แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
13602
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "การเดินจงกรมเป็นหมู่คณะ" มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
|
เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 09:35:10 am
|
สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันโดยธาตุ ๕. จังกมสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ [๓๖๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระมหากัสสปก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระอนุรุทธก็จงกรมอยู่ ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระปุณณมันตานีบุตรก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระอุบาลีก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระอานนท์ก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค แม้พระเทวทัตต์ก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ฯ [๓๖๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นสารีบุตรกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า ฯ พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีปัญญามาก
พวกเธอเห็นมหาโมคคัลลานะกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีฤทธิ์มาก
พวกเธอเห็นมหากัสสปกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธุตวาท
พวกเธอเห็นอนุรุทธ กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้มีทิพยจักษุ
พวกเธอเห็นปุณณมันตานีบุตรกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธรรมกถึก
พวกเธอเห็นอุบาลีกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้ทรงวินัย
พวกเธอเห็นอานนท์ กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นพหูสูต
พวกเธอเห็นเทวทัตต์กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีความปรารถนาลามก ฯ [๓๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันโดยธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี
แม้ในอดีตกาล สัตว์ทั้งหลายก็ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว โดยธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี
แม้ในอนาคตกาล สัตว์ทั้งหลายก็จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี
แม้ในปัจจุบันกาล สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ฯ
จบสูตรที่ ๕อ้างอิง :- เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๔๐๘๗ - ๔๑๓๘. หน้าที่ ๑๗๐ - ๑๗๒. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=4087&Z=4138&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=365ขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/https://dinnamfa.files.wordpress.com/http://i.ytimg.com/http://www.sptcenter.org/อรรถกถาจังกมสูตรที่ ๕ ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ภิกษุเหล่านั้นจงกรมแล้วในที่ไม่ไกล. ตอบว่า เพื่อถือการอารักขาว่า เทวทัตคิดร้ายในพระศาสดา พยายามจะทำความฉิบหายมิใช่ประโยชน์.
ถามว่า ครั้งนั้น เทวทัตจงกรมแล้ว เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพื่อปกปิดโทษอันตนกระทำแล้ว เป็นเหตุให้ผู้อื่นรู้ว่า ผู้นี้ไม่ทำ ถ้าทำเขาก็ไม่มา ณ ที่นี้.
ถามว่า ก็เทวทัตเป็นผู้สามารถเพื่อจะทำความเสียหายต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้หรือ หน้าที่ต้องอารักขาพระผู้มีพระภาคเจ้า มีอยู่หรือ. ตอบว่า ไม่มี.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อานนท์ ข้อที่ตถาคตพึงปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสจะมีได้. ส่วนภิกษุทั้งหลายมาแล้วด้วยความเคารพในพระศาสดา. เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว จึงรับสั่งให้ปล่อยภิกษุเหล่านั้นไป ด้วยพระดำรัสว่า อานนท์ เธอจงปล่อยภิกษุสงฆ์เถิด ดังนี้. ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=365 พระสูตรนี้บอกอะไแก่เราบ้าง.? ๑. สมัยพุทธกาลมี "การเดินจงกรมเป็นหมู่คณะ" ๒. สมัยพุทธกาลมี "การแบ่งสำนักครูบาอาจารย์" ตามอัธยาศัยของครูและศิษย์ ๓. การที่คนเรามีอัธยาศัยต่างกัน ทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ทำให้เกิดมีนิกาย มีสำนัก มีกลุ่มแยกย่อยลงไปอีก หากคนเหล่านั้นมีคุณธรรมไม่พอ การรู้รักษ์สามัคคีจะเกิดขึ้นได้ยาก
ขอคุยเท่านี้ครับ
|
|
|
13603
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ที่จงกรม ควรมีขนาดเท่าไหร่ อย่างไร.?
|
เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 08:58:19 am
|
ว่าด้วยที่จงกรมมีโทษ ๕ อย่าง คำว่า ปญฺจโทสวิวชฺชิตํ (เว้นจากโทษ ๕ อย่าง) ความว่า ขึ้นชื่อว่า โทษแห่งที่จงกรมเหล่านี้มี ๕ อย่าง คือ ๑. เป็นที่แข็งและขรุขระ (ถทฺธวิสมตา) ๒. มีต้นไม้ภายใน (อนฺโตรุกฺขตา) ๓. เป็นที่ปกปิดด้วยชัฏ (คหนจฺฉนฺนตา) ๔. ที่แคบเกินไป (อติสมฺพาธนตา) ๕. ที่กว้างเกินไป (อติสาลตา).
จริงอยู่ ที่จงกรมที่มีภูมิภาคแข็งขรุขระ เท้าทั้งสองของผู้จงกรมย่อมเจ็บ เท้าย่อมบวม จิตย่อมไม่ได้เอกัคคตา กรรมฐานย่อมวิบัติ. แต่ในพื้นที่อ่อนสม่ำเสมอกัน โยคีอาศัยที่อาศัยอยู่อันผาสุกแล้ว ก็ทำกรรมฐานให้สมบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบที่จงกรม เพราะเป็นภูมิภาคแข็งและขรุขระ ว่าเป็นโทษที่หนึ่ง.
เมื่อต้นไม้มีอยู่ภายในที่จงกรม หรือมีอยู่ในท่ามกลาง หรือในที่สุดแห่งที่จงกรม ผู้จงกรมอาศัยความประมาทแล้ว ย่อมกระทบกับหน้าผากหรือศีรษะ เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมมีต้นไม้ภายใน พึงทราบว่าเป็นโทษที่สอง.
เมื่อจงกรมในที่จงกรมอันรกด้วยชัฏมีหญ้าและเครือไม้เถาเป็นต้น ย่อมเหยียบสัตว์มีงูเป็นต้น ในเวลามืดให้ตาย หรือถูกสัตว์มีงูเป็นต้น ขบกัดเอา เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมปกคลุมด้วยชัฏ พึงทราบว่าเป็นโทษที่สาม.
เมื่อเดินจงกรมในที่จงกรมแคบเกินไป โดยกว้างหนึ่งศอก หรือครึ่งศอก เล็บก็ดี นิ้วเท้าก็ดี ย่อมแตก เพราะลื่นไปในที่จำกัด เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมแคบเกินไป พึงทราบว่าเป็นโทษที่สี่.
เมื่อจงกรมในที่จงกรมกว้างเกินไป จิตย่อมพล่าน ย่อมไม่ได้เอกัคคตา เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมกว้างเกินไป พึงทราบว่าเป็นโทษที่ห้า.ว่าด้วยที่จงกรมอันไม่มีโทษ ก็ที่จงกรมขนาดเล็ก (อนุจงฺกมํ) - โดยส่วนกว้างหนึ่งศอกหนึ่งคืบ - ที่ข้างทั้งสองประมาณหนึ่งศอก - ด้านยาวประมาณ ๖๐ ศอก - มีพื้นอ่อนเกลี่ยทรายไว้เรียบเหมาะสม เพราะฉะนั้น ที่นั้นเช่นนั้น ได้เป็นเหมือนที่จงกรมของพระมหามหินทเถระผู้ยังความเลื่อมใสให้เกิดแก่ชาวเกาะในเจติยคีรี ด้วยเหตุนั้น สุเมธบัณฑิตจึงกล่าวว่า เราสร้างที่จงกรมเว้นโทษ ๕ อย่าง ที่อาศรมบทนั้นดังนี้.อ้างอิง :- อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ มาติกา ติกมาติกา ๒๒ ติกะ www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=34&i=1&p=2#ว่าด้วยที่จงกรมมีโทษ_๕_อย่าง อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=34&A=1&Z=103อานิสงส์ในการจงกรม ๕ ประการ ๙. จังกมสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ [๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการจงกรม ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุผู้เดินจงกรมย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล ๑ ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร ๑ ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย ๑ อาหารที่กินดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมย่อยไปโดยดี ๑ สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรมย่อมตั้งอยู่ได้นาน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการเดินจงกรม ๕ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๙เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๖๒๙ - ๖๓๕. หน้าที่ ๒๘. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=22&A=629&Z=635&pagebreak=0อรรถกถาจังกมสูตรที่ ๙ พึงทราบวินิจฉัยในจังกมสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :- บทว่า อทฺธานกฺขโม โหติ ได้แก่ เมื่อเดินทางไกลก็เดินได้ทน คืออดทนได้. บทว่า ปธานกฺขโม ได้แก่ เพียรได้ทน. บทว่า จงฺกมาธิคโต จ สมาธิ ได้แก่ สมาธิแห่งสมาบัติ ๘ อย่างใดอย่างหนึ่งอันผู้อธิษฐานจงกรมถึงแล้ว. บทว่า จิรฏฐิติโก โหติ แปลว่า ตั้งอยู่ได้นาน.
ด้วยว่านิมิตอันผู้ยืนอยู่ถือเอาเมื่อนั่งก็หายไป นิมิตอันผู้นั่งถือเอาเมื่อนอนก็หายไป ส่วนนิมิตอันผู้อธิษฐานจงกรม ถือเอาในอารมณ์ที่หวั่นไหวแล้วเมื่อยืนก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี ย่อมไม่หายไป.
จบอรรถกถาจังกมสูตรที่ ๙ ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=29
|
|
|
13604
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระราชทานพระราชานุญาต ร่วมหล่อพระรูป "สมเด็จพระสังฆราชฯ"
|
เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:32:45 pm
|
พระราชทานพระราชานุญาต ร่วมหล่อพระรูป "สมเด็จพระสังฆราชฯ" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บรรดาศิษยานุศิษย์ร่วมพระราชกุศลหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชฯประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร................................................................ แจ้งความสำนักพระราชวัง
ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอนุสรณ์ถึง สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า มีพระคุณูปการแต่พระองค์ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเป็นพระอภิบาลถวายโอวาทานุสาสน์ ในระหว่างทรงพระผนวช และทรงมั่นคงในพระธรรมวินัย เพียบพร้อมด้วยพระคุณธรรม และพระขันติธรรมอันสูงส่ง เป็นที่เคารพของบรรดาพุทธบริษัท ทั้งได้ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก เป็นประธานในพุทธจักรแห่งสยามรัฐสีมา ยาวนานถึง 25 ปี ได้ทรงบริหารการคณะสงฆ์ ทะนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนา เป็นหิตานุหิตประโยชน์แด่พุทธจักรและอาณาจักรอย่างไพศาล จึงต้องพระราชประสงค์จะทรงหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น ไว้เป็นที่สักการบูชาประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร สืบไปชั่วกาลนาน
แต่โดยที่ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังคปริณายก ทรงเป็นที่เคารพนับถือของบรรดาศิษยานุศิษย์ และสาธุชนทั้งหลายมาช้านาน ย่อมมีผู้ประสงค์จะมีส่วนร่วมในการหล่อพระรูปครั้งนี้บ้าง
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สำนักพระราชวังแจ้งความให้บรรดาศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิต คฤหัสถ์ และประชาชนทั่วไปทราบ หากผู้ใดมีศรัทธาประสงค์จะร่วม โดยเสด็จในการพระราชกุศลนี้ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาต
เพราะฉะนั้น ท่านผู้ใดประสงค์จะติดต่อในเรื่องนี้ประการใด ให้ติดต่อได้ที่กองคลัง สำนักพระราชวัง หมายเลขโทรศัพท์ 0-2224-3260, 0-2223-0915 หรือโอนเงินเข้า บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี “หล่อพระรูปสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” หมายเลขบัญชี 061-211535-6
ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในเวลาราชการ แล้วให้ส่งสำเนาหลักฐานการโอนเงิน พร้อมชื่อ นามสกุล และที่อยู่ ไปที่กองคลัง สำนักพระราชวัง หมายเลขโทรสาร 0-2222-2144 เพื่อรวบรวมให้วัดบวรนิเวศวิหารดำเนินการจัดส่งอนุโมทนาบัตรได้อย่างถูกต้องต่อไป
สำนักพระราชวัง วันที่ 19 กรกฎาคม 2558ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/women/335892
|
|
|
13605
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พบ "พระพุทธบาท-พระนอน" ในอุทยานฯตาพระยา จ.สระแก้ว
|
เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:23:00 pm
|
พบพระพุทธบาท-พระนอน ในอุทยานฯตาพระยา จ.สระแก้ว อุทยานฯตาพระยา จ.สระแก้ว ลาดตระเวนพระพุทธบาท-พระนอน ประสานกรมศิลปากรตรวจสอบ วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2558 เวลา 15:42 น. เมื่อวันที่ 19 ก.ค. นายนิพนธ์ โชติบาล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นายบุญเชิด เจริญสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตาพระยา จ.สระแก้ว ว่า
ระหว่าง ร่วมลาดตระเวนกับเจ้าหน้าที่ทหารนั้น ได้พบเห็นรอยเท้าพระพุทธบาท 1 คู่ และพบองค์พระนอน จำนวน 1 องค์ บริเวณหลักเขตชายแดนไทย-กัมพูชา หลักเขตที่ 2748p0280245-utm 1571858 ซึ่งห่างจากฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 215 (ช่องบาระแนะ) ที่พิกัด 48p 0280266 e1571949 n ประมาณ 200 เมตร อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวอีกว่า จากการเข้าตรวจสอบของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติตาพระยา เจ้าหน้าที่ฐานปฏิบัติป้องกันรักษาป่าอ่างรัตนโกสินทร์ และเจ้าหน้าที่ฐานปฏิบัติตำรวจตระเวนชายแดนที่ 215 (ช่องบาระแนะ) ซึ่งได้มีการถ่ายรูป จับค่าพิกัด (wgs 84) และวัดขนาดความกว้างความยาวของรอยเท้าพระพุทธบาทคู่และองค์พระนอน เบื้องต้นนั้น พบว่า
1.รอยเท้าพระพุทธบาทคู่ พบบริเวณพิกัด 48p 0280587 e 1571798 n รอยเท้าแต่ละข้าง มีความยาวจากปลายเท้าถึงปลายนิ้ว ยาว 156 เซนติเมตร(ซม.) และมีความกว้างของรอยเท้า ระยะ 46 ซม. ซึ่งมีความกว้างและความยาวเท่ากัน 2.องค์พระนอนที่พบบริเวณพิกัด 48p 0280597 e 1571768 n มีความยาว 1.65 ม. ความสูง 40 ซม. บริเวณใกล้เคียงกับพระนอน พบหลักหินเล็ก จำนวน 2 หลัก สูงประมาณ 30 ซม. สลักเป็นภาษาเขมรซึ่งบริเวณที่พบเห็นดังกล่าวเป็นหน้าผาสูงบนเทือกเขาบรรทัด และเป็นพื้นที่ป่ารอยต่อระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยจากการตรวจสอบข้อมูลและประวัติความเป็นมา ยังไม่พบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และข้อมูลทางวิชาการ "เบื้องต้นนั้นเรายังไม่มีหลักฐานอะไรชี้ชัดว่าทั้งรอยพระพุทธบาท และองค์พระที่พบนั้นเป็นของจริงหรือไม่ อย่างไร แต่สังเกตเบื้องต้นแล้วสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นของเก่าจริง อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของเราประสานงานกับกรมศิลปากรเข้าไปตรวจสอบแล้ว"นายนิพนธ์ กล่าว
ด้านนายเกษมสันต์ จิณณวาโส ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ กล่าวว่า บริเวณที่เจ้าหน้าที่พบทั้งรอยพระพุทธบาทและองค์พระนั้น เดิมเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างอ่อนไหว และไม่ค่อยปลอดภัยมากนัก พบว่ามีการฝังระเบิดเอาไว้หลายจุด แต่ต่อมาเมื่อมีการเคลียพื้นที่จนปลอดภัยในระดับหนึ่งแล้ว ก็มีการเข้าไปพบโดยชาวบ้าน แต่ยังไม่มีการรายงานอย่างเป็นทางการ พื้นที่ที่พบนั้นอยู่ในแนวเดียวกับโราณสถานอื่นๆที่พบมาก่อนหน้านี้ เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทเขาตาธม เป็นต้น อย่างไรก็ตามจะให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังกรมศิลปากรเพื่อตรวจสอบ.. นายเกษมสันต์ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้น จากรายงานการสำรวจของนายศรีศักร วัลลิโภดม นักประวัติศาสตร์ เมื่อปี 2550 นั้น ผู้สร้างพระนอนดังกล่าวเป็นอดีตนายทหารเขมรแดง ส่วนชิ้นส่วนปราสาทที่อยู่ใกล้ๆ เช่น เสาประดับกรอบประตู บรรพแถลง ทหารเขมรแดงนำมาจากปราสาทบันทายฉมาร์ ที่ตั้งอยู่ต่ำลงไปจากช่องบาระแนะในเขตประเทศกัมพูชา อย่างไรก็ตามเรื่องรอยพระพุทธบาทคู่นี้แม้จะเป็นรอยใหม่ที่เพิ่งเจอ หรือเป็นรอยเก่าที่เคยเจอแล้วกลับมาเจอใหม่อีกครั้ง ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี โดยคาดว่าน่าจะมีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-20.ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/politics/335952
|
|
|
13606
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หลวงพ่อใจบุญเลี้ยงเด็กถูกทิ้ง อยากให้เด็กกินอิ่ม-นอนหลับ
|
เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:15:33 pm
|
หลวงพ่อใจบุญเลี้ยงเด็กถูกทิ้ง อยากให้เด็กกินอิ่ม-นอนหลับ โลกออนไลน์แห่แชร์ภาพพระรูปหนึ่ง ขณะกำลังเลี้ยงเด็กทารกที่ถูกนำมาทิ้งที่วัด เจ้าตัวเผยเพราะสงสารและอยากให้เด็กได้กินอิ่ม-นอนหลับ ยืนยันจะเลี้ยงเด็กต่อ
กรณีโลกออนไลน์ มีการเผยแพร่ภาพจากผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ “Tonaor WK Wing” เป็นภาพของพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งกำลังอาบน้ำและเลี้ยงดูทารกน้อยเพศชายคนหนึ่งที่วัด พร้อมระบุว่า ทารกคนดังกล่าว มีชื่อว่าน้องแอดวานซ์ อายุ 7 เดือน และมีหลวงพ่อประจวบ จากวัดศรีบุญเรือง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดู หลังจากที่หนูน้อยถูกทิ้งเอาไว้ข้างวัด ตั้งแต่ยังอายุเพียงไม่กี่วัน ภายหลังภาพดังกล่าวได้ถูกแชร์กันอย่างกว้างขวาง ทำให้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย หลายคนชื่นชมกับความเมตตาของหลวงพ่อ และด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูของหนูน้อย ทำให้มีผู้คนอยากเข้าไปแสดงความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ผู้สื่อข่าว “เดลินิวส์ออนไลน์” ได้ติดต่อไปยัง หลวงพ่อประจวบ สุนฺทโร อายุ 56 ปี พระภิกษุผู้รับอุปการะน้องแอดวานซ์ ซึ่งเปิดเผยว่า ภาพที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ เป็นภาพของอาตมาจริง โดยเด็กทารกคนดังกล่าว ได้ถูกทิ้งไว้บริเวณเครื่องบินร้าง หน้าทางเข้าวัด ยามแถวนั้นพบเข้า จึงนำเด็กมาให้อาตมา ซึ่งปกติอาตมาก็เคยอุปการะเด็กมาหลายคนแล้ว เมื่อเห็นเด็กถูกทิ้งแบบนี้ จึงเกิดความสงสารและตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กเอาไว้
โดยสิ่งของที่ติดตัวเด็กมา มีเพียงสูติบัตรจากโรงพยาบาล ไม่มีเอกสารระบุชื่อ-นามสกุล และการแจ้งเกิดแต่อย่างใด อาตมาจึงได้นำเด็กมาเลี้ยงดูที่กุฏิ ตั้งแต่นั้นมา โดยมีเด็กที่อาตมาเลี้ยงไว้อยู่แล้ว ช่วยกันดูแล นอกจากนี้พระที่วัด ญาติโยม และครู ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ก็ช่วยกันดูแล น้องแอดวานซ์เป็นอย่างดี ส่วนนมและผ้าอ้อมเด็กนั้น เมื่อได้รับบิณฑบาต ก็จะนำมาซื้อบ้าง บางครั้งก็มีคนมาทำบุญถวายให้ หลวงพ่อประจวบ ยังกล่าวอีกว่า น้องแอดวานซ์เป็นเด็กกินง่าย เลี้ยงง่าย ไม่งอแง ไม่ทำให้อาตมาและพระลูกวัดลำบาก และในวันที่ 23 ก.ค.นี้ หากไม่ติดขัดอะไร จะพาน้องแอดวานซ์ไปแจ้งเกิดตามกฎหมาย โดยจะมีเด็กที่อาตมาอุปการะไว้จนโต และมีงานทำแล้ว รับเป็นลูกบุญธรรม เพื่อให้เด็กมีสิทธิตามกฎหมายเหมือนเด็กคนอื่น และจะนำมาเลี้ยงที่วัดตามเดิม
พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า เห็นเด็กที่ถูกทิ้งไม่มีใครเลี้ยงดู ก็รู้สึกสงสาร และไม่คิดจะส่งเด็กไปสถานสงเคราะห์ แม้จะไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนำมาอุปการะเลี้ยงดู เพราะอยากให้เด็กได้กินอิ่ม-นอนหลับ อาตมาคิดว่าการทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข สบายใจ และอยากแบ่งปันความเมตตาให้เพื่อนมนุษย์เท่านั้น.. ขอบคุณภาพประกอบจาก Tonaor WK Wing“ ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/335964
|
|
|
13608
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยังไร้ร่องรอย! สมภารหายพร้อมเงินผ้าป่า ไม่เชื่อไปกับสีกา
|
เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:04:42 pm
|
ยังไร้ร่องรอย! สมภารหายพร้อมเงินผ้าป่า ไม่เชื่อไปกับสีกา ตำรวจยังตามแกะรอยไม่เจอ กรณีเจ้าอาวาสวัย90ปี วัดที่จันทบุรี หายไปพร้อมกับเงินที่จะไปทอดผ้าป่ากว่า1แสนบาท และรถกระบะ1คัน ขณะที่ญาติโยมไม่เชื่อว่ามาจากเรื่องชู้สาว เพราะอายุมากแล้ว และเป็นพระที่ปฏิบัติดี คอยช่วยชาวบ้านมาตลอด...
เมื่อวันที่ 19 ก.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณี พระครูสุพัฒนกิจอุดม หรือ หลวงพ่อ ทวีป สันตะจิตโต อายุ 90 ปี เจ้าอาวาสวัดโสมนาราม หรือ วัดชำโสม ม.10 ต.แสลง อ.เมืองจันทบุรี ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ พร้อมเงินสดกว่า 1 แสนบาท ที่เตรียมนำไปร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี ที่วัดไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ ในวันเสาร์ที่ 18 ก.ค.58 และรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ 4 ประตูสีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน กท 9190 จันทบุรี ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นของวันพฤหัส ที่ 16 ก.ค.58 ผ่านมา โดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งนี้ พ.ต.อ.สุเทพ บุญค้ำ ผกก.สภ.เมืองจันทบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ตำรวจชุดสืบสวนได้มีการประชุม เร่งติดตามแกะรอย รถกระบะอีซูซุ คันที่หายไปพร้อมกับพระครูสุพัฒนกิจอุดม เจ้าอาวาสวัดโสมนาราม แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า พระครูสุพัฒนกิจอุดม เป็นผู้ขับเอง หรือมีผู้ใดเป็นคนขับรถยนต์คันดังกล่าวออกไป เนื่องจากขณะนั้นกรรมการวัด ตลอดจนพระลูกวัด ไม่มีใครอยู่ใกล้กับกุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งตำรวจได้แกะรอยจากกล้องวงจรปิด ตามเส้นทางที่คาดว่ารถยนต์จะผ่าน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้เบาะแส ขณะเดียวกัน ยังได้สอบถามไปยังที่วัดไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ ทราบว่ามีการทอดผ้าป่าสามัคคีจริง แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าพระครูสุพัฒนกิจอุดม ไปร่วมทอดผ้าป่าด้วยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการสืบสวน เจ้าหน้าที่ได้ตั้งไว้ 2 ประเด็น คือ ลักพาตัวไปเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ เนื่องจากมีเงินสดกว่าแสนบาท และรถยนต์ ส่วนประเด็นเรื่องชู้สาว ไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก เนื่องจาก พระครูสุพัฒนกิจอุดม มีอายุถึง 90 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ตัดทิ้ง เบื้องต้น ได้สอบปากคำบุคคลที่ใกล้ชิดสนิทสนม ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องไปแล้วหลายคนแต่ยังไม่มีข้อมูล เบาะแสที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
"ส่วนพระครูสุพัฒนกิจอุดม จะเป็นผู้สั่งให้คนพาไป หรือมีผู้พาพระครูสุพัฒนกิจอุดม ไปนั้นยังไม่สามารถระบุได้ และหากว่าหลังจากวันนี้ ถ้าพระครูสุพัฒนกิจอุดม เดินทางไปร่วมทอดผ้าป่าที่วัดไพรบึงจริง แล้วเดินทางกลับมาวัดที่จันทบุรี ก็เป็นเรื่องที่ดี" ผกก.สภ.เมืองจันทบุรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงาว่า พระครูสุพัฒนกิจอุดม เจ้าอาวาสวัดโสมนาราม เป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติตัวดี มีสุขภาพแข็งแรงแม้จะมีอายุ 90 ปีแล้วก็ตาม แต่ไม่มีอาการป่วย หรือโรคประจำตัวใดๆ เป็นพระที่เอาใจใส่พระลูกวัดและญาติโยมเป็นอย่างดี ใครมีปัญหาเดือดร้อนมา เจ้าอาวาสก็จะช่วยแก้ปัญหาให้อย่างสม่ำเสมอ และเป็นพระที่ไม่ชอบไปที่ใดนานๆ ดังนั้น ชาวบ้านจึงไม่เชื่อว่าจะมาจากเรื่องผู้หญิง หรือชู้สาว.
ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/512738
|
|
|
13609
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อุบลฯโชว์อีกปี ต้นเทียนทองคำ! จดลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวของไทย
|
เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 09:01:01 pm
|
อุบลฯโชว์อีกปี ต้นเทียนทองคำ! จดลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวของไทย อย่าลืมไปชมกันให้ได้ งานแห่เทียนพรรษาของ จ.อุบลราชธานี ปีนี้ มีต้นเทียนทองคำ มาร่วมด้วย5ต้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเจริญพระชนมพรรษา5รอบ เผยเป็นต้นเทียนทองคำ ที่มีการจดลิขสิทธิ์หนึ่งเดียวของไทย...
เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ อบต.กุดลาด อ.เมืองอุบลราชธานี นายกฤตรัตนชัย ทองเรือง นายก อบต.กุดลาด พร้อมชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันเร่งทำต้นเทียนแกะสลักขนาดใหญ่ เพื่อร่วมขบวนแห่เทียน ในงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานีประจำปี 2558 ในวันที่ 31 ก.ค.นี้งานแห่เทียนพรรษา ที่ จ.อุบลราชธานี นายกฤตรัตนชัย ทองเรือง นายก อบต.กุดลาด กล่าวว่า ในปีนี้ อบต.กุดลาด ได้จัดทำต้นเทียนทองคำ เข้าร่วมงานประเพณีแห่เทียนพรรษาอุบลราชธานีประจำปี 2558 จำนวน 5 ต้น เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ ต้นเทียนแต่ละต้นบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ต้นเอกขนาดความสูง 2.19 เมตร ต้นรอง 2 ต้นสูง 2 เมตร และอีก 2 ต้นสูง 1.79 เมตร"ต้นแรก นามว่า พระกกุสันธนะ มีไก่เป็นพาหนะ ต้นที่ 2 นามว่า พระโกบาคมน์ มีพญานาคเป็นพาหนะ ต้นกลางเป็นต้นเอก อยู่บนหลังเต่า นามว่า พระกัสสปะ ต้นรองต่อมา นามว่า พระโคดม คือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แกะสลักเป็นลายไทย และภาพพุทธประวัติปางตรัสรู้ และต้นสุดท้าย นามว่าพระศรีอาริยเมตไตร เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ซึ่งยังเป็นพุทธทำนายอยู่ โดยทั้งต้นเทียนทั้ง 5 ต้นหลังแกะสลักแล้วจะมีการติดทองคำบริสุทธิ์ เพื่อเพิ่มความวิจิตรงดงามของลวดลายแกะสลักเทียน อันเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำออกโชว์สู่สายตานักท่องเที่ยว"นายก อบต.กุดลาด กล่าวต้นเทียนแกะสลักขนาดใหญ่ เร่งมือ ให้ทันวันงาน สำหรับต้นเทียนทองคำ ทาง อบต.กุดลาด ซึ่งเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในโลกที่ริเริ่มทำขึ้นเป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา คือปี 2557 พร้อมได้มีการได้จดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา ให้การทำต้นเทียนทองคำเป็นลิขสิทธ์ของชาวตำบลกุดลาด อ.เมืองอุบลราชธานี เท่านั้น นักท่องเที่ยวและประชาชนที่สนใจสามารถมาร่วมชมความงดงามของต้นเทียนทองคำแห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศไทยได้อย่างใกล้ชิดที่ อบต.กุดลาด.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/512751
|
|
|
13614
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เชียงใหม่ พระเกจิพุทธาภิเษก ทะเบียนรถยิ่งใหญ่
|
เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 11:54:44 am
|
พระเกจิพุทธาภิเษก ทะเบียนรถยิ่งใหญ่ เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 18ก.ค.นายชาญชัย กีฬาแปง ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้นำป้ายทะเบียนรถเลขสวย หมวดอักษร ขน จำนวน 301 แผ่นป้าย ซึ่งจะทำการเปิดประมูลในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส ถนนช้างคลาน อ.เมืองเชียงใหม่ เข้าร่วมในพิธีมหาพุทธาภิเษกพระพุทธสันติสิริสรณ์ 84,000 องค์ ที่วัดสันติธรรม ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ เมื่อไม่กี่วัน ที่ผ่านมา เพื่อความเป็นสิริมงคลสำหรับผู้ที่ประมูลป้ายทะเบียนรถได้ นำไปติดรถ
พิธีมหาพุทธาภิเษกที่จัดขึ้นครั้งนี้ เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ของปี 2558 โดย พระพรหมเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานพิธี รวมทั้ง พระเกจิอาจารย์ชื่อดังจากทั่วประเทศมาร่วมพิธี เช่น พระมงคลสุธี หรือหลวงปู่แขก ประภาโส วัดสุนทรประดิษฐ์ จ.พิษณุโลก, พระครูธรรมะคุณาธร หรือ หลวงปู่ศูนย์จันทวัณโณ วัดป่าอิสระธรรม จ.สกลนคร, พระเทพวิสุทธิญาณ หรือหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล วัดอนาลโยทิพยาราม จ.พะเยา, พระราชปัญญาสาร์ท หรือหลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม วัดกระดึงทอง จ.บุรีรัมย์, พระราชวิทยาคม หรือหลวงปู่ครูบาสายทอง กิตติปาโล วัดท่าไม้แดง จ.ตาก เป็นต้น
“ดังนั้นป้ายทะเบียนรถเลขสวยทั้ง 301 แผ่นป้าย ที่จะนำออกประมูลในเดือน ก.ย.นี้ จึงเชื่อว่าจะมีความขลังและศักดิ์สิทธ์ เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ประมูลได้อย่างแน่นอน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-5327-8265 และ 08-1721-7999” นายชาญชัย กล่าว.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/512629
|
|
|
13618
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ขอทานมี ๒ ประเภท "ให้แล้วต้องไหว้ และ "ให้แล้วไม่ต้องไหว้"
|
เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2015, 11:20:00 am
|
เฉลยที่มาของชื่อกระทู้
กับชื่อกระทู้ที่ว่า ขอทานมี ๒ ประเภท "ให้แล้วต้องไหว้ และ "ให้แล้วไม่ต้องไหว้" ฟังดูออกจะแรงไปนิด ผมเคยเอ่ยประโยคนี้กับพระรูปหนึ่ง ท่านทำหน้าไมสู้ดี เข้าใจว่า ทำใจรับไม่ได้ ถึงแม้ความจริงเป็นเช่นนั้น ภิกษุปุถุชนยังละอุปทานขันธ์ ๕ ไม่ได้ ย่อมไม่ยินดีกับประโยคนี้
ภิกษุ แปลตรงๆคือ ผู้ขอ ยาจก แปลว่า ขอทาน การยังชีพของภิกษุและยาจก มีลักษณะอาการที่เหมือนกัน คือ การขอ ต่างกันที่ ภิกษุขอโดยไม่เอ่ยปาก การขอของภิกษุจะยืนนิ่งๆไม่เอ่ยปาก ส่วนการขอของยากจก ไม่มีข้อจำกัดใดๆ จะยืนเดินนั่งนอน อย่างไรก็ได้ จะเอ่ยปากขอหรือไม่ก็ได้ ความต่างอีกอย่างคือ เมื่อได้รับแล้ว ภิกษุจะไม่แสดงอาการอะไร แต่ผู้ให้จะต้องหราบไหว้ ส่วนยากจกจะไหว้แสดงความขอบคุณ
หากถามว่า ทำไมพระไม่ขอบคุณ หรือแสดงอาการขอบคุณ.? ก่อนอื่นต้องบอกว่า วินัยพระห้ามไม่ให้ไหว้ฆราวาส การกล่าวขอบคุณของพระตรงๆไม่มี อาจอนุโลมให้ "การให้พร" เป็นการกล่าวขอบคุณ แต่ขณะบิณฑบาตจะให้พรไม่ได้ ติดที่วินัยห้ามเอาไว้
การบิณฑบาตของเหล่าพระภิกษุสงฆ์นั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอรรถกถาว่า "พราหมณ์ ส่วนอันเลิศก็ดี ภัตที่ท่านแบ่งครึ่งบริโภคแล้วก็ดี เป็นของสมควรแก่เราทั้งนั้น แม้ก้อนภัตที่เป็นเดน เป็นของสมควรแก่เราเหมือนกัน พราหมณ์ เพราะพวกเราเป็นผู้อาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีพ เป็นเช่นกับพวกเปรต"
พุทธพจน์นี้ชัดเจนมากๆ และก็แรงจริงๆ ท่านเปรียบสงฆ์เป็นพวกเปรต ผมเปรียบสงฆ์เป็นขอทานยังเบาไปด้วย เพื่อนๆเห็นด้วยไหมครับ
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นที่มาของประโยคที่ว่า ขอทานมี ๒ ประเภท "ให้แล้วต้องไหว้ และ "ให้แล้วไม่ต้องไหว้" แต่...ความจริงมีอยู่ว่า แนวคิดนี้ไม่ได้ออกมาจากผม แนวคิดนี้เป็นของพระอาจารย์ของผม ท่านเคยปรารถเรื่องขอทานนี้ให้ผมฟังการบิณฑบาตของพระอัสสชิ ทำให้พระสารีบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม
สาเหตุหลักที่พระต้องยังชีพด้วยการขอ เพราะพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติวินัยไม่ให้พระประกอบอาชีพ และการบิณฑบาตเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่กระทำสืบต่อกันมา สาวกทั้งหลายจึงจำเป็นต้องรักษาประเพณีนี้ไว้อย่างเคร่งครัด
การเที่ยวบิณฑบาตนั้น นอกจากเป็นการโปรดเวไนยสัตว์แล้ว ยังเป็นการเผยแผ่ศาสนาอีกด้วย ขอตัวอย่างที่เห็นกันอย่างชัดๆ ในสมัยพุทธกาล ดังนี้
กรณีพระสารีบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม ขณะนั้นท่านเป็นปริพาชกชื่ออุปติสสะ ท่านเห็นพระอัสสชิขณะบิณฑบาต สังเกตเห็นกิริยาอาการที่งดงามของพระอัสสชิ จึงเกิดความเลื่อมใส เข้าไปถามจนได้ดวงตาเห็นธรรมในที่สุด
กรณีพระเจ้าสุทโธทนะ(พุทธบิดา) เรื่องนี้เหตุเกิดจากความไม่พอใจของพุทธบิดาทีเห็นพระพุทธเจ้าเดินเที่ยวขอก้อนข้าวจากชาวเมือง แต่พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมให้พุทธบิดาจนได้ดวงตาเห็นธรรมในที่สุด
กรณีพระพาหิยะ พาหิยะเห็นพระพุทธเจ้าขณะบิณฑบาตจึงเข้าไปอ้อนวอนให้แสดงธรรมถึง ๓ ครั้ง พระพุทธองค์ได้เทศน์แก่พาหิยะจนสำเร็จอรหันต์ในที่สุดพระสารีบุตรบิณฑบาตรถึง ๓ ครั้งภายในวันเดียว
การออกบิณฑบาตของพระภิกษุสงฆ์นั้น ต้องครองจีวรให้เรียบร้อบ ต้องเดินด้วยอาการสำรวม เพื่อให้เป็นที่เลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส และให้เป็นที่เลื่อมใสยิ่งขึ้นของคนที่เลื่อมใสแล้ว
เรื่องการครองจีวรนั้น ในอรรถกถามีเรื่องเล่าว่า เณรรูปหนึ่งเห็นพระสารีบุตรมีจีวรที่ดูไม่เรียบร้อย ได้กล่าวบอกพระสารีบุตรให้ทราบ พระสารีบุตรได้ทำการครองจีวรใหม่ แล้วมายืนยกมือไหว้ต่อหน้าเณรรูปนั้น และถามว่า เป็นไงบ้าง(ดีหรือยัง..อะไรทำนองนี้) เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่อัครสาวกเบื้องขวายังต้องระมัดระวังในการครองจีวร
ที่บ้านผมมีพระออกบิณฑบาตผ่านหน้าบ้าน ทั้งหมด ๔ วัด เท่าที่สังเกตดู มีอยู่วัดหนึ่งเดินด้วยอาการสำรวมน่าเลื่อมใส เดินก้มหน้าแต่พองาม เดินไม่ช้าไม่เร็ว ส่วนอีกสามวัดที่เหลือ หลายองค์เดินลอยหน้าลอยตา หันขวาทีหันซ้ายที บางวัดก็เดินเร็ว บางรูปก็รีบปิดฝาบาตรโดยไม่ดูว่าผมใส่ข้าวละยัง เพื่อนๆครับ อยากบอกว่า วัดที่เดินสำรวมที่สุด เป็นวัดสายธรรมยุตครับ เข้าใจว่า คงได้การอบรมมาจากอุปฌาย์อาจารย์สืบๆกันมา หากมีใครถามว่า วันหนึ่งพระออกบิณฑบาตสองครั้งได้ไหม.? ขอตอบว่า ในวินัยของพระระบุไว้ว่า รับอาหารได้แค่ ๓ บาตร เรื่องนี้ไม่ขอขยายความ เพราะว่าผมเองก็ไม่เข้าใจ สิ่งที่อยากบอกก็คือ ในอรรถกถามีเรื่องเล่าว่า เช้าวันหนึ่งพระสารีบุตรออกบิณฑบาตถึง ๓ ครั้ง เพื่อที่จะศิษย์ชื่อ พระโลสกติสสะ ได้ฉันอย่างพอเพียง เนื่องจากพระโลสกติสสะ ประกอบกรรมไว้มาก ทำให้ขัดสนในการบิณฑบาต ไม่มีใครใส่บาตรท่านเลย ในวันนั้นพระสารีบุตรทราบว่า พระโลสกติสสะจะปรินิพพานในวันนี้ จึงประสงค์จะสงเคาระห์พระโลสกติสสะเป็นครั้งสุดท้าย
ในการบิณฑบาตครั้งแรก พระสารีบุตรออกไปกับพระโลสกติสสะ ปรากฏว่า ไม่มีใครใส่บาตรให้เลย ทำให้พระสารีบุตรต้องออกไปบิณฑบาตอีกครั้ง
บิณฑบาตครั้งที่สอง พระสารีบุตรออกไปรูปเดียวได้อาหารมา ก็สั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งนำไปให้พระโลสกติสสะ แต่ภิกษุรูปนั้นกลับลืมชื่อของพระโลสกติสสะ ไม่รู้จะเอาไปให้ใคร เลยฉันเองจนหมด พระสารีบุตรพอทราบเรื่องนี้เข้า เลยต้องออกไปบิณฑบาตเป็นครั้งที่สาม
บิณฑบาตครั้งที่สาม พระสารีบุตรไปหาพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้อาหารมาก็นำมาให้พระโลสกติสสะดัวยตัวเอง และได้ถือบาตรนั้นไว้ด้วยมือของพระสารีบุตร เพราะเกรงว่าอาหารในบาตรนั้นจะมีอันเป็นไป หรืออันตรธานไปเสีย ด้วยกำลังฤทธิ์และบารมีของพระสารีบุตร ทำให้พระโลสกติสสะได้ฉันอาหารอันประณีตก่อนปรินิพพานในวันนั้นเอง เพื่อนๆท่านใดต้องการอ่านเรื่องนี้ คลิกไปที่ http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3839.0งามในเบื้องต้นนั้น ควรงามอย่างไร.?
ผมชอบพุทธพจน์ในพระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓ ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์ ที่ว่า "ภิกษุใดถือบิณฑบาตเป็นวัตร เพราะอาศัยความปรารถนาน้อยอย่างเดียว เพราะอาศัยความสันโดษอย่างเดียว เพราะอาศัยความขัดเกลากิเลสอย่างเดียว เพราะอาศัยความต้องการด้วย ข้อปฏิบัติอันงามนี้อย่างเดียว ภิกษุนี้เป็นผู้เลิศ" ความปรารถนาน้อยมี ๔ อย่าง คือ ๑. ความปรารถนาน้อยในปัจจัย ๒. ความปรารถนาน้อยในคุณธรรมเป็นเครื่องบรรลุ ๓. ความปรารถนาน้อยในปริยัติ ๔. ความปรารถนาน้อยในธุดงค์ - บุคคลผู้ปรารถนาน้อยด้วยปัจจัย เมื่อเขาให้มากก็รับเอาแต่น้อย เมื่อเขาให้น้อยก็รับเอาน้อยกว่า หรือว่าไม่รับเอาเลย ย่อมเป็นผู้ไม่รับเอาโดยไม่เหลือไว้. - บุคคลผู้ปรารถนาน้อยในคุณธรรมเป็นเครื่องบรรลุ ย่อมไม่ให้ชนเหล่าอื่นรู้คุณธรรมเป็นเครื่องบรรลุของตน - บุคคลผู้ปรารถนาน้อยในปริยัติ แม้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก ก็ไม่ปรารถนาที่จะให้คนอื่นรู้ว่าตนเป็นพหูสูตร - บุคคลผู้ปรารถนาน้อยในธุดงค์ ย่อมไม่ให้ชนเหล่าอื่นรู้ถึงการบริหารธุดงค์
สันโดษมี 3 อย่าง 1. ยถาลาภสันโดษ คือ ยินดีตามที่ได้, ยินดีตามที่พึงได้ คือ ตนได้สิ่งใดมา หรือ เพียรหาสิ่งใดมาได้ เมื่อเป็นสิ่งที่ตนพึงได้ ไม่ว่าจะหยาบหรือประณีตแค่ไหน ก็ยินดีพอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่ติดใจอยากได้สิ่งอื่น ไม่เดือดร้อนกระวนกระวายเพราะสิ่งที่ตนไม่ได้ ไม่ปรารถนาสิ่งที่ตนไม่พึงได้หรือเกินไปกว่าที่ตนพึงได้โดยถูกต้อง ชอบธรรม ไม่เพ่งเล็งปรารถนาของที่คนอื่นได้ ไม่ริษยาเขา 2. ยถาพลสันโดษ คือ ยินดีตามกำลัง คือ ยินดีแต่พอแก่กำลังร่างกายสุขภาพและวิสัยแห่งการใช้สอยของตน ไม่ยินดีอยากได้เกินกำลัง ตนมีหรือได้สิ่งใดมาอันไม่ถูกกับกำลังร่างกายหรือสุขภาพ เช่น ภิกษุได้อาหารบิณฑบาตที่แสลงต่อโรคของตน หรือเกินกำลังการบริโภคใช้สอย ก็ไม่หวงแหนเสียดายเก็บไว้ให้เสียเปล่า หรือฝืนใช้ให้เป็นโทษแก่ตน ย่อมสละให้แก่ผู้อื่นที่จะใช้ได้ และรับหรือแลกเอาสิ่งที่ถูกโรคกับตน แต่เพียงที่พอแก่กำลังการบริโภคใช้สอยของตน 3. ยถาสารุปปสันโดษ คือ ยินดีตามสมควร คือ ยินดีตามที่เหมาะสมกับตน อันสมควรแก่ภาวะ ฐานะ แนวทางชีวิต และจุดหมายแห่งการบำเพ็ญกิจของตน เช่น ภิกษุไม่ปรารถนาสิ่งของอันไม่สมควรแก่สมณภาวะ หรือภิกษุบางรูปได้ปัจจัยสี่ที่มีค่ามาก เห็นว่าเป็นสิ่งสมควรแก่ทานผู้ทรงคุณสมบัติน่านับถือ ก็นำไปมอบให้แก่ท่านผู้นั้น ตนเองใช้แต่สิ่งอันพอประมาณ หรือภิกษุบางรูปกำลังประพฤติวัตรขัดเกลาตน ได้ของประณีตมา ก็สละให้แก่เพื่อนภิกษุรูปอื่นๆ ตนเองเลือกหาของปอนๆ มาใช้หรือตนเองมีโอกาสจะได้ลาภอย่างหนึ่ง แต่รู้ว่าสิ่งนั้นเหมาะสมหรือเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อื่นที่เชี่ยวชาญถนัดสามารถด้านนั้น ก็สละให้ลาภถึงแก่ท่านผู้นั้น ตนรับเอาแต่สิ่งที่เหมาะสมกับตน
สิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญเหล่าพระภิกษุสงฆ์ในเบื้องต้น ก็คือ - บิณฑบาตเป็นวัตร - ความปรารถนาน้อย - ความสันโดษ ดังนั้นการดูพระในปัจจุบันว่า งามในเบื้องต้นอย่างไรนั้น.? ก็ควรนำสามอย่างนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
ขอจบการคุยเป็นเพื่อนแต่เพียงเท่านี้ ขอบพระคุณที่ติดตาม......
|
|
|
13619
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / สร้างสมเด็จโต จกบาตร รำลึกถึงวันที่ท่านแวะ “ฉันเพล” ที่วัดโตนด สมัยยังมีสังขาร
|
เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:30:43 pm
|
วัดโตนดสร้างสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ย้อนยุครำลึก วัดโตนดสร้างสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) ย้อนยุค รำลึกถึงวันที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ แวะ “ฉันเพล” ที่วัดสมัยยังมีสังขาร ในแวดวงคณะสงฆ์ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) นับเป็นพระนักปราชญ์รูปหนึ่งที่มีกิตติศักดิ์ร่ำลือมาจนทุกวันนี้ และท่านได้พระพุทธรูปองค์ใหญ่โต สมชื่อ “สมเด็จโต” ทำให้เป็นที่เคารพบูชามาตราบทุกวันนี้ ที่วัดโตนด ซ.จรัลสนิทวงศ์ 13 (ซอยพาณิชยการธนบุรี) แยกบางแวก 21 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ได้มีตำนานเกี่ยวกับสมเด็จฯ โต ปรากฏไว้ด้วย จึงเป็นที่มาของการสร้างรูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) อิริยาบถฉันเพล ความเป็นมาอย่างไรท่านจิรศักดิ์ จิรกิตฺติ เจ้าอาวาสวัดโตนด กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องการอยากจะทำสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) โดยส่วนตัวได้ศรัทธาเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์อยู่แล้ว เพราะว่าได้สวดพระคาถาชินบัญชรเป็นประจำ ไม่ว่าจะทำน้ำมนต์ หรือว่าไปเทศน์ ไปทำอะไรก็ใช้บทพระคาถาของท่าน ในส่วนต่างๆ ในการที่จะทำพิธีหรือกิจต่างๆ นั้น และเผอิญว่าวัดโตนด เป็นวัดราษฎร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2400 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ยุคต้น และวัดแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพุฒาจารย์โต คือว่าสมเด็จพุฒาจารย์ได้มากิจนิมนต์ที่คลองบางแวก และก็ได้มาพักฉันเพลที่วัดโตนดแห่งนี้ ซึ่งความตรงนี้นั้นได้ฟังจากผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าให้ฟังส่วนหนึ่ง และก็อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ได้ไปเจอคำกล่าวรายงานของอดีตเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ.2520 เป็นการกล่าวถวาย
เป็นการกล่าวรายงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดตอนนั้น สมัยยังเป็นจังหวัดธนบุรีอยู่ มีข้อความในหนังสือประวัติพระพุฒาจาย์ (โต พฺรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล เสด็จพระราชดำเนิน พระราชทานพระกิฐน พ.ศ.2504 ความว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์เสด็จนิจนิมนต์ที่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ปลายคลองบางแวก ธนุบรี และได้แวะมาฉันเพล ณ วัดโตนด
ดังใจความที่อาตมาได้แต่งเป็นกลอน โดยให้เพื่อนสหธรรมิกคือท่านพระมหาเฉลิมชัย ชยเมธี (ปธ. 9 ประโยค) วัดโพธินิมิตสถิตมหาสีมาราม ได้แต่งเป็นกลอนในเนื้อความของกลอนมีว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โตได้รับกิจนิมนต์มาที่คลองบางแวก แห่งนี้ แล้วก็จำวัดมาในเรือแล้วบอกลูกศิษย์ที่พายเรือว่าถ้าถึงวัดโตนด ให้บอกด้วย จะแวะฉันเพลที่นั่น ลูกศิษย์ก็พายเรือมาถึงวัดโตนด แต่ว่าอ่านหนังสือไม่คล่อง อ่านหนังสือไม่เก่ง อ่านวัดโตนด เป็นว่า โต-นด อ่านเป็นโต-นด ก็นึกว่ายังไม่ถึงวัดโตนด ก็เลยพายเรือผ่านไป พิธีเททองหล่อองค์ต้นแบบสมเด็จโตฉันเพล แต่ช่วงเวลาตรงนั้นเป็นช่วงเวลาเพลพอดี พระก็ตีกลองเพล สมเด็จพุฒาจารย์โตเลยตื่นจากจำวัด แล้วก็ถามลูกศิษย์ว่าถึงวัดโตนดหรือยัง ลูกศิษย์ก็ตอบว่ายังขอรับ แล้ววัดที่ตีกลองนั้นวัดอะไร ลูกศิษย์ก็ตอบว่าวัดโต-นด สมเด็จพุฒาจารย์โตท่านก็ยิ้มยิ้มแล้วก็บอกลูกศิษย์ว่านั่นแหละวัดโตนด ให้พายเรือกลับไปจะไปฉันเพลที่วัดนี้ นี่คือประวัติหรือตำนานที่ได้ยินและก็ได้ฟังแล้วก็ได้อ่านมา อาตมาก็เลยเกิดคิดว่าวัดอื่นๆ ที่เขาสร้างสมเด็จโตกันใหญ่โต เขาไม่ได้มีประวัติหรือบางครั้งบางทีไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพุฒาจารย์โตไม่เคยไปด้วยซ้ำไป เขาก็ยังสร้างกันได้ อาตมาก็เลยคิดว่า เราก็เกิดความเลื่อมใสอยู่แล้ว ก็เลยอยากจะสร้างที่นี้จะสร้างเหมือนกับคนอื่นๆ เขา มันก็มีให้เห็นกันเยอะแล้ว
อาตมาคิดว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โตท่านมาฉันเพลที่วัด เราจะทำยังไงดี ตอนแรกอาตมาก็คิดว่า ตั้งบาตรไว้ข้างหน้า มีขาบาตร แล้วตั้งบาตรไว้ข้างหน้าแล้วท่านก็จับบาตร แต่สมัยก่อนยังไม่มีขาบาตร ก็เลยวางไว้ที่ตักแล้วก็อุ้มบาตรเฉยๆ ก็ดูแล้วก็ยังไม่โดนใจ ก็เลยจับขอบบาตรหน่อยหนึ่ง ก็ยังไม่ดี เลยลองล้วงบาตร จกบาตรเลย ตามภาษาบ้านเรา พอจกบาตรลงไปแล้วก็มองว่าดูดีนะ ดูดีนะ ก็เลยให้ช่างเป็นคนออกแบบให้ ลองมาให้ดู พิจารณาลองดู ก็เกิดมาเป็นภาพที่ท่านสาธุชนได้เห็นอยู่ในขณะนี้ พระพิมลภาวนาภิธาน วัดระฆังโฆสิตาราม คณะสงฆ์ พล.อ.สุชาติ ชมพูทวีป ประกอบพิธี เททองหล่อองค์สมเด็จโต อันนี้ก็คือ ประวัติหรือตำนาน หรือความรู้สึกในการที่อยากจะทำ สมเด็จโต ฉันเพล ให้ศาสนิกชนทั้งหลายได้กราบไว้ เคารพบูชา เขาว่าใครไหว้สมเด็จพุฒาจารย์โตฉันเพลแล้วจะมีความอุดมสมบูรณ์ เรียกว่า โตยศ โตลาภ โตบารมี โตเงิน โตทอง โตทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีความเจริญเติบโต ดังชื่อขององค์สมเด็จพุฒาจารย์(โต พฺรมฺหรังสี) แห่งนี้ ขณะนี้ทางวัดได้ประกอบพิธีเททองหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) องค์ต้นแบบ เท่าองค์จริงหน้าตัก 32 นิ้ว เพื่อให้ญาติโยมได้ปิดทอง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมีเจ้าคุณพระธรรมรัตนากร เจ้าคณะเขตภาษีเจริญ เป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์วิหารสมเด็จ อาคารปฏิบัติธรรม และ พล.อ.สุชาติ ชมพูทวีป เป็นประธานพิธีฝ่ายฆราวาส พร้อมทั้งพิธีพุทธาภิเษกรูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ภายในอุโบสถวัดโตนด เพื่อมอบให้ผู้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ โดยมีสาธุชนไปร่วมพิธีฯ จำนวนมาก พระธรรมรัตนากร เจ้าคณะเขตภาษีเจริญกับพระมหาจิรศักดิ์ เจ้าอาวาสวัดโตนด วางศิลาฤกษ์วิหารสมเด็จโตฯ ทั้งนี้ ทางวัดมีโครงการหล่อองค์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ขนาดหน้าตัก 5 เมตร 10 เซ็นติเมตรโดยกำหนดพิธีเททองวาระแรก ในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ในวาระแรกนี้จะหล่อส่วนเศียรลงมาถึงหน้าอกพร้อมกันนี้วัดโตนดจะได้สร้างวิหารประดิษฐานรูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จโตฯ พร้อมเป็นอาคารปฏิบัติธรรมไปด้วย ซึ่งจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 27 ล้านบาท สำหรับผู้มีจิตศรัทธาจะร่วมสร้างอาคารปฏิบัติธรรม และรูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) อิริยาบถฉันเพล ณ วัดโตนด บางแวก 21 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ สอบถามได้ที่ พระมหาจิรศักดิ์ จิรกิตฺติ เจ้าอาวาสวัดโตนด โทร. 081-561-4019 หรือ 02-457-3122 รูปหล่อสมเด็จโตฉันเพล ที่จะมอบให้ผู้ร่วมบริจาคฯ อนึ่ง ขอเชิญชาวพุทธทั่วประเทศและทั้งโลก สมัครเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ(ธรรมาธิปไตย) ดีดีทีวี ส่งผ่านดาวเทียมไปทั่วโลกกว่า 177 ประเทศ ซึ่งเป็นทีวีของคณะสงฆ์ให้มั่นคง ให้ครบ 8,680 ท่าน ภายในระยะเร็วๆ นี้
โดยมีการทอดผ้าป่าสามัคคีบูชาพระธรรมให้ค้ำคูณโลก และเป็นเจ้าภาพเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นเจ้าของโดยช่วยบริจาคให้ดีดีทีวีปีละ 1,500 บาทหรือมากกว่าแบบกองทุน ตามตลอดทุกปี ดีดีทีวีจะได้ทำงานเพื่อสถาบันทั้งสามของชาติมั่นคง เพียงถ่ายสำเนาบัตรประชาชน ลงนามรับรองว่าขอเป็นเจ้าของดีดีทีวี ส่งแฟกซ์ไปได้ที่ โทร.02-216248 หรือส่งไปได้ที่ ดีดีทีวี วัดดวงแข 92 ถนนจารุเมือง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330)...
วันที่ 19 ก.ค. นี้ 09.00-16.00 น.ขอเชิญร่วมถวายสังฆทานขออโหสิกรรมกับพระกรรมฐาน 5 รูป เครื่องสังฆทานไม่นำหมุนเวียนถวายอีกแต่คณะสงฆ์ให้นำไปถวายวัดหรือสำนักปฏิบัติที่ขาดแคลน และขอเชิญปฏิบัติบูชาอธิษฐานบูชา ฟังพระธรรมเทศนาของพระมหา ดร.สิงห์ทน นภาสโภ สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ระหว่างเวลา 18.00-20.00 น. ณ อาคารอริยสัจสี่(เข้าซอย 300 เมตร) ซ.เพชรเกษม 65 เขต บางแค กรุงเทพฯ โทร.0-2421-0489 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวาลขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.banmuang.co.th/news/region/21718
|
|
|
13623
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ช็อค.! หนุ่มใหญ่ ยิงตัวตายในโบสถ์ ต่อหน้าพระประธานวัดบุคคโล
|
เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 08:46:07 pm
|
ช็อค.! หนุ่มใหญ่ ยิงตัวตายในโบสถ์ ต่อหน้าพระประธานวัดบุคคโล เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พนักงานสอบสวนสน.บุคคโลเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุภายในโบสถ์วัดบุคคโล พบผู้เสียชีวิตทราบชื่อคือ นายประภัส เอี่ยมภิไพ สภาพศพสวมเสื้อโปโลสีม่วง กางเกงขายาวสีดำ สะพายกระเป๋าผ้าสีน้ำตาล นอนเสียชีวิต ที่ศีรษะมีเลือดไหลนองพื้น และมีปืนตกอยู่ใกล้กับศพ ในที่เกิดเหตุยังพบจดหมายลาตาย ระบุถึง
พนักงานสอบสวน สน.บุคคลโล ลงวันที่ 18 ก.ค. 58 มีเนื้อหาว่า การฆ่าตัวตายครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจทำเองไม่มีใครทำร้าย พร้อมกับระบุหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อญาติ ให้มารับศพไปบำเพ็ญกุศลด้วย จากนั้นได้มีการลงลายมือชื่อ นายประภัส เอี่ยมภิไพ ไว้ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437204328
|
|
|
13626
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / มิติมืดชวนทึ่ง..จาก “วัดผีดุ”..!!! สู่ “พระเรืองแสง” หนึ่งเดียวในไทย
|
เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:55:48 am
|
พระพุทธรูปเรืองแสง หนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่ สำนักสงฆ์ดอยวังเฮือ จ.ลำปาง มิติมืดชวนทึ่ง..จาก “วัดผีดุ”..!!! สู่ “พระเรืองแสง” หนึ่งเดียวในไทย ลำปางนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองรถม้า เมืองชามตราไก่แล้ว ลำปางยังเป็นเมืองแห่ง“เงาพระธาตุ” หรือ “พระธาตุหัวกลับ” ที่ปรากฏในหลายวัดด้วยกัน โดยเฉพาะเงาพระธาตุ“วัดพระธาตุลำปางหลวง”นั้น ถือเป็นไฮไลท์ของการชมเงาพระธาตุในจังหวัดลำปางที่ได้รับการคัดสรรให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์เลยทีเดียว(เรื่องของเงาพระธาตุเมืองลำปางได้นำเสนอไปในตอนที่แล้ว) นอกจากเงาพระธาตุที่ถือเป็นมนต์เสน่ห์ในความมืดที่ดึงดูดใครหลายๆคนให้เดินทางมาสัมผัสกับตาตนเองแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ลำปางได้เปิดตัว “พระพุทธรูปเรืองแสง”หนึ่งเดียวในเมืองไทย(จากการสำรวจพบ ณ ปัจจุบันนี้) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความสวยงามน่าทึ่งในความมืด ที่หลังปรากฏเป็นข่าวก็สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อยทีเดียว อ่างเก็บน้ำวังเฮือ วัดผีดุ พระพุทธรูปเรืองแสง ตั้งอยู่ที่“สำนักสงฆ์พระธาตุอรัญวาส”(ดอยวังเฮือ) หรือที่รู้จักกันดีในนาม “สำนักสงฆ์ดอยวังเฮือ” ที่ตั้งอยู่ที่ดอยวังเฮือ บ้านผาลาด ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง ระหว่างทางขึ้นสำนักสงฆ์จะผ่านอ่างเก็บน้ำวังเฮือ หรือ “ทะเลลำปาง” ทะเลสาบน้ำจืดขนาดย่อมๆอันเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนลำปางและในพื้นที่ใกล้เคียง
สำนักสงฆ์ดอยวังเฮือ ปัจจุบันมี“หลวงพ่อภูริปัญโญ ภิกขุ”เป็นเจ้าสำนักสงฆ์ผู้ดูแล ท่านกรุณาเล่าให้ผมฟังในวันที่ขึ้นไปเยือนสำนักสงฆ์แห่งนี้ว่า สำนักสงฆ์ดอยวังเฮือมีอายุราวๆ 40 กว่าปี น่าจะเริ่มสร้างประมาณปี พ.ศ. 2515 เคยเป็นที่ปฏิบัติธรรมจำพรรษาของพระเกจิหลายรูป ทั้งนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับสำนักสงฆ์แห่งนี้ระบุว่า ในอดีต หลวงพ่อเมือง(พระครูอะดมเวชวรกุล) เจ้าอาวาสวัดท่าแหน อ.แม่ทะ จ.ลำปาง พระเกจิชื่อดังของ จ.ลำปาง ได้เคยมาใช้สถานที่แห่งนี้ปฏิบัติธรรมเมื่อ 40 กว่าปีก่อน พร้อมกันนี้ท่านยังได้ทำการสร้างเจดีย์และกุฏิขึ้น ครั้นพอมาถึงปี พ.ศ. 2519 เมื่อหลวงพ่อเมืองมรณภาพลง สำนักสงฆ์แห่งนี้เริ่มขาดการดูแล ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างมาเป็นเวลาหลายปี จนในปี 2553 ลูกศิษย์ลูกหาได้นิมนต์หลวงพ่อภูริปัญโญฯ ให้มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์แห่งนี้เพียงหนึ่งเดียวสำนักสงฆ์พระธาตุอรัญวาส หรือ สำนักสงฆ์พระธาตุอรัญวาส ปัจจุบันหลวงพ่อภูริปัญโญฯท่านเป็นพระภิกษุรูปเดียวที่ยังจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ส่วนเหตุที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ถูกทิ้งร้างไม่มีผู้ดูแลไปช่วงหนึ่ง หรือการที่มีพระจำพรรษาอยู่เพียงรูปเดียวนั้น หลวงพ่อภูริปัญโญฯท่านไม่ได้บอกสาเหตุกับผม เพียงแต่บอกว่าแต่ก่อน ชาวบ้านมักจะเรียกสำนักสงฆ์แห่งนี้ว่า “วัดผีดุ”!!! ครับ นี่คงเพียงพอต่อเหตุผลว่า ทำไมในอดีต ทั้งพระ ทั้งคน ถึงไม่ค่อยอยากกล้ำกรายมาที่วัดแห่งนี้ แต่เมื่อหลวงพ่อภูริปัญโญฯมาจำพรรษาอยู่ ท่านบอกกับผมว่าเมื่อเรามาด้วยจิตที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องกลัว พระพุทธรูปปางต่างๆ 28 องค์ของสำนักสงฆ์ พระพุทธรูปเรืองแสง หลวงพ่อภูริปัญโญฯ เมื่อมาจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ท่านกับลูกศิษย์ก็ได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ของสำนักสงฆ์เรื่อยมา มีการบูรณะพัฒนาสำนักสงฆ์แห่งนี้ขึ้นมาใหม่ พร้อมจัดภูมิทัศน์ให้น่าอยู่
อีกทั้งยังได้สร้าง “พระพุทธรูป 28 องค์”ในปางต่าง อันเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ซึ่งหลวงพ่อท่านต้องการให้ที่นี่เป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้ โดยมีองค์พระพุทธรูปปรากฏให้เห็นตั้งแต่เดินทางเข้าสำนักสงฆ์มา ไล่ขึ้นไปจนถึงบริเวณลานที่ตั้งองค์ “พระธาตุอรัญวาส” ที่ภายในประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรพระสังฆราชเจ้าในปี 2540 บริเวณพระธาตุอรัญวาส รายล้อมด้วยพระพุทธรูป 4 องค์ ส่วนนอกลานประทักษิณของพระธาตุ ประดิษฐานพระพุทธรูปอีก 2 องค์
ขณะที่ภายในวิหารสำนักสงฆ์ ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์สุดท้าย(องค์ 28) มีพระนามว่า “พระโคตมะ” หรือ “พระโคตมะพระพุทธเจ้า” ที่เป็นดังตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งในการสร้างพระโคตมะ หลวงพ่อภูริปัญโญฯ บอกกับผมว่า ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระพุทธรูปองค์สุดท้ายมีความพิเศษแตกต่างจากพระพุทธรูปทั่วไป จึงได้นำมาสู่การสร้างสรรค์องค์พระพุทธรูปเรืองแสงขึ้นมา โดยท่านได้ศึกษาการใช้วัสดุเรืองแสง พร้อมออกไปดั้นด้นตามหาวัสดุพิเศษตามที่ต่างๆเพื่อสร้างองค์พระพุทธรูปให้ออกมาเรืองแสงตามที่ต้องการ นอกจากนี้ที่น่าแปลกก็คือตอนที่หลวงพ่อลงมือสร้างพระพุทธรูป ท่านเล่าว่า มีพระจากต่างถิ่นที่ไหนมาก็ไม่รู้จำนวนหลายรูปมาช่วยท่านสร้างพระพุทธรูปเรืองแสงองค์นี้ ซึ่งใช้เวลาสร้าง 1 ปี 8 เดือน จึงสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์พระโคตมะพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปองค์ที่ 28 พระโคตมะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ มีพุทธลักษณะที่สมส่วนสวยงาม มีความสูง 18 ศอก หน้าตักกว้าง 8 ศอก พระพักตร์ดูอมยิ้มเล็กน้อยเปี่ยมไมตรี ยามปกติ(เมื่อถูกแสง) เนื้อผิวของพระพุทธรูปจะเป็นสีขาวอมเหลืองนวลเนียน แต่ครั้นเมื่อเราปิดไฟ ปิดประตูหน้าต่างทุกบานของโบสถ์ให้ความมืดมิดมาเยือน(หรือมีแสงส่องลอดมาบ้างเล็กน้อย) จากนั้นรอให้สายตาปรับสภาพสักพัก แล้วความน่าทึ่งแปลกตาของพระโคตมะก็จะปรากฏให้เห็นกับองค์พระพุทธรูปที่เรืองแสงเปล่งประกายที่เขียวมรกตเรื่องเรืองเด่นขึ้นมาในความมืด พร้อมๆกับเงาต้องกระทบผนังวิหารเป็นเปลวประกายรัศมีเรืองแสงบางๆในด้านหลังดูสอดรับกับองค์พระงดงาม เรืองแสง ในความมืด กับพระพุทธรูปเรืองแสง หนึ่งเดียวในไทย มีแสงจะเห็นเป็นพระพุทธรูปองค์งาม แบบที่ 2 ชมยามที่โบสถ์ปิดไฟ ปิดประตูหน้าต่างจนมืด จะเห็นเป็นพระพุทธรูปเรืองแสงสีอมเขียวออกมรกตนิดๆอันสวยงาม ส่วนแบบที่ 3 เป็นการชมในแสงปกติ แต่ให้เรานำมือไปป้องให้เกิดความมืดที่เนื้อขององค์พระ ก็จะมองเห็นตรงจุดนั้นเรืองแสงสีเขียวเรื่อเรืองขึ้นมา สำหรับการเรืองแสงของพระพุทธรูปเรืองแสงนั้นไม่ใช่เรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แต่อย่างใด แต่เป็นการสร้างสรรค์ที่เกิดจากความตั้งใจของหลวงพ่อภูริปัญโญฯ ท่านเล่าว่า ที่ผ่านมาก็มีพระวัดอื่นมาดูงาน มาขอสูตร แล้วนำไปสร้างเป็นพระพุทธรูปเรืองแสงบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ขณะที่ในส่วนของสารเรืองแสงนั้น หลวงพ่อท่านไม่ได้บอกว่าใช้สารอะไรผสมบ้าง แต่ท่านบอกว่าให้ท่านสร้างอีก ท่านก็ทำอย่างเดิมไม่ได้แล้ว พระพุทธรูปเรืองแสงองค์นี้จึงถือว่ามีเพียงหนึ่งเดียวพระพุทธรูปเรืองแสง งดงามในความมืด อย่างไรก็ดีแม้พระพุทธรูปเรืองแสงจะสามารถจัดสร้างออกมาได้อย่างสวยงามน่าทึ่ง แต่กับตัววิหารที่ใช้ประดิษฐานองค์พระพุทธรูปเรืองแสงนั้น หลวงพ่อภูริปัญโญฯบอกว่ามีอาการน่าเป็นห่วง เพราะโครงสร้างอาคารทรุดโทรม โดยเฉพาะส่วนหลังคา ที่คานหลังคามีอาการร้าว ดังนั้นใครที่ไปชมพระพุทธรูปเรืองแสงองค์นี้ก็สามารถร่วมด้วยช่วยกันให้หลวงพ่อท่านนำเงินไปบูรณะวิหาร เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเรืองแสงองค์งามสืบต่อไป และนี่ก็คืออีกหนึ่งน่าสนใจของเมืองรถม้า ลำปาง 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด จากแคมเปญการท่องเที่ยวมาแรงแห่งปี กับสิ่งไม่ควรพลาดเมื่อขึ้นไปแอ่วลำปางนั่นก็คือ พระพุทธรูปเรืองแสงได้หนึ่งเดียวในเมืองไทยพระพุทธรูปางต่างๆ มืด-สว่าง ทางแห่งปัญญา สำหรับมนุษย์แล้ว ปกติยามเมื่ออยู่ในความมืด มักจะเกิดความรู้สึกกลัว จินตนาการไปถึงความน่ากลัวของภูตผีปีศาจ แต่กับความมืดในวิหารของสำนักสงฆ์ดอยวังเฮือกลับแตกต่างออกไป เพราะที่นี่ได้มีภาพความงามอันน่าทึ่งปรากฏให้ชม เป็นดังปริศนาธรรมสอนเตือนใจเราว่า ถ้าตามืด ใจมืด จิตมืด ปัญญาย่อมมืดบอด แต่ถ้าตามืด ใจสว่าง จิตสว่าง ย่อมก่อให้เกิดปัญญา อย่างไรก็ดี สำหรับบางคนที่ไปไหว้พระพุทธรูปเรืองแสงองค์นี้ นอกจากจะไม่มองในความงาม ไม่มองในธรรมะที่แอบแฝงแล้ว ยังกลับมองเป็นตัวเลข นำไปแทงหวยเสียฉิบ!?!พระโคตมะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ มีพุทธลักษณะที่สมส่วนสวยงาม ขอบคุณภาพและบทความจาก http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000079505
|
|
|
13627
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / สุข สงบใจ ใต้ร่มพระธรรม ที่ “วัดธรรมมงคล”
|
เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:43:11 am
|
พระพุทธสุพิโนภาสศาสดา ประดิษฐานภายในพระอุโบสถ สุข สงบใจ ใต้ร่มพระธรรม ที่ “วัดธรรมมงคล” คนเรามักจะคิดว่าเวลามีทุกข์ ถึงต้องเข้าวัดฟังธรรมเพื่อให้จิตใจได้คลายทุกข์ แต่สำหรับตัวฉันเองแล้ว ไม่ว่าจะยามสุขหรือทุกข์ เราก็สามารถเข้าวัดได้ เพราะที่วัดนี่แหละที่เป็นสถานที่ที่เราสามารถสงบจิตสงบใจ หาความสุขที่เรียบง่ายให้กับชีวิตเราเอง เหมือนกับที่วันนี้ฉันได้มาเยือนที่ “วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร” หรือ “วัดธรรมมงคล” ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 101 ซึ่งแม้ว่าที่นี่จะตั้งอยู่กลางเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องแน่นขนัด แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกสงบได้อย่างประหลาด วัดธรรมมงคลแห่งนี้แต่เดิมเป็นป่าสะแกมาก่อน จนกระทั่งเมื่อพระเทพเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ) เจ้าอาวาสวัดได้ธุดงค์ผ่านมาและใช้เป็นที่พักในระหว่างเดินทางเข้ากรุงเทพฯ นายเถา-นางบุญมา อยู่ประเทศ เจ้าของที่ดินมีจิตศรัทธาจึงถวายที่ให้ จากนั้นจึงได้สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2506
พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย (พระหยก) เมื่อเข้ามาถึงวัดแล้วฉันก็เลยตรงไปที่พระอุโบสถก่อนเป็นอันดับแรก เข้าไปสักการะพระประธานในพระอุโบสถ “พระพุทธสุพิโนภาสศาสดา” หรือหลวงพ่อใหญ่ พระพุทธรูปโลหะสัมฤทธิ์สมัยรัตนโกสินทร์ที่ออกแบบและปั้นขึ้นจากนิมิตของหลวงพ่อวิริยังค์ ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้มีความหมายตามชื่อว่า “แสงสว่างอันสวยงาม เจิดจรัสทั่วทั้งจักรวาล” หลังจากสักการะองค์หลวงพ่อใหญ่แล้ว ฉันก็นั่งทำสมาธิให้จิตใจได้สงบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดื่มด่ำความงามของภาพสวยๆ ริมฝาผนังของโบสถ์ที่เขียนได้อย่างงดงาม ก่อนจะออกเดินต่อไปยังศาลาพระหยก ที่เชื่อมต่อกับพระอุโบสถ ที่ชั้นบนของศาลาพระหยก ประดิษฐานพระหยก หรือที่ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ที่สลักจากหยกชิ้นใหญ่ที่ถูกพบใต้ทะเลสาบน้ำแข็งในประเทศแคนาดา เป็นพระพุทธรูป และบริเวณด้านหลังพระพุทธรูปองค์นี้ก็ยังมี “พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์กวนอิมหยก” ประดิษฐานอยู่ในลักษณะทรงยืน ซึ่งก็ใช้หยกก้อนเดียวกันกับที่ใช้แกะสลักองค์พระหยกพระวิริยะมงคลมหาเจดีย์ อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของวัดแห่งนี้ ซึ่งหากมองมาจากที่ไกลๆ ก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นคือ "พระวิริยะมงคลมหาเจดีย์" ซึ่งถือเป็นเจดีย์ที่สูงสุดในประเทศไทยเลยทีเดียว โดยเหตุของการก่อสร้างนั้นก็เริ่มจากการตั้งสัจจยาธิษฐานของหลวงพ่อวิริยังค์ต่อหน้าพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดโคตะมะวิหาร จังหวัดจิตตกอง ประเทศบังกาลาเทศว่า หากได้รับพระบรมสารีริกธาตุครบ 5 องค์ จะสร้างพระมหาเจดีย์ให้ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเพื่อประดิษฐานพระพระบรมสารีริกธาตุนั้น ซึ่งเจตนาเดิมทางบังกาลาเทศจะมอบให้เพียง 1 องค์เท่านั้น แต่แล้วก็กลับตกลงยินยอมมอบให้ 5 องค์ตามประสงค์ หลวงพ่อจึงกลับมาสร้างพระวิริยะมงคลมหาเจดีย์ฯ ตามที่ได้ตั้งใจไว้ โดยใช้เวลา 9 ปีด้วยกันในการสร้างจนสำเร็จ รูปทรงขององค์เจดีย์นั้นเป็นสี่เหลี่ยม จำลองแบบมาจากพุทธคยา ยอดฉัตรทำด้วยทองคำแท้ประดับเพชร ภายในแบ่งเป็น 14 ชั้นด้วยกัน โดยที่ชั้น 1 หรือฐานของเจดีย์ มีป้ายติดไว้ว่า “นครธรรม” เพราะบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของ “สถาบันพลังจิตตานุภาพ” หรือโรงเรียนครูสอนสมาธิ โดยหลวงพ่อวิริยังค์นั้นเคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้เรียนรู้วิชาจากปรมาจารย์ด้านสมาธิ ท่านจึงต้องการสอนวิชาสมาธิ และสร้างสถานที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมให้แก่คนทั่วไป จึงได้เกิดเป็นสถาบันฯ แห่งนี้ขึ้นหลวงพ่อองค์ดำ หรือ พระพุทธรูป ภ.ป.ร. ส่วนที่ชั้นที่ 2 เป็นวิหาร ที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อองค์ดำ” หรือ “พระพุทธรูป ภ.ป.ร.” พระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มาเททองหล่อเพื่อเป็นพระประธานในวิหารของพระมหาเจดีย์ พร้อมกับทรงวางศิลาฤกษ์พระวิริยะมงคลมหาเจดีย์ศรีรัตนโกสินทร์ด้วยในคราวเดียวกัน และที่รอบๆ ระเบียงวิหารยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกหลายองค์ อาทิ พระอัฎฐาฬส พระอโศกพญา (หลวงพ่อพันปี) รูปหล่อพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระสุโขทัยและพระเชียงแสน เป็นต้น ขึ้นมาที่ชั้น 3 เป็นส่วนของ “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตพระโขนง” แม้จะเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก แต่ก็มีประวัติความเป็นมาของเขตพระโขนงแห่งนี้ให้ได้เรียนรู้กันพอสมควร และนอกจากนี้ยังมีการแนะนำสถานทีท่องเที่ยวต่างๆ ในเขตพระโขนงให้เราได้ไปตามรอยกันอีกด้วย จากนั้นบนชั้น 4-8 นั้นจะเป็นห้องเรียนปริยัติธรรม ฆราวาสอย่างฉันไม่อยากไปรบกวนการเรียนการสอน จึงขอขึ้นลิฟท์ข้ามไปรวดเดียวถึงชั้น 9 ซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ของวัด เป็นที่รวบรวมข้าวของประเภทพระพุทธรูปเก่าแก่ของวัด เช่น พระพุทธรูปเชียงแสนหลวง 5 องค์ที่มีความเก่าแก่นับร้อยปี และเครื่องปั้นดินเผาต่างๆ ที่ขุดค้นพบ ตำราใบลาน รวมไปถึงใบโพธิ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ที่หลวงพ่อวิริยังค์ได้เก็บมาเป็นที่ระลึกเมื่อท่านได้ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นอีกด้วยการจัดแสดงของเก่าในพิพิธภัณฑ์ของโบราณ เดินชมข้าวของต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์ของวัดตั้งแต่ชั้น 9 จนถึงชั้น 11 แล้ว เดินขึ้นบันไดถัดมายังชั้น 12 ซึ่งเป็นชั้นที่ไว้ใช้นั่งสมาธิกรรมฐาน มีรูปวาดอยู่บนผนังแสดงให้เห็นถึงปฏิจจสมุปบาท หรือหลักธรรมที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเกิด การดำเนินไป และการดับไปของชีวิต รวมถึงการเกิด การดับแห่งทุกข์ด้วย อีกทั้งยังมีคำอธิบายเกี่ยวกับอริยสัจ 4 ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ให้เราได้ทำความเข้าใจกัน และแล้วฉันก็ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดขององค์เจดีย์บนชั้น 14 ซึ่งเป็นยอดสุดของเจดีย์และมีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระเกศา พระอุรังคธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศบังคลาเทศ ควรขึ้นมากราบไหว้ให้ได้เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ซึ่งนอกจากจะได้ขึ้นมากราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุแล้ว ด้านบนเจดีย์นี้ก็ยังสามารถชมวิวสวยๆของเมืองกรุงในมุมสูงได้อีกด้วย มีลมเย็นๆ พัดมาเรื่อยๆ ให้สบายตัว เรียกว่ายืนชมวิวกันเพลินใจไปเลยทีเดียวการจัดแสดงของเก่าในพิพิธภัณฑ์ของโบราณ ลงมาเดินดูรอบๆ วัดธรรมมงคลแห่งนี้ ฉันว่าที่นี่มีบรรยากาศสงบเงียบเหมาะแก่การมาปฏิบัติธรรม โดยทางด้านหลังวัดยังได้จัดทำเป็น “ถ้ำวิปัสสนา” จำลองบรรยากาศการปฎิบัติธรรมในป่าในถ้ำ มีต้นไม้ล้อมรอบบริเวณที่ให้คนเข้าไปนั่งสมาธิ และฟังธรรมในถ้ำได้อย่างสงบ ได้ใช้เวลาอยู่ในวัดนานพอควร ฉันเลยได้นั่งสงบใจ พินิจพิจารณาความเป็นไปในชีวิต เลยพบว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นก็อยู่รอบๆ ตัวเรานี่เองวิวเมืองกรุงจากด้านบนเจดีย์ วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนทวิหาร ตั้งอยู่ที่ 132 ถนนสุขุมวิท 101 ซอยปุณณวิถี 20 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดโทร.0-2332-4145ขอบคุณภาพและบทความจาก http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081033
|
|
|
13637
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา!! เจ้าอาวาสวัดเชียงใหม่แสดงธรรม ขรก.-พรมน้ำมนต์กลายเป็นผลึกแก้วพระธาตุ
|
เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2015, 09:22:29 pm
|
ฮือฮา!! เจ้าอาวาสวัดเชียงใหม่แสดงธรรม ขรก.-พรมน้ำมนต์กลายเป็นผลึกแก้วพระธาตุ วันที่ 17 ก.ค. พลเรือตรีบรรพต เกิดภู่ รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ได้จัดบรรยายธรรมเทศนาให้กับข้าราชการ และครอบครัว บรรยายโดย พระมหาอาวรณ์ ภูริปญ.โญ เจ้าอาวาสวัดปันเสา จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีกำลังพล ข้าราชการ ลูกจ้างและประชาชน จากกองทัพเรือ ร่วมรับฟังการบรรยายธรรม เพื่อเป็นหลักปฏิบัติในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ณ ศาสนสถาน กองเรือยุทธการ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
โดยหลังจากที่ พระมหาอาวรณ์ ภูริปญโญ แสดงธรรมเทศนาให้กับข้าราชการและครอบครัวเสร็จสิ้นแล้วได้มีการพรมน้ำมนต์ โดยมีข้าราชการและครอบครัวได้เตรียมผ้าสีขาวไว้ตรงหน้า เพื่อที่จะรับพระธาตุ ที่เกิดจากการพรมน้ำมนต์ของพระมหาอาวรณ์ ภูริปญ.โญ ซึ่งเป็นที่ฮือฮากันมากในตอนนี้ หลังจากได้รับการพรมน้ำมนต์ก็ปรากฏว่า มีผลึกแก้วหลากสี ซึ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุออกมาจากหญ้าคา และตกใส่ มือของผู้ที่เข้าร่วมฟังธรรมเทศนาจริง สร้างความตื่นตะลึง และมหัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก พลเรือตรีบรรพต กล่าวว่า การจัดบรรยายธรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กำลังพล ได้นำหลักธรรม จริยธรรม จากการฟังบรรยายธรรม และความรู้ที่ได้รับจากการอบรมในครั้งนี้ ไปปรับใช้กับการปฏิบัติงาน โดยท่านได้ให้หลักธรรมในการทำงานให้มีความสุขคือ การทำงานต้องมีความอดทน ความเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ และวางตนเหมาะสม เสมอต้นเสมอปลาย รวมถึงใช้หลักอิทธิบาท 4 ควบคู่ในการทำงานคือ ต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอยู่เสมอ อันจะสามารถนำพาให้ตนเองปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสุขใจในการทำงานมากยิ่งขึ้นขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1437128097
|
|
|
|