ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม VS เราใหญ่กว่ากรรม  (อ่าน 512 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




เสฐียรพงษ์ วรรณปก : เราใหญ่กว่ากรรม

พระท่านพูดเป็นหลักว่า กรรมที่ทำลงไปเปรียบเสมือนสุนัขไล่เนื้อ ไล่ทันเมื่อใดก็กัดเมื่อนั้น ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า คนเราเกิดมาต่างก็ “วิ่งหนี” กรรมกันทุกคน พ้นบ้าง ไม่พ้นบ้าง โอกาสไม่พ้นมีมากกว่า แต่โอกาสพ้นก็มีไม่น้อย จะพ้นได้อย่างไร นี่สิครับเป็นข้อที่ควรคิด แสดงว่า ในช่วงที่ทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป จนถึงกรรมให้ผลนั้นมันมี “ช่องว่าง” ให้เราสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ เงื่อนไขใหม่ๆ นี้แหละจะมีส่วนช่วยผ่อนคลาย หรือขวางมิให้กรรมที่ทำนั้นให้ผลเต็มที่ หรือไม่ให้ผลเลย

ท่านพูดเป็นหลักไว้ดังนี้
    1. กรรมบางอย่าง ทำลงไปแล้วให้ผลทันตาเห็น คือชั่วชีวิตนี้ได้รับผลตอบสนองเห็นกันจะจะเลยทีเดียว
    2. กรรมบางอย่าง ทำลงไปแล้ว ไม่ให้ผลในชาตินี้ ไปให้ผลในชาติหน้า
    3. กรรมบางอย่าง ทำลงไปแล้ว ไม่ให้ผลในชาติหน้า ไปให้ผลในชาติต่อๆ ไป
    4. กรรมบางอย่าง ทำลงไปแล้ว ไม่มีโอกาสให้ผล กลายเป็น “อโหสิกรรม” ไปเลยก็มี เหมือนเนื้อที่วิ่งหนีสุนัขสุดฤทธิ์ โชคดีหนีรอดชีวิตไปได้

การพูดว่า กรรมที่ทำลงไปมีโอกาสกลายเป็นอโหสิกรรมได้นี้เอง แสดงให้เห็นว่า คนเรามีโอกาสที่จะจัดการกับชีวิตเราได้ ต้องการให้มันเป็นไปอย่างใด เราสามารถทำให้มันเป็นไปตามนั้นได้


@@@@@@@

หลายคนมักจะเสียอกเสียใจหรือวิตกกังวลแต่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว เช่น เคยผิดพลาดทำความไม่ดีอะไรบางอย่างมา แล้วก็มานั่งวิตกกังวลหรือเสียใจกับการกระทำของตนจนไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่มีความสุข ทั้งๆ ที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

แทนที่จะคิดว่า สิ่งที่ทำไปแล้วทำคืนไม่ได้ คือจะแก้ให้ไม่เป็นอันทำนั้นไม่ได้ แต่เราสามารถตั้งใจไม่ทำอย่างนั้นอีกได้ และสามารถทำความดีอื่นแทนได้

ผมเคยได้รับเชิญเมื่อนานมาแล้วไปเป็นวิทยากรในรายการ “กฎแห่งกรรม” ที่บริษัทภาษรโปรดักชั่น จำกัด เขาจัดทางทีวีสีช่อง 5 ทุกเช้าวันเสาร์ รูปแบบของรายการ มีละครเรื่อง “กฎแห่งกรรม” จากบทประพันธ์ของ ท. เลียงพิบูลย์ จบแล้ววิทยากรตอบปัญหาจากผู้ชมสดๆ เลย

ผู้ชมท่านหนึ่งเล่าว่า เคยได้เสียกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่กลับได้มาแต่งงานกับน้องสาวของผู้หญิงคนนั้น และตอนนี้ (คือขณะที่เล่าเรื่องราวนี้) มีบุตรสาวมาคนหนึ่ง บุตรสาวก็โตขึ้นทุกวันๆ ผู้เป็นพ่อ (คือท่านผู้ชมคนดังกล่าว) วิตกกังวลไม่มีความสุขเลย กลัวว่าบาปที่ตนทำไว้จะตกแก่ลูก ครั้นถามว่า จะตกแก่ลูกในลักษณะใด

ท่านผู้นั้นบอกว่า กลัวลูกสาวจะถูกชายอื่นหลอกได้เสียฟรีโดยไม่ได้แต่งงาน

@@@@@@@

ปัญหานี้ไม่น่าเป็นปัญหา มีคนไม่น้อยที่รักกันแล้วไม่ได้แต่งงานกัน กลับไปแต่งงานกับคนอื่น ไม่น่าจะถือเป็นบาปเป็นกรรมอะไร นอกเสียแต่ว่า ขณะที่เป็นแฟนกับคนที่หมั้นหมายกันแล้วว่าจะแต่งงานกัน แล้วลอบได้เสียกับน้องสาวคนรัก ถ้าอย่างนี้พูดได้ว่า ทำผิดศีลข้อสาม ถึงกระนั้น ถ้าจะได้รับผลของการกระทำนี้ ก็ไม่จำเป็นที่ผลกรรมจะต้องไปตกที่ลูกสาว อาจจะได้รับผลในรูปแบบอื่นก็ได้

จึงไม่ควรด่วนวิตกทุกข์ร้อนถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง การที่ทุกข์ร้อนกินไม่ได้นอนไม่หลับนั้น อาจเป็นผลของกรรมดังกล่าวนั้นก็ได้ ลองนึกดูว่าตัวเองไม่เป็นสุขเพราะเรื่องนี้มากี่ปีกี่เดือนแล้ว ถ้าเป็นมาตลอดหลังจากได้ทำสิ่งนี้ขึ้น ก็เท่ากับว่าได้รับผลกรรมนั้นแล้ว

จึงไม่ควรคิดกลุ้มอีกต่อไป ฝึกทำใจเสียใหม่ ตั้งใจแน่วแน่ว่าตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะทำบุญทำทานให้มาก ทำบุญทุกชนิดเท่าที่โอกาสจะอำนวย สิ่งที่ทำใหม่นี้ จะเป็นเงื่อนไขใหม่ ช่วย “ล้าง” กรรมชั่วที่ทำมาแล้วให้ละลายหายไป หรือผ่อนคลายลง


@@@@@@@

พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีอยู่ 4 เรื่องที่ปุถุชนคนมีกิเลสไม่ควรนำมาคิดให้ปวดสมอง เพราะคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ ขืนคิดมากจะเป็นบ้าเปล่าๆ 4 เรื่องนั้นคือ

    1. เรื่องของโลก เช่น โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะแตกดับเมื่อใด (ถึงจะมีคนพูดว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้สร้าง ไปๆ ก็กลายเป็นว่า “คิดเอาเอง” ทั้งนั้น)
    2. เรื่องของฌานสมาบัติ คนที่ได้ฌานสมาบัติมีฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ บางคนได้ฌานขั้นสูง เขาจับฝังดินเป็นเวลา 7-8 วัน งัดขึ้นมายังไม่ตาย มันเป็นไปได้อย่างไร สุดที่คนธรรมดาสามัญจะหยั่งรู้ได้
    3. เรื่องการให้ผลของกรรม กรรมมันมีกฎเกณฑ์อะไรของมัน มันให้ผล ไม่ให้ผล ให้ผลเร็ว ให้ผลช้า เพราะอะไร ไม่มีใครคาดเดาได้
    4. เรื่องของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างไร ทรงเป็นมนุษย์เหมือนคนทั่วไป แต่มีอะไรพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป เพราะอะไร เรื่องอย่างนี้ปุถุชนคนธรรมดาไม่สามารถคิดรู้ได้

ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนจะคิดจะรู้ได้ พระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะทรงรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการให้ผลของกรรม กรรมใดจะให้ผลเมื่อใดอย่างไร พระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงรู้ เพราะทรงรู้ พระองค์จึงทรงช่วยเหลือมิให้คนบางคนถลำทำกรรมหนัก หรือบางครั้ง คนคนหนึ่งจะต้องถึงแก่ความตายก็เสด็จไปช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความตาย

@@@@@@@

พูดอีกนัยหนึ่ง เสด็จไปประทานโอกาสสุดท้ายให้เขาได้สร้างเงื่อนไขที่ดี เพื่อผ่อนคลายกรรมเก่า หรือตัดกรรมเก่าด้วยตัวเขาเอง จะขอยกตัวอย่างสักสองเรื่อง ดังนี้

1) เรื่องที่หนึ่ง คงรู้กันทั่วไปคือ เรื่ององคุลิมาลโจร เดิมทีมหาโจรคนนี้ก็เป็นคนดี แต่เพราะได้อาจารย์ไม่ดี ยุยงให้ไปฆ่าคน หลอกว่าจะถ่ายทอดวิชาพิเศษ ซึ่งตนไม่เคยถ่ายทอดให้ใคร ด้วยความอยากได้วิทยาการพิเศษนั้น หนุ่มน้อยคนนี้จึงไปฆ่าคนจนกระทั่งกลายเป็นมหาโจรลือชื่อ ลือชื่อขนาดพระเจ้าแผ่นดินส่งกองทัพย่อยๆ ออกไปปราบ มารดารู้ว่าลูกชายจะถูกฆ่า จึงรีบเดินทางล่วงหน้าไปหาลูกชายเพื่อบอกให้รู้ตัว แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่า ถึงตอนนี้แล้วองคุลิมาลฟั่นเฟือนแล้ว พบหน้าใครก็จะฆ่าถ่ายเดียว ถ้าปล่อยให้สองแม่ลูกพบกัน องคุลิมาลจะต้องถลำทำบาปหนักขั้น “อนันตริยกรรม” คือฆ่าแม่บังเกิดเกล้าของตน จึงเสด็จไปดักหน้าก่อน

องคุลิมาลเห็นพระพุทธเจ้าก็วิ่งไล่ เพื่อฆ่าเอานิ้วมือ แต่พระพุทธองค์ทรงกลับใจเธอให้สำนึกผิดชอบชั่วดี จนทูลขอบวชเป็นสาวกของพระองค์ กลายเป็นพระอรหันต์ดังที่ทราบกันดีแล้ว

ถ้าไม่ได้พบพระพุทธเจ้า องคุลิมาลก็จะฆ่ามารดาทำกรรมหนัก ตัดมรรคผลนิพพาน แต่เพราะได้พบพระพุทธเจ้า องคุลิมาลจึงมี “โอกาส” สร้างเงื่อนไขใหม่ที่ดี และมีพลังจนกระทั่งผลักดันให้กรรมเก่า (ฆ่าคนมาเป็นร้อย) กลายเป็นอโหสิกรรมไปเลย

เรื่องอย่างนี้ พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ และทรง “แก้ไข” ได้

@@@@@@@

2) อีกเรื่องหนึ่ง ทรงรู้ว่าชาวนาคนหนึ่งจะถูกจับและถูกยัดข้อหาขโมยทรัพย์ของคนอื่น เช้าตรู่วันนั้น ขณะที่ชาวนาคนดังกล่าวไถนาอยู่ พระองค์พร้อมกับพระอานนท์พุทธอนุชาได้ไปยังที่นั้น พระองค์ตรัสถามพระอานนท์ดังๆ ว่า “อานนท์ เธอเห็นอสรพิษไหม” พระอานนท์กราบทูลว่า “เห็น พระเจ้าข้า อสรพิษตัวใหญ่เสียด้วย”

พอพระพุทธองค์และพระอานนท์ผ่านไปสักครู่ ชาวนาคนนั้นจึงถือไม้ตรงไปยังที่นั้น ด้วยหมายใจจะฆ่าอสรพิษตัวนั้นเสีย แต่กลับเห็นถุงเงินวางอยู่ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงเอาถุงเงินนั้นไปซุกไว้อีกที่หนึ่ง ชาวบ้านพากันตามรอยโจรมาพบถุงเงินเข้า จึงจับชาวนาคนนั้นไปขึ้นศาล

ขณะถูกจับไป ชาวนาคนนั้นพร่ำรำพันแต่คำพูดโต้ตอบกันของพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธอเห็นอสรพิษไหม” “เห็น พระเจ้าข้า อสรพิษตัวใหญ่เสียด้วย” จนพระเจ้าแผ่นดินทรงเอะพระทัย ไปกราบทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงเล่าให้พระเจ้าแผ่นดินฟัง พร้อมตรัสว่า ชาวนาคนนั้นมิใช่โจร แกจึงรอดตายอย่างหวุดหวิด

@@@@@@@

ยกทั้งสองเรื่องมาให้ฟัง เพื่อให้แง่คิดว่า กลไกของกรรมและการให้ผลของกรรม ไม่มีใครสามารถรู้ได้ นอกจากพระพุทธเจ้านี้ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง กรรมที่ทำลงไปแล้ว เรามีโอกาสที่จะผ่อนคลาย หรือแก้ไขให้มันให้ผลช้าลง เบาลง หรือแม้กระทั่งไม่ให้มันมีโอกาสให้ผลเลย (ในกรณีกรรมชั่ว) หรือเรามีโอกาสเสริมให้มันให้ผลดีมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้ (ในกรณีกรรมดี)

เพราะเรามีเวลาสร้าง “เงื่อนไข” ใหม่ขึ้นมาในระหว่างได้ เช่น เคยทำชั่วบางอย่างไว้ เราก็งดทำเช่นนั้นอีก ทำแต่บุญกุศลเพิ่มขึ้นๆ เรื่อยๆ ดังนี้เป็นต้น

อนาคตแห่งชีวิตจึงอยู่ในกำมือของเรา เราจะบันดาลให้มันเป็นไปอย่างไรก็ย่อมได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเราใหญ่กว่ากรรม จะให้เรียกว่าอะไรเล่าครับ






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 สิงหาคม 2561
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2561
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_125989
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ