เจ้าอาวาสวัดโคกคลีสามัคคี ที่เกิดเหตุ จากนั้นต่อมา ก่อนเกิดเหตุขณะที่ตนเดินอยู่ที่ข้างกุฎิของพระไพฑูรย์ ทันใดนั้นได้มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงจากชั้นบนกุฎิ มาใส่ตนจำนวน 3 นัด จนล้มฟุบ

จากนั้นจึงถูกนำตัวส่ง รพ. คาดว่า คนร้ายที่ก่อเหตุ น่าจะเป็นพระไพฑูรย์ ซึ่งหลังเกิดเหตุ มีผู้พบเห็นว่า พระไพฑูรย์ได้เก็บข้าวของเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นฆราวาส ก่อนขับรถยนต์ ยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ 4 ประตู สีเขียว หมายเลขทะเบียน 4472 ลพบุรี หลบหนีไปส่วนสาเหตุคาดว่า น่าเกิดจากปัญหาเรื่องโกรธแค้นส่วนตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับมือปืนผู้ต้องสงสัยมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


 :96: :96: :96:

ทั้งนี้ จากการสอบสวนพระลูกวัด และชาวบ้านกล่าวว่า สาเหตุที่เกิดขึ้น น่ามาจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่ผู้บาดเจ็บบวชเป็นพระ ก็ได้มีการหารายได้เข้าวัดเป็นประจำ และเมื่อสึกไปแล้ว ก็ยังคงเป็นช่างรับจ้างปั้นพระพุทธรูป ให้กับวัดต่างๆ ก่อนนำรายได้ ไปบูรณะและเป็นค่าใช้จ่ายภายในวัดอย่างต่อเนื่อง จึงมีเหตุทะเลาะโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆอยู่เป็นประจำ หลังสุดเกือบถึงขั้นวางมวยกัน จึงน่าจะป็นสาเหตุทำให้เจ้าอาวาสใช้อาวุธปืนยิงระบายแค้นดังกล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/512634
13616  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: พระอริยะเขาดูกันอย่างไร? (โดย พระราชพรหมยาน) เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 11:44:01 am


 :welcome: :s_good: :welcome: :s_good:

ยินดีที่ คุณดนัย มาช่วยโพสต์ครับ

 st11 st11 st11 st11
13617  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: การระลึกชาติ ด.ญ.พิมพวดี กรณีศึกษาผลของกรรม เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 11:39:55 am





 :welcome: :welcome: :s_good: :s_good:

น้องป้อม เก่งจัง....โพสต์บ่อยๆ นะ

 like1 like1 st11 st11
13618  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ขอทานมี ๒ ประเภท "ให้แล้วต้องไหว้ และ "ให้แล้วไม่ต้องไหว้" เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 11:20:00 am


เฉลยที่มาของชื่อกระทู้

กับชื่อกระทู้ที่ว่า ขอทานมี ๒ ประเภท "ให้แล้วต้องไหว้ และ "ให้แล้วไม่ต้องไหว้" ฟังดูออกจะแรงไปนิด
ผมเคยเอ่ยประโยคนี้กับพระรูปหนึ่ง ท่านทำหน้าไมสู้ดี เข้าใจว่า ทำใจรับไม่ได้ ถึงแม้ความจริงเป็นเช่นนั้น ภิกษุปุถุชนยังละอุปทานขันธ์ ๕ ไม่ได้ ย่อมไม่ยินดีกับประโยคนี้

   ภิกษุ แปลตรงๆคือ ผู้ขอ
   ยาจก แปลว่า ขอทาน
   การยังชีพของภิกษุและยาจก มีลักษณะอาการที่เหมือนกัน คือ การขอ
   ต่างกันที่ ภิกษุขอโดยไม่เอ่ยปาก การขอของภิกษุจะยืนนิ่งๆไม่เอ่ยปาก
   ส่วนการขอของยากจก ไม่มีข้อจำกัดใดๆ จะยืนเดินนั่งนอน อย่างไรก็ได้ จะเอ่ยปากขอหรือไม่ก็ได้
   ความต่างอีกอย่างคือ เมื่อได้รับแล้ว ภิกษุจะไม่แสดงอาการอะไร แต่ผู้ให้จะต้องหราบไหว้ ส่วนยากจกจะไหว้แสดงความขอบคุณ

   หากถามว่า ทำไมพระไม่ขอบคุณ หรือแสดงอาการขอบคุณ.?
   ก่อนอื่นต้องบอกว่า วินัยพระห้ามไม่ให้ไหว้ฆราวาส การกล่าวขอบคุณของพระตรงๆไม่มี อาจอนุโลมให้ "การให้พร" เป็นการกล่าวขอบคุณ แต่ขณะบิณฑบาตจะให้พรไม่ได้ ติดที่วินัยห้ามเอาไว้

   การบิณฑบาตของเหล่าพระภิกษุสงฆ์นั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอรรถกถาว่า
    "พราหมณ์ ส่วนอันเลิศก็ดี ภัตที่ท่านแบ่งครึ่งบริโภคแล้วก็ดี เป็นของสมควรแก่เราทั้งนั้น แม้ก้อนภัตที่เป็นเดน เป็นของสมควรแก่เราเหมือนกัน พราหมณ์ เพราะพวกเราเป็นผู้อาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีพ เป็นเช่นกับพวกเปรต"

    พุทธพจน์นี้ชัดเจนมากๆ และก็แรงจริงๆ ท่านเปรียบสงฆ์เป็นพวกเปรต ผมเปรียบสงฆ์เป็นขอทานยังเบาไปด้วย เพื่อนๆเห็นด้วยไหมครับ

   ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นที่มาของประโยคที่ว่า
   ขอทานมี ๒ ประเภท "ให้แล้วต้องไหว้ และ "ให้แล้วไม่ต้องไหว้"
   แต่...ความจริงมีอยู่ว่า แนวคิดนี้ไม่ได้ออกมาจากผม แนวคิดนี้เป็นของพระอาจารย์ของผม ท่านเคยปรารถเรื่องขอทานนี้ให้ผมฟัง




การบิณฑบาตของพระอัสสชิ ทำให้พระสารีบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม

สาเหตุหลักที่พระต้องยังชีพด้วยการขอ เพราะพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติวินัยไม่ให้พระประกอบอาชีพ และการบิณฑบาตเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่กระทำสืบต่อกันมา สาวกทั้งหลายจึงจำเป็นต้องรักษาประเพณีนี้ไว้อย่างเคร่งครัด

    การเที่ยวบิณฑบาตนั้น นอกจากเป็นการโปรดเวไนยสัตว์แล้ว ยังเป็นการเผยแผ่ศาสนาอีกด้วย ขอตัวอย่างที่เห็นกันอย่างชัดๆ ในสมัยพุทธกาล ดังนี้

    กรณีพระสารีบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม ขณะนั้นท่านเป็นปริพาชกชื่ออุปติสสะ ท่านเห็นพระอัสสชิขณะบิณฑบาต สังเกตเห็นกิริยาอาการที่งดงามของพระอัสสชิ จึงเกิดความเลื่อมใส เข้าไปถามจนได้ดวงตาเห็นธรรมในที่สุด

    กรณีพระเจ้าสุทโธทนะ(พุทธบิดา) เรื่องนี้เหตุเกิดจากความไม่พอใจของพุทธบิดาทีเห็นพระพุทธเจ้าเดินเที่ยวขอก้อนข้าวจากชาวเมือง แต่พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมให้พุทธบิดาจนได้ดวงตาเห็นธรรมในที่สุด

    กรณีพระพาหิยะ พาหิยะเห็นพระพุทธเจ้าขณะบิณฑบาตจึงเข้าไปอ้อนวอนให้แสดงธรรมถึง ๓ ครั้ง พระพุทธองค์ได้เทศน์แก่พาหิยะจนสำเร็จอรหันต์ในที่สุด




พระสารีบุตรบิณฑบาตรถึง ๓ ครั้งภายในวันเดียว

การออกบิณฑบาตของพระภิกษุสงฆ์นั้น ต้องครองจีวรให้เรียบร้อบ ต้องเดินด้วยอาการสำรวม เพื่อให้เป็นที่เลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส และให้เป็นที่เลื่อมใสยิ่งขึ้นของคนที่เลื่อมใสแล้ว

    เรื่องการครองจีวรนั้น ในอรรถกถามีเรื่องเล่าว่า เณรรูปหนึ่งเห็นพระสารีบุตรมีจีวรที่ดูไม่เรียบร้อย ได้กล่าวบอกพระสารีบุตรให้ทราบ พระสารีบุตรได้ทำการครองจีวรใหม่ แล้วมายืนยกมือไหว้ต่อหน้าเณรรูปนั้น และถามว่า เป็นไงบ้าง(ดีหรือยัง..อะไรทำนองนี้) เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่อัครสาวกเบื้องขวายังต้องระมัดระวังในการครองจีวร

    ที่บ้านผมมีพระออกบิณฑบาตผ่านหน้าบ้าน ทั้งหมด ๔ วัด เท่าที่สังเกตดู มีอยู่วัดหนึ่งเดินด้วยอาการสำรวมน่าเลื่อมใส เดินก้มหน้าแต่พองาม เดินไม่ช้าไม่เร็ว ส่วนอีกสามวัดที่เหลือ หลายองค์เดินลอยหน้าลอยตา หันขวาทีหันซ้ายที บางวัดก็เดินเร็ว บางรูปก็รีบปิดฝาบาตรโดยไม่ดูว่าผมใส่ข้าวละยัง
    เพื่อนๆครับ อยากบอกว่า วัดที่เดินสำรวมที่สุด เป็นวัดสายธรรมยุตครับ เข้าใจว่า คงได้การอบรมมาจากอุปฌาย์อาจารย์สืบๆกันมา
   
    หากมีใครถามว่า วันหนึ่งพระออกบิณฑบาตสองครั้งได้ไหม.?
    ขอตอบว่า ในวินัยของพระระบุไว้ว่า รับอาหารได้แค่ ๓ บาตร เรื่องนี้ไม่ขอขยายความ เพราะว่าผมเองก็ไม่เข้าใจ สิ่งที่อยากบอกก็คือ ในอรรถกถามีเรื่องเล่าว่า เช้าวันหนึ่งพระสารีบุตรออกบิณฑบาตถึง ๓ ครั้ง เพื่อที่จะศิษย์ชื่อ พระโลสกติสสะ ได้ฉันอย่างพอเพียง
    เนื่องจากพระโลสกติสสะ ประกอบกรรมไว้มาก ทำให้ขัดสนในการบิณฑบาต ไม่มีใครใส่บาตรท่านเลย ในวันนั้นพระสารีบุตรทราบว่า พระโลสกติสสะจะปรินิพพานในวันนี้ จึงประสงค์จะสงเคาระห์พระโลสกติสสะเป็นครั้งสุดท้าย

    ในการบิณฑบาตครั้งแรก พระสารีบุตรออกไปกับพระโลสกติสสะ ปรากฏว่า ไม่มีใครใส่บาตรให้เลย ทำให้พระสารีบุตรต้องออกไปบิณฑบาตอีกครั้ง

    บิณฑบาตครั้งที่สอง พระสารีบุตรออกไปรูปเดียวได้อาหารมา ก็สั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งนำไปให้พระโลสกติสสะ แต่ภิกษุรูปนั้นกลับลืมชื่อของพระโลสกติสสะ ไม่รู้จะเอาไปให้ใคร เลยฉันเองจนหมด พระสารีบุตรพอทราบเรื่องนี้เข้า เลยต้องออกไปบิณฑบาตเป็นครั้งที่สาม

    บิณฑบาตครั้งที่สาม พระสารีบุตรไปหาพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้อาหารมาก็นำมาให้พระโลสกติสสะดัวยตัวเอง และได้ถือบาตรนั้นไว้ด้วยมือของพระสารีบุตร เพราะเกรงว่าอาหารในบาตรนั้นจะมีอันเป็นไป หรืออันตรธานไปเสีย ด้วยกำลังฤทธิ์และบารมีของพระสารีบุตร ทำให้พระโลสกติสสะได้ฉันอาหารอันประณีตก่อนปรินิพพานในวันนั้นเอง
   
    เพื่อนๆท่านใดต้องการอ่านเรื่องนี้ คลิกไปที่
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3839.0




งามในเบื้องต้นนั้น ควรงามอย่างไร.?

ผมชอบพุทธพจน์ในพระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์ ที่ว่า
    "ภิกษุใดถือบิณฑบาตเป็นวัตร เพราะอาศัยความปรารถนาน้อยอย่างเดียว เพราะอาศัยความสันโดษอย่างเดียว เพราะอาศัยความขัดเกลากิเลสอย่างเดียว เพราะอาศัยความต้องการด้วย ข้อปฏิบัติอันงามนี้อย่างเดียว ภิกษุนี้เป็นผู้เลิศ"
   
    ความปรารถนาน้อยมี ๔ อย่าง คือ
        ๑. ความปรารถนาน้อยในปัจจัย
        ๒. ความปรารถนาน้อยในคุณธรรมเป็นเครื่องบรรลุ 
        ๓. ความปรารถนาน้อยในปริยัติ
        ๔. ความปรารถนาน้อยในธุดงค์
    - บุคคลผู้ปรารถนาน้อยด้วยปัจจัย เมื่อเขาให้มากก็รับเอาแต่น้อย เมื่อเขาให้น้อยก็รับเอาน้อยกว่า หรือว่าไม่รับเอาเลย ย่อมเป็นผู้ไม่รับเอาโดยไม่เหลือไว้.
    - บุคคลผู้ปรารถนาน้อยในคุณธรรมเป็นเครื่องบรรลุ ย่อมไม่ให้ชนเหล่าอื่นรู้คุณธรรมเป็นเครื่องบรรลุของตน
    - บุคคลผู้ปรารถนาน้อยในปริยัติ แม้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก ก็ไม่ปรารถนาที่จะให้คนอื่นรู้ว่าตนเป็นพหูสูตร
    - บุคคลผู้ปรารถนาน้อยในธุดงค์ ย่อมไม่ให้ชนเหล่าอื่นรู้ถึงการบริหารธุดงค์

    สันโดษมี 3 อย่าง
       1. ยถาลาภสันโดษ คือ ยินดีตามที่ได้, ยินดีตามที่พึงได้ คือ ตนได้สิ่งใดมา หรือ เพียรหาสิ่งใดมาได้ เมื่อเป็นสิ่งที่ตนพึงได้ ไม่ว่าจะหยาบหรือประณีตแค่ไหน ก็ยินดีพอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่ติดใจอยากได้สิ่งอื่น ไม่เดือดร้อนกระวนกระวายเพราะสิ่งที่ตนไม่ได้ ไม่ปรารถนาสิ่งที่ตนไม่พึงได้หรือเกินไปกว่าที่ตนพึงได้โดยถูกต้อง ชอบธรรม ไม่เพ่งเล็งปรารถนาของที่คนอื่นได้ ไม่ริษยาเขา
       2. ยถาพลสันโดษ คือ ยินดีตามกำลัง คือ ยินดีแต่พอแก่กำลังร่างกายสุขภาพและวิสัยแห่งการใช้สอยของตน ไม่ยินดีอยากได้เกินกำลัง ตนมีหรือได้สิ่งใดมาอันไม่ถูกกับกำลังร่างกายหรือสุขภาพ เช่น ภิกษุได้อาหารบิณฑบาตที่แสลงต่อโรคของตน หรือเกินกำลังการบริโภคใช้สอย ก็ไม่หวงแหนเสียดายเก็บไว้ให้เสียเปล่า หรือฝืนใช้ให้เป็นโทษแก่ตน ย่อมสละให้แก่ผู้อื่นที่จะใช้ได้ และรับหรือแลกเอาสิ่งที่ถูกโรคกับตน แต่เพียงที่พอแก่กำลังการบริโภคใช้สอยของตน
       3. ยถาสารุปปสันโดษ คือ ยินดีตามสมควร คือ ยินดีตามที่เหมาะสมกับตน อันสมควรแก่ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแห่งการบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุไม่ปรารถนาสิ่งของอันไม่สมควรแก่สมณภาวะ หรือภิกษุบางรูปได้ปัจจัยสี่ที่มีค่ามาก เห็นว่าเป็นสิ่งสมควรแก่ทานผู้ทรงคุณสมบัติน่านับถือ ก็นำไปมอบให้แก่ท่านผู้นั้น ตนเองใช้แต่สิ่งอันพอประมาณ หรือภิกษุบางรูปกำลังประพฤติวัตรขัดเกลาตน ได้ของประณีตมา ก็สละให้แก่เพื่อนภิกษุรูปอื่นๆ ตนเองเลือกหาของปอนๆ มาใช้หรือตนเองมีโอกาสจะได้ลาภอย่างหนึ่ง แต่รู้ว่าสิ่งนั้นเหมาะสมหรือเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อื่นที่เชี่ยวชาญถนัดสามารถด้านนั้น ก็สละให้ลาภถึงแก่ท่านผู้นั้น ตนรับเอาแต่สิ่งที่เหมาะสมกับตน

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญเหล่าพระภิกษุสงฆ์ในเบื้องต้น ก็คือ
         - บิณฑบาตเป็นวัตร
         - ความปรารถนาน้อย
         - ความสันโดษ
     ดังนั้นการดูพระในปัจจุบันว่า งามในเบื้องต้นอย่างไรนั้น.?
     ก็ควรนำสามอย่างนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย


     ขอจบการคุยเป็นเพื่อนแต่เพียงเท่านี้ ขอบพระคุณที่ติดตาม......


     :welcome: :49: :s_good: st12     
13619  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / สร้างสมเด็จโต จกบาตร รำลึกถึงวันที่ท่านแวะ “ฉันเพล” ที่วัดโตนด สมัยยังมีสังขาร เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:30:43 pm

วัดโตนดสร้างสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ย้อนยุครำลึก

วัดโตนดสร้างสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ย้อนยุค
รำลึกถึงวันที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ แวะ “ฉันเพล” ที่วัดสมัยยังมีสังขาร

ในแวดวงคณะสงฆ์ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) นับเป็นพระนักปราชญ์รูปหนึ่งที่มีกิตติศักดิ์ร่ำลือมาจนทุกวันนี้ และท่านได้พระพุทธรูปองค์ใหญ่โต สมชื่อ “สมเด็จโต” ทำให้เป็นที่เคารพบูชามาตราบทุกวันนี้
 
ที่วัดโตนด ซ.จรัลสนิทวงศ์ 13 (ซอยพาณิชยการธนบุรี) แยกบางแวก 21 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ได้มีตำนานเกี่ยวกับสมเด็จฯ โต ปรากฏไว้ด้วย จึงเป็นที่มาของการสร้างรูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) อิริยาบถฉันเพล ความเป็นมาอย่างไรท่านจิรศักดิ์ จิรกิตฺติ เจ้าอาวาสวัดโตนด กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องการอยากจะทำสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) โดยส่วนตัวได้ศรัทธาเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์อยู่แล้ว เพราะว่าได้สวดพระคาถาชินบัญชรเป็นประจำ ไม่ว่าจะทำน้ำมนต์ หรือว่าไปเทศน์ ไปทำอะไรก็ใช้บทพระคาถาของท่าน ในส่วนต่างๆ ในการที่จะทำพิธีหรือกิจต่างๆ นั้น
 


และเผอิญว่าวัดโตนด เป็นวัดราษฎร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2400 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ยุคต้น และวัดแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพุฒาจารย์โต คือว่าสมเด็จพุฒาจารย์ได้มากิจนิมนต์ที่คลองบางแวก และก็ได้มาพักฉันเพลที่วัดโตนดแห่งนี้ ซึ่งความตรงนี้นั้นได้ฟังจากผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าให้ฟังส่วนหนึ่ง และก็อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ได้ไปเจอคำกล่าวรายงานของอดีตเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ.2520 เป็นการกล่าวถวาย

เป็นการกล่าวรายงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดตอนนั้น สมัยยังเป็นจังหวัดธนบุรีอยู่ มีข้อความในหนังสือประวัติพระพุฒาจาย์ (โต พฺรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล เสด็จพระราชดำเนิน พระราชทานพระกิฐน พ.ศ.2504 ความว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์เสด็จนิจนิมนต์ที่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ปลายคลองบางแวก ธนุบรี และได้แวะมาฉันเพล ณ วัดโตนด
 

 :25: :25: :25: :25:

ดังใจความที่อาตมาได้แต่งเป็นกลอน โดยให้เพื่อนสหธรรมิกคือท่านพระมหาเฉลิมชัย ชยเมธี (ปธ. 9 ประโยค) วัดโพธินิมิตสถิตมหาสีมาราม ได้แต่งเป็นกลอนในเนื้อความของกลอนมีว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โตได้รับกิจนิมนต์มาที่คลองบางแวก แห่งนี้ แล้วก็จำวัดมาในเรือแล้วบอกลูกศิษย์ที่พายเรือว่าถ้าถึงวัดโตนด ให้บอกด้วย จะแวะฉันเพลที่นั่น ลูกศิษย์ก็พายเรือมาถึงวัดโตนด แต่ว่าอ่านหนังสือไม่คล่อง อ่านหนังสือไม่เก่ง อ่านวัดโตนด เป็นว่า โต-นด อ่านเป็นโต-นด ก็นึกว่ายังไม่ถึงวัดโตนด ก็เลยพายเรือผ่านไป

 
พิธีเททองหล่อองค์ต้นแบบสมเด็จโตฉันเพล

แต่ช่วงเวลาตรงนั้นเป็นช่วงเวลาเพลพอดี พระก็ตีกลองเพล สมเด็จพุฒาจารย์โตเลยตื่นจากจำวัด แล้วก็ถามลูกศิษย์ว่าถึงวัดโตนดหรือยัง ลูกศิษย์ก็ตอบว่ายังขอรับ แล้ววัดที่ตีกลองนั้นวัดอะไร ลูกศิษย์ก็ตอบว่าวัดโต-นด สมเด็จพุฒาจารย์โตท่านก็ยิ้มยิ้มแล้วก็บอกลูกศิษย์ว่านั่นแหละวัดโตนด ให้พายเรือกลับไปจะไปฉันเพลที่วัดนี้ นี่คือประวัติหรือตำนานที่ได้ยินและก็ได้ฟังแล้วก็ได้อ่านมา
 
อาตมาก็เลยเกิดคิดว่าวัดอื่นๆ ที่เขาสร้างสมเด็จโตกันใหญ่โต เขาไม่ได้มีประวัติหรือบางครั้งบางทีไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพุฒาจารย์โตไม่เคยไปด้วยซ้ำไป เขาก็ยังสร้างกันได้ อาตมาก็เลยคิดว่า เราก็เกิดความเลื่อมใสอยู่แล้ว ก็เลยอยากจะสร้างที่นี้จะสร้างเหมือนกับคนอื่นๆ เขา มันก็มีให้เห็นกันเยอะแล้ว

อาตมาคิดว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โตท่านมาฉันเพลที่วัด เราจะทำยังไงดี ตอนแรกอาตมาก็คิดว่า ตั้งบาตรไว้ข้างหน้า มีขาบาตร แล้วตั้งบาตรไว้ข้างหน้าแล้วท่านก็จับบาตร แต่สมัยก่อนยังไม่มีขาบาตร ก็เลยวางไว้ที่ตักแล้วก็อุ้มบาตรเฉยๆ ก็ดูแล้วก็ยังไม่โดนใจ ก็เลยจับขอบบาตรหน่อยหนึ่ง ก็ยังไม่ดี เลยลองล้วงบาตร จกบาตรเลย ตามภาษาบ้านเรา พอจกบาตรลงไปแล้วก็มองว่าดูดีนะ ดูดีนะ ก็เลยให้ช่างเป็นคนออกแบบให้ ลองมาให้ดู พิจารณาลองดู ก็เกิดมาเป็นภาพที่ท่านสาธุชนได้เห็นอยู่ในขณะนี้

 
พระพิมลภาวนาภิธาน วัดระฆังโฆสิตาราม คณะสงฆ์ พล.อ.สุชาติ ชมพูทวีป ประกอบพิธี เททองหล่อองค์สมเด็จโต

อันนี้ก็คือ ประวัติหรือตำนาน หรือความรู้สึกในการที่อยากจะทำ สมเด็จโต ฉันเพล ให้ศาสนิกชนทั้งหลายได้กราบไว้ เคารพบูชา เขาว่าใครไหว้สมเด็จพุฒาจารย์โตฉันเพลแล้วจะมีความอุดมสมบูรณ์ เรียกว่า โตยศ โตลาภ โตบารมี โตเงิน โตทอง โตทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีความเจริญเติบโต ดังชื่อขององค์สมเด็จพุฒาจารย์(โต พฺรมฺหรังสี) แห่งนี้
 
ขณะนี้ทางวัดได้ประกอบพิธีเททองหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) องค์ต้นแบบ เท่าองค์จริงหน้าตัก 32 นิ้ว เพื่อให้ญาติโยมได้ปิดทอง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมีเจ้าคุณพระธรรมรัตนากร เจ้าคณะเขตภาษีเจริญ เป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์วิหารสมเด็จ อาคารปฏิบัติธรรม และ พล.อ.สุชาติ ชมพูทวีป เป็นประธานพิธีฝ่ายฆราวาส พร้อมทั้งพิธีพุทธาภิเษกรูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ภายในอุโบสถวัดโตนด เพื่อมอบให้ผู้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ โดยมีสาธุชนไปร่วมพิธีฯ จำนวนมาก

 
พระธรรมรัตนากร เจ้าคณะเขตภาษีเจริญกับพระมหาจิรศักดิ์ เจ้าอาวาสวัดโตนด วางศิลาฤกษ์วิหารสมเด็จโตฯ

ทั้งนี้ ทางวัดมีโครงการหล่อองค์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ขนาดหน้าตัก 5 เมตร 10 เซ็นติเมตรโดยกำหนดพิธีเททองวาระแรก ในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ในวาระแรกนี้จะหล่อส่วนเศียรลงมาถึงหน้าอกพร้อมกันนี้วัดโตนดจะได้สร้างวิหารประดิษฐานรูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จโตฯ พร้อมเป็นอาคารปฏิบัติธรรมไปด้วย ซึ่งจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 27 ล้านบาท
 
สำหรับผู้มีจิตศรัทธาจะร่วมสร้างอาคารปฏิบัติธรรม และรูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) อิริยาบถฉันเพล ณ วัดโตนด บางแวก 21 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ สอบถามได้ที่ พระมหาจิรศักดิ์ จิรกิตฺติ เจ้าอาวาสวัดโตนด โทร. 081-561-4019 หรือ 02-457-3122

 
รูปหล่อสมเด็จโตฉันเพล ที่จะมอบให้ผู้ร่วมบริจาคฯ


อนึ่ง ขอเชิญชาวพุทธทั่วประเทศและทั้งโลก สมัครเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ(ธรรมาธิปไตย) ดีดีทีวี ส่งผ่านดาวเทียมไปทั่วโลกกว่า 177 ประเทศ ซึ่งเป็นทีวีของคณะสงฆ์ให้มั่นคง ให้ครบ 8,680 ท่าน ภายในระยะเร็วๆ นี้

โดยมีการทอดผ้าป่าสามัคคีบูชาพระธรรมให้ค้ำคูณโลก และเป็นเจ้าภาพเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นเจ้าของโดยช่วยบริจาคให้ดีดีทีวีปีละ 1,500 บาทหรือมากกว่าแบบกองทุน ตามตลอดทุกปี ดีดีทีวีจะได้ทำงานเพื่อสถาบันทั้งสามของชาติมั่นคง เพียงถ่ายสำเนาบัตรประชาชน ลงนามรับรองว่าขอเป็นเจ้าของดีดีทีวี ส่งแฟกซ์ไปได้ที่ โทร.02-216248 หรือส่งไปได้ที่ ดีดีทีวี วัดดวงแข 92 ถนนจารุเมือง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330)...

วันที่ 19 ก.ค. นี้ 09.00-16.00 น.ขอเชิญร่วมถวายสังฆทานขออโหสิกรรมกับพระกรรมฐาน 5 รูป เครื่องสังฆทานไม่นำหมุนเวียนถวายอีกแต่คณะสงฆ์ให้นำไปถวายวัดหรือสำนักปฏิบัติที่ขาดแคลน และขอเชิญปฏิบัติบูชาอธิษฐานบูชา ฟังพระธรรมเทศนาของพระมหา ดร.สิงห์ทน นภาสโภ สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ระหว่างเวลา 18.00-20.00 น. ณ อาคารอริยสัจสี่(เข้าซอย 300 เมตร) ซ.เพชรเกษม 65 เขต บางแค กรุงเทพฯ โทร.0-2421-0489

 
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.banmuang.co.th/news/region/21718
13620  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สั่งเด็ดขาด.! "ห้ามขายเหล้า วันอาสาฬหบูชา-วันเข้าพรรษา" ฝ่าฝืนเจอดำเนินคดีแน่ เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:09:23 pm


สั่งเด็ดขาด.! "ห้ามขายเหล้า วันอาสาฬหบูชา-วันเข้าพรรษา" ฝ่าฝืนเจอดำเนินคดีแน่

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้มีนโยบายลดอบายมุข สร้างสุขให้สังคม โดยได้กำหนดมาตรการให้ทุกจังหวัด อำเภอ ควบคุมกวดขันสถานบริการ ร้านจำหน่ายสุรา และสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

และเนื่องด้วยในวันที่ 30 ก.ค.ซึ่งเป็นวันอาสาฬหบูชา และในวันที่ 31 ก.ค.เป็นวันเข้าพรรษา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ประกอบกับปัจจุบันได้มีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการขับรถยนต์โดยเมาสุรา หรือเหตุทะเลาะวิวาทที่มีสาเหตุมาจากการดื่มสุราจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
 
 :29: :29: :29: :29:

นายอภินันท์กล่าวอีกว่า ทางกระทรวงโดยกรมการปกครองจึงได้สั่งการให้ทุกจังหวัด กำชับเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องลงพื้นที่กวดขันและตรวจสอบสถานบริการ ร้านจำหน่ายสุรา โรงแรม ให้ปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ทั้งในเรื่องการเปิด-ปิดสถานบริการ และการควบคุมมิให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่ากฎหมายกำหนดเข้าไปใช้บริการ และต้องมิให้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการ และให้การกวดขันมิให้มีการจำหน่ายสุรา หรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา หากพบว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายให้ดำเนินคดีในทุกฐาน

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437214447
13621  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อบต.กุดลาดโชว์ "ต้นเทียนพรรษาทองคำ" ถวายพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ 1 เดียวในโลก เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:05:56 pm


อบต.กุดลาดโชว์ "ต้นเทียนพรรษาทองคำ" ถวายพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ 1 เดียวในโลก

ตำบลกุดลาด ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2322 เป็นตำบลที่สร้างรากฐานขึ้นมาพร้อมกับตั้งจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ.2322 เพราะมีผู้เล่าว่า ผู้เฒ่าจางวาง อิทโครต กับผู้เฒ่าสุพรรณ นามวงศ์ เป็นหัวหน้าพากันอพยพมาจากหนองบัวลำภู มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านกุดลาด เนื่องจากเป็นแหล่งทำมาหากินได้สะดวกและอุดมสมบูรณ์ ตำบลกุดลาดมีกำนันปกครองซึ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นตำแหน่งขุนกุดลาดรักษา นับเป็นเกียรติแก่ตำบลสืบมา ตำบลกุดลาดตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับตำบลปทุม ตำบลกระโสบ เส้นทางผ่านทั้งตำบลประมาณ 18 กิโลเมตร อยู่บนเส้นทางสายตาลสุม-อุบลราชธานี หรือชาวบ้านเรียกถนนสมเด็จ โดยใช้นามหมู่บ้าน หมู่ 2 เป็นนามตำบล เหตุที่เรียกเพราะมีหนอง บุ่ง กุดมาก และไหลลงสู่แม่น้ำมูล จึงเรียกตามภาษาพื้นบ้านว่า “กุดลาด”

ปัจจุบันมี 14 หมู่บ้าน มีลักษณะชุมชนและวิถีชีวิตเป็นกลุ่มชุมชน ปฏิบัติตามประเพณีนิยม และองค์การบริหารส่วนตำบลกุดลาด อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ร่วมกับชาวชุมชนตำบลกุดลาด ได้ร่วมกันจัดสร้างต้นเทียนพรรษาประเภทแกะสลักเข้าร่วมประกวดในขบวนแห่เทียนเข้าพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อสืบสานประเพณีอันเก่าแก่ของชาวอุบลราชธานี โดยเมื่อปี พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา จัดทำต้นเทียนพรรษาสามมิติ ส่วนปี พ.ศ.2557 จัดทำต้นเทียนพรรษาทองคำ และในปีนี้ได้จัดทำต้นเทียนพรรษาทองคำ ถวายพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ เพื่อเข้าร่วมประเพณีแห่เทียนพรรษาวันที่ 31 กรกฎาคม 2558

 


นายกฤษรัตนชัย ทองเรือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลกุดลาด จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า สำหรับต้นเทียนพรรษาทองคำถวายพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ในปีนี้เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ต้นเทียนทั้ง 5 ต้น เป็นเทียนทองคำเพื่อนำมาถวายพระเจ้า 5 พระองค์ในวันเข้าพรรษา ส่วนด้านหน้าต้นเทียนแกะสลักเป็นภาพพญาหงส์ ซึ่งเป็นพาหนะพระนารายณ์

ต่อมาเป็นภาพแกะสลักเป็นพญา 3 เศียร ทั้งซ้ายและขวา รวมทั้งหมด 6 เศียร ประกอบด้วยพญานาคสะดุ้งรายล้อมฐานต้นเทียน ซ้ายและขวา และต้นเทียนทองคำอีก 5 ต้น
    สำหรับต้นที่ 1 จากด้านหน้าคือต้นเทียนทองคำถวายพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 นามว่า พระกกุสันธะซึ่งมีไก่เป็นพาหนะ แกะสลักเป็นภาพลายไทยและภาพพุทธประวัติปาง “ชนะมารแม่พระธรณีบีบมวยผม”
    ต้นที่ 2 เป็นเทียนทองคำตั้งอยู่บนพญานาค นามว่า “พระโกบาคมณ์” ซึ่งมีพญานาคเป็นพาหนะ แกะสลักเป็นพุทธประวัติปาง “ประสูติ” และภาพลายไทยกนก 3 ตัว กนกก้านขด
    ต้นที่ 3 ต้นกลางซึ่งเป็นต้นเอก เป็นเทียนทองคำตั้งอยู่บนหลังพญาเต่าที่มีนามว่า “พระกัสสปะ” แกะสลักเป็นลายไทยกนก 3 ตัว กนกก้านขด กนกหัวนาค และเทพพนมประกอบกับภาพพุทธประวัติปางตรัสรู้
    ต้นที่ 4 เป็นต้นเทียนทองคำตั้งอยู่บนโคนามว่า “พระโคดม” (คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) แกะสลักเป็นภาพลายไทยและพุทธประวัติปางตรัสรู้ และ
    สุดท้ายคือต้นที่ 5 เป็นเทียนทองคำที่ตั้งอยู่บนราชสีห์นามว่า “พระศรีอาริยเมตไตรย” เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ซึ่งยังเป็นพุทธทำนายอยู่ ที่ยังไม่ปรากฏ ประกอบด้วยภาพแกะสลักพุทธประวัติปางตรัสรู้และภาพลายไทยที่ผสมผสานกลมกลืน อย่างงดงามวิจิตรบรรจง

 


นายกฤษรัตนชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับฐานด้านล่างสุดจะแกะสลักเป็นภาพเทวดา 8 องค์ หรือเทวดา 8 ทิศ ร่วมขบวนนำเทียนทองคำ 5 พระองค์มาถวายในวันเข้าพรรษาขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดลาด อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และสุดท้ายคือตำนานเล่าขานขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดลาดอยู่ด้านหลังสุด ซึ่งเป็นภาพแกะสลักของ “นางเภา-นางแพง”

ซึ่งเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมายาวนาน เดิมที “นางเภา-นางแพง” คือพญานาคแปลงเป็นหญิงสาวเข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อขอหูกทอผ้าของชาวบ้านและจะขึ้นจากน้ำในเวลากลางคืน มีอยู่วันหนึ่งนางทั้งสองได้ขึ้นมาจากบึงน้ำเพื่อจะมาขอหูกทอผ้าจากชาวบ้านเหมือนเคยแต่ตอนนี้มันเป็นเวลามืดค่ำ ยายซึ่งเป็นเจ้าของหูกทอผ้าพิจารณาดูแล้วเห็นว่านางทั้งสองเป็นหญิงรูปร่างหน้าตางดงามจะปล่อยให้กลับโดยลำพังในเวลากลางคืนก็เป็นห่วงกลัวจะเกิดอันตรายแก่นางทั้งสอง เลยพูดขึ้นกับ “นางเภา-นางแพง” ว่าให้พักค้างคืนที่บ้านก่อน

 :29: :29: :29: :29:

นางทั้งสองตอบว่า พักก็ได้ แต่ยายต้องมาปลุกให้เราตื่นก่อนพระออกบิณฑบาตตอนเช้ามืด แต่ยายต้องการให้นางทั้งสองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และเดินทางกลับในเวลากลางวันจึงไม่ยอมไปปลุกตามที่ “นางเภา-นางแพง” ขอไว้ แต่ไม่ทราบว่าเป็นกรรมหรือเวรของนางทั้งสองเมื่อพระออกบิณฑบาตเสร็จ ยายเปิดประตูเข้าไปปลุกก็พบเป็นงูขนาดใหญ่สองตัวนอนขดอยู่กลางห้อง งูทั้งสองตกใจยายเป็นอย่างมากจึงรีบเลื้อยออกทางหน้าต่าง มุ่งตรงไปสู่บึงน้ำ

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไม่ปรากฏว่ามีใครพบเห็น “นางเภา-นางแพง” มายืมหูกทอผ้ากับชาวบ้านอีกเลย ชาวบ้านจึงเรียกบึงนั้นว่า “บุ้งนางเภา-นางแพง” ซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่ติดกับแม่น้ำมูลห่างจากบ้านกุดลาดทางทิศใต้ 800 เมตร ปรากฏให้เห็นมาจนถึงปัจจุบัน

 



ด้านนายประทีป กีรติเรขา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า จังหวัดอุบลราชธานีได้ร่วมกับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชน กำหนดจัดงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ประจำปี 2558 ระหว่างวันที่ 15-31 กรกฎาคม 2558 ณ บริเวณสนามทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
 
 ans1 ans1 ans1 ans1

สำหรับการจัดงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสานวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นให้คงอยู่ถาวรสืบไป และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยตามนโยบายของรัฐบาล ที่กำหนดให้ปี พ.ศ.2558 เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทย ซึ่งขณะนี้ทางจังหวัดอุบลราชธานีได้ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อเตรียมการและดำเนินการจัดกิจกรรมในงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

    โดยมีกิจกรรมที่กำหนดไว้เป็นเบื้องต้น ได้แก่
    พิธีเปิดงานเทศกาลงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา ในวันที่ 20 ก.ค.
    การจัดกิจกรรมแกะสลักประติมากรรมเทียนนานาชาติ วันที่ 15-31 ก.ค.
    กิจกรรมเยือนชุมชน ชมวิถีชีวิตวัฒนธรรมในการตกแต่งต้นเทียนพรรษา วันที่ 15-31 กรกฎาคม 2558
    กิจกรรมถนนสายธรรมสายเทียน วันที่ 27-31 ก.ค.
    กิจกรรมด้านพระพุทธศาสนาการทำบุญเวียนเทียน วันที่ 30 กรกฎาคม 2558
    กิจกรรมการแสดงและจำหน่ายสินค้าหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หรือ OTOP วันที่ 27-31 ก.ค.
    กิจกรรมการประกวดสาวงามเทียนพรรษา วันที่ 29 ก.ค.
    การแสดงประกอบแสงเสียง ขบวนแห่เทียนพรรษาในภาคกลางคืน และ
    กิจกรรมการประกวดต้นเทียนพรรษา ในวันที่ ก.ค.
    ส่วนกิจกรรมการตั้งต้นเทียนพรรษาที่เข้าประกวดจะตั้งแสดงระหว่างวันที่ 30 จนถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2558 และมีพิธีเปิดงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาประจำปี 2558 วันที่ 31 กรกฎาคม 2558

 
ศรัณย์ วิชัย/อุบลราชธานี
http://www.banmuang.co.th/news/region/21719
13622  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวอุบลรัตน์ตื่น.! "โครงกระดูกโบราณอายุกว่า 2,500 ปี" โผล่ท้ายวัด เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 08:54:55 pm


พบโครงกระดูกมนุษย์อายุกว่า 2,500 ปี

ชาวอุบลรัตน์ตื่นโครงกระดูกโบราณอายุกว่า 2,500 ปี โผล่ท้ายวัด แห่กราบไหว้ เจ้าอาวาสวัดเผยเป็นปาฎิหาริย์เข้าฝันขออยากเกิด อยากให้ขุดขึ้นมาจากใต้ดิน ขณะที่สำนักศิลปากรที่ 9 ขอนแก่นเผยเป็นโครงกระดูกมนุษย์ 2 ช่วงอายุ มีอายุราว 2,500-1,000  ปี และ 500 ปี ใกล้เคียงกับยุคบ้านเชียงตอนปลายพร้อมกันพื้นที่ระงับการขุดโครงกระดูก

วันที่ 18 ก.ค. 2558  ทีจ.ขอนแก่นมีกระแสข่าวลือว่ามีการพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณอายุหลายพันปี ทำให้ชาวบ้านจากทั่วสารทิศแตกตื่นกับการค้นพบครั้งนี้  โดยผู้สื่อข่าว มติชน ประจำจ.ขอนแก่น จึงได้ลงพื้นที่พร้อมกับเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 9 ขอนแก่น เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง  เบื้องต้นพบเป็นโครงกระดูกมนุษย์โบราณมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 2,500-1,000  ปี พร้อมข้าวของเครื่องใช้บรรจุไว้ในไห ซึ่งได้ขอให้พระสงฆ์และชาวบ้านระงับการขุดและกันพื้นที่ห้ามประชาชนเข้าไปทำการขุดต่อ โดยคาดว่าการขุดค้นพบครั้งนี้จะพบโครงกระดูกอีกจำนวนมาก


 :96: :96: :96: :96:

โดยได้เดินทางไปยังวัดเทพนิมิต ตำบลบ้านดง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ซึ่งพบว่ามีประชาชนจำนวนมากกว่า 100 คน กำลังมุงดูโครงกระดูก 2 โครงที่วางอยู่บนตะแคร่ไม้เก่า ๆ บริเวณท้ายวัดเทพนิมิต  ทั้งยังพบว่าบริเวณรอบ ๆ ยังมีร่องรอยการขุดอีกกว่า 20 หลุมโดยแต่ละหลุมมีความลึกกว่า 2 เมตร กว้าง 4 เมตร  เบื้องต้นทางเจ้าอาวาสวัดผู้ขุดค้นพบขอไม่ให้ทางเจ้าหน้าที่นำโครงกระดูกออกไปเก็บรักษาไว้ที่อื่น  และพร้อมให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เตรียมพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต

พระอธิการบัวรม  ฐิตโสภโณ เจ้าอาวาสวัดเทพนิมิต กล่าวว่า ก่อนหน้านั้นได้ฝันว่ามีคนมาขอความช่วยเหลือให้ปลดปล่อยดวงวิญญาณที่ถูกฝังไว้ใต้ดินบริเวณวัด จากนั้นจึงให้พระและชาวบ้านช่วยกันขุดขึ้นมา ซึ่งมีการขุดแล้วทั้งหมด 20 หลุม โดยการขุดแต่ละหลุมมีความลึกประมาณ 2 เมตร กว้าง 4 เมตร ซึ่งพบว่ามีโครงกระดูกมนุษย์ทั้งหมด 18 โครง ไม่ทราบว่าเป็นเพศใดบ้าง ทั้งนี้ทางพระและชาวบ้านก็ไม่คิดว่าเป็นโครงกระดูกมนุษย์โบราณจึงได้ทำการฌาปนกิจไปแล้วด้วยส่วนหนึ่งเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณ เพราะอยากทำให้วิญญาณที่มาขอความช่วยเหลือในความฝันไปสู่สุขคติ

 :32: :32: :32: :32:

ด้านนายเชิดชัย ฐานะ กำนันตำบลบ้านดง กล่าวว่า เท่าที่ทราบทางวัดโดยพระสงฆ์และชาวบ้านส่วนหนึ่งได้ทำการขุดเพื่อนำโครงกระดูกขึ้นมาได้ประมาณ 2-3 เดือน แต่ไม่ได้เข้าไปติดตาม กระทั่งมีเจ้าหน้าที่จากสำนักศิลปากร เจ้าหน้าที่ตำรวจและนักข่าวลงไปในพื้นที่จึงได้ทราบข้อมูลว่าโครงกระดูที่พบเป็นโครงกระดูกมนุษย์โบราณ จึงได้มีการพูดคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่จากสำนักศิลปากรและทางเจ้าอาวาสวัด  ที่เดิมทีทางเจ้าหน้าที่จากสำนักศิลปากรอยากนำโครงกระดูกไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานขอนแก่น แต่ทางวัดไม่อยากให้เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่เพราะถ้าเป็นวัตถุโบราณมีความสำคัญก็อยากให้อยู่ในพื้นที่ที่ค้นพบเอาไว้ให้ลูกหลานได้ดูกัน 

นอกจากนี้เชื่อว่าโครงกระดูกที่พบน่าจะเป็นโครงกระดูกของบรรพบุรุษตามเรื่องเล่าขานของหมู่บ้านบ้านขุนด่าน  ซึ่งหมู่บ้านได้ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2449 โดยปู่จันทร์ราษฎร์ ชาริดา โดยตั้งชื่อหมู่บ้านว่าบ้านขุนด่านตามชื่อของขุนด่านเป็นผู้ปกครอง  ตามเรื่องเล่าของผู้เฒ่าในหมู่บ้านที่เล่าขานต่อกันมาที่เป็นเมืองหน้าด่านในขณะที่ไทยยกทัพไปตีเวียงจันทร์พื้นที่ของหมู่บ้านมีทำเลที่เหมาะสมจึงเป็นที่ตั้งของเมืองหน้าด่าน เป็นด่านพักช้าง พักม้า และเป็นที่พักกองทัพ โดยแต่เดิมขึ้นอยู่กับอำเภอนำพอง ปัจจุบันมาขึ้นอยู่กับอ.อุบลรัตน์ตั้งแต่ปี 2517 และคิดว่าโครงกระดูกที่พบอาจจะเป็นของบรรพบุรษที่มาตั้งหมู่บ้านนี้ก็อาจเป็นได้


 :29: :29: :29: :29:

ขณะที่ นางสาวพิกุล สมัครไทย นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 9 ขอนแก่น กล่าวว่าจากการตรวจสอบสันนิษฐานว่าบริเวณวัดเทพนิมิต ในอดีตน่าจะเป็นแหล่ง อาราย ธรรมตั้งอยู่ จากลักษณะการฝังศพและข้าวของเครื่องใช้ที่ขุดพบ แบ่งเป็น 2 ยุค โดยยุคแรก น่าจะมีอายุประมาณ 2,500-1,000 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงยุคปลายของอารยธรรมบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และยุคที่ 2 อายุประมาณ 500 ปี หลังจากนี้การขุดค้นโดยชาวบ้านและพระสงฆ์ จะต้องยุติ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากรเข้ามาดำเนินการตรวจสอบ อย่างถูกต้องต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.banmuang.co.th/news/region/21751
13623  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ช็อค.! หนุ่มใหญ่ ยิงตัวตายในโบสถ์ ต่อหน้าพระประธานวัดบุคคโล เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 08:46:07 pm

ช็อค.! หนุ่มใหญ่ ยิงตัวตายในโบสถ์ ต่อหน้าพระประธานวัดบุคคโล

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พนักงานสอบสวนสน.บุคคโลเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุภายในโบสถ์วัดบุคคโล พบผู้เสียชีวิตทราบชื่อคือ นายประภัส เอี่ยมภิไพ  สภาพศพสวมเสื้อโปโลสีม่วง กางเกงขายาวสีดำ สะพายกระเป๋าผ้าสีน้ำตาล นอนเสียชีวิต ที่ศีรษะมีเลือดไหลนองพื้น และมีปืนตกอยู่ใกล้กับศพ ในที่เกิดเหตุยังพบจดหมายลาตาย ระบุถึง

พนักงานสอบสวน สน.บุคคลโล ลงวันที่ 18 ก.ค. 58 มีเนื้อหาว่า การฆ่าตัวตายครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจทำเองไม่มีใครทำร้าย พร้อมกับระบุหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อญาติ ให้มารับศพไปบำเพ็ญกุศลด้วย จากนั้นได้มีการลงลายมือชื่อ นายประภัส เอี่ยมภิไพ ไว้





ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437204328
13624  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตร.เร่งหา เจ้าอาวาสเมืองจันท์ ถูกอุ้มหายลึกลับพร้อมเงินสด เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 08:42:03 pm


ตร.เร่งหา เจ้าอาวาสเมืองจันท์ ถูกอุ้มหายลึกลับพร้อมเงินสด

เจ้าอาวาสวัดดังเมืองจันทบุรี วัย 90 ปี ถูกอุ้มลึกลับ พร้อมเงินสดกว่าแสนบาท และรถยนต์ ขณะชาวบ้านหวั่นถูกล่อลวงฆาตกรรม ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามคดี...

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 18 ก.ค.58 พล.ต.ต.จรัล จิตเจือจุน ผบก.ภ.จว.จันทบุรี พ.ต.อ.สุเทพ บุญค้ำ ผกก.สภ.เมืองจันทบุรี ร.ต.ท.พิชิต สายกระสุน ร้อยเวร สภ. เมืองจันทบุรี นำกำลังตำรวจชุดสืบสวน เข้าตรวจสอบหาหลักฐานภายใน วัดโสมวนาราม หรือ วัดชำโสม ม.10 ต.แสลง อ.เมือง จ.จันทบุรี หลังจากที่ เจ้าอาวาสวัด พระครูสุพัฒนกิจอุดม หรือ หลวงพ่อทวีป สันตะจิตโต เจ้าอาวาสวัดโสมนาราม อายุ 90 ปี หายตัวไปตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นของวันพฤหัส ที่ 16 ก.ค.58 ผ่านมา อย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยมีชาวบ้าน ตลอดจน พระภิกษุสงฆ์ และผู้นำชุมชน ที่ทราบข่าวการลงพื้นที่ของตำรวจ มาจับกลุ่มวิพากษ์ วิจารณ์กัน


 :96: :96: :96: :96:

จากการเข้าตรวจสอบพบ ข้าวของภายในกุฏิของเจ้าอาวาสก็มีร่องรอยคล้ายถูกรื้อค้น กระติกน้ำแข็งล้ม กระจาย พรมปูพื้นมีร่องรอยการถูกรื้อค้น ไฟฟ้า และพัดลม ถูกเปิดทิ้งไว้ เครื่องนุ่งห่ม สบง จีวร และรองเท้าแตะของเจ้าอาวาส ยังคงอยู่หน้ากุฏิที่เจ้าอาวาสนั่งพักผ่อนเป็นประจำ ซึ่งทาง กรรมการวัดได้ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อสืบหาร่องรอย

โดยพระครูปลัด สุธรรมจิตร เจ้าอาวาสวัดกระบกเตี้ย ซึ่งเป็นสหธรรมมิตร ของเจ้าอาวาสวัดชำโสมที่หายไป กล่าวเป็นห่วงเกรงว่าเจ้าอาวาสวัดชำโสม จะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงต้มตุ๋น อุ้มหายตัวไป พร้อมเงินสด และรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ 4 ประตูสีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กท 9190 จันทบุรี ขณะที่ชาวบ้านเป็นห่วงกับการหายตัวอย่างไร้ร่องรอยของเจ้าอาวาส อีกทั้งเงินสดที่ เจ้าอาวาสวัดชำโสม เตรียมจะนำไปร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี ที่วัดไพรบึง จ.ศรีสะเกษ ในวันนี้ (เสาร์ที่ 18 ก.ค.58) ซึ่งมีเงินเบื้องต้นที่เจ้าอาวาสเก็บรักษาไว้ กว่า 1 แสนบาทก็หายไปด้วย



นายพีรดนย์ พึ่งเทพ ผช.ผญบ. ม.10 ต.แสลง กล่าวว่า ที่ผ่านมาเจ้าอาวาสวัด เป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติตัวดี มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ เป็นพระที่เอาใจใส่พระลูกวัดและชาวบ้านอย่างดี ใครมีปัญหาเดือดร้อนมา เจ้าอาวาสก็จะช่วยแก้ปัญหาอย่างสม่ำเสมอ โดยเมื่อคืนวันที่ 16 ก.ค.แปลกใจ ตั้งแต่มีงานศพ เจ้าอาวาสไม่ได้ลงมาสวดพระอภิธรรม เหมือนเช่นทุกงานที่ผ่านมา แต่ก็คิดว่าท่านพักผ่อนอยู่เพราะไฟยังเปิดสว่าง ชาวบ้านจึงไม่ได้เข้าไปรบกวน จนกระทั่งรุ่งเช้าก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนท่าน จนมาทราบข่าวอีกทีเมื่อวาน (17 ก.ค.)นี้ ว่าท่านเจ้าอาวาสได้หายตัวไปแล้ว พร้อมกับรถยนต์ และเงินสด

ด้าน น.ส.ดาวลอย ถนอมจิตร หลานสาวของเจ้าอาวาสที่เป็นญาติใกล้ชิด ที่มาเยี่ยมดูแลเจ้าอาวาสบ่อยครั้ง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ท่านลุงเคยปรารภให้ฟัง ว่ามีคนเคยมาติดต่อขอซื้อรถกระบะที่ท่านลุงใช้ อ้างว่าถูกโฉลก แต่ท่านลุงปฏิเสธไม่ขาย และที่ผ่านมาเคยมีมิจฉาชีพมาหลอกขายเครื่องอัฐบริขารแก่เจ้าอาวาส สูญเงินไปหลายหมื่นบาท มาแล้ว มั่นใจว่าหากมีการล่อลวงในทางมิชอบ ต้องเป็นคนใกล้ตัวเพราะทุกครั้งท่านลุง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสจะระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ประตูกุฏิทุกครั้งจะมีการล็อกรวมถึง 3 ชั้น


 :41: :41: :41: :41:

ด้าน พ.ต.อ.สุเทพ บุญค้ำ ผกก.สภ.เมืองจันทบุรี กล่าวภายหลังจากลงพื้นที่เก็บข้อมูล ร่วมกับตำรวจชุดสืบสวนกองบังคับการตำรวจภูธร และ สภ.เมืองจันทบุรี เบื้องต้น ได้ตั้งไว้ 2 ประเด็น คือ 1 ลักพาตัวเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ พุ่งเป้าคนใกล้ชิดที่สามารถเข้าออกกุฏิ เจ้าอาวาสได้ในยามวิกาล และอีกประเด็น คือ เรื่องชู้สาว ที่เจ้าอาวาสให้ผู้หญิงมาเป็นคนขับรถยนต์ให้ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการกำชับเจ้าหน้าสืบสวนเร่งติดตามคดีอย่างใกล้ชิด.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/512560
13625  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โปรดเกล้าฯ หล่อพระรูป 'สังฆราช' ให้ปชช.บูชา - พระราชทานเพลิงพระศพ 16 ธ.ค. เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 08:38:39 pm


โปรดเกล้าฯ หล่อพระรูป 'สังฆราช' ให้ปชช.บูชา

'ในหลวง' โปรดเกล้าฯ ให้วัดบวรฯ หล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชให้ประชาชนบูชา พระราชทานเพลิงพระศพ 16 ธ.ค.
 
18 ก.ค. 58  เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี หลังนอก ทำเนียบรัฐบาล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ไปทรงเป็นประธานที่ปรึกษาการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
 
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เปิดเผยผลการประชุมผ่านหนังสือพิมพ์ จดหมายข่าวรัฐบาล เพื่อประชาชน ระบุว่า หมายกำหนดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จำนวน 3 วัน ระหว่างวันที่ 15 - 17 ธันวาคม 2558 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร โดยวันที่ 15 ธันวาคม เชิญพระศพจากวัดบวรนิเวศวิหาร ไปยังวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร วันที่ 16 ธันวาคม พระราชทานเพลิง ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร และวันที่ 17 ธันวาคม เก็บพระอัฐิไปยังพระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร

 
 :25: :25: :25: :25:

ส่วนการเตรียมการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นั้น มีการบูรณะราชรถนำ ราชรถเชิญพระโกศ การบูรณะอาคารช่าง รวมถึงการออกแบบซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว
 
สำหรับการจัดแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกพรหมาสตร์ ได้เตรียมการฝึกซ้อมและมีความพร้อมสามารถจัดแสดงได้ และการจัดขบวนพระอิสริยยศ กำหนดจำนวน 2 ริ้วขบวน โดยริ้วขบวนที่ 1 การเชิญพระโกศสู่พระเมรุโดยราชรถ ใช้เส้นทางจากวัดบวรนิเวศวิหารไปยังวัดเทพศิรินทราวาส ไปตามเส้นทางถนนพระสุเมรุ เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปตามถนนหลานหลวง เลี้ยวขวาไปตามถนนกรุงเกษม เลี้ยวขวาถนนหลวง เข้าสู่สุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร และริ้วขบวนที่ 2 การเชิญพระโกศเวียนรอบพระเมรุโดยราชรถ จำนวน 3 รอบ
 
 st12 st12 st12 st12

ส่วนการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและในส่วนภูมิภาค ในเขตกรุงเทพมหานครแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนที่ 1 จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ที่ซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ จำนวน 2 ซุ้ม ณ บริเวณวัดบวรนิเวศวิหาร และบริเวณวัดเทพศิรินทราวาส ส่วนที่ 2 จัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ตามวัดต่างๆ ในพื้นที่สำนักงานเขต 46 เขต ยกเว้นสำนักงานเขตที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกับวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดเทพศิรินทราวาส  ได้แก่ เขตพระนคร เขตดุสิต เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเขตสัมพันธวงศ์
 
ส่วนภูมิภาคจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ทุกจังหวัดและอำเภอ โดยจังหวัดและอำเภอพิจารณาคัดเลือกวัดหรือสถานที่ที่มีความเหมาะสมในจังหวัดและอำเภอละ 1 แห่ง ส่วน อ.เมือง จัดพิธีร่วมกับจังหวัด โดยให้คำนึงถึงประชาชนในพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้สามารถเดินทางไปร่วมพิธีตามสถานที่ที่กำหนดได้อย่างสะดวกสบาย

 
 st11 st11 st11 st11

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วัดบวรนิเวศวิหาร หล่อพระรูปสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร และจัดทำพระรูปจำลอง จำนวน 3 ขนาด เพื่อให้ประชาชนสักการบูชา โดยมอบให้กรมศิลปากรจัดปั้นหุ่นเพื่อทรงหล่อ และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สำนักพระราชวัง มีใบแจ้งความให้ศิษยานุศิษย์และผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมในการพระราชกุศลนี้ โดยกองคลัง สำนักพระราชวังได้เปิดบัญชีประเภทออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี “หล่อพระรูปสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” เลขที่บัญชี “061-211535-6” ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยกำหนดพิธีเททองหล่อพระรูป ในวันที่ 24 ตุลาคม 2558 ณ ลานหน้าพระอุโบสถ คณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150718/210013.html
13626  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / มิติมืดชวนทึ่ง..จาก “วัดผีดุ”..!!! สู่ “พระเรืองแสง” หนึ่งเดียวในไทย เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:55:48 am
พระพุทธรูปเรืองแสง หนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่ สำนักสงฆ์ดอยวังเฮือ จ.ลำปาง

มิติมืดชวนทึ่ง..จาก “วัดผีดุ”..!!! สู่ “พระเรืองแสง” หนึ่งเดียวในไทย
โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

        ลำปางนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองรถม้า เมืองชามตราไก่แล้ว ลำปางยังเป็นเมืองแห่ง“เงาพระธาตุ” หรือ “พระธาตุหัวกลับ” ที่ปรากฏในหลายวัดด้วยกัน โดยเฉพาะเงาพระธาตุ“วัดพระธาตุลำปางหลวง”นั้น ถือเป็นไฮไลท์ของการชมเงาพระธาตุในจังหวัดลำปางที่ได้รับการคัดสรรให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์เลยทีเดียว(เรื่องของเงาพระธาตุเมืองลำปางได้นำเสนอไปในตอนที่แล้ว)
       
       นอกจากเงาพระธาตุที่ถือเป็นมนต์เสน่ห์ในความมืดที่ดึงดูดใครหลายๆคนให้เดินทางมาสัมผัสกับตาตนเองแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ลำปางได้เปิดตัว “พระพุทธรูปเรืองแสง”หนึ่งเดียวในเมืองไทย(จากการสำรวจพบ ณ ปัจจุบันนี้) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความสวยงามน่าทึ่งในความมืด ที่หลังปรากฏเป็นข่าวก็สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อยทีเดียว

       
อ่างเก็บน้ำวังเฮือ

       วัดผีดุ     
       พระพุทธรูปเรืองแสง ตั้งอยู่ที่“สำนักสงฆ์พระธาตุอรัญวาส”(ดอยวังเฮือ) หรือที่รู้จักกันดีในนาม “สำนักสงฆ์ดอยวังเฮือ” ที่ตั้งอยู่ที่ดอยวังเฮือ บ้านผาลาด ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง ระหว่างทางขึ้นสำนักสงฆ์จะผ่านอ่างเก็บน้ำวังเฮือ หรือ “ทะเลลำปาง” ทะเลสาบน้ำจืดขนาดย่อมๆอันเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนลำปางและในพื้นที่ใกล้เคียง

        สำนักสงฆ์ดอยวังเฮือ ปัจจุบันมี“หลวงพ่อภูริปัญโญ ภิกขุ”เป็นเจ้าสำนักสงฆ์ผู้ดูแล ท่านกรุณาเล่าให้ผมฟังในวันที่ขึ้นไปเยือนสำนักสงฆ์แห่งนี้ว่า สำนักสงฆ์ดอยวังเฮือมีอายุราวๆ 40 กว่าปี น่าจะเริ่มสร้างประมาณปี พ.ศ. 2515 เคยเป็นที่ปฏิบัติธรรมจำพรรษาของพระเกจิหลายรูป
       
       ทั้งนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับสำนักสงฆ์แห่งนี้ระบุว่า ในอดีต หลวงพ่อเมือง(พระครูอะดมเวชวรกุล) เจ้าอาวาสวัดท่าแหน อ.แม่ทะ จ.ลำปาง พระเกจิชื่อดังของ จ.ลำปาง ได้เคยมาใช้สถานที่แห่งนี้ปฏิบัติธรรมเมื่อ 40 กว่าปีก่อน พร้อมกันนี้ท่านยังได้ทำการสร้างเจดีย์และกุฏิขึ้น
       
       ครั้นพอมาถึงปี พ.ศ. 2519 เมื่อหลวงพ่อเมืองมรณภาพลง สำนักสงฆ์แห่งนี้เริ่มขาดการดูแล ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างมาเป็นเวลาหลายปี จนในปี 2553 ลูกศิษย์ลูกหาได้นิมนต์หลวงพ่อภูริปัญโญฯ ให้มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์แห่งนี้เพียงหนึ่งเดียว


สำนักสงฆ์พระธาตุอรัญวาส หรือ สำนักสงฆ์พระธาตุอรัญวาส

        ปัจจุบันหลวงพ่อภูริปัญโญฯท่านเป็นพระภิกษุรูปเดียวที่ยังจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ส่วนเหตุที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ถูกทิ้งร้างไม่มีผู้ดูแลไปช่วงหนึ่ง หรือการที่มีพระจำพรรษาอยู่เพียงรูปเดียวนั้น หลวงพ่อภูริปัญโญฯท่านไม่ได้บอกสาเหตุกับผม เพียงแต่บอกว่าแต่ก่อน ชาวบ้านมักจะเรียกสำนักสงฆ์แห่งนี้ว่า “วัดผีดุ”!!!
       
       ครับ นี่คงเพียงพอต่อเหตุผลว่า ทำไมในอดีต ทั้งพระ ทั้งคน ถึงไม่ค่อยอยากกล้ำกรายมาที่วัดแห่งนี้ แต่เมื่อหลวงพ่อภูริปัญโญฯมาจำพรรษาอยู่ ท่านบอกกับผมว่าเมื่อเรามาด้วยจิตที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องกลัว

       
พระพุทธรูปปางต่างๆ 28 องค์ของสำนักสงฆ์

       พระพุทธรูปเรืองแสง       
       หลวงพ่อภูริปัญโญฯ เมื่อมาจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ท่านกับลูกศิษย์ก็ได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ของสำนักสงฆ์เรื่อยมา มีการบูรณะพัฒนาสำนักสงฆ์แห่งนี้ขึ้นมาใหม่ พร้อมจัดภูมิทัศน์ให้น่าอยู่

        อีกทั้งยังได้สร้าง “พระพุทธรูป 28 องค์”ในปางต่าง อันเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ซึ่งหลวงพ่อท่านต้องการให้ที่นี่เป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้ โดยมีองค์พระพุทธรูปปรากฏให้เห็นตั้งแต่เดินทางเข้าสำนักสงฆ์มา ไล่ขึ้นไปจนถึงบริเวณลานที่ตั้งองค์ “พระธาตุอรัญวาส” ที่ภายในประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรพระสังฆราชเจ้าในปี 2540 บริเวณพระธาตุอรัญวาส รายล้อมด้วยพระพุทธรูป 4 องค์ ส่วนนอกลานประทักษิณของพระธาตุ ประดิษฐานพระพุทธรูปอีก 2 องค์

        :25: :25: :25: :25:

       ขณะที่ภายในวิหารสำนักสงฆ์ ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์สุดท้าย(องค์ 28) มีพระนามว่า “พระโคตมะ” หรือ “พระโคตมะพระพุทธเจ้า” ที่เป็นดังตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งในการสร้างพระโคตมะ หลวงพ่อภูริปัญโญฯ บอกกับผมว่า ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระพุทธรูปองค์สุดท้ายมีความพิเศษแตกต่างจากพระพุทธรูปทั่วไป จึงได้นำมาสู่การสร้างสรรค์องค์พระพุทธรูปเรืองแสงขึ้นมา โดยท่านได้ศึกษาการใช้วัสดุเรืองแสง พร้อมออกไปดั้นด้นตามหาวัสดุพิเศษตามที่ต่างๆเพื่อสร้างองค์พระพุทธรูปให้ออกมาเรืองแสงตามที่ต้องการ
       
       นอกจากนี้ที่น่าแปลกก็คือตอนที่หลวงพ่อลงมือสร้างพระพุทธรูป ท่านเล่าว่า มีพระจากต่างถิ่นที่ไหนมาก็ไม่รู้จำนวนหลายรูปมาช่วยท่านสร้างพระพุทธรูปเรืองแสงองค์นี้ ซึ่งใช้เวลาสร้าง 1 ปี 8 เดือน จึงสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์


พระโคตมะพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปองค์ที่ 28

        พระโคตมะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ มีพุทธลักษณะที่สมส่วนสวยงาม มีความสูง 18 ศอก หน้าตักกว้าง 8 ศอก พระพักตร์ดูอมยิ้มเล็กน้อยเปี่ยมไมตรี ยามปกติ(เมื่อถูกแสง) เนื้อผิวของพระพุทธรูปจะเป็นสีขาวอมเหลืองนวลเนียน
       
       แต่ครั้นเมื่อเราปิดไฟ ปิดประตูหน้าต่างทุกบานของโบสถ์ให้ความมืดมิดมาเยือน(หรือมีแสงส่องลอดมาบ้างเล็กน้อย) จากนั้นรอให้สายตาปรับสภาพสักพัก แล้วความน่าทึ่งแปลกตาของพระโคตมะก็จะปรากฏให้เห็นกับองค์พระพุทธรูปที่เรืองแสงเปล่งประกายที่เขียวมรกตเรื่องเรืองเด่นขึ้นมาในความมืด พร้อมๆกับเงาต้องกระทบผนังวิหารเป็นเปลวประกายรัศมีเรืองแสงบางๆในด้านหลังดูสอดรับกับองค์พระ


งดงาม เรืองแสง ในความมืด กับพระพุทธรูปเรืองแสง หนึ่งเดียวในไทย

        มีแสงจะเห็นเป็นพระพุทธรูปองค์งาม แบบที่ 2 ชมยามที่โบสถ์ปิดไฟ ปิดประตูหน้าต่างจนมืด จะเห็นเป็นพระพุทธรูปเรืองแสงสีอมเขียวออกมรกตนิดๆอันสวยงาม ส่วนแบบที่ 3 เป็นการชมในแสงปกติ แต่ให้เรานำมือไปป้องให้เกิดความมืดที่เนื้อขององค์พระ ก็จะมองเห็นตรงจุดนั้นเรืองแสงสีเขียวเรื่อเรืองขึ้นมา
       
       สำหรับการเรืองแสงของพระพุทธรูปเรืองแสงนั้นไม่ใช่เรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แต่อย่างใด แต่เป็นการสร้างสรรค์ที่เกิดจากความตั้งใจของหลวงพ่อภูริปัญโญฯ ท่านเล่าว่า ที่ผ่านมาก็มีพระวัดอื่นมาดูงาน มาขอสูตร แล้วนำไปสร้างเป็นพระพุทธรูปเรืองแสงบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ
       
       ขณะที่ในส่วนของสารเรืองแสงนั้น หลวงพ่อท่านไม่ได้บอกว่าใช้สารอะไรผสมบ้าง แต่ท่านบอกว่าให้ท่านสร้างอีก ท่านก็ทำอย่างเดิมไม่ได้แล้ว พระพุทธรูปเรืองแสงองค์นี้จึงถือว่ามีเพียงหนึ่งเดียว


พระพุทธรูปเรืองแสง งดงามในความมืด

        อย่างไรก็ดีแม้พระพุทธรูปเรืองแสงจะสามารถจัดสร้างออกมาได้อย่างสวยงามน่าทึ่ง แต่กับตัววิหารที่ใช้ประดิษฐานองค์พระพุทธรูปเรืองแสงนั้น หลวงพ่อภูริปัญโญฯบอกว่ามีอาการน่าเป็นห่วง เพราะโครงสร้างอาคารทรุดโทรม โดยเฉพาะส่วนหลังคา ที่คานหลังคามีอาการร้าว ดังนั้นใครที่ไปชมพระพุทธรูปเรืองแสงองค์นี้ก็สามารถร่วมด้วยช่วยกันให้หลวงพ่อท่านนำเงินไปบูรณะวิหาร เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเรืองแสงองค์งามสืบต่อไป
       
       และนี่ก็คืออีกหนึ่งน่าสนใจของเมืองรถม้า ลำปาง 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด จากแคมเปญการท่องเที่ยวมาแรงแห่งปี กับสิ่งไม่ควรพลาดเมื่อขึ้นไปแอ่วลำปางนั่นก็คือ พระพุทธรูปเรืองแสงได้หนึ่งเดียวในเมืองไทย


พระพุทธรูปางต่างๆ


        มืด-สว่าง ทางแห่งปัญญา     
       สำหรับมนุษย์แล้ว ปกติยามเมื่ออยู่ในความมืด มักจะเกิดความรู้สึกกลัว จินตนาการไปถึงความน่ากลัวของภูตผีปีศาจ แต่กับความมืดในวิหารของสำนักสงฆ์ดอยวังเฮือกลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่ได้มีภาพความงามอันน่าทึ่งปรากฏให้ชม เป็นดังปริศนาธรรมสอนเตือนใจเราว่า     
       ถ้าตามืด ใจมืด จิตมืด ปัญญาย่อมมืดบอด     
       แต่ถ้าตามืด ใจสว่าง จิตสว่าง ย่อมก่อให้เกิดปัญญา
       
       อย่างไรก็ดี สำหรับบางคนที่ไปไหว้พระพุทธรูปเรืองแสงองค์นี้ นอกจากจะไม่มองในความงาม ไม่มองในธรรมะที่แอบแฝงแล้ว     
       ยังกลับมองเป็นตัวเลข นำไปแทงหวยเสียฉิบ!?!


พระโคตมะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ มีพุทธลักษณะที่สมส่วนสวยงาม

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000079505
13627  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / สุข สงบใจ ใต้ร่มพระธรรม ที่ “วัดธรรมมงคล” เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:43:11 am

พระพุทธสุพิโนภาสศาสดา ประดิษฐานภายในพระอุโบสถ

สุข สงบใจ ใต้ร่มพระธรรม ที่ “วัดธรรมมงคล”

        คนเรามักจะคิดว่าเวลามีทุกข์ ถึงต้องเข้าวัดฟังธรรมเพื่อให้จิตใจได้คลายทุกข์ แต่สำหรับตัวฉันเองแล้ว ไม่ว่าจะยามสุขหรือทุกข์ เราก็สามารถเข้าวัดได้ เพราะที่วัดนี่แหละที่เป็นสถานที่ที่เราสามารถสงบจิตสงบใจ หาความสุขที่เรียบง่ายให้กับชีวิตเราเอง
       
       เหมือนกับที่วันนี้ฉันได้มาเยือนที่ “วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร” หรือ “วัดธรรมมงคล” ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 101 ซึ่งแม้ว่าที่นี่จะตั้งอยู่กลางเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องแน่นขนัด แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกสงบได้อย่างประหลาด
       
       วัดธรรมมงคลแห่งนี้แต่เดิมเป็นป่าสะแกมาก่อน จนกระทั่งเมื่อพระเทพเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ) เจ้าอาวาสวัดได้ธุดงค์ผ่านมาและใช้เป็นที่พักในระหว่างเดินทางเข้ากรุงเทพฯ นายเถา-นางบุญมา อยู่ประเทศ เจ้าของที่ดินมีจิตศรัทธาจึงถวายที่ให้ จากนั้นจึงได้สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2506

พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย (พระหยก)

        เมื่อเข้ามาถึงวัดแล้วฉันก็เลยตรงไปที่พระอุโบสถก่อนเป็นอันดับแรก เข้าไปสักการะพระประธานในพระอุโบสถ “พระพุทธสุพิโนภาสศาสดา” หรือหลวงพ่อใหญ่ พระพุทธรูปโลหะสัมฤทธิ์สมัยรัตนโกสินทร์ที่ออกแบบและปั้นขึ้นจากนิมิตของหลวงพ่อวิริยังค์ ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้มีความหมายตามชื่อว่า “แสงสว่างอันสวยงาม เจิดจรัสทั่วทั้งจักรวาล”
       
       หลังจากสักการะองค์หลวงพ่อใหญ่แล้ว ฉันก็นั่งทำสมาธิให้จิตใจได้สงบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดื่มด่ำความงามของภาพสวยๆ ริมฝาผนังของโบสถ์ที่เขียนได้อย่างงดงาม ก่อนจะออกเดินต่อไปยังศาลาพระหยก ที่เชื่อมต่อกับพระอุโบสถ
       
       ที่ชั้นบนของศาลาพระหยก ประดิษฐานพระหยก หรือที่ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ที่สลักจากหยกชิ้นใหญ่ที่ถูกพบใต้ทะเลสาบน้ำแข็งในประเทศแคนาดา เป็นพระพุทธรูป และบริเวณด้านหลังพระพุทธรูปองค์นี้ก็ยังมี “พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์กวนอิมหยก” ประดิษฐานอยู่ในลักษณะทรงยืน ซึ่งก็ใช้หยกก้อนเดียวกันกับที่ใช้แกะสลักองค์พระหยก


พระวิริยะมงคลมหาเจดีย์

        อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของวัดแห่งนี้ ซึ่งหากมองมาจากที่ไกลๆ ก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นคือ "พระวิริยะมงคลมหาเจดีย์" ซึ่งถือเป็นเจดีย์ที่สูงสุดในประเทศไทยเลยทีเดียว โดยเหตุของการก่อสร้างนั้นก็เริ่มจากการตั้งสัจจยาธิษฐานของหลวงพ่อวิริยังค์ต่อหน้าพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดโคตะมะวิหาร จังหวัดจิตตกอง ประเทศบังกาลาเทศว่า หากได้รับพระบรมสารีริกธาตุครบ 5 องค์ จะสร้างพระมหาเจดีย์ให้ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเพื่อประดิษฐานพระพระบรมสารีริกธาตุนั้น ซึ่งเจตนาเดิมทางบังกาลาเทศจะมอบให้เพียง 1 องค์เท่านั้น แต่แล้วก็กลับตกลงยินยอมมอบให้ 5 องค์ตามประสงค์ หลวงพ่อจึงกลับมาสร้างพระวิริยะมงคลมหาเจดีย์ฯ ตามที่ได้ตั้งใจไว้ โดยใช้เวลา 9 ปีด้วยกันในการสร้างจนสำเร็จ
       
       รูปทรงขององค์เจดีย์นั้นเป็นสี่เหลี่ยม จำลองแบบมาจากพุทธคยา ยอดฉัตรทำด้วยทองคำแท้ประดับเพชร ภายในแบ่งเป็น 14 ชั้นด้วยกัน โดยที่ชั้น 1 หรือฐานของเจดีย์ มีป้ายติดไว้ว่า “นครธรรม” เพราะบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของ “สถาบันพลังจิตตานุภาพ” หรือโรงเรียนครูสอนสมาธิ โดยหลวงพ่อวิริยังค์นั้นเคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้เรียนรู้วิชาจากปรมาจารย์ด้านสมาธิ ท่านจึงต้องการสอนวิชาสมาธิ และสร้างสถานที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมให้แก่คนทั่วไป จึงได้เกิดเป็นสถาบันฯ แห่งนี้ขึ้น


หลวงพ่อองค์ดำ หรือ พระพุทธรูป ภ.ป.ร.

        ส่วนที่ชั้นที่ 2 เป็นวิหาร ที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อองค์ดำ” หรือ “พระพุทธรูป ภ.ป.ร.” พระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มาเททองหล่อเพื่อเป็นพระประธานในวิหารของพระมหาเจดีย์ พร้อมกับทรงวางศิลาฤกษ์พระวิริยะมงคลมหาเจดีย์ศรีรัตนโกสินทร์ด้วยในคราวเดียวกัน และที่รอบๆ ระเบียงวิหารยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกหลายองค์ อาทิ พระอัฎฐาฬส พระอโศกพญา (หลวงพ่อพันปี) รูปหล่อพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระสุโขทัยและพระเชียงแสน เป็นต้น
       
       ขึ้นมาที่ชั้น 3 เป็นส่วนของ “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตพระโขนง” แม้จะเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก แต่ก็มีประวัติความเป็นมาของเขตพระโขนงแห่งนี้ให้ได้เรียนรู้กันพอสมควร และนอกจากนี้ยังมีการแนะนำสถานทีท่องเที่ยวต่างๆ ในเขตพระโขนงให้เราได้ไปตามรอยกันอีกด้วย
       
       จากนั้นบนชั้น 4-8 นั้นจะเป็นห้องเรียนปริยัติธรรม ฆราวาสอย่างฉันไม่อยากไปรบกวนการเรียนการสอน จึงขอขึ้นลิฟท์ข้ามไปรวดเดียวถึงชั้น 9 ซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ของวัด เป็นที่รวบรวมข้าวของประเภทพระพุทธรูปเก่าแก่ของวัด เช่น พระพุทธรูปเชียงแสนหลวง 5 องค์ที่มีความเก่าแก่นับร้อยปี และเครื่องปั้นดินเผาต่างๆ ที่ขุดค้นพบ ตำราใบลาน รวมไปถึงใบโพธิ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ที่หลวงพ่อวิริยังค์ได้เก็บมาเป็นที่ระลึกเมื่อท่านได้ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นอีกด้วย


การจัดแสดงของเก่าในพิพิธภัณฑ์ของโบราณ

        เดินชมข้าวของต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์ของวัดตั้งแต่ชั้น 9 จนถึงชั้น 11 แล้ว เดินขึ้นบันไดถัดมายังชั้น 12 ซึ่งเป็นชั้นที่ไว้ใช้นั่งสมาธิกรรมฐาน มีรูปวาดอยู่บนผนังแสดงให้เห็นถึงปฏิจจสมุปบาท หรือหลักธรรมที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเกิด การดำเนินไป และการดับไปของชีวิต รวมถึงการเกิด การดับแห่งทุกข์ด้วย อีกทั้งยังมีคำอธิบายเกี่ยวกับอริยสัจ 4 ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ให้เราได้ทำความเข้าใจกัน
       
       และแล้วฉันก็ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดขององค์เจดีย์บนชั้น 14 ซึ่งเป็นยอดสุดของเจดีย์และมีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระเกศา พระอุรังคธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศบังคลาเทศ ควรขึ้นมากราบไหว้ให้ได้เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ซึ่งนอกจากจะได้ขึ้นมากราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุแล้ว ด้านบนเจดีย์นี้ก็ยังสามารถชมวิวสวยๆของเมืองกรุงในมุมสูงได้อีกด้วย มีลมเย็นๆ พัดมาเรื่อยๆ ให้สบายตัว เรียกว่ายืนชมวิวกันเพลินใจไปเลยทีเดียว


การจัดแสดงของเก่าในพิพิธภัณฑ์ของโบราณ

        ลงมาเดินดูรอบๆ วัดธรรมมงคลแห่งนี้ ฉันว่าที่นี่มีบรรยากาศสงบเงียบเหมาะแก่การมาปฏิบัติธรรม โดยทางด้านหลังวัดยังได้จัดทำเป็น “ถ้ำวิปัสสนา” จำลองบรรยากาศการปฎิบัติธรรมในป่าในถ้ำ มีต้นไม้ล้อมรอบบริเวณที่ให้คนเข้าไปนั่งสมาธิ และฟังธรรมในถ้ำได้อย่างสงบ
       
       ได้ใช้เวลาอยู่ในวัดนานพอควร ฉันเลยได้นั่งสงบใจ พินิจพิจารณาความเป็นไปในชีวิต เลยพบว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นก็อยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง


วิวเมืองกรุงจากด้านบนเจดีย์
     
วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนทวิหาร ตั้งอยู่ที่ 132 ถนนสุขุมวิท 101 ซอยปุณณวิถี 20 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดโทร.0-2332-4145

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081033
13628  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฝรั่งเจริญจริงไหม.? แล้วไทยล่ะ : "พุทธศาสนาไม่ได้ห้ามให้คนร่ำรวย แต่ขอให้รวย..." เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:34:30 am


ฝรั่ง เจริญจริงไหม...แล้วไทยล่ะ? (2)

สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและปรากฏการณ์ความรุนแรงทางธรรมชาติ ทั้งฝนแล้ง พายุรุนแรงที่ทั่วโลก และประเทศไทยกำลังประสบอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าล้วนเกิดจากผลของน้ำมือมนุษย์ ฉบับที่แล้วว่าด้วยเรื่องของระบบที่นำมาซึ่งปัญหาและสถานการณ์ดังกล่าว

ก็เกิดคำถามว่า ฉะนั้นแล้วระบบอะไรที่น่าจะดีต่อมนุษย์และสังคม โดยนัยนี้ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) บอกว่า "ระบบที่ดีที่สุดจึงหนีไม่พ้นจะต้องเป็นระบบแห่งความไม่ประมาทที่แท้ ซึ่งเป็นไปด้วยสติ ปัญญา" เมื่อเราใช้สติปัญญาแล้ว มันก็คลุมหมดปิดช่องเสียได้ให้มี มีแต่ส่วนดี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเขาทำอย่างไร จะพัฒนาคนให้อยู่ด้วย "ธรรม" คือไม่ประมาท คำถามอยู่ที่ว่าคนไทยเราจะพัฒนาคนของเราให้ถึง อยู่ด้วยความไม่ประมาท "เป็นไปได้หรือไม่?" ดูเหมือนคนไทยเรายังห้าสิบห้าสิบ

 ans1 ans1 ans1 ans1

    ตามหลักความไม่ประมาท สิ่งที่เราต้องทำให้มี 2 อย่าง คือ
    1.ทำให้คนเจริญงอกงามอยู่ด้วยความดีงาม มีความร่มเย็นเป็นสุข
    2.เมื่อดีงามร่มเย็นเป็นสุขแล้วให้ไม่ประมาท เร่งสร้างสรรค์ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป โดยไม่ผิดเพี้ยน ไม่หลงระเริง ไม่เพลิดเพลิน ตกหลุมหรือติดกับดักความประมาท

หากดูตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน วิเคราะห์สังคมไทย จุดอ่อนของสังคมไทย ได้แก่ "ความประมาท" หากเราทุกๆ คนยังชีพด้วยสัมมาอาชีพ ด้วยความไม่ประมาท แสดงว่าเป็นสังคมพัฒนาจริง คนที่สุขสบายยิ่งขวนขวาย สร้างสรรค์ หากทำได้ท่านจึงยอมรับเป็นผู้ประเสริฐจริง

 รวมความแล้วผลสรุปจุดเน้นได้ว่า เกณฑ์วัดพัฒนามนุษย์คือ สำหรับมนุษย์ที่ยังไม่พัฒนา ต้องบีบเค้นจึงจะไม่ประมาท (ไม่ประมาทเทียม) สำหรับมนุษย์ที่พัฒนาแล้วใช้สติปัญญาเร่งรัดตัวเองได้ จึงไม่ประมาท (ไม่ประมาทแท้)

 :25: :25: :25: :25:

ท่านเจ้าคุณยังระบุว่า เวลานี้ฝรั่ง โดยเฉพาะอเมริกันก็ยังหาทางออกไม่ได้ เขายังไม่เห็นต้นตอของปัญหา หรือยังไม่เห็นโทษแห่งฐานความคิดความเชื่อของตนที่ว่า "ระบบแข่งขัน" เท่านั้นที่จะทำให้เกิดความเจริญ ตอนนี้สภาพสังคมอเมริกันเสื่อมลง ก็มองได้แค่ว่าเพราะคนของตนสูญเสียCompetitiveness คือคนอเมริกันในยุคปัจจุบันไม่มีคุณสมบัติในการแข่งขัน เช่น ขาดจริยธรรมการทำงาน (Work ethic) ขาดสันโดษ ไม่ขยันหมั่นเพียร เป็นคนร่ำรวยหยิบโหย่ง เป็นต้น เลยสรุปว่า ฉะนั้นเราต้องแก้ไขฐานะความเป็น "ผู้นำ" และความยิ่งใหญ่กลับมาด้วยการทำให้คนอเมริกันกลับมามีความพร้อมที่จะแข่งขัน ท่านเจ้าคุณบอกว่าอเมริกันก็ได้แค่นั้นแหละ วนเวียนอยู่แค่การถือว่า "คนจะฟื้นได้ก็ด้วยการแข่งขันเก่ง"

ที่จริงสาระความเจริญอเมริกันก็อยู่ที่ว่า ในอดีตถูกบีบคั้นมาทุกด้าน ทั้งด้านธรรมชาติที่ทารุณขาดแคลน ทั้งด้านชีวิตแห่งการบุกผ่าพรมแดน รวมทั้งสงครามกับอินเดียนแดง ทั้งด้านวิถีชีวิต สังคมแห่งการแข่งขัน ลัทธิตัวใครตัวมัน (ไม่พูดถึงเรื่องศาสนา) ก็จึงต้องดิ้นรนขวนขวายขยันรู้ แต่เวลานี้สังคมอเมริกันได้รับผลของความขยันเปลี่ยนแปลงเป็นความพรั่งพร้อมสุขสบายก็เลยเข้าวงจรปุถุชนที่ว่า "พอสุขสบายก็ฟุ้งเฟ้อ มัวเมา เชื่องช้า ประมาท คนอเมริกันก็ได้แต่หวังให้การแข่งขันนั้นมาเร่งคนของตัวเองต่อไปอีก"

 st12 st12 st12 st12

ใน "เวทีโลก" จะเห็นได้ชัดว่า มีคำว่าต้องแข่งขันใช้ทั่วไปหมด โดยเฉพาะการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ ประเทศชาติก็คิดถึงการแข่งขัน "เมืองไทยเราก็พลอยรับเอาลัทธินี้เข้ามาด้วย และพูดกันเกร่อถึงการพยายามแข่งขันให้สู้เขาให้ได้"

 แต่ในการแก้ไขปัญหาของ "โลก" ระบบการแข่งขันนี้ไม่มีทางแก้ปัญหาได้สำเร็จ มีแต่จะทำให้ "โลกพินาศ" เพราะในที่สุดมันจะกลับมาซ้ำเติมปัญหาที่ว่ามาทั้งหมด เช่น ทำให้ปัญหาธรรมชาติแวดล้อมก็แก้ไม่ได้ เพราะว่าต่างคนต่างแข่งขันหาผลประโยชน์ หรือว่าต่างคนต่างแบ่งแยกกัน มันก็แก้ไม่ได้ จนมาถึงจะ "ติดตัน" เพราะทุกประเทศยึดลัทธิวิธีสร้างความเจริญด้วยการแข่งขัน ซึ่งก็คือลัทธิเดียวกัน คือเห็นแก่ตัว หาผลประโยชน์ด้วยการทำลายธรรมชาติ ก็วนไปวนมา

  st11 st11 st11 st11

หากเราติดตามดูประวัติศาสตร์ชาติไทยของเราในอดีตมีความเชื่อในเรื่องผี เรื่องเทพ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือสามัญวิสัย ตั้งแต่ยุคแรกสร้างประเทศ เช่น พงศาวดารในสมัยกรุงศรีสัชนาลัยแห่งอาณาจักรสุโขทัย ได้กล่าวถึงผี ผีบ้านผีเมือง ทรงบ้านทรงเมือง ผีสารพัด ผีหมื่นดง ผีหมื่นถ้ำ ล้ำหมื่นผา ความเชื่อเรื่องผีนับเป็นความเชื่อเรื่องเก่าแก่ของสังคมไทยมานาน จะเห็นโดย "คนไทย" จะนับถือผีมาก่อน "พระ" เสียอีก

ต่อมาศาสนาพุทธเข้ามา เรานับถือพุทธไปได้ระยะหนึ่งไทยเขาก็เริ่มมี "ลัทธิบริโภคนิยม" เข้ามา ลัทธินี้คือลัทธิที่สอนว่า เป้าหมายของการประสบความสำเร็จในชีวิตมนุษย์นี้ คนเราต้องมั่งคั่งพรั่งพร้อมด้วยปัจจัยสี่ โดยเฉพาะ "เงิน" เป็นหัวแก้วหัวแหวน เป็นแก้วสารพัดนึก มีเงินย่อมมีทุกอย่าง ทำให้วัดความสำเร็จกันที่ "เงิน" เงินคือพระเจ้าและการมีความมั่งคั่งพรั่งพร้อมมากที่สุด

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ทุกวันนี้คนในสังคมไทยถูกกระตุ้นให้อยาก "รวย" ซึ่งกระตุ้นได้ง่ายมาก เพราะมนุษย์ทุกคนมีตัณหาอยู่แล้ว เราก็จะออกวิ่งตามปัญหาไป วิ่งทางไหนดีล่ะ ด้วยความรู้พื้นฐานง่ายๆ ที่คนไทยบางกลุ่มไม่มีและไม่รู้จักใช้วิจารณญาณ บางคนอยากมีเงิน อยากรวยเป็นเศรษฐี เมื่อหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้ ก็ไปพึ่งเทพไปบูชาเทพ เพราะเชื่อว่าเทพจะทำให้รวยได้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "เทวามาร์เกตติ้ง" ครองบ้านครองเมือง ดังเช่นปรากฏในสังคมไทยปัจจุบัน

พุทธศาสนาไม่ได้ห้ามให้คนร่ำรวย แต่ขอให้รวยด้วยความ "ชอบธรรม" นั่นคือหลักการที่ถูกต้องถ่องแท้ แต่ทุกวันนี้คนไทยจำนวนมากกลับดำเนินชีวิตอย่างไม่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม มุ่งไปสู่ความร่ำรวยโดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่า "ชอบธรรม" หรือไม่? ซึ่งประเทศไทยติดกับดักดังกล่าว คนบางคนมีความคิดไม่สำคัญว่าจะหาเงินมาด้วยวิธีใด ขอให้ได้มาก็พอ ซึ่งเป็นแนวคิดแบบ "เติ้ง เสี่ยวผิง" ผู้นำจีนที่พาชาติก้าวสู่นายทุนนิยม เจ้าของวลีเด็ดที่ว่า "ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวดี"


 ans1 ans1 ans1 ans1

นี่คือสภาพสังคมไทยที่เกิดจึงมุ่งมั่นหาเงิน หาความสำเร็จโดยการโกง การทุจริตในสังคม ไม่ถามหาความชอบธรรม และกลายเป็นเรื่องปกติธรรมที่ใครๆ ก็ทำกัน เล่ห์เหลี่ยมการโกงอย่างแยบคายจึงถูกนำมาใช้เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมาย แต่สุดท้ายแม้ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำกรรมอะไรไว้ "แต่ตัวเราเองก็รู้ดีที่สุด" นี่เองที่ทำให้สังคมนี้ คนจำนวนมากมีความทุกข์ ติดกับดัก ที่บอกใครไม่ได้ ใครทำคนนั้นก็ต้องรับกรรมไป คำถามจึงเกิดขึ้นว่า พระพุทธศาสนามีคำตอบแก้ปัญหาให้สังคมโลก สังคมไทยหรือไม่? อย่างไร?

แต่ท่านบอกว่า "พระพุทธศาสนานี้มีคำตอบให้อย่างแน่นอน" ภูมิหลังสังคมตะวันตกจนถึงปัจจุบันมีปัญหาทางจิตใจและทางสังคม ก็เริ่มเห็นความสำคัญของ "จริยธรรมขึ้นมา เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งทำให้เกิดมีจริยธรรมสิ่งแวดล้อม (environmental ethics) ซึ่งก็เป็นจริยธรรมแห่งความจำใจอยู่นั่นเอง เช่น บอกว่ามนุษย์ต้องพึงสังวร (Restraint) ในการที่จะปฏิบัติต่อธรรมชาติ (คือต้องควบคุมยับยั้งตนเอง) โดยไม่เอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ตามใจชอบ เป็นต้น

 :25: :25: :25: :25:

ในเวลาเดียวกัน จริยธรรมก็ฟื้นฟูเฟื่องขึ้นทางด้านการศึกษาตามมหาวิทยาลัยดังของอเมริกัน กลับมามีการศึกษาจริยธรรม เช่น มีจริยธรรมธุรกิจ (business ethics) คือทำธุรกิจอย่างไร โดยไม่ส่งผลให้เกิดการทำลายสภาพแวดล้อม เพราะการแข่งขันมากมาย ธุรกิจมักจะทำลายสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามในเมื่อจริยธรรมของตะวันตกเป็นแบบจำใจ ฝืนใจ มันก็ไม่มั่นคง ไม่มีหลักประกัน เพราะมนุษย์ฝืนใจก็ทุกข์ จึงคอยหาทางเรียนแบบศรีธนญชัย

ส่วนจริยธรรมของพระพุทธศาสนานั้น ไม่เป็นจริยธรรมแห่งการประนีประนอมหรือแบบฮั้วกัน แต่เป็นจริยธรรมที่ต่างก็ประสานประโยชน์ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งในที่สุดจะทำให้องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วน ในอารยธรรมของมนุษย์ได้อยู่ร่วมกันและเจริญงอกงามคือ
         1.ชีวิตมนุษย์
         2.สังคม
         3.สิ่งแวดล้อม


 :96: :96: :96: :96:

ขณะนี้องค์ประกอบทั้งสามกำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาของมนุษย์ที่เรียกว่า Unsustainable คือเป็นวิธีการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งทำให้ผลประโยชน์ทั้งสามอย่างขัดแย้งกันไปหมด

แนวคิดตะวันตกนั้นต่างจากแนวคิดพุทธ ถ้ามองไปในแง่ปรัชญาตะวันตก การพัฒนายั่งยืนมองไม่เห็น เกิดทางตันหมด เพราะแนวคิดแฝงด้วยความขัดแย้งไว้ตลอด เพราะเป็นจริยธรรมแห่งความ "จำใจ" เริ่มตั้งแต่มองมนุษย์ แยกต่างหากจากธรรมชาติ และให้ "มนุษย์พิชิตธรรมชาติ" แล้ว "จัดการกับธรรมชาติตามใจชอบ" เพื่อเอามาสนองความต้องการของตนที่จะเสพให้มากที่สุด เพื่อจะได้สุขมากที่สุด

 :25: :25: :25: :25:

ส่วน "แนวคิดพุทธ" จะต้องประสานให้สิ่งที่ดีแก่บุคคลก็ดี แก่วัฒนธรรม ให้สิ่งที่ดีแก่สังคมก็ดี แก่มนุษย์ด้วย แก่ธรรมคติด้วยการอนุรักษ์และสร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการสร้างสุขภาพ ถึงยุคนี้ได้องค์ประกอบทั้งสามก็ประสานประโยชน์กันได้ และกลายเป็นระบบ "เกื้อกูลซึ่งกันและกัน" ก็แก้ปัญหา "มนุษย์" ได้ ซึ่งคือความสำเร็จของ "อารยธรรม"

ท่านเจ้าคุณกล่าวในที่สุดเป็นบทสุดท้ายที่จะพิสูจน์ว่า "การพัฒนามนุษย์จะทำได้แค่ไหน เป็นจุดสุดยอด ซึ่งเราไม่ได้ยุ่งกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วยซ้ำ" นั่นคือ "คำตอบ" ที่พระพุทธศาสนามีให้และก็เป็นคำตอบให้ว่า "ฝรั่งเจริญจริงไหม?" และไทยคือพุทธ ทำไมไม่เจริญ ไงเล่าครับ

 
นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1436943769
13629  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฝรั่งเจริญจริงไหม.? แล้วไทยล่ะ : "ไทยสบายแล้วมัวประมาท ฝรั่งขาดปัญญา..." เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:16:10 am


ฝรั่ง เจริญจริงไหม...แล้วไทยล่ะ.?

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเสนอผลงานวิชาการที่ประเทศกรีซ ณ กรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ เป็นการจัดของ ATHENS INSTITUTE FOR EDUCATION AND RESEARCH ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 4-7 พฤษภาคม 58 เวลาว่างๆ ได้มีโอกาสนั่งอ่านหนังสือ "รู้ไว้เสริมปัญญาและพัฒนาคน" ของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) รู้สึกภูมิใจและมีสาระสำคัญ ซึ่งตรงกับความคิดของผู้เขียน

เคยถามตัวเองตลอดเวลาว่า ประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ นั้น เขาเป็นประเทศที่ประเทศทั่วโลกให้การยอมรับ ถือเป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นผู้มีอิทธิพลสูงในสหประชาชาติ United Nation และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ และคนไทยเรา โดยเฉพาะ "หมอไทย" ก็ได้เรียนต่างประเทศกันมาก อย่างรุ่นผู้เขียนก็ไปเรียนบอร์ด (Board) ที่อเมริกากว่าครึ่งห้องเลยทีเดียว และได้เฝ้าสังเกตติดตามมาตลอดจนถึงปัจจุบัน เขาก็ยังมีภัยธรรมชาติ วิกฤตการเมือง วิกฤตเศรษฐกิจ อย่างเช่นประเทศกรีซต้องกู้เงินจากไอเอ็มเอฟจนเกิดวิกฤตรุนแรง ส่งผลให้เกิดแรงกระทบไปทั่วโลก ที่เป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้


 :96: :96: :96: :96: :96:

ประเด็นที่ท่านเจ้าคุณ ป.อ. ปยุตฺโต ตั้งประเด็นตามที่มีผู้ถามว่า...คนไทยนับถือศาสนาพุทธ ทำไมเมืองไทยจึงไม่พัฒนา อยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ฝรั่งนับถืออย่างอื่นกลับเจริญไปไกล?

ท่านให้ข้อคิดว่า ข้อสำคัญ หลักการทั่วไปของพระพุทธศาสนาไม่มีการบังคับศรัทธา เป็นไปโดยเสรี ให้ใช้ปัญญาพิจารณา โดยไม่ผูกมัดด้วยข้อกำหนดตายตัว ทั้งในด้านความเชื่อและการปฏิบัติ คนจะเข้าถึงศาสนาพุทธเพียงใดอยู่ที่การศึกษา ชาวพุทธอาจจะนับถืออะไรก็ได้ ซึ่งคงจะเป็นตัวแปรและมีอิทธิพล

    1.ไม่ใช่ว่าคนไทยเราจะเข้าถึงแนวทางของพระพุทธศาสนากันทั้งหมดและทุกสมัย
    2.เพราะไม่มีการบังคับความเชื่อนี้แหละ คนไทยจึงไม่ได้นับถือเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่อาจจะนับถือลัทธิศาสนาอื่นๆ ไปพร้อมๆ กัน เช่น ศาสนาพราหมณ์ ไสยศาสตร์ ลัทธิผีสางเทวดา โหราศาสตร์จึงเข้ามามีอิทธิพลด้วย บางอย่างก็ก้าวล่วงล้ำเข้ามาปะปนในพระพุทธศาสนาด้วยดังเช่นที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่
    3.ปัจจัยอื่นๆ เช่น ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม เป็นต้น

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

สภาพแวดล้อมมีปัจจัยสำคัญๆ ที่เห็นได้ชัดๆ เป็นที่ประจักษ์ ดังเช่นคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อม "อยู่ดีมีสุข" ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติแวดล้อม เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับ "ปุถุชน" ไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง จีน แขก ฯลฯ หมายความว่ามนุษย์ปุถุชนจะดิ้นรนขวนขวายเมื่อมีทุกข์บีบคั้นหรือภัยคุกคาม ในแง่นี้จะเห็นได้ว่า "อารยธรรมตะวันตก" เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ความเจริญ คือการถูกทุกข์บีบคั้น และภัยคุกคามเป็นการขาดแคลนปัจจัยสี่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค การบีบคั้นของภัยธรรมชาติ เช่น ความหนาวเย็น หิมะตกทั้งปีมีความรุนแรงถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีการแก้ไขป้องกัน แล้วชีวิตจะอยู่ไม่ได้

แต่สำหรับเมืองไทยอุดมสมบูรณ์ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" พร้อมสรรพ ก็ไม่มีปัญหา 4 ฤดูพร้อมสรรพ นิสัยที่ติดตัวอย่างถาวรกับการผัดผ่อนเอาไว้ก่อน เช่น บ้านเราหลังคารั่ว ฝาผุ ยังไม่ยอมซ่อม เพราะเรายังไม่มีเวลา ยังไม่ซ่อมนะ เอาไว้ก่อน เดี๋ยวก่อน...พอถึงเดือนก็เอาไว้ก่อน ก็ผลัดต่อๆ ไปๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งยังไม่ซ่อมเลย แต่ในประเทศฝรั่งจะผิดเพี้ยนไม่ได้เลย อีกสองเดือนฤดูหนาวจะมา เดือนหน้าถ้าไม่ซ่อมจะหนาวตายแน่ๆ


 :41: :41: :41: :41:

ภัยธรรมชาติที่รุนแรงและความขาดแคลน เนื่องจากธรรมชาติที่ไม่อุดมสมบูรณ์นี้ เป็นอันตรายที่บีบคั้น ทำให้เขา "ไม่ประมาท" หรือ "มัวประมาทอยู่ไม่ได้" คือจำเป็นต้องไม่ประมาท ต่างจากไทยที่สุขสบายอุดมสมบูรณ์ เป็นปัจจัยตัวเอื้อจะนำไปสู่ "ความประมาท" เช่น ทำให้นอนเสพเสวยความสุข ชอบผัดผ่อนไปเรื่อยๆ อย่างนี้ก็คือ "ลัทธิแห่งความประมาทนั่นเอง"

จึงมีประเด็นว่าเราจะแก้นิสัย "คนไทย" นี้อย่างไร...พุทธศาสนาไม่ได้สอนหรือ?

 :29: :29: :29: :29:

สิ่งบีบคั้นอื่นๆ อีก โดยเฉพาะทางจิตใจและปัญญา สังคมตะวันตกเป็นสังคมที่ผ่านประวัติแห่งการบีบคั้นทางปัญญาอย่างมาก อย่างประวัติศาสตร์สมัยกลางของยุโรป ศาสนาคริสต์มีอำนาจครอบงำยุโรปทั้งทวีป โดยมี "วาติกัน" เป็นศูนย์กลาง "โป๊ป" (Pope) ที่แปลว่าสันตะปาปา เป็นผู้สวมมงกุฎให้กษัตริย์ของประเทศทั้งหลายทั่วไปหมด ฉะนั้นถ้ามีกษัตริย์องค์ไหนเกิดเรื่องขัดแย้งไม่เชื่อใจ โป๊ปสามารถสั่งลงโทษ เช่น ปี 1619 (ค.ศ.1076) Pope Gregory ที่ 7 สั่งลงโทษคว่ำบาตรพระเฮนรีที่ 4 กษัตริย์เยอรมันและเป็นจักรพรรดิโรมันด้วย กษัตริย์ต้องเดินทางข้ามเทือกเขาแอลป์มาขอขมาโป๊ปและถูกสั่งลงโทษให้อดอาหาร 3 วัน โป๊ปจึงยกโทษให้

อย่างกาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่เขาเคยเรียนกัน ไปสอนเรื่องโลกค้านขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ ยังถูกจับขึ้นศาล ถูกขังตัวอยู่ในบ้าน 8 ปี ตั้งแต่ ค.ศ.1633 จนตาย เมื่อ ค.ศ.1642 เป็นต้น ซึ่งทั้งปวงกรณีตัวอย่างนี้ ต่างจากสังคมไทยของเรา ไม่มีการบีบคั้นทาง "ปัญญา" เลย จึงทำให้เกิดภาวะเรื่อยเปื่อยอะไรก็ได้ ใครจะคิดอย่างไร จะสงสัยอะไรก็ไม่ว่า พูดไปก็ไม่เห็นมีใครฟัง มีคนฟังไม่กี่คนก็ไม่เป็นไร แต่ฝรั่งเขาไม่อย่างนั้น พูดแสดงความสงสัยเขาจับเลย กลายเป็นการกระตุ้นเขาให้พวกที่อยากรู้ ยิ่งอยากมาฟัง ยิ่งลักลอบ ทำให้การลับก็ยิ่งเอาจริงเอาจัง เป็นเหตุการณ์ทำให้ "ฝรั่ง" แสดงปัญญากันอย่างจริงจัง ฝังลึกยาวนานจนกระทั่งเป็นนิสัย "ใฝ่รู้ขึ้น"


 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

เป็นอันว่า "สังคมตะวันตก" นี้ดีอย่างที่เขามีตัวเร่งทำให้คนไม่ประมาท ซึ่งเรียกว่า "อย่างเทียม" ทั้งโดยธรรมชาติแวดล้อมที่ทารุณ และโดยการบีบคั้นกันเองในหมู่มนุษย์ล้าหลังนี้ ว่าคนถูกบีบคั้นและภัยธรรมชาติคุกคาม จึงลุกขึ้นดิ้นรน ขวนขวาย สร้างสรรค์ปัญญาในแบบของเขามากขึ้น จนเป็นวิถีชีวิตสังคมของเขาเลยทีเดียว ดังจะเห็นได้ว่า

"ในยุคเศรษฐกิจรุ่งเรือง" ที่ผ่านมานั้นเขาเริ่มใช้ระบบ "แข่งขัน" โดยเฉพาะคนอเมริกัน คือการแข่งขัน (Competition) เป็นหัวใจของการสร้างความเจริญ โดยที่เขาเชิดชูลัทธิ "ปัจเจกนิยม" (individualism) ซึ่งแสดงออกมาเด่นทางด้านการแข่งขันทางด้านการค้า อเมริกันถือว่าเป็นวิธีการสร้างความเจริญ คนจะเชื่องช้าอยู่ไม่ได้ จึงเกิดลัทธิ "ตัวใครตัวมัน" ใครดีใครได้ ใครแข็งก็อยู่ ใครอ่อนก็ตายไป ไม่มีใครช่วยใคร ทุกคนต้องดิ้นรนขวนขวายเอาเอง จึงเท่ากับมีภัยคุกคามทำให้ต้องดิ้นรนตลอดเวลา เขาจึงสร้างสรรค์ความเจริญมาได้ ระบบแข่งขันก็ดีตรงนี้ คือดีสำหรับมนุษย์ที่ยังมี "กิเลส" ซึ่งไม่สามารถที่จะไม่ประมาทด้วยสติปัญญา ท่านเจ้าคุณเรียกระบบนี้ว่า "ระบบทุกข์ภัยประดิษฐ์" คือ คิดเอง สร้างเอง แล้วให้คนอื่นทำตาม เช่น สร้างกติกากฎเกณฑ์ต่างๆ ทางด้านการค้า เป็นต้น เพื่อให้ชาติอื่นทำตาม

 ask1 ask1 ask1 ask1

หากเรามองย้อนหลังไปยุคสัก 2 ทศวรรษเศษ ยุคพลเอก ชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ยุคเศรษฐกิจไร้พรมแดนเริ่มเข้าสู่ประเทศไทย ต่อด้วยยุคท่านนายกฯอานันท์ ปันยารชุน จะชัดขึ้นๆ โดยเราตื่นตัวก๊อบปี้ออกมาเลย เขาว่าไม่อย่างนั้นไทยเราจะอยู่ลำบาก คนไทยจึงเกิดการต่อสู้ดิ้นรน นิสัยคน วิถีชีวิต เปลี่ยนเป็นแบบชาวตะวันตกอเมริกันไปเลย แต่ก่อนนี้คนไทยมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตอนนี้หายากขึ้น แต่ก็ยังพอมีอยู่มากพอควร ด้วยผู้เขียนมั่นใจว่า "วัฒนธรรมไทย" เรื่องเอื้ออาทร คนสงสารคนยังมีอยู่ เพราะคนไทยจะนับถืออะไรๆ ทั้งในศาสตร์ โหราศาสตร์ ผีสางเทวดา คนไทยก็ยังมี "พรหมวิหารธรรม" อยู่ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าต้องการให้เราพัฒนาคนให้ไม่ประมาทด้วย "สติปัญญา" ดังพุทธสุภาษิตที่ว่า... "ปมาโท มจฺจุโน ปทํ" แปลว่า "ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย" กล่าวคือ การที่มี "สติ" ตามระลึกเท่าทันตื่นตัวต่อเหตุการณ์ มีอะไรเกิดขึ้นที่เป็นไปจะมีผลต่อชีวิต ต่อสังคม ต่อศาสนา ก็ไม่นิ่งเฉย เฉื่อยชา ไม่ปล่อยปละละเลย ต้องรีบเอามาตรวจดูว่าเรื่องนี้เกิดแล้วจะมีผลดีหรือผลร้าย ถ้าจะเกิดความเสื่อมเสียต้องรีบ "แก้ไขป้องกัน" อันไหนจะทำให้เกิดความเจริญก็ให้ "รีบจัดทำ" ส่วน "ปัญญา" ก็วิเคราะห์เรื่องราวหาเหตุผลปัจจัย แล้วก็รีบตัดสินใจแก้ไขปรับปรุง ไม่ต้องให้ทุกข์มาบีบคั้นอย่างที่เรียกว่า "อยู่ด้วยความไม่ประมาท"

พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้แล้ว หรือแม้แต่คุณพ่อคุณแม่เรา สมัยเก่าๆ จะสอนลูกๆ เสมอว่า "เอ็งอย่าประมาทนะลูก"

 :25: :25: :25: :25: :25:

อนึ่งท่านเจ้าคุณท่านให้ข้อสังเกตว่า "ไทยสบายแล้วมัวประมาท ฝรั่งขาดปัญญาก็เจริญไม่ตลอด" สังคมตะวันตกเขาสร้างวิถีชีวิตของความเห็นแก่ตัว และพร้อมสร้างกติกา กฎหมาย และหลักการต่างๆ ของสังคมโลกขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุกล้ำสิทธิ การพัฒนาในทิศทางนี้จึงได้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "สิทธิมนุษยชน" (Human Rights) ที่คนตะวันตกเขาภูมิใจกันอย่างนักหนา ใช้กันอย่างชำนาญมากและไหลเข้ามาสู่ประเทศไทยจนได้เช่นกัน

"ภัยคุกคามประดิษฐ์" ของคนตะวันตกสร้างขึ้นมา ข้อดีก็คือเร่งคนให้กระตือรือร้น ขวนขวาย สร้างความเจริญขึ้นมาได้ เกิดมีความไม่ประมาทเทียม แต่ผลร้ายเบื้องปลายคือ "ทำให้คนเห็นแก่ตัว" เอาแต่ตัวเองรอดเพื่อความอยู่ดีมีสุข ร่ำรวยสมบูรณ์ของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น และไม่คำนึงถึงธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมถูกทำลายไปก็ช่างมัน

ผู้เขียนเองได้สังเกตติดตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากสื่อมวลชนประเทศจีน พบว่าในที่สุดแต่ละคนมุ่งหาประโยชน์ส่วนตน สังคมก็มากไปด้วยการเบียดเบียนกัน และธรรมชาติสิ่งแวดล้อมก็เสื่อมโทรม ทรัพยากรธรรมชาติก็ร่อยหรอ ดังเช่นประเทศทั่วโลกประสบตั้งแต่อเมริกา ยุโรปแล้ว ประเทศไทยไม่ต้องพูดถึงเลยก็ปรากฏชัดเจนเช่นเดียวกันนะครับ

บทความของ นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1436331040
13630  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ใช้ศาสนาพุทธเชื่อมอาเซียน เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:07:25 am


ใช้ศาสนาพุทธเชื่อมอาเซียน

วันเสาร์สบายๆวันนี้คุยเรื่อง พระพุทธศาสนา กันดีกว่านะครับ คุณอ๊อด ทิฟฟี่ สุภชัย วีระภุชงศ์ เลขาธิการ ชมรมโพธิคยา 980 มาคุยให้ผมฟังถึงแนวทางการทำงานของ ชมรมโพธิคยา 980 ว่า จะเน้นการอุปถัมภ์ปกป้องพระพุทธศาสนาในภาคพื้นสุวรรณภูมิ ภายใต้คำขวัญว่า “พุทธพลิกสุวรรณภูมิ” เพื่อนำ พระพุทธศาสนา มาเป็น สื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่นับถือพุทธศาสนาด้วยกัน

ฟังแล้วผมนึกถึงหนังสือ “เย็นหิมะในรอยธรรม” ของ “สมเด็จเกี่ยว” สมเด็จพระพุฒาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ขึ้นมาทันที


 :25: :25: :25: :25:

พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นองค์อุปถัมภ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ พระพุทธศาสนา ในอดีตพระองค์ได้ทรง เผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้วยการส่ง พระธรรมทูต 9 สาย ออกเดินไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั่วโลก พระธรรมทูตสายที่ 8 อันมี พระโสณะ และ พระอุตตระ เดินทาง มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ แหลมสุวรรณภูมิ ที่ไทยเป็นสมาชิกอยู่ด้วย

แต่วันนี้ พระพุทธศาสนาในไทยเสื่อมลงไปเรื่อยๆ จาก ความอุตริของสงฆ์ ความโลภของพระอุบาสกอุบาสิกา ที่ไม่ยึดมั่นในคำสอนของพระบรมศาสดา แต่ไปยึดมั่นเรื่องคุณไสย จนกระทั่ง “สมเด็จเกี่ยว” ทรงเขียนหนังสือ “เย็นหิมะในรอยธรรม” ชี้ให้เห็นถึงความหายนะ และนำ พระพุทธศาสนา ไปเผยแผ่ในโลกตะวันตก ทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป หวังจะให้พระพุทธศาสนายั่งยืนอยู่ในโลกนี้ตลอดไป


 st12 st12 st12 st12

คุณสุภชัย ก็มองในแนวทางเดียวกัน เมื่อ กลุ่มประเทศอาเซียน ใน แหลมสุวรรณภูมิ รวมกันเป็นหนึ่งเดียวในสิ้นปีนี้ ประชาคมอาเซียนจะมีประชากรรวมกันกว่า 600 ล้านคน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านไทยที่เรียกว่า CLMV กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ต่างก็นับถือ พระพุทธศาสนา เป็นหลัก จึงเหมือนเป็นพี่น้องกัน

หากเราใช้ “จุดร่วม” คือ พระพุทธศาสนา มาเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกัน และถ้ารวมใจกันสำเร็จ เราก็จะสามารถพลิก แผ่นดินสุวรรณภูมิ ผืนนี้ให้เป็น แผ่นดินธรรม อันสงบสุขเหมือนในอดีต โครงการนี้ คุณสุภชัย บอกว่า จะไม่มีการนำเงื่อนเวลามากำหนด เมื่อไม่มีเวลามากำหนด ก็จะไม่มีวันล้มเหลว ถ้าทำไม่สำเร็จในชาตินี้ ชาติหน้าเกิดมาก็จะทำต่อ จนกว่าจะสำเร็จ



วันนี้ทั่วโลกก็ยอมรับว่าไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก ถ้าใช้ศาสนาเป็นหลักยึด เราก็จะมีสะพานหรือประตูในการเชื่อมความสัมพันธ์ ยกระดับจิตใจของคนในชาติ ยกระดับจิตใจของคนในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในภูมิภาค

ผู้นำประเทศจะต้องหยุดคิดว่า ถ้าเราเน้นเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่สังคมเสื่อมลง เราจะอยู่กันได้ไหม เราจะสงบสุขได้ไหม การวางแผนแก้ไขในระยะยาวมีวิธีเดียวเท่านั้นคือ ต้องใช้พุทธธรรมของพระพุทธองค์มาเป็นเครื่องชี้นำ


 st11 st11 st11 st11 st11

โครงการ “พุทธพลิกสุวรรณภูมิ” ที่เดินตามแนวทาง พระพุทธเจ้า คือแนวทางการทำงานที่ คุณสุภชัย คิดว่า จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆได้สำเร็จ เมื่อพระสงฆ์ได้มีการปฏิบัติตามมรรควิธีตามที่พระบรมศาสดาทรงแนะนำไว้แล้ว ศึกษาปริยัติ พากเพียร ปฏิบัติ ให้เกิดปฏิเวธ เพื่อให้ญาติโยมคงความศรัทธาในพุทธศาสนา งานนี้ อุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องร่วมด้วย ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม เพื่อช่วยกันสืบทอดพระพุทธศาสนา

เวลานี้ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ได้เปิด หลักสูตรพุทธภูมิศึกษา ขึ้นมา มี พระเทพโพธิวิเทศ หัวหน้าพระธรรมทูตอินเดีย-เนปาล เป็นผู้อำนวยการหลักสูตร เพื่อส่งเสริมพระสงฆ์ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมในเชิงลึก ณ แดนพุทธภูมิ ใน อินเดีย และ เนปาล

ผมขอเอาใจช่วยครับ ขอให้โครงการ “พุทธพลิกสุวรรณภูมิ” สำเร็จในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า ใช้ ธรรมะ ใน พุทธศาสนา เป็นสื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ผมว่าดีกว่าไปซื้ออาวุธมารบกัน รังแต่นำความหายนะมาสู่ทุกฝ่าย.


คอลัมน์ หมายเหตุประเทศไทย โดย “ลม เปลี่ยนทิศ”
http://www.thairath.co.th/content/512264
ขอบคุณภาพจาก
http://www.phitsanulokhotnews.com/
13631  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระขอฝน คนขอน้ำ พุทธานุภาพ ที่มีมาแต่ 'พุทธกาล' เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:51:48 pm



พระขอฝน คนขอน้ำ พุทธานุภาพ ที่มีมาแต่ 'พุทธกาล'
ท่องแดนธรรม เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

"พระพุทธรูปปางขอฝน" นิยมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ปางคันธาระ" หรือ "ปางคันธารราฐ" เนื่องจากพระปางนี้สร้างขึ้นที่เมืองคันธาระเป็นครั้งแรก ราว พ.ศ.๔oo และผู้สร้างเป็นปฐมกษัตริย์คือพระเจ้ามิลินทราช ผู้ครองเมืองนี้ จึงเรียกชื่อพระปางนี้ตามชื่อเมืองว่า "พระคันธาระ"

พุทธลักษณะของพระขอฝน เป็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ขวายกเสมอพระอุระในท่ากวัก พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลาเป็นกิริยารับน้ำ ลักษณะพระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำโดยลงยาสีเหมือนจริง พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์บางเรียว พระกรรณยาว เกือบจดพระอังสา ขมวดพระเกศาทำเป็นรูปก้นหอยเรียงตลอดถึงพระเมาลี พระรัศมีทำเป็นรูปดอกบัวตูม ครองจีวรห่มเฉียง เปิดพระอังสาขวามีริ้วผ้าที่ด้านหน้าองค์พระพุทธรูป รองรับด้วยฐานบัวคว่ำบัวหงายและฐานสิงห์


 :25: :25: :25: :25: :25:

การจัดสร้างพระปางขอฝน ตรงกับพุทธประวัติตอนที่ในสมัยหนึ่งนครสาวัตถี แคว้นโกศล เกิดความแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล พืชผลได้รับความเสียหาย ประชาชนขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค สระโบกขรณี (สระบัว) ภายในพระเชตวันมหาวิหารก็แห้งขอดติดก้นสระ พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะอนุเคราะห์แก่มหาชน พระพุทธองค์ทรงผ้าวัสสิกสาฎก (ผ้าอาบน้ำฝน) แล้วเสด็จไปประทับ ณ บันไดสระ ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นกวักเรียกฝน พระหัตถ์ซ้ายรองรับน้ำฝน ทันใดนั้นบังเกิดมหาเมฆตั้งเค้าขึ้นพร้อมกันในทุกทิศานุทิศ ด้วยพุทธานุภาพและพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ฝนได้ตกลงมาเป็นอัศจรรย์

สำหรับพระคันธารราฎร์ หรือพระขอฝน ในการพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้น ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่หอพระคันธารราษฎร์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นด้วยเนื้อโลหะสำริดกะไหล่ทอง เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๖ มีความสูง ๕๗.๔๐ ซม.

 st11 st11 st11 st11

อย่างไรก็ตาม เดิมทีพระคันธารราษฎร์น่าจะประดิษฐานในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดแก้ว และสร้างปูชนียสถานเพิ่มเติม ได้สร้างหอพระคันธารราษฎร์ ขึ้นที่มุมระเบียงด้านหน้าพระอุโบสถ เป็นอาคารขนาดเล็กยอดปรางค์ เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป และเทวรูปสำคัญที่ใช้ในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เรียกนามอาคารตามนามพระพุทธรูปว่า “หอพระคันธารราษฎร์”

นอกจากนี้แล้วในพระบรมมหาราชวังยังมีพระพุทธรูปปางขอฝนอีกองค์หนึ่งแต่ไม่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ คือ พระพุทธรูปปางขอฝนประทับยืนเหนือปัทมาสน์ โดยมีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปประทับยืนแบบสมภังค์แสดง ปางขอฝนโดยพระหัตถ์ขวายกขึ้นราวพระอังสา ทำกิริยากวักเรียกฝน ส่วนพระหัตถ์ซ้ายหงายเป็นกิริยารองรับน้ำฝน ซึ่งประทับยืนเหนือปัทมาสน์ ประกอบด้วยกลีบบัวหงาย ซ้อนสามชั้นและเกสรบัวเหนือก้านบัวและแผ่นพื้นน้ำที่มีฝูงปลากำลังแหวกว่ายอยู่เบื้องล่าง



พระเจ้าทันใจ "พระขอฝน-ห้ามน้ำ"

พระเจ้าทันใจ วัดก้างหงส์ดอนไจย บ้านศรีชุม อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นด้วยทองสัมฤทธิ์ ศิลปะเชียงแสน สิงห์หนึ่ง ปางสมาธิขัดเพชร ประทับบนแท่นบัวสองชั้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสกุลช่างหลวงเมืองพะเยา หน้าตักกว้าง ๒๕ นิ้ว สร้างขึ้นในยุคทองของอาณาจักรล้านนา อายุราว ๑,๐๐๐ ปี

มีคติความว่าผู้ที่ได้มากราบไหว้ขอพรจากพระเจ้าทันใจให้ช่วยปลดเปลื้องอุปสรรคปัญหาให้หมดสิ้น และสมหวังดังอธิษฐาน จนเป็นที่ร่ำลือถึงพุทธานุภาพ เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เป็นที่โจษขานกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าทันใจ ถึงขนาดให้ความสำคัญว่า พระเจ้าทันใจองค์นี้สามารถบันดาลในจิตอธิษฐานที่ขอพรให้สัมฤทธิผล เกิดความเจริญรุ่งเรืองได้ตามปรารถนา
 

 :25: :25: :25: :25:

ปีใดเกิดฟ้าฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล ผู้คนในยุคนั้นก็พากันจัดเครื่องสักการบูชา แห่แหนกันไปขออำนวยอวยพรโดยนำ “ใบน้ำหนอง” ใส่ในใต้ฐานองค์พระเจ้าทันใจ แล้วพากันตั้งจิตสัจจะอธิษฐานขอน้ำขอฝน ก็จะได้รับสายฝนโปรยปรายตกลงมาให้ชาวบ้านได้ชุ่มเนื้อ เย็นใจ ได้ทำการกสิกรรม ทำไร่ ทำนา ประกอบสัมมาอาชีพได้ตามความปรารถนา แต่หากปีใดฝนตกหนักน้ำท่วมไร่นาเสียหาย ชาวบ้านก็จะนำเครื่องสักการะไปนมัสการกราบไหว้ แล้วเอา “ใบลมแล้ง” (ใบต้นคูน) ใส่ใต้ฐานองค์พระเจ้าทันใจ ขอพรอย่าให้ฝนตกมากเกินไป ก็จะได้เห็นประจักษ์สัมฤทธิผลทุกคราไป

หลังจากที่พระเจ้าทันใจได้สูญหายไปชาวบ้านก็ได้สร้างองค์จำลองขึ้นมา เพื่อใช้เป็นองค์แทนองค์จริงใช้ประกอบพิธีนมัสการตราบจนถึงปัจจุบัน ก่อนจะได้พระเจ้าทันใจองค์จริงกลับคืนมา เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๔ ทำให้ชาวบ้านรวมถึงชาวอำเภอดอกคำใต้ และชาวพะเยาทุกคนต่างดีใจกับการกลับคืนมาของพระเจ้าทันใจเป็นอย่างมาก




พระพุทธไสยาสน์ พระขอฝน "จ.น่าน"

เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่วัดพระธาตุแช่แห้ง อ.ภูเพียง จ.น่าน ภายในพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ พุทธศาสนิกชนชาวน่าน เข้าพิธีโบราณเมืองนครน่าน สวดบูชาเทพยาดาขอฟ้าสายฝน หลักจากประสบปัญหาภัยแล้งคุกคามอย่างหนัก เนื่องจากฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล

พระพุทธไสยยาสน์ประดิษฐานบนฐานชุกชี สร้างด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทอง ยาว ๑๔ เมตร สูง ๒ เมตร พร้อมด้วยพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานบนฐานชุกชี สร้างด้วยอิฐถือปูน หน้าตัก ๗๐ เซนติเมตร สูง ๑๐๐ เซนติเมตร สร้างในสมัยพระยาหน่อคำเสถียรไชยสงคราม พ.ศ.๒๑๒๙ โดย มหาอุบาสิกานามว่านางแสนพาลาประกอบด้วยศรัทธาสร้างพระนอนไว้เป็นที่สักการบูชาแก่คนทั้งหลาย


 :25: :25: :25: :25: :25:

พระครูวิสิฐนันทวุฒิ เจ้าคณะอำเภอภูเพียง เจ้าอาวาสวัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง บอกว่า พิธีขอน้ำฟ้าสายฝน มีมาตั้งแต่โบราณกาล เมื่อบ้านเมืองแห้งแล้งฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล คณะสงฆ์ เจ้าบ้านเจ้าเมือง ประชาชนก็จะร่วมกันประกอบพิธี โดยเฉพาะปีนี้คณะสงฆ์จังหวัดน่าน พร้อมด้วยคณะสงฆ์อำเภอเมืองน่าน คณะศรัทธาบ้าน และชุมชนต่างๆ หมู่บ้านต่างๆ ร่วมใจกันประกอบพิธีขอน้ำฟ้าน้ำฝนตามที่บรรพบุรุษของเราได้ปฏิบัติมา

นอกจากนี้แล้วที่ จ.น่าน ยังมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นชื่อว่า "พระขอฝน" คือ พระเจ้าทองทิพย์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดสวนตาลเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองน่านมาตั้งแต่โบราณกาล อายุกว่า ๕๐๐ ปี เพราะเมื่ออดีตกาลเวลาจะทำพิธีขอน้ำฟ้าสายฝนเวลาบ้านเมืองแห้งแล้งก็จะไปประกอบพิธีที่หน้าวิหารพระเจ้าทองทิพย์วัดสวนตาลมาหลายยุคหลายสมัย

 st12 st12 st12 st12

ส่วนอีกองค์หนึ่ง คือ "พระเจ้าฟ้าสายฝนแสนห่า" ประดิษฐานอยู่ที่วัดพญาวัด เป็นพระพุทธรูปไม้แกะสลักสูงเท่าตัวคน อายุเกือบ ๓๐๐ ปี เมื่อฤดูแล้งหรือบ้านเมืองแห้งแล้ง ประชาชนก็จะอัญเชิญพระเจ้าฟ้าสายฝนแสนห่าแห่เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำเพื่อขอบารมี ปีนี้ก็เช่นเดียวกันได้อัญเชิญพระเจ้าฟ้าสายฝน จากวัดพญาวัดมาที่วัดสวนตาล ประชาชนก็พากันสรงน้ำแบบโบราณ สรงน้ำพระเจ้าฟ้าโดยการอัญเชิญเทวดามา เมื่อมาถึงก็ประกอบพิธีและทำการอ่านคาถาปลาช่อน

"เรื่องของความศรัทธาจริงๆ คือเมื่อเราตั้งใจปฏิบัติดี เพื่อบ้านเพื่อเมือง เพื่อเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ทำดี ฟ้าดินย่อมโปรดปราน เทวดาอารักษ์ย่อมดลบันดาล ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา" พระครูวิสิฐนันทวุฒิ บอกเล่า


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150717/209905.html
13632  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นิมนต์พระสงฆ์ สวดคาถาขอฝน ดับแล้ง เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:43:27 pm


นิมนต์พระสงฆ์ สวดคาถาขอฝน ดับแล้ง

อุตรดิตถ์-ชาวอำเภอลับแลเดือดร้อนภัยแล้งพืชสวนเสียหายนิมนต์พระสงฆ์สวดพระคาถาขอฝนตามแบบพิธีโบราณล้านนา

เมื่อวันที่ 17 ก.ค. พระครูพิพัฒน์ ธรรมโสภิต เจ้าคณะตำบลฝายหลวงเขต 2 เจ้าอาวาสวัดใหม่เชียงแสน ต.ฝายหลวง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ พร้อมพระสงฆ์จาก 4 วัดจำนวน 11 รูปได้ทำพิธีสวดขอฝนตามตำราโบราณล้านนาของชาว อ.ลับแล ตามหนังสือธรรมใบลานเรื่องพญาค้างคาก หรือคางคก จารอักขระ ตำราโบราณ อายุกว่า 113 ปี เป็นพระคาถาขอฝนมีทั้งหมด 5 เล่ม โดยพิธีขอฝนเริ่มจากพิธีกราบพระสมานทานศีล สวดมนต์ ใส่บาตรข้าวสาร พระสงฆ์ 5 รูปสวดพระคาถาปลาก่อ หรือปลาช่อน 108 จบ เเละ เทศน์ 2 กัณฑ์คือเทศนาธรรมพญาค้างคากมี 4 เล่ม และพระคาถาปลาก่อ 1 เล่ม รวมเป็น 5 เล่ม


 :25: :25: :25: :25: :25:

ทั้งนี้ พิธีสวดขอฝนดังกล่าวได้ตั้งแท่นพิธี ตั้งเสาทำนั่งร้านเป็นแท่นสี่เหลี่ยมปูด้วยผ้าสีขาวนำพระพุทธรูปตั้งไว้ข้างบนส่วนข้างล่างมีการขุดดินเป็นหลุมสี่เหลี่ยมลึกประมาณ 60 เซนติเมตร แล้วปูด้วยผ้าพลาสติค เพื่อเก็บน้ำและนำปลาช่อนจำนวน 4 ตัวปล่อยไว้ข้างใน พร้อมกั้นอาณาเขตด้วยรั้วสี่เหลี่ยมประดับด้วยธงชัยราชวัตรก่อนที่จะนำด้ายสายสิญจ์ที่ผูกติดกับพระพุทธรูปเชื่อมต่อออกมาที่บริเวณพระสวด

พระครูพิพัฒน์ กล่าวว่า ปีนี้ฟ้าฝนแล้งมากกว่าทุกปี ชาวบ้านเดือดร้อนหนักพืชผลการเกษตรเสียหายเป็นวงกว้างชาวบ้านจึงมาปรึกษาเพื่อของให้กระทำพิธีดังกล่าว ซึ่งเป็นพิธีที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาลตามตำราโบราณที่ได้มีการบันทึกไว้แต่ก็ไม่เคยประกอบพิธีนี้กันมานานแล้ว วัดและญาติโยมคณะศรัทธาวัดใหม่เชียงแสน จึงจัดพิธีกรรมดังกล่าวขึ้นมาเพื่อความสบายใจของชาวบ้าน และคณะศรัทธา


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.posttoday.com/local/north/376768
13633  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร่วมบุญเปลี่ยนผ้าครองสรีระ 'หลวงพ่อพูล' เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:38:56 pm


ร่วมบุญเปลี่ยนผ้าครองสรีระ 'หลวงพ่อพูล'

พระมงคลสิทธิการ หรือหลวงพ่อพูล อัตตะรักโข พระอมตะเถราจารย์แห่งวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีประชาชนให้ความเคารพศรัทธาทั่วประเทศ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ด้วยความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเมตตาต่อศิษยานุศิษย์ทุกชั้นวรรณะ

เมื่อครั้งที่หลวงพ่อพูล สร้างคุณประโยชน์ไว้มากมายในบวรพุทธศาสนา เป็นที่ประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม ถาวรวัตถุทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจ จรรโลงไว้เพื่อคุณงามความดี มีหลักยึดพระธรรมในการรังสรรค์ด้วยความเสียสละ เพื่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง

 ans1 ans1 ans1 ans1

ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ตรงกับวันวิสาขบูชา ท่านได้ละสังขารอย่างสงบ จวบจนวันนี้ครบ ๑๐๑ ปีชาตกาล สรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย คงสภาพเดิมทุกประการ พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศต่างแห่แหนเดินทางมากราบสักการะสังขารของท่านมิขาดสาย ทำให้ทุกวันนี้บนศาลาการเปรียญ ที่ประดิษฐานสังขารของท่านมีประชาชนจำนวนมากเดินทางมากราบสังขารหลวงพ่อแน่นขนัดทุกวัน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคลในหน้าที่การงาน ค้าขายดีมีกำไร ไม่เจ็บไม่จน กินอิ่มนอนอุ่น ตลอดไป

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ทายาทศิษย์เอกหลวงพ่อพูล ประธานมูลนิธิหลวงพ่อพูล และเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม บอกว่า ในระหว่างที่หลวงพ่อพูลยังมีชีวิตอยู่นั้น มีชาวบ้านมาให้ท่านเจิมแป้งนะเมตตามหามงคล นับเป็นความเมตตาของหลวงพ่อพูลที่มีต่อลูกศิษย์ลูกหาทั่วไปอย่างมาก โดยเชื่อว่าการเจิมแป้งที่เสกโดยพระเกจิอาจารย์นั้น ถือเป็นการเสริมบารมี และส่งผลให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิต มีโชค มีลาภ ร่ำรวยมหาศาล ไม่เจ็บ ไม่จน กินอิ่ม นอนอุ่นตลอดกาล จากนั้นญาติโยมเหล่านี้จะเดินทางกลับมาให้เจิมอีก เพราะต่างสำเร็จสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา นี่คือที่มาแห่งการเจิมแป้งนะเมตตามหามงคล ตำรับหลวงพ่อพูลที่เป็นอมตะมายาวนานจวบจนปัจจุบันนี้

 :25: :25: :25: :25:

อย่างไรก็ตามในวันอาทิตย์ที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘ นี้ หลวงพี่น้ำฝน จะเปิดโอกาสให้ญาติโยมศิษยานุศิษย์ ได้สัมผัสหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด โดยจัดให้มีพิธีถวายสักการะสรีระพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล สวดพระพุทธมนต์ ประกอบพิธีสรงน้ำเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าครองที่สังขารหลวงพ่อพูล ตั้งแต่เวลา ๑๗.๐๐ น.เป็นต้นไป ณ ศาลาปุริมานุสรณ์ (ศาลาการเปรียญ) วัดไผ่ล้อม

สำหรับพิธีลงกระหม่อม โดยในระหว่างเวลาดังกล่าวนี้ หลวงพี่น้ำฝน ท่านเปิดโอกาสให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชน เข้ากราบสักการะสังขารหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด ด้วยการก้มกราบน้อมศีรษะจรดแตะไปที่ปลายเท้าหลวงพ่อ เพื่อความเป็นสิริมงคล กับครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้สัมผัสพระอริยสงฆ์


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม โทร.๐๘-๕๔๑๕-๖๔๖๔ และ ๐๖-๑๗๘๒-๖๔๖๒ หรือ ที่ " www.watpailom.org"


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150717/209907.html
13634  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัญเชิญหลวงพ่อดำสรงน้ำ ชำระล้างสิ่งอัปมงคล นำโชคดี เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:35:31 pm


อัญเชิญหลวงพ่อดำสรงน้ำ ชำระล้างสิ่งอัปมงคล นำโชคดี

เวลา 09.09 น.วันที่ 17 ก.ค.ที่วัดเถรพลาย ต.วังน้ำซับ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี นายทศพร โพธสุธน กำนันตำบลวังน้ำซับ อ.ศรีประจันต์ พร้อมกับกับชาวบ้านหลายร้อยคนมาร่วมงานปิดทองไหว้พระประจำปีของวัดเถรพลาย โดยมีกิจกรรมมีพิธีแห่หลวงพ่อดำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ สมัยกรุงศรีอยุธยา

ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ของวัดเถรพลาย ลงสรงน้ำในแม่น้ำท่าจีน เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกสิ่งไม่ดีสิ่งอัปมงคลออกไป และนำสิ่งดี ๆ มีมงคลมาสู่ชีวิตชาวบ้าน ซึ่งเป็นประเพณีที่ทำสืบทอดกันหลายชั่วอายุคน เพราะเชื่อว่าชาวบ้านที่มาร่วมทำพิธีอันเชิญหลวงพ่อดำลงสรงน้ำ จะนำสิ่งไม่ดีลอยน้ำไป และจะมีแต่สิ่งดี ๆ กลับมา จะทำให้มีความเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขึ้น คิดสิ่งใดสมปรารถนา


 :25: :25: :25: :25:

พระครูพิสุทธิรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเถรพลาย  เผยว่าทางวัดเถรพลาย ได้จัดงานปิดทองไหว้พระหลวงพ่อโต หลวงพ่อดำ หลวงพ่อสีชมพู และจะมีพิธีห่มผ้า 8 สี ถวายองค์พระเจดีย์ สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ระหว่างวันที่ 16-19กรกฎาคม 2558 ในงานบุญดังกล่าวจะได้อันเชิญ หลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ประจำวิหารจัตุรมุข แห่งเดียวในจังหวัดสุพรรณบุรี ลงสรงน้ำในแม่น้ำท่าจีนเพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีออกไป ถือเป็นประเพณีที่ทำสืบทอดกันมานาน

นอกจากนี้ทางวัดประกอบพิธีบวงทรวงและอันเชิญหลวงพ่อสีชมพู พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ และรูปเหมือนหลวงพ่อสน อดีตเจ้าอาวาสวัดเถรพลาย พระเกจิชื่อดังของจังหวัดสุพรรณบุรี ขึ้นมาประดิษฐาน ที่ศาลาทรงไทยไม้สักที่พุทธศาสนิกชนได้พร้อมใจกันสร้างถวายซึ่งถือว่ามีแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย


ที่มา http://www.banmuang.co.th/news/region/21674
13635  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำบุญเข้าพรรษา ให้อาหารและการศึกษาเด็กยากจน เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:32:18 pm



ทำบุญเข้าพรรษา ให้อาหารและการศึกษาเด็กยากจน

ในเทศกาลเข้าพรรษาเป็นช่วงที่บรรดาพุทธศาสนิกชนต่างเดินทางไปทำบุญกับพระสงฆ์ในวัดวาอารามต่างๆ ตามความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละคนกันอย่างถ้วนหน้าทั้งใกล้บ้านและไกลบ้าน นับว่าเป็นการบำเพ็ญบุญกุศลสั่งสมคุณงามความดีให้กับตนเอง
   
ก่อนเข้าพรรษาเมื่อใดชาวพุทธต่างเดินทางไปเป็นครอบครัวบ้าง เป็นหมู่คณะบ้าง ถวายเทียนพรรษาหรือถวายจตุปัจจัยแก่พระสงฆ์ที่กำลังจะเข้าจำพรรษาตามวัดวาอารามต่างๆ ในชนบทกันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะวัดที่อยู่ในถิ่นกันดารยิ่งมักนิยมแห่แหนกันไปเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นการกระจายโอกาสไปให้ถึงวัดที่อยู่ห่างไกลความเจริญ จึงเป็นการทำบุญที่สมควรเชิญชวนและน่าอนุโมทนาอีกวิธีหนึ่งเพราะโอกาสที่ดีของความช่วยเหลือจะได้ตกถึงวัดวาอารามที่อยู่ในชนบทกันอย่างทั่วถึง


 :25: :25: :25: :25:

ภารกิจของชาวพุทธในช่วงเข้าพรรษานี้ขอให้ร่วมใจกันรักษาศีลห้าของผู้ครองเรือนให้บริสุทธิ์ดังที่คณะสงฆ์ได้มีนโยบายนำพาไปสู่การปฏิบัติคือ “หมู่บ้านศีลห้า” อยู่ในขณะนี้ ขอให้ลดอบายมุขในหมู่บ้านในชุมชน นับตั้งแต่งดการดื่มน้ำเมา งดการเที่ยวกลางคืน งดการเที่ยวเตร็ดเตร่ งดการเล่นการพนัน งดการคบคนชั่วเป็นมิตรและงดการเกียจคร้านหน้าที่การงานของตนเอง บางครั้งพระสงฆ์รูปที่เป็นผู้นำในวัดไม่กล้าบอกหรือไม่กล้าสอนโดยตรงเพราะความเกรงใจบ้าง เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกันระหว่างวัดกับบ้านบ้าง ก็ขอให้รู้จักตรวจสอบตนเองว่าพูดอะไรหรือทำอะไรเหมาะสมหรือไม่เพียงใด ขอให้เป็นชาวพุทธและชาวบ้านของท้องถิ่นอย่างดีและมีคุณภาพ ประพฤติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่หมู่บ้านอื่นหรือชุมชนอื่น ขอให้อยู่อย่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

สำหรับพระสงฆ์เองก็อย่านอกพระธรรมวินัย ประพฤติตนให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน สร้างสรรค์วัดวาอารามให้สงบ ให้สะอาด ให้ปลอดโปร่ง ให้ห่างจากอบายมุขทุกชนิด ให้มีเสนาสนะใช้สอยที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติธรรมของชาวบ้าน ให้วัดเป็นที่พึ่งทางใจ ให้วัดเป็นอุดมคติของคุณงามความดีกับชาวบ้าน ดังนั้นหน้าที่หลักของชาวพุทธหรือชาวบ้านคือช่วยกันรักษาศีล ประพฤติธรรม เข้าวัดรักษาศีล ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับพระภิกษุสามเณรหรือนักบวชในวัดวาอารามของหมู่บ้านหรือชุมชน ช่วยกันตรวจสอบพระภิกษุบางรูปที่อาจจะประพฤติตนนอกกรอบพระธรรมวินัยให้แต่ละรูปกลายเป็นเนื้อนาบุญของโลก

ส่วนพระสงฆ์เองก็ขอให้จำวัดรักษาศีล ประพฤติตนอยู่ในกรอบพระธรรมวินัย ศึกษาเล่าเรียนพระธรรม เผยแผ่ธรรมะฝึกอบรมเด็กและชาวบ้านให้มีธรรมะครองใจ ถ้าทำได้เช่นนี้ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับบ้านก็จะเป็นไปอย่างแนบแน่นสร้างความสุขให้กับทุกคน ความหวาดระแวงสงสัยความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้นมา ในที่สุดความปกติสุขในสังคมของความเป็นชาวพุทธก็จะสง่างามในสังคมไทยและสังคมโลก

   

การทำบุญเข้าพรรษานอกจากจะเป็นการทำบุญตามเทศกาลเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาโดยตรงแล้ว ก็อยากจะเชิญชวนให้ชาวพุทธได้ตระหนักถึงการทำทานหรือแบ่งปันให้กับเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาสที่มีอยู่ในชุมชนในหมู่บ้านหรือในสังคมไทยเรา เด็กและเยาวชนเหล่านี้ล้วนแต่จะเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังให้กับท้องถิ่นและสังคมไทยเรา ถ้าชีวิตของพวกเขาเกิดมาบนความแตกแยกของครอบครัว บนความร้าวฉานของครอบครัว บนความพลัดพรากจากครอบครัว บนความหว้าเหว่ใจ บนความยากจนขัดสน บนความทุกข์ที่ไร้ความอบอุ่นในสังคมแล้ว โอกาสที่พวกเขาจะกลายมาเป็น “เนื้อร้าย” จนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในชุมชนในหมู่บ้านหรือในสังคมก็มีมากขึ้น

ทางที่ดีจึงควรหันมารู้จักแบ่งปันช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในหมู่บ้านและในชุมชนให้พวกเขาได้รับโอกาสที่ดี ได้รับสิ่งที่ดีจากผู้คนที่อยู่รอบข้าง ได้รับไออุ่นจากสังคมอันเนื่องมาจากการยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือตามกำลังและบทบาทที่เราพึงกระทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการไปให้กำลังใจ การช่วยเหลือสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ สิ่งจำเป็นสำหรับการศึกษาเล่าเรียน ห่วงใยกันคนละเล็กคนละน้อยจะกลายเป็นพลังที่ช่วยชุบชีวิตเด็กด้อยโอกาสเหล่านั้นให้เติบโตขึ้นมามีอนาคตที่สดใสในสังคมไทยเราได้


 st12 st12 st12 st12

    มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมแบ่งปันข้าวปลาอาหาร ปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพและการศึกษาเล่าเรียนรวมถึงการศึกษาธรรมะให้แก่เด็กกำพร้า เด็กยากจน เด็กด้อยโอกาสที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูและส่งเสริมให้ได้เรียนหนังสือตามโครงการต่างๆ 16 โครงการที่ดำเนินงานอยู่ในขณะนี้ มีทั้งเลี้ยงดูอยู่ประจำ มีทั้งเด็กที่มาเช้า-เย็นกลับ มีทั้งส่งให้ได้เรียนหนังสือในชั้นสูงๆ ขึ้นไปจำนวนหลายร้อยชีวิต

     ขณะนี้ต้องการข้าวปลาอาหารทั้งสดและแห้งสำหรับเลี้ยงเด็กๆ ต้องการนม ขนม เสื้อผ้า เครื่องเขียน เครื่องกีฬา ของใช้สำหรับเด็กทุกชนิดที่มีอายุระหว่าง 1-17 ปี หรือถ้าต้องการทำบุญทำทานในโอกาสครบรอบคล้ายวันเกิดทำบุญในโอกาสต่างๆ ก็สามารถจองเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กได้ทุกวันตลอดทั้งปีไม่มีวันหยุดหรือจะบริจาคเงินให้เป็นทุนการศึกษาเด็กก็ได้


 st11 st11 st11 st11

ผู้สนใจต้องการช่วยเหลือเด็กตามโครงการต่างๆ ติดต่อได้ที่ มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ ซอยมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ถนนอิสรภาพ ซอย 15 แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600 โทรศัพท์ 0-2465-6165, 0-2466-8354 โทรสาร 0-2472-4212 ทุกวันไม่มีวันหยุด บริจาคเงินโอนเข้าบัญชีเพื่อเป็นค่าอาหารเลี้ยงเด็กและทุนการศึกษาเด็กได้ตามศรัทธา ชื่อบัญชี “มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน” ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาเจริญพาศน์ เลขที่บัญชี 126-0-36151-2 ประเภทสะสมทรัพย์

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก เลขานุการมูลนิธิกลุ่มแสงเทียนวัดบางไส้ไก่


ที่มา http://www.banmuang.co.th/news/education/21639
13636  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โคราชจัด แห่เทียนพรรษา เสริมบุญ ใหญ่สุดในไทย เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:27:56 pm


โคราชจัด แห่เทียนพรรษา เสริมบุญ ใหญ่สุดในไทย

โคราชเตรียมจัดงานแห่เทียนพรรษา เสริมบุญ สร้างบารมี ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ชมขบวนเทียนมีชีวิต พร้อมเติมเต็มงานด้วยเทคนิคพิเศษ ฮาเทียนรูปเหมือนหลวงพ่อคูณเทศน์สั่งเสีย 10 ข้อก่อนละสังขาร

นครราชสีมา/ นายสุรวุฒิ เชิดชัย นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา เปิดเผยถึงการเตรียมจัดงานเทศกาลประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา ประจำปี 2558 ว่า งานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา ใช้สโลแกนว่า “เสริมบุญ สร้างบารมี แห่เทียนโคราช” ขณะนี้มีความพร้อมในการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่เหมือนเช่นทุกปี โดยจัดระหว่างวันที่ 30-31 ก.ค.-1 ส.ค.58 รวม 3 วัน 3 คืน เราสามารถรองรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะการเปิด AEC จากทุกประเทศ รวมถึงที่พักและการเดินทาง


 ans1 ans1 ans1 ans1

ในปีนี้มีขบวนต้นเทียนจากวัดหนองบัวรอง และเพิ่มมาอีกคือวัดโพธิ์ ซึ่งครบรอบ 10 ปีที่ไม่ได้ร่วมส่งมานาน และเคยเป็นแชมป์เก่าหลายครั้งทำให้ปีนี้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น และมีขบวนต้นเทียนจากวัดดังต่างๆ ที่จะเข้าร่วมกว่า 30 ต้นเทียน แบ่งเป็นประเภท ก. กว่า 20 ต้นเทียน ประเภท ข. และประเภท ค. อีกกว่า 10 ต้นเทียน รวมทั้งขบวนแห่ที่จะสร้างสีสันรอยยิ้มเสียงหัวเราะ เช่น วัดใหม่สระประทุม อ.โชคชัย ที่ทุกปีส่งประกวดต้นเทียนครองแชมป์มายาวนานกว่า 10 ปี วัดโบสถ์คงคาล้อม อ.โชคชัย ประเภท ข.วัดบูรพาพิมล อ.พิมาย วัดเดิม อ.พิมาย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายสินค้าโอท็อปของดีทั้ง 32 อำเภอ และเลือกรับประทานอาหารพื้นเมืองแบบอีสาน และชมขบวนต้นเทียนที่จะจอดเรียงรายอยู่รอบอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (คุณย่าโม)

โดยเฉพาะยามค่ำคืนแสงไฟและแสงสว่างจากดวงจันทร์จะส่องให้ต้นเทียนมีความสวยงามวิจิตรตระการตา ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสและถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก พร้อมถ่ายรูปลงโทรศัพท์มือถือส่งไลน์ หรือเฟซบุ๊ค หรือแชร์ส่งต่อๆ กันไปทั่วโลก ซึ่งจะบ่งบอกและเติมเต็มให้ จ.นครราชสีมา เป็นที่รู้จักและน่าท่องเที่ยว จึงขอเรียนเชิญนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างประเทศมาชมมาดูแห่เทียนโคราช เรายินดีต้อนรับ ซึ่งปีนี้เราจะมีการโชว์กระบวนการทำเทียน เพื่อให้รู้แหล่งที่มาหรือต้นทางของการทำเทียน และความตั้งใจของศิลปินคนทำได้อย่างสนุกสนานยิ่งขึ้นและสามารถเข้าถึงพุทธศาสนา


 :49: :49: :49: :49:

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ช่างเทียนของวัดต่างๆ ในจังหวัดนครราชสีมาต่างเร่งประดิษฐ์ หล่อ แกะสลักประดับตกแต่งขบวนต้นเทียนเพื่อให้ทันเข้าประกวด และร่วมงานประเพณีเทศกาลแห่เทียนเข้าพรรษาของ จ.นครราชสีมา ประจำปี 2558 ซึ่งทีมช่างเทียนแต่ละวัดต่างๆ ออกแบบขบวนต้นเทียนให้ออกมาวิจิตรงดงาม และแฝงไปด้วยหลักธรรมคำสั่งสอน การบอกเล่าเรื่องราวพระพุทธศาสนาและพุทธประวัติ โดยเฉพาะขบวนต้นเทียนพรรษาของวัดโพธิ์ และวัดหนองบัวรอง เขตเทศบาลนครนครราชสีมา ซึ่งเฉพาะวัดโพธิ์เป็นต้นฉบับของขบวนต้นเทียนล้อการเมืองและเทียนสร้างสรรค์ แต่ได้ห่างหายหยุดทำเทียนไปนานครบ 10 ปี ในปีนี้ช่างเทียนรุ่นก่อตั้งได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อออกแบบขบวนต้นเทียนพรรษาวัดโพธิ์ให้มีความโดดเด่นวิจิตรอลังการและแตกต่าง เป็นต้นแบบของเทียนพรรษาในยุคสมัยใหม่


      :25: :25: :25: :25:

     นายเทียน เลิศศรีศิลป์ อายุ 43 ปี ศิลปินอิสระ หัวหน้าช่างเทียนวัดโพธิ์ กล่าวว่า ปีนี้ประชาชนและพระสงฆ์ของวัดโพธิ์ตั้งใจทำต้นเทียนส่งเข้าประกวด และร่วมงานแห่เทียนที่ทางเทศบาลนครนครราชสีมาจัดขึ้นหลังหยุดทำเทียนมานานครบ 10 ปี ซึ่งทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะการลงทุนซื้อวัตถุดิบทุกอย่างที่นำมาประกอบเป็นต้นเทียน ซึ่งต้องใช้งบประมาณมากกว่า 1 ล้านบาท และใช้เทียนรวมน้ำหนักมากกว่า 10 ตัน ขบวนต้นเทียนพรรษาวัดโพธิ์ปีนี้มีความพิเศษและแตกต่างจากต้นเทียนวัดอื่น และสอดคล้องกับยุคสมัย

     หลังจากก่อนหน้านี้ต้นเทียนของวัดโพธิ์เป็นต้นแบบของเทียนล้อการเมืองและเทียนสร้างสรรค์ จนสร้างความฮือฮาสร้างสีสันให้แก่งานมาโดยตลอด ส่วนช่างเทียนที่เป็นชาวบ้านรอบวัดและกลุ่มวัยรุ่นที่มีแรงศรัทธาและต้องการฝึกฝีมือกว่า 20 คนได้มาร่วมกันประดิษฐ์ขบวนเทียนยาว 19 เมตร สูงประมาณ 4.50 เมตร โดยได้ออกแบบเป็นขบวนเรือที่บอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความพิเศษคือด้านท้ายขบวนจะมีรูปหล่อเทียนเหมือนพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) พระเกจิชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ซึ่งเป็นพระผู้ให้ ที่ชาวนครราชสีมาเคารพบูชาและระลึกถึงแม้ท่านมรณภาพไปแล้ว

     โดยจะเป็นรูปหล่อท่านั่งยองๆ ถือไม้เคาะหัว และที่เป็นไฮไลท์จะมีเสียงเทศนาหลักธรรมคำสอนของหลวงพ่อคูณฯ ที่เคยสั่งสอนลูกศิษย์มาตลอดช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ด้วย โดยเฉพาะคำสั่งเสีย 10 ข้อก่อนละสังขาร


      st12 st12 st12 st12

นอกจากนี้ ที่สำคัญขบวนต้นเทียนของวัดโพธิ์จะเป็นขบวนเทียนที่ควบคุมด้วยระบบไฮดรอลิก ทำให้ขบวนเทียนมีชีวิตสามารถขยับขึ้นลงได้ และตัวหุ่นเทียนทุกตัวสามารถพ่นน้ำและมีเสียงร้องเสมือนจริง ซึ่งไม่เคยมีที่ไหนทำมาก่อน และมีการประดับตกแต่งด้วยระบบแสง สี เสียงที่ทันสมัยในตัว พร้อมมีคำสั่งสอนหลวงพ่อคูณรอบขบวนต้นเทียน ฉะนั้นการออกแบบขบวนต้นเทียนครั้งนี้ ต้องการมุ่งหวังให้กลุ่มเยาวชนและประชาชนหันมาให้ความสนใจประเพณีแห่เทียนพรรษา


ที่มา http://www.banmuang.co.th/news/region/21631
13637  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา!! เจ้าอาวาสวัดเชียงใหม่แสดงธรรม ขรก.-พรมน้ำมนต์กลายเป็นผลึกแก้วพระธาตุ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:22:29 pm


ฮือฮา!! เจ้าอาวาสวัดเชียงใหม่แสดงธรรม ขรก.-พรมน้ำมนต์กลายเป็นผลึกแก้วพระธาตุ

วันที่ 17 ก.ค. พลเรือตรีบรรพต เกิดภู่ รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ได้จัดบรรยายธรรมเทศนาให้กับข้าราชการ และครอบครัว บรรยายโดย พระมหาอาวรณ์ ภูริปญ.โญ เจ้าอาวาสวัดปันเสา จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีกำลังพล ข้าราชการ ลูกจ้างและประชาชน จากกองทัพเรือ ร่วมรับฟังการบรรยายธรรม เพื่อเป็นหลักปฏิบัติในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ณ ศาสนสถาน กองเรือยุทธการ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี



 โดยหลังจากที่ พระมหาอาวรณ์ ภูริปญโญ แสดงธรรมเทศนาให้กับข้าราชการและครอบครัวเสร็จสิ้นแล้วได้มีการพรมน้ำมนต์ โดยมีข้าราชการและครอบครัวได้เตรียมผ้าสีขาวไว้ตรงหน้า เพื่อที่จะรับพระธาตุ ที่เกิดจากการพรมน้ำมนต์ของพระมหาอาวรณ์ ภูริปญ.โญ ซึ่งเป็นที่ฮือฮากันมากในตอนนี้ หลังจากได้รับการพรมน้ำมนต์ก็ปรากฏว่า มีผลึกแก้วหลากสี ซึ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุออกมาจากหญ้าคา และตกใส่ มือของผู้ที่เข้าร่วมฟังธรรมเทศนาจริง สร้างความตื่นตะลึง และมหัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก




พลเรือตรีบรรพต กล่าวว่า การจัดบรรยายธรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กำลังพล ได้นำหลักธรรม จริยธรรม จากการฟังบรรยายธรรม และความรู้ที่ได้รับจากการอบรมในครั้งนี้ ไปปรับใช้กับการปฏิบัติงาน โดยท่านได้ให้หลักธรรมในการทำงานให้มีความสุขคือ การทำงานต้องมีความอดทน ความเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ และวางตนเหมาะสม เสมอต้นเสมอปลาย รวมถึงใช้หลักอิทธิบาท 4 ควบคู่ในการทำงานคือ ต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอยู่เสมอ อันจะสามารถนำพาให้ตนเองปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสุขใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1437128097
13638  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา!! ถูกลอตเตอรี่ 38 งวดติด กรรมการวัดพระธาตุดอยคำ ล่าสุดถูกเลขท้ายอีก 31 คู่ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:17:13 pm


ฮือฮา!! ถูกลอตเตอรี่ 38 งวดติด กรรมการวัดพระธาตุดอยคำ ล่าสุดถูกเลขท้ายอีก 31 คู่

เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากวัดพระธาตุดอยคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดชื่อดัง มีหลวงพ่อทันใจ ซึ่งขอพรใดสมปราถนา สร้างขึ้นสมัยพระนางจามเทวีเสด็จมาสร้างวัดดังกล่าวกว่า 700 ปี และที่สำคัญศรัทธาประชาชนถูกรางวัลจากสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือลอตเตอรี่กันทุกงวด โดยวัดตั้งอยู่หลังอุทยานหลวงราชพฤกษ์หรือพืชสวนโลกเชียงใหม่ และงวดนี้หลายคนที่มากราบไหว้หลวงพ่อทันใจ ก็ถูกรางวัลอีก รวมทั้งกรรมการวัดถูกรางวัลเลขท้ายทั้ง 2 ตัว และ 3 ตัว รวม 31 คู่

 ผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบนางศิวณัฐ รัชตดำรงรัตน์ หรือ ป้าอ้วน อายุ 62 ปี ซึ่งเป็นกรรมการเหรัญญิกและดูแลแผนกให้เช่าบูชาพระเครื่องและพระบูชาของวัด ป่าอ้วน กล่าวว่า ตนถูกลอตเตอร์รี่อีกครั้ง รวมเป็นครั้งที่ 38 ติดต่อกัน ครั้งนี้ได้ซื้อลอตเตอรี่จากพ่อค้าและแม่ค้าซึ่งขายอยู่ที่วัดดอยคำแห่งนี้ทั้งหมด โดยซื้อจากความฝันที่ตนฝันถึงพระครูสุนทร เจติยารักษ์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยคำ นำเอาอายุมาซื้อคือท่านเจ้าอาวาส ท่านอายุ 61 ปี ตนจึงซื้อตั้งแต่เลข 061-961 ซื้อแบบลากยาว

 ดังนั้นจึงถูก เลขท้าย 3 ตัว 461 กับ 761 ส่วนเลข 294 ท่านเจ้าอาวาสวัดเกิดปี 2497 ตนซื้อตั้งแต่เลข 290-297 เลขที่ออก 294 ก็ถูกอีกหมายเลข รวมทั้งเลขที่ออก 2 ตัว 49 ก็กลับกันจาก พ.ศ.ปีเกิดเช่นกัน ก็ซื้อแบบลากยาวเหมือนกับเลขอื่นๆ ที่ถูกรางวัล จากนั้นได้นำมะลิถวายหลวงพ่อทันใจ



สำหรับเลขที่ถูกคือถูกเลขท้าย 2 ตัว เลขที่ออก 49 จำนวน 20 คู่ เลขท้าย 3 รวมจำนวน 11 คู่ เลขที่ออกหมุน 4 ครั้ง ถูกทั้งหมด คือเลข 761 จำนวน 5 คู่ , เลข 461 , 830 และ 294 เลขละ 2  คู่ รวมถูกเลขท้ายลอตเตอรี่จำนวน 31 คู่ จากที่ซื้อจำนวนมากกว่า 60 คู่

 ป้าอ้วน กล่าวอีกว่า การที่ตนถูกรางวัลลอตเตอรี่มาหลายครั้ง จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นไปได้อย่างไร บางคนให้ร้ายว่าตนไปซื้อลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลจากแม่ค้ามากักตุนไว้หลังจากลอตเตอรี่ออกรางวัลไปแล้วนั้น ซึ่งตนไม่ทำอย่างนั้น ตนได้ท้าให้บุคคลที่จะกล่าวอ้างดังกล่าวให้มาที่วัดดอยคำแล้ว มารอดูว่าตนเองจะถูกงวดต่อไปหรือไม่ เพราะตนจะซื้อไว้ก่อนเสมอ

 เคยมีคนมาพิสูจน์ คือ ผู้สื่อข่าวทีวีช่อง 7 มาดักรอ คือ ปลอมมาเป็นนักท่องเที่ยวแล้วรอในวันที่เลขจะออก หลังจากประกาศเลขรางวัลของรัฐบาลทั้งหมดทุกหมายเลข และทุกรางวัลที่ออก 111 เมื่อปีที่แล้ว ผู้สื่อข่าวท่านนั้นก็เลยหมดความสงสัย เพราะอยู่กับตนก่อนที่เลขจะออก จนกว่าผลรางวัลประกาศหมดแล้วมาขอดูลอตเตอรี่ ก็พบว่าตนถูกรางวัล จากนั้นตนยังได้เดินทางไปออกรายการบางอ้อด้วย



ป้าอ้วน กล่าวอีกว่า ทุกครั้งที่ตนจะซื้อเลขจะคำนวนจากตัวเลขวันเดือนปีเกิดของบุคคลสำคัญในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ และวันสำคัญของไทยด้วย และที่สำคัญวันสำคัญต่างๆ ที่จะเป็นเลขมงคล แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเลขที่ได้มาจากความฝันถึงบุคคลแล้วนำมาตีเป็นเลขหวย

 “ครั้งนี้ถูกรางวัลติดต่อกันเป็นครั้งที่ 38 แล้ว ได้นำเงินรายได้จากรางวัลไปบูรณะวัด บ้านที่ตนเองอาศัยอยู่ใน อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ จำนวนหลายแสนบาทแล้ว เพราะเป็นวัดเก่าแก่ทรุดโทรม อย่างไรก็ตาม มีความรู้เรื่องการดูดวงของเลขวันเดือนปีเกิดด้วย แต่จะดูดวงให้คนสนิทกันเท่านั้น” ป้าอ้วนกล่าว

 :96: :96: :96: :96:

 แม่ค้ารายหนึ่ง (สงวนชื่อ-นามสกุล) กล่าวว่า การถูกรางวัลดังกล่าวได้สร้างความฮือฮาให้กับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านที่มาค้าขายของในวัดเป็นอย่างมาก เพราะป้าอ้วนถือว่าซื้อรางวัลเลขท้ายมักจะถูกตลอด และครั้งนี้ถูกรางวัลติดต่อกันเป็นครั้งที่ 38 แล้ว

 หลังจากประชาชนมาขอพรหลวงพ่อทันใจของวัดแล้ว ได้สมดังตั้งใจเช่นอาชีพการงานค้าขายที่ดินและรวมทั้งถูกรางวัลแล้ว ประชาชนจะนำดอกมะลิไปกราบไหว้หลวงพ่อทันใจตามที่ได้อธิษฐานไว้ ซึ่งจะมีพ่อค้าแม่ค้าขายพวงมาลัยนำดอกมะลิจำหน่ายทั้งในวัดและปากทางเข้าวัด ซึ่งมีประชาชนเดินทางมากราบไหว้ขอพรพระทันใจของวัดพระธาตุดอยคำจำนวนมากทุกวัน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1437111122
13639  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุ้ม 'เจ้าอาวาส'-กวาด 1 แสน.! พุ่งเป้าคนใกล้ชิดชิงทรัพย์ เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:12:04 pm


อุ้ม'เจ้าอาวาส'-กวาด1แสน! พุ่งเป้าคนใกล้ชิดชิงทรัพย์

คนร้ายไม่ทราบจำนวนบุกอุ้ม "เจ้าอาวาส" วัดดังเมืองจันท์หายตัวลึกลับ พร้อมเงินผ้าป่ากว่า 1 แสน รถกระบะอีก 1 คัน ตำรวจพุ่งเป้า "คนใกล้ชิด" อุ้มไปชิงทรัพย์

จากกรณีพระครูสุพัฒนกิจอุดม หรือหลวงพ่อ ทวีป สันตะจิตโต อายุ 91 ปี เจ้าอาวาสวัดโสมวนาราม หรือวัดชำโสม หมู่ 10 ต.แสลง อ.เมือง จ.จันทบุรีหายตัวไปอย่างลึกลับ ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยข้าวของในกุฏิถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเกลื่อน ขณะที่เครื่องนุ่งห่ม สบงจีวร และรองเท้าแตะของเจ้าอาวาสยังคงอยู่ครบ มีเพียงเงินสดกองผ้าป่ากว่า 1 แสนบาท ที่จะนำไปร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี ที่วัดไพรบึง จ.ศรีสะเกษในวันที่ 18 ก.ค และรถกระบะยี่ห้ออีซุซุ 4 ประตูสีบรอนซ์ ทะเบียน กท.9190 จันทบุรี หายไป




ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 17 ก.ค. ร.ต.ท.พิชิตสายกระสุน ร้อยเวร สภ. เมือง จ.จันทบุรี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ในสังกัดเข้าตรวจสอบกุฏิดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อหาร่องรอย ขณะเดียวกันพระครูปลัด สุธรรมจิตรเจ้าอาวาสวัดกระบกเตี้ย ซึ่งเป็นสหธรรมิตรของหลวงพ่อทวีป ได้เดินทางมาดูความคืบหน้า พร้อมกับแสดงความเป็นห่วง กลัวว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นตามที่ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่พระลูกวัดต่างให้การทำนองว่า รู้สึกแปลกใจตั้งแต่เมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา มีงานบำเพ็ญกุศลศพภายในวัด เจ้าอาวาสไม่ได้ลงมาสวดพระอภิธรรมเหมือนเช่นทุกงาน โดยต่างคิดว่าท่านพักผ่อนอยู่ในกุฏิ เพราะเห็นว่าไฟยังเปิดสว่าง จึงไม่มีใครเข้าไปรบกวน กระทั่งพบว่าหายตัวไปอย่างปริศนาดังกล่าว



ด้าน น.ส. ดาวลอย ถนอมจิตร หลานสาวเจ้าอาวาสที่เป็นญาติใกล้ชิดที่มาเยี่ยมดูแลเจ้าอาวาสบ่อยครั้ง กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลวงลุงเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนเคยมาติดต่อขอซื้อรถกระบะที่หลวงลุงใช้ อ้างว่าถูกโฉลกแต่ท่านปฏิเสธไม่ขาย และที่ผ่านมาเคยมีมิจฉาชีพมาหลอกขายเครื่องอัฐบริขารแก่เจ้าอาวาสสูญเงินไปหลายหมื่นบาทแล้ว ซึ่งมั่นใจว่าหากมีการล่อลวงในทางมิชอบต้องเป็นคนใกล้ตัว เพราะหลวงลุงจะระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ประตูกุฏิทุกครั้งจะมีการล็อกถึง 3 ชั้น

ขณะที่ พล.ต.ต.จรัล จิตเจือจุน ผบก.ภ.จว.จันทบุรี ได้รับรายงานข้อมูลเบื้องต้นแล้ว พร้อมสั่งการให้ชุดสืบสวนออกติดตามคดีอย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าน่าจะเป็นการลักพาตัวไปเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ โดยให้พุ่งเป้าคนใกล้ชิดที่สามารถเข้าออกกุฏิเจ้าอาวาสได้ในยามวิกาล.



ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/335655
13640  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงพ่ออุตตมะเผชิญ “โรคสั่งตาย” เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2015, 11:37:44 pm


หลวงพ่ออุตตมะเผชิญ “โรคสั่งตาย”

        โลกตะวันออก โดยเฉพาะในป่าดงพงไพร ยังมีเรื่องลี้ลับน่าพิศวงอยู่มาก ถ้าเชื่ออย่างงมงายโดยไม่ใช้ความคิด (อย่างเรื่องการเมืองก็เหมือนกัน) ก็จะทำให้เข้ารกเข้าพงจนหาทางเดินไม่ถูก เป็นอันตรายถึงตัวได้ แต่ถ้าใช้ “ปัญญา” ก็จะทำให้มองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องลี้ลับอะไรนัก อย่างเรื่องที่หลวงพ่ออุตตมะเผชิญมา และ ท่านได้ใช้ปัญญาขจัดความงมงายในเรื่องนี้ไปได้
       
       หลวงพ่ออุตตมะ คือ พระมอญที่เดินเท้าเข้ามาปักหลักเป็นเสาเอกของพุทธศาสนาทางภาคตะวันตกของไทย ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระราชอุดมมงคล เป็นเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม และเจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

        ans1 ans1 ans1 ans1

       หลวงพ่ออุตตมะเล่าไว้ว่า ในสมัยที่ท่านเข้ามาอยู่เมืองไทยใหม่ๆนั้น ที่ ทิมูคี่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงเก่าแก่ในอำเภอสังขละบุรี เกิดมีโรคประหลาดขึ้น โรคนี้เริ่มจากมีใครคนหนึ่งปวดหัวอย่างรุนแรง พอมีคนมาเยี่ยม คนไข้ก็บอกกับคนมาเยี่ยมว่า เขาจะตายในวันพรุ่งนี้ ส่วนคนมาเยี่ยมจะตายในอีก ๒ วันถัดไป
       
       พอวันรุ่งขึ้น คนไข้ก็ตายไปจริงๆ ทำเอาคนที่ไปเยี่ยมซึ่งหวาดผวาคำพูดของคนไข้จนนอนไม่หลับอยู่แล้ว เกิดปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง แล้วก็ตายตามไปในอีก ๒ วันต่อมา แต่ก่อนที่คนไข้รายนี้จะตาย ก็ได้บอกกับคนที่มาเยี่ยมในทำนองเดียวกัน ซึ่งก็ตายตามไปตามที่บอก เลยเรียกกันว่า “โรคสั่งตาย”
       
       โรคนี้ทำให้ชาวบ้านหวาดผวาไปตามๆกัน ไม่มีใครกล้าไปเยี่ยมใคร ต่างทิ้งบ้านทิ้งช่องหลบหนีเข้าป่ากันหมด เพราะกลัวคนที่รับคำสั่งมาแล้วจะมาสั่งต่อ


        :96: :96: :96: :96: :96:

      เล่ากันว่า โรคนี้เกิดจากผีกระหัง ซึ่งเป็นผีผู้ชาย เลยเป็นกันเฉพาะผู้ชาย และเชื่อกันว่าผีประเภทนี้กลัวขมิ้น ชาวบ้านเลยพากันเอาขมิ้นมาทาตัวเหลืองอร่ามไปทั้งหมู่บ้าน
       
       ตอนนั้นมีพระรูปหนึ่งชื่อ พระมองจะไล อายุมากและบวชมาหลายพรรษาแล้ว เป็นพระกะเหรี่ยงที่อาวุโสที่สุด ได้เดินทางมาจากบ้านทิวู ซึ่งอยู่ชายแดนพม่า มาอยู่ที่วัดทิมูคี่แทนพระเม็ง เจ้าอาวาสองค์เก่าที่มรณภาพไป พระมองจะไลเป็นพระที่ชาวกะเหรี่ยงทั่วไปนับถือ และมีชื่อเสียงในเรื่องรักษาคนผีเข้า

       
        :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

      เมื่อมาถึงทิมูคี่ พระมองจะไลได้ทราบว่ามีชายคนหนึ่งอายุ ๘๐ กว่าแล้ว ชื่อ นายยังเว นอนป่วยไปไหนไม่ไหว ถูกทอดทิ้งไว้ในบ้านคนเดียว พระมองจะไลเคยรู้จักนายยังเวตั้งแต่สมัยที่ยังบวชเป็นพระด้วยกัน จึงแวะไปเยี่ยม
       
       พอนายยังเวเห็นหน้าพระมองจะไลก็เลยได้โอกาส บอกว่าเขากำลังจะตายใน ๒ วัน ส่วนพระมองจะไลจะตายภายใน ๗ วัน
       
       ตอนแรกพระมองจะไลไม่ค่อยเชื่อ แต่ ๒ วันต่อมานายยังเวก็ตายไปจริงๆ ทำเอาพระมองจะไลตกใจ และใช้ให้เณรองค์หนึ่งถือหนังสือไปหาหลวงพ่ออุตตมะซึ่งกำลังสร้างวัดอยู่ที่สะนีพ่อง ความในจดหมายได้ถามว่า พระมองจะไลจะตายภายใน ๗ วันตามคำพูดของนายยังเวจริงหรือไม่ ควรจะทำอย่างไรในตอนนี้ จะเดินทางมาหาหลวงพ่ออุตตมะที่สะนีพ่องได้หรือไม่

       
        :29: :29: :29: :29:

       ตอนนั้น โรคสั่งตายได้ระบาดไป ๔ หมู่บ้านแล้ว คือ ทิมูคี่ ไล่โว่ มีเชิงจะเตอะ และทิวูซอง กำนันเลเตอะ ของสะนีพ่อง ได้สั่งห้ามคนจาก ๔ หมู่บ้านนี้เข้าสะนีพ่องอย่างเด็ดขาด จะเดินผ่านหมู่บ้านไปหมู่บ้านอื่นก็ไม่ได้ ต้องเดินอ้อมภูเขาไป พอกำนันเลเตอะรู้เรื่องจดหมายของพระมองจะไลที่มีมาถึงหลวงพ่ออุตตมะ เลยรีบห้ามไม่ให้หลวงพ่อไป และห้ามพระมองจะไลมาที่สะนีพ่องด้วย ถ้าหลวงพ่อไป ก็จะกลับมาที่สะนีพ่องอีกไม่ได้
       
       หลวงพ่ออุตตมะว่า “เราจะไปดูเฉยๆ ขากลับเราจะแวะนิเถะ วังกะ แล้วค่อยกลับมาสะนีพ่องใหม่”
       
       กำนันก็ว่า “หลวงพ่อจะไปไงองค์เดียว พระมองจะไลตอนนี้ก็อยู่องค์เดียว ต้องต้มข้าวฉันเอง พระเณรในวัดก็หนีไปหมดแล้ว เพราะกลัวว่าท่านจะสั่งต่อ”

       
        :32: :32: :32: :32: :32:

       หลวงพ่ออุตตมะจึงไปชวนพระอื่นๆให้ไปด้วยกัน แต่ไม่ว่าจะไปชวนองค์ไหน ก็ล้วนแต่บอกว่าปวดหัวเป็นไข้ ไม่มีใครยอมไปด้วย ในที่สุดหลวงพ่ออุตตมะเลยต้องไปองค์เดียวตามลำพัง
       
       ในช่วงก่อนที่หลวงพ่อจะไปถึงทิมูคี่ มีพระจากหมู่บ้านมองกั๊วะในพม่าผ่านมา เห็นพระแก่นอนอาพาธอยู่องค์เดียวไม่มีใครดูแล เลยช่วยต้มน้ำให้ พระมองจะไลเลยได้โอกาส บอกว่าพรุ่งนี้ตัวเองจะตายแล้ว ให้พระจากมองกั๊วะรับโรคสั่งตายไว้ด้วย พระจากมองกั๊วะไม่เชื่อ แต่พอรู่งขึ้นพระมองจะไลก็ตายไปจริงๆ พระจากมองกั๊วะเลยตกใจหนีเตลิดกลับเข้าพม่า เอาโรคสั่งตายไปแพร่ในพม่าต่อไป


        :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

       เมื่อหลวงพ่ออุตตมะมาถึงทิมูคี่ พระมองจะไลมรณภาพไป ๒วันแล้ว ศพถูกทิ้งไว้ไม่มีใครจัดการ หลวงพ่อจึงกลับมาที่วัดเคี่ยวเข็ญเอาพระมอญไปด้วยอีก ๔ รูป เพื่อสวดศพและเก็บศพพระมองจะไล ใช้เวลาเดินทางไปกลับ ๒ วัน รวมเวลา ๔ วันหลังพระมองจะไลมรณภาพจึงได้จัดการศพ หลวงพ่อเห็นมีเรือขุดลำหนึ่งยาว ๕ ศอกทำด้วยไม้งิ้ววางทิ้งอยู่ เข้าใจว่าชาวบ้านขุดไว้ทำที่ล้างเท้า แต่ขุดยังไม่เสร็จก็ทิ้งไป จึงขุดต่อเอาใส่ศพพระมองจะไล โดยใช้เสื่อห่อแล้วปิดทับด้วยฟาก เอาปูนขาวผสมกับน้ำอ้อยยาทับ ยกขึ้นตั้งบนศาลา แล้วรื้อศาลารอบนอกออก เหลือแต่ตรงกลางไว้ตั้งศพ เพื่อป้องกันสัตว์ขึ้น จัดการสวดให้เรียบร้อยแล้วจึงกลับ
       
       ในระหว่างจัดการศพพระมองจะไลอยู่นั้น มีกะเหรี่ยง ๒ คนทาขมิ้นเหลืองอ๋อยโผล่เข้ามา พอเห็นหลวงพ่อก็คิดว่ารับโรคสั่งตายมาจากพระมองจะไลแล้ว เตรียมจะเผ่นหนี หลวงพ่อจึงขู่ว่า ถ้าหนีจะสั่งให้ตาย กะเหรี่ยง ๒ คนกลัวเลยต้องอยู่คอยรับใช้หุงข้าวปลาอาหารให้ในขณะที่หลวงพ่ออุตตมะกับพระอีก ๔ รูปทำงานกัน


        :25: :25: :25: :25: :25:

       หลวงพ่อพักอยู่ที่ทิมูคี่ ๓ คืนจึงกลับสะนีพ่อง เจอหลานกำนันเลเตอะ ๓ คนยืนเฝ้าปากทางไม่ยอมให้ใครเข้าหมู่บ้าน กำนันกำชับไว้ว่าแม้แต่หลวงพ่ออุตตมะก็เข้าไม่ได้ หลวงพ่อจึงขู่ว่า       
       “ถ้าไม่ให้เราเข้า เราจะสั่งนะ”       
       ทั้ง ๓ หน้าซีดยืนอ้ำอึ้ง พอดีกำนันเลเตอะมา หลวงพ่อจึงว่า     
       “เราจะสั่งกำนันละนะ”       
       กำนันกลัวลนลานรีบร้องว่า       
       “อย่าๆ ให้ท่านเข้าแล้ว”
       
       หลวงพ่อกลับมาถึงสะนีพ่องก็ทำพิธีสวดไล่ผีและรดน้ำมนต์ให้ชาวบ้าน จนถึงกลางเดือน ๔ ก็กลับไปทิมูคี่กับพระหนุ่มอีก ๒ รูป ลำเลียงศพพระมองจะไลล่องแพมาเผาที่นิเถะ       
       “โรคสั่งตาย” ก็หายไปตั้งแต่บัดนั้น



ที่มา http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000076074
หน้า: 1 ... 339 340 [341] 342 343 ... 708