พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 1032
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหดุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่
ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง
อย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๔๒. ๓. อนึ่ง
มีเภสัชอันควรลิ้มของภิกษุผู้อาพาธ คือ เนยใส
เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ภิกษุรับประเคนของนั้นแล้ว พึงเก็บ
ไว้ฉันได้ ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิย-
ปาจิตตีย์.
เรื่องพระปิลินทวัจฉเถระ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๑๔๑] คำว่า มีเภสัชอันควรลิ้มของภิกษุผู้อาพาธ เป็นต้น มี
อธิบายดังต่อไปนี้:-
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 1033
ที่ชื่อว่า เนยใส ได้แก่ เนยใสที่ทำจากน้ำมันโคบ้าง น้ำนมแพะ
บ้าง น้ำมันกระบือบ้าง มังสะของสัตว์เหล่าใดเป็นของควร เนยใสที่ทำ
จากน้ำนมสัตว์เหล่านั้น ก็ใช้ได้
ที่ชื่อว่า เนยข้น ได้แก่ เนยข้นที่ทำจากน้ำนมสัตว์เหล่านั้นแล
ที่ชื่อว่า น้ำมัน ได้แก่ น้ำมันอันสกัดออกจากเมล็ดงาบ้าง จาก
เมล็ดพันธุ์ผักกาดบ้าง จากเมล็ดมะซางบ้าง จากเมล็ดละหุ่งบ้าง จาก
เปลวสัตว์บ้าง
ที่ชื่อว่า น้ำผึ้ง ได้แก่ รสหวานที่แมลงผึ้งทำ
ที่ชื่อว่า น้ำอ้อย ได้แก่ รสหวานที่เกิดจากอ้อย
คำว่า ภิกษุรับประเคนของนั้นแล้ว พึงเก็บไว้ฉันได้ ๗ วัน
เป็นอย่างยิ่ง คือเก็บไว้ฉันได้ ๗ วันเป็นอย่างมาก
คำว่า ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคีย์ ความว่า เมื่อ
อรุณที่ ๘ ขึ้นมา
เภสัชนั้นเป็นนิสสัคคีย์ คือเป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์
คณะ หรือบุคคล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เเลภิกษุพึงเสียสละเภสัชนั้นอย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบ
เท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งเท้าประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านเจ้าข้า เภสัชนี้ของข้าพเจ้าล่วง ๗ วัน เป็นของจำจะสละ
ข้าพเจ้าสละเภสัชนี้แก่สงฆ์
ปานะ เครื่องดื่ม, น้ำสำหรับดื่ม ที่คั้นจากลูกไม้ (น้ำคั้นผลไม้) จัดเป็นยามกาลิก
ท่านแสดงไว้ ๘ ชนิด คือ
๑. อมฺพปานํ น้ำมะม่วง
๒. ชมฺพุปานํ น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า
๓. โจจปานํ น้ำกล้วยมีเม็ด
๔. โมจปานํ น้ำกล้วยไม่มีเม็ด
๕. มธุกปานํ น้ำมะทราง (ต้องเจือน้ำจึงจะควร)
๖. มุทฺทิกปานํ น้ำลูกจันทร์หรือองุ่น
๗. สาลุกปานํ น้ำเหง้าอุบล
๘. ผารุสกปานํ น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่
[color=rgb(0, 0, 153)]นิยมเรียกว่า อัฏฐบาน หรือ น้ำอัฏฐบาน (ปานะ ๘ อย่าง)[/color]
วิธีทำปานะที่ท่านแนะไว้ คือ ปอกหรือคว้านผลไม้เหล่านี้ที่สุก เอาผ้าห่อ บิดให้ตึงอัดเนื้อผลไม้ให้คายน้ำออกจากผ้า เติมน้ำลงให้พอดี (จะไม่เติมน้ำก็ได้เว้นแต่ผลมะทรางซึ่งท่านระบุว่าต้องเจือน้ำจึงควร) แล้วผสมน้ำตาลและเกลือเป็นต้นลงไปพอให้ได้รสดี
ข้อจำกัดที่พึงทราบคือ
๑. ปานะนี้ให้ใช้ของสดห้ามมิให้ต้มด้วยไฟ
(ข้อนี้พระมติสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสว่าแม้สุกก็ไม่น่ารังเกียจ)
๒. ต้องเป็นของที่อนุปสัมบันทำ จึงควรฉันในเวลาวิกาล
(ถ้าภิกษุทำถือเป็นเหมือนยาวกาลิก เพราะรับประเคนมาทั้งผล)
๓. ของประกอบเช่นน้ำตาลและเกลือ ไม่ให้เอาของที่รับประเคนค้างคืนไว้มาใช้
(แสดงว่ามุ่งให้เป็นปานะที่อนุปสัมบันทำถวายด้วยของของเขาเอง)
คำว่า “
น้ำปานะ”
หมายถึง น้ำคั้นผลไม้ จากที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติได้แก่ น้ำคั้นจากผลไม้ ๘ ชนิด (น้ำอัฏฐบาน) คือ น้ำมะม่วง, น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า, น้ำกล้วยมีเมล็ด, น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด, น้ำมะขางเจือจาง, น้ำลูกจันทน์หรือน้ำองุ่น, น้ำเหง้าอุบล, น้ำมะปรางหรือน้ำลิ้นจี่ นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังทรงอนุญาต น้ำใบไม้ (ปัตตรส) ทุกชนิด เว้นน้ำผักต้ม อนุญาตน้ำจากดอกไม้ (บุปผรส) ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะขาง และอนุญาตน้ำอ้อยสด (อุจฉุรส) อีกด้วย น้ำนมไม่เรียกน้ำปานะ
น้ำนม จัดอยู่ใน เภสัช เนยข้น น้ำนม ทธิพึงอ่านข้ออนุโลมด้วย ว่าอนุญาต ไว้เพียงใด ว่าแต่ จิตปริวิตกเรื่องพวกนี้มาก เพราะมีวินิจฉัย จากมหาเถระสมาคม ก็อนุญาต พึงทานได้ไม่เป็นการผิด ในฝ่าย มหานิกาย ก็จะรับดื่มได้เป็นปกติ หลังจากเที่ยงไปแล้ว
จะบอกว่าถูก หรือ ผิด ก็ดูวินิจฉัย บริโภคเพื่ออะไร ในปัจจเวกขณ เรื่องของอาหาร และ เภสัช
ผู้ถวายได้บุญแล้วเมื่อถวาย ส่วนผู้รับเมื่อรับแล้ว จะบริโภค หรือ ไม่บริโภค ก็เป็นส่วนของผู้รับ
ดังนั้นอย่าพึงตามคิดถึงทานที่ได้นำถวายแล้ว ว่าผู้รับจะนำไปอย่างไร จะทิ้ง จะขว้าง จะใช้ ก็ไม่พึงไปติดตาม
เพราะบุญสำเร็จ ตามที่เราตั้งใจแล้ว พึงมั่นใจผู้รับ ถ้าเป็นผู้ทรงศีล มีธรรม ท่านก็จะให้เกิดเป็นประโยชน์เอง
เจริญพรเท่านี้นะจ๊ะ