ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จริงโดยสมมุติ จริง โดยความเป็นจริง จริงโดยปรมัตถ์  (อ่าน 10990 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
วันนี้มาพบสนทนาธรรมกับท่าน ด้วยหัวข้อ ที่ดูธรรมดา แต่เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ได้เข้าถึงหลักธรรม ที่ควรจะเป็น การจะเข้าใจ อริยสัจจะ  หรือ ความจริงของพระอริยะเจ้า ท่านทั้งหลาย ต้องเทียบเป็นกันธรรมด้วยไม่ใช่ว่า จะเข้าใจ ทุกข์ โดยส่วนใดได้ หากแต่ท่านต้องเข้าถึงสัจจะ คือ ความจริง
ให้เข้าใจตามหัวข้อนี้กันด้วยนะ มาเปิดธรรมวิจยะ ให้ท่านทั้งหลาย ได้ ทดสอบกำลังใจกันหน่อย

1.จริงโดยสมมุติ

2.จริงโดยความเป็นจริง

3.จริงโดยปรมัตถ์

ลองทำความเข้าใจกันหน่อยนะจ๊ะ จะได้ภาวนาให้ถูกทาง ในทางที่ควรจะเป็น

 เจริญธรรม / เจริญพร

 ;)
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

เสกสรรค์

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 419
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นหัวข้อธรรม ที่จะนำมา ธรรมวิจยะ ขอบคุณพระอาจารย์ที่แนะนำครับ
ปกติ สมองไม่ค่อยแล่นกับเรื่อง ธรรมะ ครับ

  :s_hi: :49:
บันทึกการเข้า

วิชชุดา

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 275
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จริง โดยสมมุติ พอจะเข้าใจ หมายถึง สมมุติ ว่าชื่อนี้ ชื่อนั้น หน้าที่นั้น หน้าที่นี้ ใช่หรือไม่คะ
จริง โดยความเป็นจริง ไม่ค่อยจะเ้ข้าใจ
จริง โดยความเป็นปรมัตถ์ ก็ยิ่งจะไม่เข้าใจ

   ถ้าจะเทียบ ก็คือ สมมุติ กับ บัญญัติ เคยได้ยินมาเท่านี้นะคะ

   :58:
บันทึกการเข้า
ขอให้ทุกท่าน จงเป็นผู้มีความสุข กันทุกคนนะจ๊ะ

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
วันนี้มาพบสนทนาธรรมกับท่าน ด้วยหัวข้อ ที่ดูธรรมดา แต่เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ได้เข้าถึงหลักธรรม ที่ควรจะเป็น การจะเข้าใจ อริยสัจจะ  หรือ ความจริงของพระอริยะเจ้า ท่านทั้งหลาย ต้องเทียบเป็นกันธรรมด้วยไม่ใช่ว่า จะเข้าใจ ทุกข์ โดยส่วนใดได้ หากแต่ท่านต้องเข้าถึงสัจจะ คือ ความจริง
ให้เข้าใจตามหัวข้อนี้กันด้วยนะ มาเปิดธรรมวิจยะ ให้ท่านทั้งหลาย ได้ ทดสอบกำลังใจกันหน่อย

1.จริงโดยสมมุติ

2.จริงโดยความเป็นจริง

3.จริงโดยปรมัตถ์


ลองทำความเข้าใจกันหน่อยนะจ๊ะ จะได้ภาวนาให้ถูกทาง ในทางที่ควรจะเป็น

 เจริญธรรม / เจริญพร

 ;)


 น่าสนใจมากครับ

  ที่ผมติดใจก็คือ จริง โดยความเป็น จริง กับ จริงโดย ปรมัตถ์ นี้ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวกับสักกายทิฏฐิด้วยหรือไม่ครับ แต่อ่านแล้วทบทวน เกี่ยวอะไรกับเรื่องทุกข์ ครับ

  :smiley_confused1: :c017:
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จริงโดยสมมุติ....เป็นการยกเปรีบเทียบ จัดเป็นปริยัติ  การปัจเวกพิจราณาธรรม พิจราณาธาตุ เป็นบัญญัติ หาที่สุดไม่ได้ ไม่จบแต่ได้ธรรมวิจยะ เพราะธรรมวิจยะ ใช้ธาตุไฟมาก ธาตุไฟมีประโยชน์ เพราะเป็นธาตุที่แตกไตรลักษณ์ ในปริบัติปฏิเวธ
จริงโดยความเป็นจริง.....เห็นตามอริยสัจย์สี่ ทุกขสัจน์ สมุทัยสัจน์ นิโรธสัจน์ มรรคสัจน์ สัจน์ในที่นี้ คือสัจจะความจริง
                           ตามธรรมชาติในความเป็นจริง
จริงโดยปรมัตถ์....(ไม่รู้)....เเต่ขอตอบทิ้งไว้แบบบัญญัติก่อน ว่าจริงโดยปรมัติถ์.....คือความเห็นว่า ....ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา กายในที่นี้คือ ตา หูจมูกลิ้นกายใจ คือเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา
       ความเห็นตามธาตุ เหนือธาตุ เหนือโลก .
       ได้ยินมาแบบนี้.
                   
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จริงโดยสมมุติ....เป็นการยกเปรีบเทียบ จัดเป็นปริยัติ  การปัจเวกพิจราณาธรรม พิจราณาธาตุ เป็นบัญญัติ หาที่สุดไม่ได้ ไม่จบแต่ได้ธรรมวิจยะ เพราะธรรมวิจยะ ใช้ธาตุไฟมาก ธาตุไฟมีประโยชน์ เพราะเป็นธาตุที่แตกไตรลักษณ์ ในปริบัติปฏิเวธ
จริงโดยความเป็นจริง.....เห็นตามอริยสัจย์สี่ ทุกขสัจน์ สมุทัยสัจน์ นิโรธสัจน์ มรรคสัจน์ สัจน์ในที่นี้ คือสัจจะความจริง
                           ตามธรรมชาติในความเป็นจริง
จริงโดยปรมัตถ์....(ไม่รู้)....เเต่ขอตอบทิ้งไว้แบบบัญญัติก่อน ว่าจริงโดยปรมัติถ์.....คือความเห็นว่า ....ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา กายในที่นี้คือ ตา หูจมูกลิ้นกายใจ คือเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา
       ความเห็นตามธาตุ เหนือธาตุ เหนือโลก .
       ได้ยินมาแบบนี้.
                   

  อ่านแล้ว พยายามทำความเข้าใจตามนะครับ
 
  จริงโดยสมมุติ น่าจะเป็นเรื่องของบัญญัติ นะครับส่วนนี้

  จริงโดยความเป็นจริง อันนี้น่าจะหมายถึง กฏพระไตรลักษณ์
 
  จริงโดยปรมัตถ์ อันนี้น่าจะหมายถึง นิพพาน
บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ครูอาจารย์เคยพูดว่าแม้ทําความเข้าใจ ในภาษาคิดแล้วเราได้อะไร ในเมื่อธรรมสภาวะเรายังไมได้
        ตรงนี้ขอยกไว้ให้สําหรับผู้ภาวนานะ ที่ไม่ได้ภาวนา ยกเว้น ที่ยกเว้นก็คือ ถ้าติดใจถามได้ แต่สําหรับผู้ภาวนา เราอยากให้เข้าให้ถึงธรรมสภาวะของจริง
        สุตตามัยปัญญา  จินตามัยปัญญา ภาวนามัยปัญญา
     ในวิปัสสนาโพชฌงค์ ก็มีสามระดับคล้ายๆกันนะ
      ธรรมสัมปยุต  ธรรมวิจยะ ธรรมสภาวะ ...สามองค์นี้ต่างฐานจิต เน้นความได้
         ได้จากข้างใน  ข้างนอกก็ได้ 
     เรียกว่าถอดจิตได้ ก็ขึ้นวิปัสสนาโพชฌงค์
          แล้วก็เอาเบสิก ในห้องเรียน รูปนาม ปีติยุคคลสุข มาสอนใจ อุปจารฌานคือเบสิก ปฐมฌานเอาจริงตรงนั้นตัวใครตัวมัน ไม่มีครูก็ไม่มีโอกาสรู้หรอกที่เล่ามานี่
         ทําให้ได้กรรมฐานสองส่วน มีสายต่อโยงถึงกัน อานาปาน ทางช้างเผือก ทําลมหายใจเป็นทางช้างเผือก
        รูปนามสมถะวิปัสสนาเห็นชัด แต่ก็ต้องวัดกันที่ ธรรมสภาวะ ความเข้าใจในส่วน ญาณฝ่ายปรมัติ อานาปานลมปราณมีญานสติ ไม่ต้องคิด พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์กรอกหูให้ได้ยิน อย่าคิดว่าเป็นของเราเป็นเรา  สายเจโตตรงนั้นยังจัดเป็นแค่โลกียะ  แม้ได้เจโตแล้วครูอาจารย์บอกว่าเห็นทุกข์เยอะกว่าเดิม
   อาจจะงง สายฤทธิ์คิดว่าสนุก มีธรรมสังเวธเยอะกว่าเดิม แต่ก็บรรลุญาณได้สูงกว่าเดิม
    ที่พูดมาทั้งหมดเป็นโลกียะ แม้กระทั่งตัวผู้นํามาเล่า
    แต่ก็เพื่อส่งเสริมด้านกําลังใจกันไปก่อน สรุปว่า คงไม่ได้ทั้คู่ทั้งผู้พูดและผู้เล่า เพราะยังชอบสนุกก็เลยไม่ทิ้งสุข
       ขอให้ถึงธรรมสภาวะกันสําหรับผู้ตั้งใจ ออกจากสังสารวัฏ
         เก็บตกมาอุดหนุน
     
 
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พยายามทำความเข้าใจ กับหัวข้อที่พระอาจารย์ ตั้งไว้ อยู่นะคะ ถ้าเล่าออกไปเกรงว่าจะเพลี่ยงพล้ำ ฟังทุกท่านวิจารณ์ กันก่อนน่าจะดีกว่า ได้เจริญธรรม ด้วยคะ

  :25: :25: :smiley_confused1:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ครูอาจารย์เคยพูดว่าแม้ทําความเข้าใจ ในภาษาคิดแล้วเราได้อะไร ในเมื่อธรรมสภาวะเรายังไมได้
        ตรงนี้ขอยกไว้ให้สําหรับผู้ภาวนานะ ที่ไม่ได้ภาวนา ยกเว้น ที่ยกเว้นก็คือ ถ้าติดใจถามได้ แต่สําหรับผู้ภาวนา เราอยากให้เข้าให้ถึงธรรมสภาวะของจริง
        สุตตามัยปัญญา  จินตามัยปัญญา ภาวนามัยปัญญา
     ในวิปัสสนาโพชฌงค์ ก็มีสามระดับคล้ายๆกันนะ
      ธรรมสัมปยุต  ธรรมวิจยะ ธรรมสภาวะ ...สามองค์นี้ต่างฐานจิต เน้นความได้
         ได้จากข้างใน  ข้างนอกก็ได้ 
     เรียกว่าถอดจิตได้ ก็ขึ้นวิปัสสนาโพชฌงค์
          แล้วก็เอาเบสิก ในห้องเรียน รูปนาม ปีติยุคคลสุข มาสอนใจ อุปจารฌานคือเบสิก ปฐมฌานเอาจริงตรงนั้นตัวใครตัวมัน ไม่มีครูก็ไม่มีโอกาสรู้หรอกที่เล่ามานี่
         ทําให้ได้กรรมฐานสองส่วน มีสายต่อโยงถึงกัน อานาปาน ทางช้างเผือก ทําลมหายใจเป็นทางช้างเผือก
        รูปนามสมถะวิปัสสนาเห็นชัด แต่ก็ต้องวัดกันที่ ธรรมสภาวะ ความเข้าใจในส่วน ญาณฝ่ายปรมัติ อานาปานลมปราณมีญานสติ ไม่ต้องคิด พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์กรอกหูให้ได้ยิน อย่าคิดว่าเป็นของเราเป็นเรา  สายเจโตตรงนั้นยังจัดเป็นแค่โลกียะ  แม้ได้เจโตแล้วครูอาจารย์บอกว่าเห็นทุกข์เยอะกว่าเดิม
   อาจจะงง สายฤทธิ์คิดว่าสนุก มีธรรมสังเวธเยอะกว่าเดิม แต่ก็บรรลุญาณได้สูงกว่าเดิม
    ที่พูดมาทั้งหมดเป็นโลกียะ แม้กระทั่งตัวผู้นํามาเล่า
    แต่ก็เพื่อส่งเสริมด้านกําลังใจกันไปก่อน สรุปว่า คงไม่ได้ทั้คู่ทั้งผู้พูดและผู้เล่า เพราะยังชอบสนุกก็เลยไม่ทิ้งสุข
       ขอให้ถึงธรรมสภาวะกันสําหรับผู้ตั้งใจ ออกจากสังสารวัฏ
         เก็บตกมาอุดหนุน
     
 
พยายาม ทำความเข้าใจอยู่ครับ ว่าการภาวนา เกี่ยวอะไร กับเรื่อง จริง หรือ ไม่จริง ครับ
 หาเหตุผล สมการที่ ถูกต้อง คือ จริง เป็น เท็จ หรือ ว่า เท็จ เป็น จริง
 ถ้าเราเข้าใจ ความจริง โดยการนึกคิด ก็เหมือนกับ นึกคิด จะพ้นจากลูป ของ อวิชชา หรือไม่ครับ

  :smiley_confused1:

บันทึกการเข้า

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
การนึกคิด คาดเดา ยังมีสังขตะ(การปรุงแต่งสังขาร) ยังไม่พ้นอวิชชา
     รูปกายลักษณะสมบูรณ์ เพราะรวมธาตุสี่ได้ ถ้ารวมลมยังไม่ได้รูปกาย(พระลักษณะก็ยังไม่สมบูรณ์)
    ถ้ารูปกายยังไม่สมบูรณ์ เรื่องนามกาย(รัศมี)ก็ยังไม่เกิด
     มีขั้นสี่ แล้วจึงมีขั้นห้า
      เรียน ขันธ์ห้าต้องรู้ทั้งองค์ห้า เพราะขันธ์ห้าคือรูปนาม เพราะขันธ์ห้าคือสมถะและวิปัสสนา
       เพราะขันธ์ห้าคือรูปกรรมฐานและอรูปกรรมฐาน
         การจะจับขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ได้ นั้น ต้องเริ่มมาจากการเรียนปีติห้าก่อน จึงจะได้รู้จักขันธ์ห้า

        การจะบอกว่าจับรูปนามเป็นอารมณ์ จับสมถะวิปัสสนาเป็นอารมณ์ได้
        ถ้าไม่ได้เรียนทั้งห้า หรือทั้งสองส่วนรูปนาม แล้วจะเอาอะไรมากล่าวว่ารู้จักขันธ์ห้า

     เพราะฉะนั้น จะเรียนแค่ขันธ์สอง ขันธ์สาม ขันธ์สี่ ก็ได้ แต่ไม่ใช่ขันธ์นํา เพราะนี่
     กรรมฐานนี้ เรียนมรรค เรียนขันธ์ห้ากัน
      รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เรียนในนี้ รู้ในนี้
       เข้าอนุโลม ปฏิโลม ปีติห้า เรียนลักษณะรัศมี เข้าวัดออกวัด
        เห็นปราณใน เข้าสะกด
        อานาปง อานาปา ไม่ต้องพูดเกิดจากที่นี่ .......ที่เรียนจากปีติห้า
          อาโลกกสิน ปฐวีกสิน อุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ธรรมกายธรรมจักร(รูปวัตถุสิบหก-เป็นสติปัฏฐานสี่มีกาย เวทนา จิต ธรรมอยู่ในตัว)
         อยู่ในขวดเดียวกัน คือกรรมฐานมัชฌิมาแบบลําดับ เรียนเป็นลําดับจากปีติห้า
         การงาน ใช้นิมิตสามประการเป็นหลัก
     เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างไร ก็เห็นในนี้
     ปีติห้าคือเรียนธาตุ ขันธ์ห้าคือธาตุ รูปนามคือธาตุ
  ปีติยุคคลกายสุขจิตสุข เข้าธาตุ ออกธาตุ อุปจาร มรณา พุทธานุสสติ
   ได้อุคหนิมิต เป็นพระโสดาบัน
อยากเรียนกรรมฐานนี้ ขอเชิญไปขึ้นกรรมฐาน กับพระอาจารย์คณะห้า วัดราชสิทธาราม ฝั่งธน
    ในปีห้าเก้า ไปรถไฟฟ้าโผล่หน้าวัดพอดี
   ขอให้โชคดีทุกท่าน จะได้คุยกันรู้เรื่อง


     
       
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อยากให้ท่าน aaaa ช่วยขยาย จริง โดย ความเป็น จริง หน่อยครับ
ขอบคุณมากครับ


  :25: :c017:
บันทึกการเข้า

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
เข้าใจ ในทุกข์ ก็จะเข้าใจ ความจริง

เจริญธรรม / เจริญพร

 
Aeva Debug: 0.0004 seconds.
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

lastman

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +10/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 158
  • สระบุรี มีอรอยพระพุทธบาทมากที่สุด.................
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
กำลัง พยายาม ถอดรหัส คำใบ้ เหล่านี้ ด้วยการภาวนา ครับ
อนุโมทนา สาธุ ที่พระอาจารย์ส่งข้อความให้ ในการพิจารณา หลักธรรม ครับ

  :c017: :25:
บันทึกการเข้า
อนันตริยกรรม ๖ พึงงดเว้น
มีเพื่อนบอกว่าคุณจะเลวอย่างไรก็ได้ แต่อย่าทำผิดศีล ๕

ทิด...คนหนึ่งที่นับถืออาจารย์

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จริงโดยสมมติ คือ รู้ในสภาพของสมถะที่มีบัญญัติเป็นอารมณ์หรือเปล่าครับ
จริงโดยความจริง คือ รู้ในเหตุปัจจัยและผลตามจริงป่าวครับ
จริงโดยปรมัตถธรรม คือ รู้ในสภาพจริงๆ มีสภาพจริงเป็นอารมณ์ตัดขาดจากสมมติบัญญัติใดๆ รู้ในสภาพจริงๆ ที่ไม่ว่าใครบุคคลใดก็สามารถรู้สึกรับรู้ได้ทุกคน เช่น สภาพ รูป-นาม หรือ ความรู้สึก ใช่ไหมครับ

- ถ้ารวมทั้ง 3 ข้อในการปฏิบัติจะเป็นการเจริญสมถะและวิปัสนาพร้อมๆกัน ถ้าเป็นอย่างนี้จะไม่ดิ่งแช่จมอยู่แต่เป็นการที่มีความสงบจิตจดจ่อแล้วต่อยอดไปถึงญาณคือปัญหาใช่ไหมครับ

- หากผมเข้าใจหรือตีความผิดขออภัยพระคุณเจ้าด้วยครับเพราะเกรงว่าการตีความผิดๆจะต่อยอดซึ่งทางปฏิบัติที่ผิดๆต่อไปน่ะครับ
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ลองวิจารณ์ โดยยก ทุกข์เป็นองค์ตั้ง ดูนะครับ
จริง โดยสมมุติ ว่า นี่เป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ญาติ สหาย หัวหน้า ลูกน้อง เป็นต้น ตรงนี้สมมุติให้เป็น แต่ถ้าใครตั้งมั่นในสมมุติ ไว้อย่างเหนียวแน่น ก็ต้อง ทุกข์ แท้ที่จริง ความจริง ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ครับ

 จริง โดยความเป็น จริง อันนี้ ผมว่าน่าจะหมายถึง กฏแห่งพระไตรลักษณ์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงไม่สมมุติ แต่ความเป็นจริง ก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น คือ เกิด แล้ว ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย

 จริง โดย ปรมัตถ์ ฟังมาจากพระอาจารย์ อีกทีนานมากแล้ว นั้นคือความเป็นจริง ที่เป็นสภาวะ อันเกิดจากการภาวนา เริ่มตั้งแต่ ศรัทธา ไป ปีติ ปราโมทย์  สุข สมาธิ เป็นต้นไป สิ่งเหล่านี้เรียกว่า จริง โดยปรมัตถ์ เพราะถึงความจริงนี้ได้ ด้วยอาการภาวนา เท่านั้น ถ้าไม่ภาวนา ก็ไม่ถึง ทั้งที่ต้นสายปลายเหตุ มีเพียงเพื่อความหลุดพ้นจาก วัฏฏะวังวน ของทุกข์ จึงได้จัดเรียกส่วนนี้ ว่า จริง โดยปรมัตถ์ กล่าวคือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 นั้นคือความเป็นจริง โดยปรมัตถ์

 อธิบาย บูชาครูครับ


  :49: :s_hi:
บันทึกการเข้า

tewada

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 75
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ลองวิจารณ์ โดยยก ทุกข์เป็นองค์ตั้ง ดูนะครับ
จริง โดยสมมุติ ว่า นี่เป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ญาติ สหาย หัวหน้า ลูกน้อง เป็นต้น ตรงนี้สมมุติให้เป็น แต่ถ้าใครตั้งมั่นในสมมุติ ไว้อย่างเหนียวแน่น ก็ต้อง ทุกข์ แท้ที่จริง ความจริง ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ครับ

 จริง โดยความเป็น จริง อันนี้ ผมว่าน่าจะหมายถึง กฏแห่งพระไตรลักษณ์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงไม่สมมุติ แต่ความเป็นจริง ก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น คือ เกิด แล้ว ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย

 จริง โดย ปรมัตถ์ ฟังมาจากพระอาจารย์ อีกทีนานมากแล้ว นั้นคือความเป็นจริง ที่เป็นสภาวะ อันเกิดจากการภาวนา เริ่มตั้งแต่ ศรัทธา ไป ปีติ ปราโมทย์  สุข สมาธิ เป็นต้นไป สิ่งเหล่านี้เรียกว่า จริง โดยปรมัตถ์ เพราะถึงความจริงนี้ได้ ด้วยอาการภาวนา เท่านั้น ถ้าไม่ภาวนา ก็ไม่ถึง ทั้งที่ต้นสายปลายเหตุ มีเพียงเพื่อความหลุดพ้นจาก วัฏฏะวังวน ของทุกข์ จึงได้จัดเรียกส่วนนี้ ว่า จริง โดยปรมัตถ์ กล่าวคือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 นั้นคือความเป็นจริง โดยปรมัตถ์

 อธิบาย บูชาครูครับ


  :49: :s_hi:

อธิบายได้ชัดเจน ดี คะ ไม่ทราบว่าเป็น พระ หรือไม่คะ เห็นใช้รูปพระธุดงค์

 :25: :c017:
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอบพระคุณท่านนักเดินทางครับที่อธฌบายให้เข้าใจแจ่มแจ้งครับ
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

nirvanar55

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 305
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นเรื่องที่อ่านแล้ว พอจะเข้าใจ แต่ครูอาจารย์ยังไม่ได้แสดงความเห็นเพิ่มเิิติม ว่าใช่หรือไม่ ตามคำวินิจฉัย

 จึงอยากให้มีการตอบเรื่องนี้่ใหม่ ครับ

  :s_hi:
บันทึกการเข้า

rainmain

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 323
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ลองวิจารณ์ โดยยก ทุกข์เป็นองค์ตั้ง ดูนะครับ
จริง โดยสมมุติ ว่า นี่เป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ญาติ สหาย หัวหน้า ลูกน้อง เป็นต้น ตรงนี้สมมุติให้เป็น แต่ถ้าใครตั้งมั่นในสมมุติ ไว้อย่างเหนียวแน่น ก็ต้อง ทุกข์ แท้ที่จริง ความจริง ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ครับ

 จริง โดยความเป็น จริง อันนี้ ผมว่าน่าจะหมายถึง กฏแห่งพระไตรลักษณ์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงไม่สมมุติ แต่ความเป็นจริง ก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น คือ เกิด แล้ว ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย

 จริง โดย ปรมัตถ์ ฟังมาจากพระอาจารย์ อีกทีนานมากแล้ว นั้นคือความเป็นจริง ที่เป็นสภาวะ อันเกิดจากการภาวนา เริ่มตั้งแต่ ศรัทธา ไป ปีติ ปราโมทย์  สุข สมาธิ เป็นต้นไป สิ่งเหล่านี้เรียกว่า จริง โดยปรมัตถ์ เพราะถึงความจริงนี้ได้ ด้วยอาการภาวนา เท่านั้น ถ้าไม่ภาวนา ก็ไม่ถึง ทั้งที่ต้นสายปลายเหตุ มีเพียงเพื่อความหลุดพ้นจาก วัฏฏะวังวน ของทุกข์ จึงได้จัดเรียกส่วนนี้ ว่า จริง โดยปรมัตถ์ กล่าวคือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 นั้นคือความเป็นจริง โดยปรมัตถ์

 อธิบาย บูชาครูครับ


  :49: :s_hi:


   คำอธิบายก็ัชัดเจน ดี อยู่นี่ครับ
 
บันทึกการเข้า
คิดดี พูดดี ทำดี เป็นกุศล และ กรรมฐาน เป็นมหากุศล นะครับ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7249
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
อธิบาย ได้ถูกต้องตามความ หมายสมกับที่ได้ติดตามรับฟังรายการ มาตลอด
ลองวิจารณ์ โดยยก ทุกข์เป็นองค์ตั้ง ดูนะครับ
จริง โดยสมมุติ ว่า นี่เป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ญาติ สหาย หัวหน้า ลูกน้อง เป็นต้น ตรงนี้สมมุติให้เป็น แต่ถ้าใครตั้งมั่นในสมมุติ ไว้อย่างเหนียวแน่น ก็ต้อง ทุกข์ แท้ที่จริง ความจริง ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ครับ

 จริง โดยความเป็น จริง อันนี้ ผมว่าน่าจะหมายถึง กฏแห่งพระไตรลักษณ์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงไม่สมมุติ แต่ความเป็นจริง ก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น คือ เกิด แล้ว ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย

 จริง โดย ปรมัตถ์ ฟังมาจากพระอาจารย์ อีกทีนานมากแล้ว นั้นคือความเป็นจริง ที่เป็นสภาวะ อันเกิดจากการภาวนา เริ่มตั้งแต่ ศรัทธา ไป ปีติ ปราโมทย์  สุข สมาธิ เป็นต้นไป สิ่งเหล่านี้เรียกว่า จริง โดยปรมัตถ์ เพราะถึงความจริงนี้ได้ ด้วยอาการภาวนา เท่านั้น ถ้าไม่ภาวนา ก็ไม่ถึง ทั้งที่ต้นสายปลายเหตุ มีเพียงเพื่อความหลุดพ้นจาก วัฏฏะวังวน ของทุกข์ จึงได้จัดเรียกส่วนนี้ ว่า จริง โดยปรมัตถ์ กล่าวคือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 นั้นคือความเป็นจริง โดยปรมัตถ์

 อธิบาย บูชาครูครับ


     จริง โดยสมมุติ ก็คือ ความเป็นจริงที่สมมุติขึ้นมา ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา แต่ความจริงโดยสมมุตินี้มีการสมมุติไม่สิ้นสุด เช่น เป็น ลูก เป็น พ่อ เป็น แม่ เป็นพลเมือง เป็นผู้ภาวนา อย่างนี้เป็นต้น

     จริง โดยความเป็นจริง ก็คือ จริงที่เป็นเช่นนั้น เป็นกฏของทุกสรรพสิ่ง ในก็คือ พระไตรลักษณ์ หรือที่รวมเรียกว่า สามัญลักษณะ ซึ่งเป็นความจริง โดยความเป็นจริง จะสมมุติ หรือ ไม่สมมุติ ก็เป็นจริง อย่างนั้น นะจ๊ะเพราะทุกสรรพสิ่ง เป็น อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา

     จริง โดยปรมัตถ์ ก็คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 หรือที่เรียกว่า โลุกตตระธรรม 9 อันนี้เรียกว่าจริงโดยปรมัตถ์เพราะเป็นสภาวะจริง ๆ ของผู้ภาวนา จนได้ ผล หรือที่เรียกว่า บรรลุธรรม เมื่อถึงผลนี้ก็เรียกว่า จริงแท้ แต่ ก็รู้ภายในตน ที่เรียกว่า ปัจจัตตัง คือ รู้เฉพาะตน จริงโดยปรมัตถ์ เริ่มต้นที่ ศรัทธา ปิีติ ปราโมทย์ ไปจนถึง นิพพาน  เมื่อถึงตรงนี้เรียกว่า  นิโรธสัญญา  จำความเป็นจริงแห่งปรมัตถ์ได้  ดังนั้น ปรมัตถ์ เป็นเรื่องเหนือโลก เหนือกาคาดเดา

     สาธุ สาธุ สาธุ

 
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ