การปรับสมดุลอินทรีย์ 5 ตามธาตุทั้ง 4 ตามแนวทางพระพุทธศาสนา
การปรับอินทรีย์ 5 ตามธาตุ 4
เมื่อทราบความหมายความสำคัญของอินทรีย์ 5 และธาตุ 4 แล้ว ในกระบวนการปรับอินทรีย์ตามธาตุนั้น มีดังต่อไปนี้ คือ
1) การปรับศรัทธากับธาตุ 4
ในทางพระพุทธศาสนาสอนว่า คนเราประกอบด้วยธาตุ 4 หรือมาจากธาตุ 4 รวมตัวกัน นั่นก็คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และก็ธาตุไฟ นี่เป็นคำสอนทางพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น การปรับศรัทธา ก็คือให้เชื่อว่า คนเรา หรือรูป ประกอบด้วยธาตุ 4 นั้นจริง ๆ ซึ่งจะทำให้เราพิจารณาแยกเป็นอย่าง ๆ ได้
2) การปรับวิริยะ สติ สมาธิ และปัญญากับธาตุ 4
เมื่อปรับศรัทธาให้ถูกต้องแล้ว วิริยะก็เกิดขึ้น เมื่อวิริยะเกิดขึ้น สติก็เกิดขึ้น เมื่อสติเกิดขึ้นสมาธิก็เกิดขึ้น เมื่อสมาธิเกิดขึ้น ปัญญาก็เกิดขึ้น เมื่อปัญญาเกิดขึ้น ก็จะทำให้รู้แจ้งเห็นจริง ๆ ในสิ่งที่กำลังทำนั้น ให้ประสบความสำเร็จได้ดังปรารถนา
หลักปฏิบัติในอินทรีย์ 5
1) สัทธินทรีย์ ในอินทรีย์ 5 ด้วยการนำจิตของตนให้ตั้งมั่นในศรัทธาหรือความเลื่อมใสในสิ่งที่ควรเชื่อ ควรกระทำ เช่น เชื่อว่าตนสามารถสอบเข้ามหาลัยได้หากตนขยันอ่านตำรามากขึ้น
2) วิริยินทรีย์ ในอินทรีย์ 5 ด้วยการนำจิตของตนให้ตั้งมั่นในความเพียร ความมานะอุตสาหะต่อสิ่งที่ตนกระทำเพื่อยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ตนมากที่สุด เช่น มีความขยันเพียรพยามยามที่จะอ่านตำราสอบ
3) สตินทรีย์ ในอินทรีย์ 5 ด้วยการนำจิตของตนให้ตั้งมั่นในความระลึกได้ขณะกระทำสิ่งใด อันปราศจากความเลื่อนลอยหรือความลืมตัวอันจะช่วยนำพาตนไปสู่ความเจริญ เช่น มีสติหรือความระลึกได้ขณะทำข้อสอบจำคำตอบที่ได้จากการอ่านตำราสอบ
4) สมาธินทรีย์ ในอินทรีย์ 5 ด้วยการนำจิตของตนให้ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ มีสมาธิ จิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งที่ตนดำเนินอยู่ เช่น มีสมาธิในการทำข้อสอบ
5) ปัญญินทรีย์ ในอินทรีย์ 5 ด้วยการนำจิตของตนให้ตั้งมั่นอยู่กับปัญญา คือ รู้จักใช้ความรู้ในการคิด วิเคราะห์ต่อสิ่งที่ตนจะกระทำหรือขณะกระทำเพื่อให้รู้แจ้งต่อสิ่งนั้น เช่น รู้จักคิดวิเคราะห์หาคำตอบจากข้อสอบตามที่ได้อ่านตำรามาล่วงหน้า
การปรับสมดุลของอินทรีย์ 5 ตามธาตุ 4 (ภูตรูป 4) โดยไม่เข้มงวดเกินไปหรือน้อยเกินไปเพื่อให้ได้ทางสายกลางในการประพฤติปฏิบัติ ร่างกายไม่อ่อนล้าเกิดไป อาจทำให้ไม่สบายได้ หรือหย่อนยานเกิดไปทำให้เกิดเกียจคร้านได้ (พระมานะ พุฒจันทร์ และ วิโรจน์ คุ้มครอง, 2565)
เมื่อตั้งมั่นในอินทรีย์ 5 ตามธาตุ 4 ย่อมเกิดอานิสงส์มาก ดังตัวอย่างข้างต้น เมื่อนักศึกษาที่ต้องการสอบเข้าเรียนต่อระดับสูงด้วยหลักอินทรีย์ 5 มีความศรัทธาเชื่อมั่นในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ตามด้วยวิริยะขยันหมั่นเพียรอ่านตำราให้มาก ด้วยสติจดจ่อ มีสมาธิแน่วแน่ ปัญญาก็เกิด ทำข้อสอบก็ได้ นี่เป็นแนวทางที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนโดยลำดับแล้ว
@@@@@@@
ปรับสมดุลอินทรีย์ 5 ตามธาตุทั้ง 4 เพื่อการบรรลุธรรมชั้นสูง
ในความแตกต่างของอินทรีย์ 5 พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บุคคล
1) เป็นพระอรหันต์เพราะมีอินทรีย์ 5 ประการนี้ครบถ้วนบริบูรณ์
2) เป็นพระอนาคามีเพราะมีอินทรีย์อ่อนกว่าพระอรหันต์นั้น
3) เป็นพระสกทาคามีเพราะมีอินทรีย์อ่อนกว่าพระอนาคามีนั้น
4) เป็นพระโสดาบันเพราะมีอินทรีย์อ่อนกว่าพระสกทาคามีนั้น
5) เป็นพระโสดาบันผู้ธัมมานุสารีเพราะมีอินทรีย์อ่อนกว่าพระโสดาบันนั้น
6) เป็นพระโสดาบันผู้สัทธานุสารีเพราะมีอินทรีย์อ่อนกว่าพระโสดาบันผู้ธัมมานุสารีนั้น
ภิกษุทั้งหลาย ความแตกต่างแห่งผลย่อมมี เพราะความแตกต่างแห่งอินทรีย์ ความแตกต่างแห่งบุคคลย่อมมีเพราะความแตกต่างแห่งผล อย่างนี้” (มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539)
ความเข้มข้นในการปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจังมีการปรับอินทรีย์ 5 ตามธาตุ 4 กำหนดพิจารณาร่างกายแยกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นว่าเป็นแต่เพียงธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา นามธรรมที่รู้จักกันด้วยชื่อ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจิตใจ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่รูปแต่น้อมมาเป็นอารมณ์ของจิตได้
การปฏิบัติกรรมฐานต้องมีความเข้าใจรูปธรรม นามธรรม จะรู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่สิ่งที่กำหนดรู้ คือ ใจ เป็นตัวกำหนดจำแนกได้ว่า สิ่งใดเป็นรูป สิ่งใดเป็นนามผู้ปฏิบัติต้องมีสติ สัมปชัญญะอยู่ในกายเสมอ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสกับปิงคิยะตอนหนึ่งว่า
"ปิงคิยะ พระวักกลิ พระภัทราวุธะ และพระอาฬวีโคดม เป็นผู้มีศรัทธาน้อมลงแล้ว (ได้บรรลุอรหัตด้วยศรัทธาธุระ) ฉันใด แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธาลง ฉันนั้น
ปิงคิยะ เมื่อท่านน้อมลงด้วยศรัทธาปรารภวิปัสสนา โดยนัยเป็นต้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ก็จักถึงนิพพาน อันเป็นฝั่งโน้นแห่ง วัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมัจจุราชฯ
พระปิงคิยะ เมื่อจะประกาศความเลื่อมใสของตน จึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์นี้ย่อมเลื่อมใสอย่างยิ่ง เพราะได้ฟังพระวาจาของพระองค์ผู้เป็นมุนี พระองค์มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้ว ตรัสรู้แล้วด้วยพระองค์เอง ไม่มีกิเลสดุจเสาเขื่อน ทรงมีปฏิภาณ ทรงทราบธรรมเป็นเหตุกล่าวว่าประเสริฐยิ่ง ทรงทราบธรรมชาติทั้งปวง ทั้งเลวและประณีต
พระองค์เป็นศาสดาผู้กระทำที่สุดแห่งปัญหาทั้งหลาย แก่เหล่าชนผู้มีความสงสัยปฏิญาณอยู่ นิพพานอันกิเลสมีราคะเป็นต้นไม่พึงนำไปได้ เป็นธรรมไม่กำเริบ หาอุปมาในที่ไหน ๆ มิได้
ข้าพระองค์จักถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุแน่แท้ ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยในนิพพานนี้เลย ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นผู้มีจิตน้อมไปแล้ว (ในนิพพาน)" (มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539)
การปรับอินทรีย์ 5 ตามธาตุ 4 ในการเจริญวิปัสสนาภาวนา
กำหนดรู้รูปนามให้ทันปัจจุบันขณะที่กำลังเกิดขึ้น เพราะโผฏฐัพพารมณ์มักเป็นช่องทางให้ตัณหา และอวิชชาแทรกเข้ามาครอบงำจิต ซึ่งนำไปสู่การหลงผิดคิดว่า สรรพสิ่งเป็นสภาวะคงทนถาวรเป็นสุข และมีตัวตน เราสามารถรับรู้การกระทบสัมผัสได้ทุกที่ การกระทบกับโผฏฐัพพารมณ์ย่อมเป็นเหตุให้เกิดกายวิญญาณ
ดังนั้น ในขณะเห็นผู้ปฏิบัติธรรมไม่ได้คิดว่าอารมณ์ที่เห็นเป็นอะไร เพียงแต่เห็นสภาวะปรมัตถ์เท่านั้น จึงควรกำหนดรู้อารมณ์ที่เห็นทันที เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะต้องใส่ใจกับอารมณ์ที่ปรากฏต่อหน้า ให้ทันปัจจุบันขณะ หากสามารถตั้งสติกำหนดรู้ในทุกขณะ และหยั่งเห็นว่าธาตุทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน ความผูกพันก็จะไม่เกิดขึ้น และจะสามารถดำเนินไปในวิปัสสนามรรคที่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่การรู้แจ้งมรรคผลนิพพานต่อไป
การปรับอินทรีย์ 5 แล้วมาพิจารณาธาตุ 4 ด้วยเช่นกัน คือ การพิจารณากำหนดรู้ธาตุ 4 เป็นอารมณ์ในขณะปฏิบัติกรรมฐาน ในอิริยาบถทั้ง 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมกระทบกับรูป 42 ประการ ที่มีอยู่ในร่างกายซึ่งเรียกว่า โกฏฐาสะ 42 หรืออาการ 42 คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น ควรพิจารณากำหนดว่า “ถูกหนอ” นี้จัดเป็นการรู้สภาวธรรม (พระโสภณมหาเถระ มหาสีสยาดอ, 2554) โดยมีวิธีกำหนดดังต่อไปนี้
1. การรู้สภาวะแข็งหรืออ่อน เป็นลักษณะพิเศษของปฐวีธาตุ เรียกว่า กกฺขฬตฺ ตลกฺขณา ปฐวีธาตุมีสภาพแข็งกว่าธาตุอื่น ๆ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เอ็น กระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอดไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่อาหารเก่า
2. การรู้สภาวะเย็นหรือร้อน เป็นลักษณะพิเศษของเตโชธาตุ เรียกว่า อุณฺหตฺตลกฺขณา ในมหาหัตถิปโทปมสูตรได้แสดงเตโชธาตุไว้เป็น 4 ลักษณะ กล่าวคือ เตโชธาตุที่ทำให้เกิดความอบอุ่นภายในร่างกาย ทำหน้าที่ย่อยอาหารต่าง ๆ ที่ดื่ม เคี้ยว หรือลิ้มรสเข้าไปในร่างกายให้ย่อยไป ทำให้ร่างกายแก่ทรุดโทรม หรือเปลี่ยนแปลงไป และทำให้ร่างกายกระสับกระส่าย
3. การรู้สภาวะหย่อนหรือตึง เป็นลักษณะพิเศษของวาโยธาตุ เรียกว่า วิตฺถมฺภนลกฺขณา การทำให้เคลื่อนไหวจากระยะหนึ่งไปสู่อีกระยะหนึ่ง เป็นกิจของวาโยธาตุ เรียกว่า สมุทีรณรสา การผลักดันเป็นอาการปรากฏของวาโยธาตุ เรียกว่า อภินีหารปจฺจุปฏฺฐานา กล่าวคือ สภาวะที่เคลื่อนไหว มีลักษณะเฉพาะคือเคลื่อนที่หรือหยุดนิ่ง มีหน้าที่ให้ความสามารถในการเคลื่อนไหวแก่ธาตุอื่นที่เกิดร่วมกัน
4. การรู้สภาวะของการไหลในขณะที่เหงื่อน้ำลายน้ำตาไหลออก ในขณะถ่มเสลดถ่มน้ำลายและในขณะปัสสาวะ เป็นต้น เป็นลักษณะพิเศษของอาโปธาตุ เรียกว่า ปคฺฆรณลกฺขณา การซึมแผ่กระจายไป ในขณะดื่มน้ำหรืออาบน้ำเป็นต้น เป็นกิจของอาโปธาตุ เรียกว่า พฺรูหนรสา และการรวมตัวเป็นรูปร่าง เป็นอาการปรากฏของอาโปธาตุ เรียกว่า สงฺคหปจฺจุปฏฺฐานา ซึ่งอาโปธาตุภายในก็มีภายนอกก็มี ได้แก่สิ่งที่เอิบอาบ ซึมซาบไป กำหนดได้มีในตน อาศัยตน คือ ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตาเปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร หรือแม้สิ่งอื่นไม่ว่าชนิดไร ๆ ที่เอิบอาบซึมซาบไป กำหนดได้มีในตน อาศัยตน นี้เรียกว่า อาโปธาตุ
@@@@@@@
องค์ความรู้
จากการศึกษาทำให้เกิดองค์ความรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างความสมดุลระหว่าง อินทรีย์ 5 กับธาตุ 4 เป็นความสัมพันธ์กันและเกิดผลเป็นทางไปสู่พระนิพพาน โดยเป็นการใช้อินทรีย์ 5 พิจารณารูป (ร่างกาย) เป็นธาตุ 4 หรือที่เรียกว่า มหาภูตรูป 4 ประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม เพื่อเป็นการลดอัตตา ความมีตัวตนความเป็นของของเรา ดังแผนภาพสรุป
หลักธรรมที่เป็นเครื่องวัดความพร้อม และบ่งชี้ความก้าวหน้าของบุคคล ในการปฏิบัติธรรมได้แก่ อินทรีย์ 5 คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา หลักธรรมนี้ ใช้สำหรับการปฏิบัติธรรมได้ทั่วไป ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด กล่าวคือ เมื่อมีศรัทธาทำให้เกิดความเพียร ความเพียรช่วยให้สติมั่นคง เมื่อสติมั่นคงแล้วกำหนดอารมณ์ ก็จะได้สมาธิ เมื่อมีสมาธิดีแล้วก็จะเกิดปัญญารู้เข้าใจ มองเห็นซึ้งถึงโทษของอวิชชาตัณหา ที่เป็นเหตุแห่งสังสารวัฏ มองเห็นคุณค่าของนิพพาน ซึ่งเป็นภาวะปราศจากความมืดแห่งอวิชชา และความทุรนทุรายแห่งตัณหา สงบประณีตดีเยี่ยม ครั้นเมื่อปัญญารู้ชัดเข้าใจด้วยตนเองแล้ว ก็จะเกิดมีศรัทธา ที่เป็นศรัทธาอย่างยิ่ง หรือยิ่งกว่าศรัทธา หมุนเวียนกลับเป็นสัทธินทรีย์อีก
ธาตุ 4 คือ รูป หรือรูปขันธ์ หรือกองร่างกาย เกิดจากเหตุหรือสิ่งที่มาเป็นปัจจัยกันของธาตุทั้ง 4 อันมี ธาตุดิน คือปฐวีธาตุ ธาตุน้ำ คืออาโปธาตุ ธาตุลม คือวาโยธาตุ และธาตุไฟ คือเตโชธาตุ หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่ามหาภูตรูป ความหมายหรือความสำคัญของธาตุ 4 ไม่ว่าจะเป็นสังขตะหรืออสังขตะ ก็ล้วนเป็นธาตุทั้งสิ้น แต่ว่า ธาตุนั้นไม่อาจแสดงคุณค่าหรือคุณสมบัติออกมา จนกว่าจะถึงโอกาส เมื่อได้ปัจจัยเฉพาะได้โอกาสแห่งการปรุงแต่งปรับปรุงถูกต้อง ถึงจะแสดงคุณค่าที่แท้จริงออกมา
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจิตใจ นามธรรม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูปคือรู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ด้วยใจ ได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ญาณหยั่งรู้ว่า สิ่งทั้งหลายเป็นแต่เพียงนามและรูป
การปรับสมดุลอินทรีย์ 5 ตามธาตุ 4 ในทางพระพุทธศาสนาโดยหมั่นเจริญวิปัสสนาภาวนาสร้างอินทรีย์ให้แก่งกล้าด้วยทางสายกลาง ไม่ตรึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป โดยการกำหนดรู้สภาวธรรม เช่น การกำหนดรู้กองรูปที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกันตามเหตุตามปัจจัย ว่าเป็นเพียงกองรูป ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา ของเรา และมีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน อันเกิดการเจริญวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ การเกิดและพัฒนาขึ้นของปัญญาญาณ คือ ปรีชาหยั่งรู้ที่เกิดแก่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาโดยลำดับ มีสติรู้เท่าทันปัจจุบันอารมณ์ เห็นรูปนามธาตุ 4 ตามความเป็นจริง พิจารณาเห็นพระไตรลักษณ์ แล้วเกิดปัญญารู้แจ้ง เป็นผู้หมดจดกิเลสโดยสิ้นเชิงเอกสารอ้างอิง :-
- พระเทพปัญญาเมธี (ทองอยู่ ญาณวิสุทฺโธ). (2558). สารัตถธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย.
- พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (2552). พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ. (พิมพ์ครั้งที่
11). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
- พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (2556). พจนานุกรรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. (พิมพ์ครั้ง
ที่ 24). กรุงเทพฯ: ธรรมสภา.
- พระมานะ พุฒจันทร์ และ วิโรจน์ คุ้มครอง. (2565). อสุภกัมมัฏฐานอันเป็นบาทฐานในการปฏิบัติ
วิปัสสนาภาวนา. วารสารสหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 5(1), 327-338.
- พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ). (2553). วิปัสสนาชุนี หลักการปฏิบัติวิปัสสนา. (จำรูญ ธรรมดา,
แปล). กรุงเทพฯ: ประยูรสาสน์ไทยการพิมพ์.
- พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ). (2554). นิพพานกถา. (พระคันธสารภิวงศ์, แปล). นครปฐม :
ประยูรสาส์นไทยการพิมพ์.
- พระสมชาย บัวแก้ว, พระมหาบุญศรี วงค์แก้ว และ สุเชาวน์ พลอยชุม. (2564). อภิสมาจาร กระบวนการพัฒนาบุคลิกภาพตามแนวพระพุทธศาสนา. วารสารศิลปการจัดการ, 5(3),895-907.
- มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
- วิริยะ สว่างโชติ. (2550). คุณภาพชีวิตและการส่งเสริม. สืบค้นเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2565, จาก
http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=410.- Chanthathong, S. (2021). The Significance of the Right View (Sammaditthi) in Theravada Buddhism. Journal of International Buddhist Studies, 12(1), 61-70.
- Damnoen, P. S., Siri, P., Supattho, P. S., & Kaewwilai, K. (2021). The Development of Student Characteristics in According to the Nawaluk Framework of the Buddhist integration of Buddhapanya Sri Thawarawadee Buddhist College. Asia Pacific Journal of Religions and Cultures, 5(2), 126-135.
- Tan, C. C., & Damnoen, P. S. (2020). Buddhist Noble Eightfold Path Approach in the Study of Consumer and Organizational Behaviors. Journal of MCU Peace Studies, 8(1), 1-20.
- World Health Organization. (2002). Active ageing: A Policy Framework. Geneva : World Health Organization.
ขอขอบคุณ :-
แหล่งที่มา : วารสารสหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (เมษายน – มิถุนายน 2565) หน้าที่ 761-775 , Journal of Multidisciplinary in Humanities and Social Sciences Vol. 5 No. 2 (April – June 2022) page no.761-775
ภาพ : pinterest