ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - kindman
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / web อืด กับเข้าได้ยากครับ เมื่อ: มีนาคม 29, 2016, 02:28:50 pm
web อืด กับเข้าได้ยากครับ

 :s_hi: :49:
2  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การบริภาษ ด่า ติเตียน พระสงฆ์ ที่ประพฤติ เป็น บาป หรือ เป็น บุญ เมื่อ: สิงหาคม 13, 2015, 02:26:27 pm
 ask1

การบริภาษ ด่า ติเตียน พระสงฆ์ ที่ประพฤติ เป็น บาป หรือ เป็น บุญ

 :13:
3  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ขอเรียนถาม ทุกท่าน นะครับ ทำงานอย่างไร จะมีความสุขได้ ครับ เมื่อ: มิถุนายน 15, 2015, 11:29:22 pm
 ask1
 ( พึ่งจะถามเป็นกิจลักษณะ นะครับ ครั้งแรก อยากให้ตอบด้วยนะครับ )
ขอเรียนถาม ทุกท่าน นะครับ ทำงานอย่างไร จะมีความสุขได้ ครับ
 1.ถ้าเจ้านายไม่ชอบเรา พยายามกันท่าเรา ให้คนที่เขาชอบ เช่นมีงานที่ทำง่าย ๆ ก็ส่งไปให้คนที่เขาชอบ แต่ถ้าเป็นงานหนัก ๆ แก้ปัญหาได้ยาก ก็ส่งมาให้เราทำแทน ครั้นพอทำเกินเวลากำหนด ก็จะสรุป ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ สู้อีกคนไม่ได้ ทำงานดีมีประสิทธิภาพ

 2.เพราะเหตุเป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นเวลาทำอะไรก็ชอบ ต้องขอเหตุผล แต่ หน.บอกว่า ให้ทำตามคำสั่งไม่ต้องสนเหตุผลอะไร ให้สนอย่างเดียว ว่า ข้าต้องการอย่างนี้ ทำอย่างนี้ และให้ทันในเวลานี้ เท่านั้น

 3.เวลาทำงานหนัก ตามที่ถูกมอบหมาย ไม่ได้กำลังคนมาช่วย คือ ต้องทำในแผนกอย่าง เดียวดาย ไร้คนช่วยแต่ทุกครั้่ง ก็จะได้น้อง ๆ ที่ รักชอบกันมาช่วยบ้าง อาศัยว่า รู้จักคนหลายแผนก เวลาติดต่อขอให้ช่วยอะไร เขาก็ยินดีช่วยให้ตามที่เราขอ แล้วอย่างนี้ ชื่อว่า มี มนุษย์สัมพันธ์ที่ดี หรือไม่ครับ ในขณะที่ หน.แทงในประเมินผลงานว่า มนุษย์สัมพันธ์ 0 2 ปีแล้ว พอถาม หน.ตอบว่า แก กับ ข้า ยังรู้จักกันไม่ดีพอ ยังไม่เป็นทีม ( อ๊ะ ฮะ )

 4.กรรมฐาน หรือ ธรรมะ จะช่วยอะไร เราได้บ้างครับ ในการดำรงค์ชีพให้อยู่รอด ปลอดภัยจากคนเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่เราต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาทำงาน ครับ

   ขอบคุณครับ ที่ให้คำแนะนำ

   :25: :25: :25: thk56
4  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / สนใจเสียงธรรม เรื่อง พระอานาปานสติ ครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2014, 05:21:02 pm
สนใจเสียงธรรม พระกรรมฐาน ที่พระอาจารย์ บรรยาย ครับ ชอบฟังมากเลยครับ

 หรือ เรื่องพระกรรมฐาน อื่น ๆ ด้วยครับ สนใจมาก ครับ ทำอย่างไร ถึงจะได้ไฟล์เสียง ครับ

  st11 st12
5  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / รายการพฤหัสอัศจรรย์ เปิดตำนานจอมขมังเวทย์ เสือดำ เสือมเหศวร full version เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2013, 12:25:30 pm


รายการพฤหัสอัศจรรย์ เปิดตำนานจอมขมังเวทย์ เสือดำ เสือมเหศวร full version ตอนที่ 1(วันที่ 25 ตุลาคม 2555) และ ตอนที่ 2 (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2555) รวม 2 ตอน เรียบร้อย ดูแบบยาวๆ ไม่เสียอรรถรส ตัดช่วงที่ไม่เกี่ยวข้อง+โฆษณา ออกเรียบร้อย
จัดทำเพราะความเลื่อมใส..ของข้าพเจ้า

ประวัติคร่าวๆ
เสือดำ จอมโจรชื่อดังในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่­สอง ร่วมสมัยกับ เสือใบ เสือฝ้าย เสือมเหศวร มีชื่อจริงว่า ระพิน ได้ชื่อว่า เสือดำ
จากการสวมชุดดำเวลาออกปล้น และใช้ปืนคู่ แต่เมื่อเวลาออกปล้นจะต้องประกาศให้เจ้าทร­ัพย์รู้ก่อนล่วงหน้าเป็นสัปดาห์และปล้นด้ว­ยความสุภาพ
นิยมปล้นแต่คนรวยให้คนยากจน จนได้รับฉายาว่า สุภาพบุรุษเสือดำ เช่นเดียวกับเสือใบ

คาถาอยู่ยงคงกระพัน
สัธธาธะนุง อาธาธิตุง ทัดตะวานาธาสิ อุมะอะปิดอะอึอุ ''

เมตตามหานิยม
อิทะคะมะ อิทิเจ ตะโส ธันหาหิ ธามะสา สัธธาเทวะ ...เห็นหน้ากูทุกคน สานังพุธโธภัคคะวาติ

เมตตามหานิยม
อิทะคะมะ อิธิเจ ตะโส คันหาหิ ถามะสา สัตถาเทวะ
...เห็นหน้ากูทุกคน สานัง พุทโธภควาติ

คาถามหาอุตม์
สัตถาธะนุง อาคาทิตุง ธัตวา นาธาสิ อุมะ อะปิต อะอึอุ
6  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำบุญกับพระปลอม ได้ บุญ หรือ ได้บาป เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2013, 09:33:30 am
 ask1

  อยากทราบว่า การทำบุญกับพระปลอม ได้ บุญ หรือ ได้ บาป ครับ เพราะบางครั้งก็สงสัยเหมือนกันว่า เราทำบุญกับพระที่มาเดินอยู่ข้างถนน ถือถังเรี่ยไร เงิน ประมาณนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นบุญ หรือ เป็นบาป ทราบข่าวว่าทางอิสาณ มีหมู่บ้านปลอมเป็นพระ แจกถังเรียไร ไม่รู้ว่าจริงเท็จแท้ประการใด

  thk56
7  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก โดย อ.ประณีต ก้องสมุทร เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2013, 09:30:23 am
ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก โดย อ.ประณีต ก้องสมุทร
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html

พระพุทธองค์ตรัสว่า การสาดน้ำล้างภาชนะลงไปในบ่อน้ำครำ ด้วยเจตนาที่จะให้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่เหล่านั้นได้รับความสุข ก็ยังมีอานิสงส์ไม่น้อย จะป่วยกล่าวไปไยกับการให้ทานในผู้มีศีล หรือในบุคคลหมู่มากที่ประพฤติปฏิบัติตรง ทั้งโดยเจาะจงและไม่เจาะจง
ใน ทักขิณาวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำแนกอานิสงส์ของทานที่ให้โดยเจาะจงและไม่เจาะจงไว้ตามลำดับขั้น ถึง ๒๑ ประเภท คือ
๑. ให้ทานแก่ดิรัจฉาน มีอานิสงส์ร้อยชาติ คือ ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ ถึง ๑๐๐ ชาติ
๒. ให้ทานแก่ปุถุชนทุศีล มีอานิสงส์พันชาติ
๓. ให้ทานแก่ปุถุชนผู้มีศีล มีอานิสงส์แสนชาติ
๔. ให้ทานแก่ปุถุชนผู้ปราศจากความยินดีในกาม นอกพุทธศาสนา อย่างพวกนักบวชหรือฤาษีที่ได้ฌานเป็นต้น แม้ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ยังมีอานิสงส์ถึงแสนโกฏิชาติ
----------------------------------------------------------
8  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / คู่มือสร้างทานกุศล ของพระสัทธัมโชติกะ ธัมมาจริยะ เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2013, 09:29:23 am
คัดลอกจากหนังสือ  คู่มือสร้างทานกุศล ของพระสัทธัมโชติกะ ธัมมาจริยะ บูรพาจารย์แห่ง อภิธัมโชติกะวิทยาลัย 
http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/009129.htm

-------------------------------------------------------------------
แสดงอานิสงส์ของทาน  ศีล  ภาวนา  ที่ให้ผลต่างกัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ใน เวลามสํยุตตนิกายว่า:-
๑.  พราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ  เวลามะ  อยู่ในชมพูทวีป  เวลามะพราหมณ์นี้   เป็นคนมีจิตใจเลื่อมใสต่อการบริจาคทาน  ได้จัดสร้างโรงทานขึ้นที่บ้านของตน  แล้วประกาศทั่วไปว่า คนทั้งหลายที่อยู่ในชมพูทวีปนี้ให้มารับทาน  คืออาหารได้ที่โรงทานนี้ ตลอด ๗ ปี ๘ เดือน ๗ วัน  หรือถ้าหากบุคคลใดไม่มีที่พักอาศัย ไม่มีเครื่องนุ่งห่มแล้ว  ขอให้มาแจ้งความประสงค์ของตนต่อเวลามะพราหมณ์ๆจะจัดการให้ทานแก่บุคคลเหล่านั้นโดยทั่วถึงทั้งหมด
          การทำทานของเวลามะพราหมณ์นี้  ได้อานิสงส์ถึงอสงไขยภพ
๒.  อานิสงส์ที่เวลามะพราหมณ์ได้รับนี้ ก็ยังต่ำกว่าอานิสงส์ของผู้ที่ได้เลี้ยงอาหารแก่พระโสดาบันบุคคลเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้
๓.  อานิสงส์ที่ได้รับจากการเลี้ยงอาหารแก่พระโสดาบันบุคคลร้อยองค์ ก็ยังสู้อานิสงส์ของการเลี้ยงอาหารแก่พระสกทาคามิบุคคลเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้
๔. อานิสงส์ที่ได้รับจากการเลี้ยงอาหารแก่พระสกทาคามิบุคคลร้อยองค์ ก็ยังสู้อานิสงส์ของการเลี้ยงอาหารแก่พระอนาคามิบุคคลเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้
๕. อานิสงส์ที่ได้รับจากการเลี้ยงอาหารแก่พระอนาคามิบุคคลร้อยองค์ ก็ยังสู้อานิสงส์ของการเลี้ยงอาหารแก่พระอรหันตบุคคลเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้
๖. อานิสงส์ที่ได้รับจากการเลี้ยงอาหารแก่พระอรหันตบุคคลร้อยองค์ ก็ยังสู้อานิสงส์ของการเลี้ยงอาหารแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้
๗. อานิสงส์ที่ได้รับจากการเลี้ยงอาหารแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยองค์ ก็ยังสู้อานิสงส์ของการเลี้ยงอาหารแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงองค์เดียวและครั้งเดียวไม่ได้
๘.  อานิสงส์ที่ได้รับจากการเลี้ยงอาหารแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวนั้น ก็ยังสู้อานิสงส์ของการเลี้ยงอาหารแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย  มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขไม่ได้
๙.  อานิสงส์ที่ได้รับจากการเลี้ยงอาหารแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย  มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขนั้น ก็ยังสู้อานิสงส์ของการสร้างวิหารถวายแก่ภิกษุสงฆ์ที่อยู่ทั่วทั้ง ๔ ทิศ หรือ ๘ ทิศ (จตุทิสาสังฆิกวิหารทาน) ไม่ได้
๑๐.  อานิสงส์ที่ได้รับจากการสร้างจตุทิสาสังฆิกวิหารทานนั้น   ก็ยังสู้อานิสงส์ของการสมาทานไตรสรณคมน์ไม่ได้
๑๑.  อานิสงส์ที่ได้รับจากไตรสรณคมน์นั้น ก็ยังสู้อานิสงส์ของการสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ พร้อมด้วยไตรสรณคมน์นั้นไม่ได้
๑๒.  อานิสงส์ที่ได้รับจากการสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ พร้อมด้วยไตรสรณคมน์นั้น ก็ยังสู้อานิสงส์ของการแผ่เมตตาให้แก่สัตว์ทั้งหลายมีความสุขเพียงชั่วคราวไม่ได้
๑๓.  อานิสงส์ที่ได้รับจากการแผ่เมตตาให้แก่สัตว์ทั้งหลายมีความสุขเพียงชั่วคราวนั้น ก็ยังสู้อานิสงส์ของการเจริญวิปัสสนาเพียงชั่วคราวไม่ได้
                เท่าที่บรรยายถึงอานิสงส์ของการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เป็นลำดับมานี้จะเห็นได้ว่าอานิสงส์ของการเจริญวิปัสสนาเป็นอานิสงส์ที่สูงสุด ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวถึงการเจริญเป็นเวลานานๆ แม้แต่จะเจริญเพียงหนึ่งวันหรือหนึ่งชั่วโมงก็ยังนับว่าได้อานิสงส์มากอยู่แล้ว  ถ้าได้เจริญเป็นเวลานานๆนั้น ก็ย่อมได้รับอานิสงส์มากขึ้นไปจนหาประมาณไม่ได้
9  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การทำสมาธิ จะมีผล กับการเรียนที่ดีอย่างไร เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2013, 09:23:23 am
 ask1


( เมื่อต้องมาตอบคำถาม เด็ก ๆ และ ต้องชวนพาเด็ก นั่งสมาธิ )

การทำสมาธิ จะมีผล กับการเรียนที่ดีอย่างไร การทำสมาธิเหมาะกับนักเรียน หรือ ไม่ ครับ
สำหรับผมคิดว่า การทำสมาธิ ไม่เหมาะกับเด็กครับเพราะว่า ไม่อยู่ในภาวะวิสัยที่จะฝึกได้ นะครับ





 thk56
10  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาพอันเชิญพระธาตุเมืองใต้ จ.สงขลา สงกรานต์ ปี 2552 เมื่อ: มกราคม 20, 2013, 08:26:29 am


สภาพภายในถ้ำ จะเห็นว่ามีดวงเทพปกป้องรักษามากมาย แต่พวกเรามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในการสืบทอดพระศาสนา แม้แต่เทวดาก็ขออนุโมทนาด้วยคนจ๊า

 สนใจอ่านต่อก็เชิญที่นี่ ครับ ทั้งภาพและ เนื้อหา

   ภาพอันเชิญพระธาตุเมืองใต้ จ.สงขลา สงกรานต์ ปี 2552
  http://watcharathath.com/content.php?id=119
11  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เรื่องสามเณรสังกิจจะ ( ประวัติ สามเณร ในครั้งพุทธกาล ) เมื่อ: มกราคม 20, 2013, 08:16:03 am


ใกล้จะปิดเทอมแล้ว กิจกรรมช่วงปิดเทอม ที่ดี กิจกรรมหนึ่งของเด็กชายไทย ก็คือการเข้ารับบรรพชาเป็นสามเณรในโครงการภาคฤดูร้อน เพื่อเล่าเรียนศึกษาหลักธรรม ในบวรพระพุทธศาสนา


เรื่องสามเณรสังกิจจะ

สามเณร แปลว่า เหล่ากอของสมณะ
เป็นต้นกล้าแห่งความดี ในสมัยพุทธกาลสามเณรที่บรรลุเป็นพระอรหันต์มีหลายรูปเช่น สามเณรราหุล สามเณรบัณฑิต สามเณรสังกิจจะ เป็นต้น

สามเณรสังกิจจะ เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ในขณะที่อยู่ในท้องมารดานั่นเอง มารดาได้เสียชีวิตลง ญาติพี่น้องจึงนำนางไปเผา ในขณะที่ไฟกำลังไหม้ร่างกายของนางอยู่นั้น เป็นอัศจรรย์ที่ไฟไม่ไหม้ส่วนท้อง พวกสัปเหร่อได้ใช้หลาวเหล็กแทงส่วนท้องที่ไฟไม่ไหม้นั้นเสร็จแล้วก็กลบด้วยถ่านเพลิง ปลายหลาวเหล็กได้ไปกระทบที่หางตาของทารกนั้นพอดี พอกลบถ่านเพลิงเข้ากับส่วนที่ยังไม่ไหม้แล้ว ก็พากันกลับบ้านด้วยหวังว่าพรุ่งนี้ค่อยมาดับไฟเก็บอัฐิ

ไฟได้ไหม้ร่างกายของมารดานั้นหมดสิ้น เว้นเฉพาะทารกน้อยเท่านั้นที่รอดชีวิตอยู่ได้อย่างปาฏิหาริย์เหมือนกับนอนอยู่ในกลีบบัวก็ปานนั้น ไฟไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ เลย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะผู้ที่เกิดในภพสุดท้าย ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหันต์แล้ว อะไรก็ไม่สามารถทำให้เสียชีวิตได้

เช้าวันรุ่งขึ้นพวกสัปเหร่อมาดับไฟเห็นเด็กนอนอยู่โดยปราศจากอันตรายก็อัศจรรย์ใจ อุ้มกลับบ้านไปให้พวกหมอทำนายชีวิตดู หมอทำนายไว้ ๒ ด้าน คือ ถ้าเด็กอยู่ครองเรือน พวกเครือญาติ ๗ ชั่วโคตรจักไม่ยากจน ถ้าออกบวชจักมีพระ ๕๐๐ รูปเป็นบริวารแวดล้อม พวกญาติจึงตั้งชื่อให้ว่า สังกิจจะ เพราะหางตาเป็นแผลเพราะถูกหลาวเหล็ก

สังกิจจกุมาร มีอายุได้ ๗ ขวบเมื่อทราบประวัติของตนเองจากปากของเด็กเพื่อนบ้าน ก็ปรารถนาจะบวช พวกญาติจึงพาไปขอบวชจากพระสารีบุตรในวันบวชพระเถระให้ตจปัญจกกรรมฐานแล้วให้บวช สามเณรได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาในขณะที่ปลงผมเสร็จนั่นเอง

สมัยนั้นมีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีประมาณ ๓๐ คน ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้วก็ขอบวช เมื่อบวชได้ ๕ พรรษา เรียนวิปัสสนากรรมฐานจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีความประสงค์จะพากันไปปฎิบัติธรรม ณ ป่าแห่งหนึ่ง จึงพากันมาทูลลาพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์เห็นภัยอย่างหนึ่งจักเกิดแก่ภิกษุเหล่านี้ เกรงว่าจะไม่บรรลุธรรม มีสามเณรสังกิจจะเท่านั้นที่จะช่วยเหลือพวกพระเหล่านี้ได้ พระองค์จึงรับสั่งให้ภิกษุเหล่านั้นไปอำลาพระสารีบุตรก่อนแล้วค่อยไป

พวกภิกษุได้ไปลาพระสารีบุตร พระเถระทราบความนัยจึงเอ่ยปากมอบสามเณรสังกิจจะให้ไปด้วย พวกภิกษุปฏิเสธเกรงว่าจะเป็นภาระไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม พระเถระจึงบอกให้ทราบว่า "สามเณรนี้จักไม่เป็นภาระของพวกเธอ พวกเธอต่างหากจะเป็นภาระของสามเณร พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ดีจึงส่งพวกเธอมาลาเรา" เมื่อเป็นเช่นนี้พวกภิกษุจึงจำเป็นต้องพาสามเณรไปด้วย รวมกันเป็น ๓๑ รูป อำลาพระเถระแล้วก็ออกเดินทางไป ถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พวกชาวบ้านมีความเลื่อมใสศรัทธาจึงนิมนต์ให้อยู่จำพรรษา พร้อมรับปากจะพากันอุปถัมภ์บำรุงตลอดพรรษา

พวกภิกษุเหล่านั้นจึงรับนิมนต์ ในวันเข้าพรรษา พวกภิกษุได้ตั้งกติกากันไว้ว่า "ยกเว้นเวลาเช้าบิณฑบาต และเวลาเย็นบำรุงพระเถระเท่านั้น เวลาที่เหลือให้ปฏิบัติธรรมห้ามอยู่ด้วยกัน ๒ รูป ต้องบรรลุธรรมให้ได้ภายในพรรษานี้ ถ้ารูปใดไม่สบายพึงตีระฆังบอกพวกเราจะมาปรุงยาถวาย" เมื่อทำกติกาตกลงกันอย่างนี้แล้ว ก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรม

ต่อมาวันหนึ่ง มีชายยากไร้คนหนึ่งหนีภัยแล้งมาจากต่างเมืองหวังจะไปขอพึ่งพาลูกสาวอีกเมืองหนึ่ง เดินผ่านมาถึงหมู่บ้านนั้นด้วยอาการอิดโรย ขณะนั้นพวกพระภิกษุได้กลับมาจากบิณบาตกำลังจะฉันเช้าพอดี พบเขาจึงสอบถามเมื่อทราบเรื่องแล้วเกิดความสงสารโยมที่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว จึงบอกให้ไปหาใบไม้มาจะแบ่งอาหารให้ ธรรมเนียมของพระสงฆ์อย่างหนึ่งก็คือ "ภิกษุเมื่อจะให้อาหารแก่ผู้มาในเวลาฉัน ไม่ให้อาหารที่เป็นยอด พึงให้มากบ้างน้อยบ้าง เท่ากับส่วนที่จะฉันเอง"

ชายยากไร้หลังกินข้าวอิ่มแล้วก็สอบถามพวกท่านว่า "มีกิจนิมนต์หรือไร พระคุณเจ้าจึงได้อาหารมากมายขนาดนี้" "ไม่มีหรอกโยม เป็นเรื่องปกติของที่นี่" พวกภิกษุตอบ เขาคิดว่า "เราทำงานแทบตายก็ไม่ได้กินอาหารดีเช่นนี้ จะไปอยู่ทำไมที่อื่น อยู่อาศัยกับพระพวกนี้ สบายดีกว่า" จึงขออาศัยอยู่ทำวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากพระสงฆ์ด้วย พวกพระภิกษุก็อนุญาต เขาขยันทำงานช่วยเหลือพระภิกษุเหล่านั้นเป็นอย่างดี

เวลาผ่านไป ๒ เดือน ชายยากไร้นั้นอยู่สุขสบายดีตลอดมา คิดถึงลูกสาวจึงแอบหนีออกจากที่พักสงฆ์ไปโดยไม่บอกกล่าวอำลาแก่ผู้ใด เพราะเกรงว่าพระสงฆ์จะไม่อนุญาต หนทางที่ชายยากไร้นั้นไปจะต้องผ่านดงใหญ่แห่งหน ในดงนั้นมีโจร ๕๐๐ คน ได้บนบานเทวดาว่าจะถวายพลีกรรมในวันที่ ๗ วันนั้นเป็นวันที่ ๗ พอดีเมื่อชายยากไร้นั้นเดินผ่านเข้าไปกลางดงก็ถูกพวกโจรจับตัวมัดไว้ เตรียมที่จะทำพิธีพลีกรรมแก่เทวดา

เขาตกใจกลัวตายได้ร้องของชีวิตไว้และเสนอว่า เขาเป็นคนยากไร้ เทวดาอาจจะไม่ชอบใจ พวกภิกษุเป็นผู้มีศีลสกุลสูง เทวดาท่านจึงจะชอบใจ ไปจับพวกภิกษุมาทำพลีกรรมจะดีกว่า พวกโจรเห็นดีด้วยจึงให้เขาไปที่พักสงฆ์

เขาได้พาพวกโจรไปที่สำนักสงฆ์แล้วตีระฆัง พวกภิกษุเมื่อได้ยินเสียงระฆังเข้าใจว่ามีภิกษุไม่สบายก็มารวมกันที่ศาลา หัวหน้าโจรจึงประกาศให้ทราบว่าต้องการภิกษุ ๑ รูป เพื่อไปทำพลีกรรม

พระทั้ง ๓๐ รูป ต่างอาสาไปตายทั้งสิ้น ตกลงกันไม่ได้ สามเณรสังกิจจะจึงขออาสาไปเอง พวกภิกษุไม่ยอมเพราะสามเณรเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตรฝากมาเกรงว่าพระเถระจักติเตียนได้ สามเณรจึงบอกให้ทราบว่า พระพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์ให้ตนมาก็เพื่อมาแก้ปัญหานี้เอง จึงยกมือไหว้พวกภิกษุเดินตามพวกโจรไป

พวกภิกษุซึ่งยังเป็นปุถุชนต่างก็ร้องไห้สงสารสามเณรพร้อมกับกำชับหัวหน้าโจรว่า "ในช่วงที่พวกท่านตระเตรียมสิ่งของ ขอให้นำสามเณรไปไว้ที่อื่นก่อนนะ สามเณรจะกลัว"

หัวหน้าโจรได้นำสามเณรไปที่ดงนั้นแล้วทำตามพวกภิกษุสั่งไว้ เมื่อตระเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว หัวหน้าโจรได้ถือดาบเดินเข้าไปหาสามเณรหวังจะตัดคอ สามเณรได้นั่งเข้าฌานนิ่งอยู่ พอไปถึงหัวหน้าโจรก็ฟันลงเต็มแรงปรากฏว่าดาบงอ เขาเข้าใจว่าฟันไม่ดี จึงยกดาบขึ้นฟันใหม่ ปรากฏว่า ดาบพับม้วนจนถึงด้าม

หัวหน้าโจนเห็นปาฏิหาริย์เช่นนี้เกิดอัศจรรย์ใจยิ่งนักคิดว่า "ดาบเราฟันหินยังขาด แต่บัดนี้ได้งอพับดังใบตาล ดาบนี้ไม่มีจิตใจยังรู้คุณของสามเณร เรามีจิตใจยังไม่สำนึกเสียอีก"

ได้ทิ้งดาบลงดินแล้วคุกเข่าลงกราบสามเณร พร้อมถามว่า "เณรน้อย คนเป็นพันเห็นพวกผมแล้วต้องตัวสั่นวิ่งหนีไป แต่สำหรับท่านแล้วแม้เพียงความสะดุ้งแห่งจิตก็มิได้มีเลย หน้าตาก็ผุดผ่องแจ่มใส ทำไมท่านจึงไม่ร้องขอชีวิตเล่า"

สามเณรออกจากฌานแล้วแสดงธรรมแก่หัวหน้าโจรว่า "โยม ธรรมดาอัตภาพของพระอรหันต์เป็นเหมือนของหนักวางอยู่บนศีรษะ พระอรหันต์เมื่ออัตภาพนี้แตกไปย่อมยินดี พระอรหันต์จึงไม่กลัวตาย ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ผู้ไม่มีความห่วงใย ผู้ก้าวล่วงภัยทุกอย่างได้แล้ว" หัวหน้าโจรพอได้ฟังคำสามเณรแล้ว พร้อมลูกน้องทั้งหมดได้ไหว้สามเณรแล้วขอบวช

สามเณรได้ตัดผมและชายผ้าด้วยดาบของโจรเหล่านั้นแล้วให้บวชเป็นสามเณรถือศีล ๑๐ เสร็จแล้วได้พาสามเณรเหล่านั้นกลับไปยังที่พักสงฆ์ให้พวกภิกษุทราบความปลอดภัยของตนแล้ว ได้อำลาพวกภิกษุพาสามเณรเหล่านั้นไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมเทศนาว่า "ผู้มีศีลแม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวยังประเสริฐกว่าการทำโจรกรรมไม่มีศีลมีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี" ในเวลาจบพระธรรมเทศนา สามเณรเหล่านั้นได้บรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด


12  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ท่านที่ได้รับ หนังสือ เล่มนี้แล้ว อ่านแล้วเข้าใจกันหรือยัง ครับ เป็นหนังสือที่ดี เมื่อ: มกราคม 20, 2013, 08:03:16 am


ผมเองได้รับหนังสือ เล่มนี้เป็น ของกำนัลเมื่อปีที่แล้ว .... อ่านมา 1 ปีแล้วนะครับ

ท่านที่ได้รับ หนังสือ เล่มนี้แล้ว อ่านแล้วเข้าใจกันหรือยัง ครับ เป็นหนังสือที่ดีมากครับ เพราะมีขั้นตอนการฝึกกรรมฐาน อานาปานสติ ในเชิงปฏิบัติ ตามลำดับ อย่างดี ผมอ่านแล้วช่วงแรก ๆ ก็มึน ๆ อยู่ครับ แต่พอได้อ่านไปสัก สองสามเที่ยวแล้ว รู้สึกได้เลยว่า มีแนวปฏิบัิติ จริง กับ ของจริงอยู่ ก็ลงมือปฏิบัติตาม ได้ผลดีโดยเฉพาะเรื่อง ญาณสติ ในอานาปานสติ เข้าใจมากขึ้นจริง ๆ ครับ

  เป็นหนังสือที่ น่าสนใจ นะครับ

 
13  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อวิชชา ปัญญา อธิบาย ง่าย ๆ อย่างนี้เข้าใจหรือไม่ ? เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 06:32:04 am
อวิชชา  เปรียบเหมือนความมืดที่อยู่ในห้อง
ปัญญา  เปรียบเหมือนแสงจากหลอดไฟ

สมมติมีแหวนเพชรอยู่วงนึง ตกอยู่บนพื้นในห้องมืดนั้น
แล้วเราอยากหาแหวนให้เจอ แต่สิ่งที่ทำให้เราหาไม่เจอ คือ ความมืด(อวิชชา)
ดังนั้นถ้าอยากหาเจอต้องเปิดสวิทซ์ให้ไฟติด(ปัญญา)
เมื่อแสงไฟติด(มีปัญญา) ก็ทำให้หาแหวนเจอ (ทุกข์หมดไป)

สรุป :  ความทุกข์ของเรา   คือ แหวนเพชรตก หาไม่เจอ
          อวิชชา                คือ  ความมืดของห้อง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ (มองแหวนไม่เห็น)
          ปัญญา                คือ  แสงจากหลอดไฟที่จะมากำจัดอวิชชา (คือความมืด)
เมื่อมีปัญญา (แสงไฟ)  ทุกข์ก็หมด (หาแหวนเจอ)


โดย คุณมีดกรีดใจ
14  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ความหมายของภิกษุ ในพระไตรปิฏก เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 06:16:54 am


ความหมายของภิกษุ               
               บทว่า กตเม จตฺตาโร (๔ อย่าง คืออะไร) เป็น กเถตุกมฺมยตาปุจฺฉา (คำถามเพื่อจะตอบเอง).
               บทว่า อิธ ได้แก่ อิมสฺมึ โยก สาสเน แปลว่า ในศาสนานี้.
               คำว่า ภิกฺขเว นี้เป็นคำเรียกบุคคลผู้จะรับธรรมะ.
               คำว่า ภิกฺขุ เป็นคำแสดงถึงบุคคล ผู้จะยังข้อปฏิบัติให้ถึงพร้อม.
               อีกอย่างหนึ่ง เทวดาและมนุษย์แม้เหล่าอื่น ก็ยังข้อปฏิบัติให้ถึงพร้อมได้เหมือนกัน.
               แต่พระองค์ตรัสเรียกว่า ภิกษุ เพราะเป็นผู้ประเสริฐ และเพราะทรงแสดงถึงภิกขุภาวะด้วยข้อปฏิบัติ.
               เพราะว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายปฏิบัติตามอนุศาสนีของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็จะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด
เพราะเป็น (เสมือน) ภาชนะ (รองรับ) อนุศาสนีทุกประการ.
               เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุ เพราะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด.
               ก็ทรงระบุถึงภิกษุนั้นแล้ว เทวดาและมนุษย์ที่เหลือก็เป็นอันทรงระบุถึงด้วยเหมือนกัน
เหมือนบริษัทที่เหลือถูกระบุถึงด้วยราชศัพท์ในกิจทั้งหลายมีการเสด็จพระราชดำเนินเป็นต้น.
               และผู้ใดปฏิบัติข้อปฏิบัตินี้ ผู้นั้นก็ชื่อว่าภิกษุ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุ
เพราะทรงแสดงถึงภิกขุภาวะด้วยข้อปฏิบัติบ้าง.
               ผู้ปฏิบัติจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม เข้าถึงการนับว่าเป็นภิกษุทั้งนั้น.

                สมดังที่ตรัสไว้ว่า

                ถึงผู้ที่ประดับประดาแล้ว หากประพฤติธรรมสม่ำเสมอ
                สงบแล้ว ฝึกแล้ว มีคติที่แน่นอน ประพฤติพรหมจรรย์
                เขาเว้นอาชญาในสัตว์ทั้งมวลเสียแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็น
                พราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12.0&i=131&p=2#
ความหมายของภิกษุ
15  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.luangphoryid.com/ หลวงพ่อยิด วัดสองกะลอนประชาสรรค์ เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 06:03:58 am



http://www.luangphoryid.com/
หลวงพ่อยิด วัดสองกะลอนประชาสรรค์


 
   

ติดต่อ : วัดสองกะลอนประชาสรรค์

     หมู่ 4 ตำบลห้วยทราย

อำเภอเมือง

    จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 77000


    พระอธิการทรงกลด กิตติญาโณ

เจ้าอาวาสวัดสองกะลอนประชาสรรค์

โทร. : 081-190-0101
          081-008-8810


 http://www.luangphoryid.com
16  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ปิดทองฝึงลูกนิมิต เรื่องที่ควรรู้ไว้ ( เทศกาลนี้จะอยู่ในช่วง ตรุษจีน ) เมื่อ: มกราคม 19, 2013, 05:57:13 am


ชาวพุทธเชื่อว่า การทำบุญปิดทองฝังลูกนิมิตได้บุญมาก เพราะเหตุผลคือ หนึ่งวัดจะจัดได้เพียงครั้งเดียว การเตรียมการก็ประกอบด้วย อุปกรณ์และสิ่งของอันเป็นมงคลมากมาย การประกอบพิธีก็จะต้องมีการสวดถอนสีมา เพื่อให้เป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์จริงๆ พ้นจากสภาพที่อาจเคยเป็นสีมามาก่อน และสถานที่นั้นต้องได้รับพระราชทานเป็นเขตวิสุงคามสีมา เป็นสิทธิของสงฆ์แห่งวัดนั้นถูกต้องตามกฎหมาย

ผู้ที่มีโอกาสได้ทำบุญปิดทองฝังลูกนิมิตจึงถือว่าได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่เป็นมหากุศลบารมีประดับชีวิตตลอดไป เป็นบุญที่จะหาโอกาสทำได้ไม่ง่ายนัก
เมื่อมีพิธีปิดทองฝังลูกนิมิตแต่ละครั้งจะต้องเตรียมของที่จะใส่ลงไปกับลูกนิมิต ทางวัดต้องจัดไว้จำหน่ายหรือผู้มีศรัทธาจัดหามาเอง และต้องเป็นสิ่งที่ถือเป็นความหมายมงคล ประกอบด้วย

1.ดอกไม้ จะใช้ดอกมะลิ ดอกบานไม่รู้โรย และอื่นๆ เป็นสัญลักษณ์แห่งความสวยงาม ผู้ที่ได้โปรยหรือใส่ดอกไม้ลงไปในหลุมนิมิต บูชาพระอริยสงฆ์ เกิดทุกภพทุกชาติจะเป็น คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่อง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีแต่คนเคารพนับถือ ยึดมั่นในหลักศีลธรรม

2.ธูป ใส่ธูปลงไปภายในหลุมนิมิตเพื่อถวายการบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ เกิดชาติใดภพใดก็จะไม่ห่างเหินจากพระพุทธศาสนา หรือได้พบเห็นพระพุทธเจ้า

3.เทียน ใส่เทียนลงไปในหลุมนิมิตเพื่อบูชาพระธรรม ที่ให้แสงสว่างทางปัญญาแก่มวลมนุษยชาติ เกิดชาติใดภพใด ก็จะไม่ห่างเหินจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และทำให้มีปัญญาสามารถเข้าใจและ รู้ธรรมนำให้หมดกิเลสพ้นทุกข์ได้

4.เข็ม เป็นสัญลักษณ์ของความแหลมคม ผู้ที่ได้ทำบุญถวายเข็มลงไปในหลุมนิมิต เกิดทุกภพทุกชาติจะเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว แก้ปัญหาชีวิตประจำวันได้ไม่ติดขัด เป็นคนมีเหตุผลละเอียดรอบคอบ สามารถบรรลุธรรมและพ้นทุกข์ได้ในที่สุด

5.ด้าย เป็นสัญลักษณ์แห่งความยืดยาว การทำบุญด้วยการใส่ด้ายลงไปในหลุมนิมิต เชื่อว่าจะทำให้เป็นคนที่มีอายุยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน

6.แผ่นทองคำ เป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีราคาในตัว มีความสวยงาม ไปอยู่กับสิ่งใดทำให้สิ่งนั้นมีค่ามีราคายิ่งขึ้น การนำแผ่นทองคำมาปิดองค์พระ ปิดลูกนิมิต หรืออื่นๆ เป็นการยกย่องเชิดชูให้เป็นสิ่งสูงส่งควรแก่การสักการะ เชื่อว่าจะทำให้เป็นคนที่มีเกียรติยศสูงส่ง มีคนยกย่องนับหน้าถือตา มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณงดงามทุกภพทุกชาติ

7.สมุด ดินสอ เป็นอุปกรณ์การบันทึก เป็นสัญลักษณ์แห่งการจดจำ ผู้ที่ทำบุญด้วยการใส่สมุด ดินสอ ลงไปในหลุมนิมิต จะเป็นคนที่มีสติปัญญาเยี่ยม มีความทรงจำไม่เลอะเลือน เป็นเลิศ สติไม่ฟั่นเฟือนก่อนตายสงบ ไม่ทุรนทุรายทรมาน และไปสู่สุคติ

จากคุณ Prince_Airbus

17  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อ่านแล้วจะรู้สึกได้เลยว่า ปัจจุบันนี้ คนไร้ศีล เริ่มมีขึ้นมากแล้วนะครับ เมื่อ: มกราคม 18, 2013, 06:32:42 am




2 โจรโจ๋เลียนแบบเกมอุบาทว์ ขับรถเก๋งแจ๊ซพุ่งชนมินิมาร์ทแล้วปล้นยกเครื่องเก็บเงินไปทั้งเครื่องเก็บเงินไปทั้งเครื่องเผยคนร้าย 2 คนพยายามจะเข้าไปงัดประตูกระจกร้านมินิมาร์ทในปั๊มน้ำมันที่พระนครศรีอยุธยา พอ รปภ.เห็นเข้าก็ขับรถพุ่งชนประตูกระจกแตกทั้งบานแล้ววิ่งเข้าไปยกเครื่องเก็บเงินซึ่งมีเงิน 6 พันบาทกับมือถือ 1 เครื่องหลบหนีไป ตร.ระดมกำลังไล่ล่ากระชั้น สงสัย เป็นวัยรุ่นคึกคะนอง แฉวิธีปล้นคล้ายกับเกม "จีทีเอ" เกมคอมพ์อันตรายที่นิยมเล่นกันในหมู่วัยรุ่น โดยคนเล่นจะเล่นเป็นคนร้ายกวนเมืองขับรถตระเวนปล้นฆ่าป่วนไปทั้งเมือง มีฉากขับรถพุ่งชนมินิมาร์ทแล้วปล้นร้านด้วย

          เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 19 มกราคม พ.ต.ท. จำรัส มหาสุภาพ พนักงานสอบสวน สภ.พระขาว อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับแจ้งจากนายเกรียงไกร ฤกษ์ลิขิตรัตน์ อายุ 60 ปี เจ้าของปั๊มน้ำมัน "ซื่อตรงออยส์" ริมถนนสายเสนา-อยุธยา ก.ม. 7-8 เลขที่ 33/3 ม.3 ต.พระขาว อ.บางบาล มีเหตุคนร้ายชิงเงินในร้านไทเกอร์มินิมาร์ท จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.อ.กรเอก เพชรไชยเวส รองผบก.ภ.จว. พระนครศรีอยุธยา พ.ต.ท.พิพัฒน์ ชุ่มมณีกูล สวญ. พ.ต.ท.สมเด็จ สาบ้านกล้วย สว.สส.สภ. พระขาว และชุดสืบสวน

          ที่เกิดเหตุพบว่ากระจกประตูหน้าร้านมินิมาร์ทแตกกระจาย เศษกระจกเกลื่อนพื้น ข้าวของกระจัดกระจาย ที่บริเวณเคาน์เตอร์ขายสินค้ามีรอยรื้อค้น ตรวจสอบพบว่าเครื่องเก็บเงิน ซึ่งมีเงินสดอยู่ประมาณ 6 พันบาทถูกคนร้ายยกเอาไป พร้อมโทรศัพท์มือถืออีก 1 เครื่อง หน้าร้านพบรองเท้าแตะแบบหนังสีน้ำเงินดำ เบอร์ 7 ครึ่งตกอยู่ 1 คู่ และรอยเท้าของคนอายุประมาณไม่เกิน 25 ปี คาดว่าเป็นของคนร้ายจึงเก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน

          นายเกรียงไกร ให้การว่า ตนนอนอยู่ที่บ้านด้านหลังร้านกับนางมาลัย ฤกษ์ลิขิตรัตน์ อายุ 60 ปี ภรรยา ได้ยินเสียงคล้ายกระจกแตกก็ตกใจตื่น เป็นจังหวะเดียวกับที่นายสมชาย อรรถาทิพย์ อายุ 51 ปี พนักงานประจำปั๊ม ที่เฝ้ายามรักษาความปลอดภัยอยู่ ได้วิ่งเข้ามาแจ้งว่ามีคนร้ายขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า แจ๊ซ สีบรอนซ์เงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เข้ามาชนกระจกประตู จากนั้นก็อุ้มเอาเครื่องเก็บเงินไฟฟ้าขับหลบหนีไป ตนจึงออกมาดู ก็พบว่าร้านได้รับความเสียหาย ส่วนกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้จำนวน 4 ตัว ไม่เคยตรวจสอบดูว่าระบบเป็นอะไร จึงไม่ได้บันทึกเอาไว้

          ส่วนนายสมชายให้ปากคำว่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุปั๊มปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 21.00 น. โดยช่วงที่เกิดเหตุมีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ผอมสูง ไว้ผมยาว ขับขี่รถเก๋งฮอนด้าแจ๊ซเข้าไปในปั๊ม โดยเปิดประตูล้อเลื่อนแผงเหล็กที่ขวางอยู่หน้าปั๊มเข้ามา และวิ่งมาจอดที่หน้ามินิมาร์ท จากนั้นคนร้าย 1 คนลงจากรถและพยายามจะงัดกระจกประตูมินิมาร์ทที่คล้องกุญแจล่ามโซ่เอาไว้ ตนจึงเดินเข้าไปห้ามและถามว่าจะทำอะไร จากนั้นคนร้ายได้เร่งเครื่องรถยนต์และพุ่งชนประตูทางเข้ามินิมาร์ทจนพังเสียหาย และคนร้ายที่ยืนอยู่จึงวิ่งเข้าไปอุ้มเครื่องคิดเงินและขึ้นรถหลบหนีไป โดยคนร้ายใช้เวลาก่อเหตุเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

          เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วิทยุสกัดจับคนร้ายแต่ไม่พบ จนกระทั่งไปพบหลักฐานบริเวณซุ้มประตูทางเข้าวัดพระขาว ต.พระขาว อ.บางบาล ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตร พบฝาถังขยะของปั๊มตกอยู่ และพบเศษกระจกจำนวนหนึ่ง มีรอยเลือดหยด และตุ๊กตาแบบยอดมนุษย์ที่ทำเป็นพวงกุญแจเปื้อนเลือดตกอยู่ นอกจากนี้ยังพบรอยน้ำหยดคล้ายจากหม้อน้ำจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงเก็บเป็นหลักฐาน

          พ.ต.อ.กรเอก กล่าวว่า จากการสอบสวนสันนิษฐานว่าคนร้ายอาจจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุด้วยความคึกคะนอง เมาสุรา หลังจากเที่ยวตามสถานบันเทิงมาแล้วจะหาเงินไปเที่ยวหรือดื่มสุราต่อ ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนสภ.บางบาล สภ.เสนา สภ.บางไทร และสภ.พระนครศรี อยุธยา ตรวจสอบกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ที่ใช้รถยนต์เก๋งฮอนด้าแจ๊ซ สีใกล้เคียงกับที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ และตรวจสอบว่ามีร่องรอยถูกชนหรือนำไปซ่อมตามอู่ซ่อมรถต่างๆ หรือไม่ เพราะเชื่อว่ารถคนร้ายต้องได้รับความเสียหายมากและหม้อน้ำรถน่าจะแตก

          ด้าน นายอุกฤต สิงหบูรณ์ อายุ 35 ปี เจ้าของร้านเกมแห่งหนึ่ง กล่าวว่า พฤติกรรมของคนร้ายตรงกับพฤติกรรมของโปรแกรมในเกมคอมพิวเตอร์ ชื่อเกมจีทีเอ ซึ่งเป็นเกมที่ผู้เล่นจะเล่นเป็นคนร้ายมีพฤติกรรมแก๊งกวนเมือง ก่อเหตุปล้น ฆ่า ข่มขืน ซึ่งตัวเอกในเกมจะขับรถไปเรื่อยๆ และใช้รถยนต์ในการก่อเหตุ อีกทั้งมีฉากต่อสู้กับตำรวจ การไล่ล่า และฉากใช้รถยนต์พุ่งชนมินิมาร์ทในปั๊มน้ำมันเพื่อปล้นทรัพย์ ซึ่งในฉากจะจำลองว่าเป็นเมืองแอลเอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นเกมอันตรายและผิดกฎหมาย ซึ่งผู้ปกครองไม่ควรให้บุตรหลานหรือกลุ่มวัยรุ่นเล่น เพราะจะเป็นการปลูกฝังแนวคิดที่ผิด มองความผิดและการก่อเหตุเป็นเรื่องที่ควรกระทำ แทนที่จะเป็นการมองว่าผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม อาจเป็นไปได้ว่าคนร้ายเลียนแบบเกมจีทีเอลงมือปล้นมินิมาร์ท อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เคยเกิดคดีคนร้ายวัยรุ่นปล้นฆ่าโชเฟอร์แท็กซี่ ซึ่งสารภาพว่าเลียนแบบเกมจีทีเอเช่นกัน



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านนำตุ๊กตาโดราเอมอนถวายศาลเจ้าพ่อสิทธิชัย ภายในโบราณสถานวัดใหญ่ชัยมงคล เมื่อ: มกราคม 18, 2013, 06:28:59 am
ชาวบ้านนำตุ๊กตาโดราเอมอนถวายศาลเจ้าพ่อสิทธิชัย ภายในโบราณสถานวัดใหญ่ชัยมงคล
เชื่อช่วยดลบันดาลให้มีบุตร


เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลเจ้าพ่อสิทธิชัย ที่สร้างด้วยไม้สักทองทรงไทยหลังขนาดใหญ่ ยกสูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร ที่ตั้งอยู่ภายในโบราณสถานวัดใหญ่ชัยมงคล อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยาได้มีผู้นำตุ๊กตาโดราเอมอน ตัวการ์ตูนชื่อดังของญี่ปุ่นมาวางไว้ภายในศาลป็นจำนวนมาก โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวภายในโบราณสถานต่างพากันหยุดถ่ายภาพด้วยความสนใจ

จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ดูแลศาลเจ้าพ่อสิทธิชัย ทราบว่าศาลเจ้าพ่อสิทธิชัยเป็นศาลเก่าแก่ตั้งอยู่ภายในวัดใหญ่ชัยมงคลมานาน เชื่อกันว่าเจ้าพ่อสิทธิชัยเป็นลูกของพระนางเรือล่ม เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง โดยชาวบ้านส่วนหนึ่งมักจะมากราบไหว้และบนบานต่างๆ เมื่อสมหวังก็มักจะนำตุ๊กตาและเสื้อผ้าเด็ก รวมทั้งของเด็กเล่นมาแก้บน

นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวได้มากราบไหว้บนบานขอให้มีบุตร เมื่อสมหวังจึงนำตุ๊กตาโดราเอมอนมาแก้บน ส่งผลให้เกิดความเชื่อด้วยการบอกเล่าต่อกัน จนมักมีผู้นำตุ๊กตาโดราเอมอนมาถวายศาลเป็นจำนวนมาก

อนึ่งศาลเจ้าแห่งนี้มีประวัติเล่ากันว่าเจ้าพ่อสิทธิชัยเป็นพระโอรสในครรภ์ของพระนางเรือล่ม หรือสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ พระบรมราชเทวี โดยเรือที่ประทับขณะเสด็จพระราชวังบางปะอิน ได้ล่มกลางแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อปี พ.ศ.2423 ขณะมีพระชันษาเพียง 21 ปี  โดยมีการสร้างศาลไว้ที่วัดแห่งนี้นานมาแล้ว


www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ภาคกลาง/199538/แห่ถวายโดราเอมอนศาลเจ้าพ่ออยุธยา
19  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / ตู้พระธรรม ลายรดน้ำทอง ประวัติหลวงปู่สุก พิพิธภัณฑ์กรรมฐาน คณะ 5 วัดราชสิทธาราม เมื่อ: มกราคม 14, 2013, 06:38:56 pm

 สิ่งลำ้อีกชิ้นที่ หลวงพ่อพระครูสิทธิสังวร ได้สร้างถวายบูชา คุณครูอาจารย์ ณ พิพิธภัณฑ์ คณะ 5 วัดราชสิทธาราม กทม.

ภาพจาก http://www.facebook.com/phrakrusittisongvon



 st11 st12 st11 st12 st11 st12
 
20  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / งานเปลี่ยน ผ้าครองหลวงพ่อย้อย วัดอัมพวัน ที่ผ่านมา เมื่อ: มกราคม 06, 2013, 08:19:15 pm








ขอบคุณภาพจาก
www.facebook.com/pages/ศูนย์พระเครื่องสุขอนันต์-ปาร์ค/213786535363775
21  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม ด้วยกายทิพย์บ่อย ๆ ในพระสูตร เมื่อ: มกราคม 03, 2013, 03:19:46 pm
พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม ด้วยกายทิพย์บ่อย ๆ ในพระสูตร ใช่หรือไม่ แสดงว่า การถอดกายทิพย์ นั้นต้องเป็นทีนิยมในครั้ง พุทธกาล ใช่หรือไม่ครับ
 :smiley_confused1: :c017:
22  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญร่วมปฏิบัตธรรมประจำเดือน ตุลาคม 20-23 ต.ค. ณ คณะ 5 วัดราชสิทธาราม เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 08:45:03 pm
กำหนดการปฏิบัติธรรมประจำเดือน ตุลาคม 55

วันเสาร์ที่ 20 -อาทิตย์ที่ 21-จันทร์ที่22- วันปิยะ ที่23
ที่คณะ 5 วัดราชสิทธาราม (พลับ)
ถนนอิสรภาพ ซ.อิสรภาพ23 แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ โทร.084-651-7023
กำหนดการ 20-21-22-23 ตุลาคม 2555


  ที่คณะ 5 วัดราชสิทธาราม ซอยอิสรภาพ 23 บางกอกใหญ่ กรุงเทพ

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2555  ขึ้น 5 ค่ำ เดือน  11 (เทศกาลกินเจ)

     เวลา 06.30 - 07.00 น.        ลงทะเบียน รับอาหารเช้า รับศีล ขึ้นกรรมฐาน   

     เวลา 07.30 - 08.00 น.        รับประทานอาหารเช้า นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม

     เวลา 11.00 – 13.00 น.        รับประทานอาหารกลางวัน  ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย 

     เวลา 13.00 - 14.00 น.        ฟังธรรมบรรยาย ถามปัญหาธรรม พักดื่มน้ำปานะ 

     เวลา 14.00 - 16.30 น.        เจริญจิตภาวนา เดินจงกรม   ทำธุระส่วนตัว 

     เวลา 16.30 - 17.00 น.        ทำวัตรเย็น

  วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2555  ขึ้น 6 ค่ำ เดือน  11 (เทศกาลกินเจ)

     เวลา 06.30 - 07.00 น.        ทำวัตรเช้า เจริญภาวนา   รับอาหารเช้า

     เวลา 07.30 - 08.00 น.        รับประทานอาหารเช้า นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม

     เวลา 11.00 – 13.00 น.        รับประทานอาหารกลางวัน  ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย 

     เวลา 13.00 - 14.00 น.        ฟังธรรมบรรยาย ถามปัญหาธรรม พักดื่มน้ำปานะ 

     เวลา 14.00 - 16.30 น.        เจริญจิตภาวนา เดินจงกรม   ทำธุระส่วนตัว 

   วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2555  ขึ้น 7 ค่ำ เดือน  11 (เทศกาลกินเจ)

     เวลา 06.30 - 07.00 น.         ทำวัตรเช้า เจริญภาวนา   รับอาหารเช้า

     เวลา 07.30 - 08.00 น.         รับประทานอาหารเช้า นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม

     เวลา 11.00 – 13.00 น.         รับประทานอาหารกลางวัน  ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย 

     เวลา 13.00 - 14.00 น.         ฟังธรรมบรรยาย ถามปัญหาธรรม พักดื่มน้ำปานะ 

     เวลา 14.00 - 16.30 น.         เจริญจิตภาวนา เดินจงกรม   ทำธุระส่วนตัว 

     เวลา 16.30 - 17.00 น.         ทำวัตร สวดธรรมจักร

    วันอังคารที่ 23 ตุลาคม 2555  ขึ้น 8 ค่ำ เดือน  11 (ปิยะมหาราช หมดเทศกาลเจ)


     เวลา 06.30 - 07.00 น.          ทำวัตรเช้า เจริญภาวนา   รับอาหารเช้า

     เวลา 07.30 - 08.00 น.          รับประทานอาหารเช้า นั่งกรรมฐาน เดินจงกรม

     เวลา 11.00 – 13.00 น.          รับประทานอาหารกลางวัน  ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย 

     เวลา 13.00 - 14.00 น.          ฟังธรรมบรรยาย ถามปัญหาธรรม พักดื่มน้ำปานะ 

     เวลา 14.00 - 16.30 น.          เจริญจิตภาวนา เดินจงกรม   ทำธุระส่วนตัว 

     เวลา 16.30 - 17.00 น.          ทำวัตร สวดธรรมจักร

ที่มาของข่าวสารงานปฏิบัติธรรม ครั้งนี้
http://www.somdechsuk.org/node/297

23  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Gallory บทความภาพของ madchimaRDN เมื่อ: สิงหาคม 08, 2012, 04:33:59 pm
Gallory บทความภาพของ madchimaRDN
ไม่เป็นสมาชิก ก็เข้าชมได้ครับ

ภาพชุดที่ 1 ประกอบบทความ
http://www.facebook.com/media/set/?set=a.258420037572791.61671.100002143894652&type=3&l=765ba24315


24  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เริ่มต้นฝึกกรรมฐาน เอาฐาน ที่ 3 เลยได้หรือไม่ครับ เมื่อ: มิถุนายน 10, 2012, 08:05:46 pm
เริ่มต้นฝึกกรรมฐาน เอาฐาน ที่ 3 เลยได้หรือไม่ครับ

 คือผมเคยฝึกอานาปานสติ แล้วมักจะกำหนดระหว่างหน้าอกกับสะดือ เข้าใจว่าเป็น ฐานที่ 3 โอกกันติกาปีติ ก็เลยมีความชอบเวลาฝึกให้จิตไปอยู่ฐานจิตที่ 1 รู้สึกอึดอัดมาก ทำสมาธิไม่ได้ จึงอยากฝึกที่ฐานจิตที่ 3 เลยได้หรือไม่ครับ

  ขอบคุณมากครับ เพราะถามไปทางเมลแล้วยังไม่ได้รับคำตอบครับ

  :25: :25: :25:
25  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขาว กับ ดำ ต้องใช้ปัญญาให้ถูกกาล เมื่อ: เมษายน 08, 2012, 11:02:55 am


26  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตมืด 8 ด้าน ... ทางสว่างอยู่ด้านที่ 9 เมื่อ: เมษายน 08, 2012, 10:53:30 am

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.bloggang.com

“แม้จะต้องจนมุมกับปัญหา เสมือนมีความมืดทั้งแปดเข้าครอบคลุม แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นบทสรุปว่า ทั้งชีวิตต้องสิ้นทางออก.. เพราะถึงอย่างไร ก็ยังมีคำตอบของทุกเรื่องเสมอ ทางตัน มักจะเป็น จุดเริ่มต้น ของทางออกฉุกเฉินให้ก้าวไปได้เสมอ”

หากโลกนี้ ยังต้องมี กลางคืน ซึ่งดุจดั่งภาพของ ความมืด เสมือนชีวิต ต้องเผชิญกับปัญหาอยู่เสมอ ไม่อาจเลี่ยง.. เช่นเดียวกันหากโลกนี้ ยังคงมี กลางวัน ก็เปรียบกับภาพของ ความสว่าง ซึ่งจะมีคำตอบของชีวิตในทุกๆ ปัญหาเช่นกัน..

ความมืด อาจเป็นช่วงสัญญาณของเวลา เมื่อหาทางออกไม่เจอ..
คำว่ามืดแปดด้าน เป็นคำพูดให้เราได้ยินอยู่เสมอ จากทุกทิศทุกทาง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ในยามที่เราหรือใครก็ตาม มีชีวิตเหมือนตกอยู่ในวังวนของเรื่องหนึ่งเรื่องใด และแล้วก็จนปัญญาที่จะแก้ไข

หากแต่ปมของเรื่อง มันอาจทำให้เรามืดแปดด้าน ปมปัญหาชีวิตเช่นนี้
นี่แหละ.. คือความจริงที่นำเราไปสู่ความพยายามมากยิ่งขึ้น
จะชี้ ช่องทางให้คลำไปเจอกับความสว่างได้ ซึ่งก็เป็น คำตอบของเรื่องนั้นๆ ยังไงๆ ก็มีคำตอบอยู่วันยังค่ำ
เพราะโลกนี้ ไม่ใช่จะมีแต่ กลางคืนแห่งความมืด เท่านั้น...แต่
เพราะโลกนี้ ย่อมมีกลางวันแห่งความสว่าง ควบคู่กันไปด้วยเสมอ...

คนเก่งหัวใจแกร่ง แม้ชีวิตต้องพบกับสภาวะแบบหลังชนฝา แต่จะไม่จบชีวิตตรงที่เวลาจนมุมหรือยอมแพ้เมื่อพบทางตันเท่านั้น ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่กลับเป็นจุดสตาร์ท เริ่มต้นของชีวิตใหม่ด้วยพลังใหม่ เพราะหากว่า.. ลมหายใจยังคงขับเคลื่อนอยู่ในร่างกาย ก็เหมือนเครื่องยนต์ที่น้ำมันหมดแล้ว.. แต่ยังสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยน้ำมันสำรองที่มีอยู่
ดังนั้น เมื่อชีวิตพบทางตัน นั่นหมายถึง ชีวิตกำลังเริ่มต้นสิ่งใหม่อีกครั้ง

มันจะทำให้เราพร้อมอยู่เสมอ ที่จะหวังเพื่อวันฟ้าใหม่ กับทางออกของวันใหม่ กลางคืนจะกลับคืนสู่กลางวันในไม่ช้า
ความเมื่อยล้า จะกลับกลายเป็น ความแข็งแกร่งอีกครั้ง
 
พลังชีวิต จะพุ่งออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ และพร้อมจะปล่อยออกมา
ทำลายกำแพงของความมืด ให้แตกกระจายออก
แล้วนำตัวเอง ให้ก้าวผ่านความมืดนี้ สู่ความสว่างได้ อย่างท้าทาย..

สว่าง ตา ด้วยแสง ไฟ
สว่าง ใจ ด้วยแสง ธรรม




ขอบคุณภาพประกอบจาก http://arunnoon.files.wordpress.com
27  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศาลาริมทาง ยังถูกขโมย อยางภาพเลยครับ ความปลอดภัยยุคนี้ลำบากนะครับ เมื่อ: เมษายน 02, 2012, 11:17:33 am




ในภาพข่าวเห็นว่าเป็น จ. อยุธยา นะครับ

28  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มาลองอ่านศึกษาเรื่อง วิชาปัญญาญาณ เป็นของสาวกผู้มีบารมี เมื่อ: มีนาคม 18, 2012, 06:03:41 pm


วิชาปัญญาญาณ วิชาปัญญาญาณ เป็นของสาวกผู้มีบารมีและสร้างบารมีมาเพื่อที่จะมีปัญญาญาณเท่านั้น ไม่จำเพาะเจาะจงหรือเป็นสาธารณะเหมือนวิชาอื่น ผู้ปฎิบัติต้องเข้าถึงเอง คนเราแสร้งโง่ ดีกว่าอวดฉลาด คนอื่นเขาทดสอบสติปัญญา ไม่จำเป็นต้องแสดงปัญญาที่แท้จริงออกมา เรามีปัญญาแล้วสงบนิ่งอยู่ภายใน ดีกว่าอวดรู้แสดงว่าตัวเองเก่งให้ชาวบ้านเห็น เรียกว่า แกล้งโง่ดีกว่าอวดฉลาด ไม่มีเหตุไม่แสดงปัญญาญาณ ถ้ามีเหตุการณ์บังคับจึงใช้ปัญญาญาณ แต่ก่อนใช้ปัญญาญาณ จึงควรพิจารณาให้ดีก่อนใช้ (ไม่ใช่นึกจะใช้ก็ใช้ หรือสักแต่ว่าใช้)

ก่อนจะใช้ปัญญาญาณ พึงระลึกไว้เสมอว่า อย่าเอาความทุกข์ของผู้อื่นมาเป็นความทุกข์ของตัวเอง สรรพสัตว์ในโลกเกิดมาล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่ว สูงต่ำ มั่งมีหรือยากจน วิชาปัญญาญาณ วิชาปัญญาญาณ คือ การเข้าสมาธิโดยใช้หลักการของวิปัสสนากรรมฐาน ดังต่อไปนี้

1. ฐานสติอยู่กลางศีรษะ
2. ฐานปัญญาอยู่ด้านขวาตรงข้ามของหัวใจ
3. ฐานที่จิตอยู่ประจำที่คือตรงซ้ายของหัวใจ เอาสติ ปัญญา จิต มารวมเป็นหนึ่งเดียว แล้วเอาปัญหาทุกอย่างในโลกใบนี้ มาพิจารณาแก้ไขด้วยอำนาจแห่งปัญญาญาณ ปัญหามาปัญญาเกิด ปัญหาเตลิดปัญญาหนีหาย หลักวิชาปัญญาญาณ คือ ดวงสติ ดวงปัญญา ดวงจิต เอามารวมเป็นหนึ่งเดียว

อำนาจปัญญาญาณ
1. ปัญญาญาณ เกิดจากการนั่งสมาธิ การทำสมาธิอบรมปัญญาอยู่เสมอ
2. ปัญญาญาณ เกิดจากการฟังและพิจารณาโดยอุบายที่ชอบ
3. ปัญญาญาณ เกิดจากตาปัญญา เพราะได้ใช้ตาปัญญาเป็นเครื่องรู้ยิ่งเห็นจริงใน สรรพสัตว์ทั้งปวง การใช้สติปัญญาได้เต็มที่ ขึ้นอยู่กับสรีระศีรษะภายในร่างกายเป็นหลัก ถ้าสมองส่วนที่หลับทำงานอยู่ เราก็ใช้สติปัญญาได้เต็มที่ ถ้าสมองส่วนที่หลับไม่ทำงาน ปัญญาก็มาไม่เต็มร้อย การปลุกเซลล์ส่วนที่หลับของกะโหลกศีรษะให้ทำงาน โดยใช้พลังปัญญาญาณเป็นหลักในการควบคุมสติปัญญาของตัวเอง ข้อสำคัญของการใช้ปัญญาญาณ คือ สติ ปัญญา จิต รวมเป็นหนึ่งเดียว ข้อควรระวังของการใช้ปัญญาญาณ คือ ถ้าปัญญาขาดสติควบคุมเสียแล้ว เรียกว่า สติหลุดหรือสติเผลอเหรอ (ปัญญาก็จะมาไม่เต็มร้อย) สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดปัญญาหนีหาย แต่ปัญญาญาณลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น คือ สติด้านหน้าของกะโหลกศีรษะ คือ จุดรวมสมาธิ หมายถึง ดวงสติ คอยควบคุม ดวงปัญญา ไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ให้พลั้งเผลอ สติสามารถดึงเอาขุมพลังปัญญาออกมาได้เต็มที่ เรียกว่า (ปัญญาญาณ) สติหลุดเมื่อไร ปัญญาญาณหายทันที เพราะฉะนั้น สติจึงเป็นประธานของปัญญาญาณ เวลาใช้ปัญญาญาณ (ปัญญามารวดและแรงดุจสายลม)


ที่มา
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=2487031635353&set=at.1305698142754.40268.1839547510.100003255883685&type=1&theater
29  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอานาปานสติว่า ควรกำหนดตามลำดับ ดังนี้ เมื่อ: มีนาคม 18, 2012, 05:54:10 pm
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอานาปานสติว่า ควรกำหนดตามลำดับ ดังนี้


๑ . "เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า

เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว

เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวงหายใจเข้า"


๒. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาวเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น แม้ฉันใด

ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น


๓. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง(ของตน) พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง(ของผู้อื่น) พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง



ศึกษาทั้งหมดได้ที่
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ 
ทีฆนิกาย มหาวรรค
๙. มหาสติปัฏฐานสูตร (๒๒)
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถา (เป็นคำอธิบายพระสูตร)
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=273


30  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ญาณ ในสมาธิ กับ ญาณ ใน วิปัสสนา ต่างกันหรือเหมือนกันครับ เมื่อ: มกราคม 30, 2012, 03:05:42 pm
ตามหัวข้อเลยนะครับ คือสงสัยว่า
ญาณ ในสมาธิ กับ ญาณ ใน วิปัสสนา ต่างกันหรือเหมือนกันครับ

   ญาณในสมาธิ คือ อะไร
   ญาณในวิปัสสนา คืออะไร

  เหมือนหรือ ต่างกันครับ จะมีได้ตอนไหนครับ

   :c017:
31  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ปัญหา เรื่องการดูเวทนา ครับ เมื่อ: มกราคม 30, 2012, 03:04:09 pm
เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2554 ได้ไปนั่งสมาธิ 10 วันที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งคะ ก่อนไปได้ศึกษาแนวทางแล้วว่าเป็นแนวที่อยากศึกษาคือดูจิต ดูเวทนาที่เกิดกับอารมณ์เพราะเป็นคนมักโกรธและหงุดหงิดง่ายคะ

ช่วงที่นั่งและฟังธรรมะบรรยายก็เข้าใจในการตีความแต่เกิดความสงสัยในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันว่าจิตจะไวได้เท่านี้ได้อย่างไร แล้วถ้าปล่อยวางทั้งสิ้นจะใช้ชีวิตฆราวาสอย่างไร

หลังจากกลับจากนั่งสมาธิก็เป็นช่วงเปลี่ยนงานพอดี พอเข้าทำงานที่ใหม่ปรากฏอาการมึนงงตลอดเวลา เหมือนเซื่องซึม ไม่อยากทำอะไร เบื่อหน่ายไปหมด และไม่มีความกระตือรือร้นจะทำงาน แล้วก็เอาแต่จะนอนอย่างเดียว ตอนแรกก็คิดว่าคงเพราะพักก่อนเริ่มงานใหม่นานเกินไปเลยขี้เกียจ หรือเพราะเพิ่งล้มจากที่ทำงานเก่ามาก่อน ทำให้หมดกำลังใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เคยได้ยินคนเล่าว่าเวลานั่งสมาธิจะกระทุ้งกรรมเก่า ๆ ให้ออกมา

รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยคะ ว่าการนั่งสมาธิแล้วเกิดสับสนจะมีผลอะไรบ้าง คำที่เคยได้ยินมาจะเป็นไปได้หรือมีคำอธิบายทางหลักการและเหตุผลอย่างไรบ้างคะ

จากคุณ    : urius

อยากให้ทางทีมงาน มัชฌิมา และพระอาจารย์ ช่วยชี้แนะหน่อยครับ
32  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 9 วิธี ทำบุญโดยไม่ต้องใช้เงิน ( มีจริงหรือเนี่ย ) เมื่อ: มกราคม 08, 2012, 07:42:30 pm
9 วิธี ทำบุญโดยไม่ต้องใช้เงิน
 



 โดย ทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของหรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพเป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่าในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น เรามีโอกาสทำความดี หรือทำบุญได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของดังต่อไปนี้
 
 
 1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอนหากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้นพร้อมที่จะรับมือ กับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโหแค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วยถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
 
 2.ยิ้ม แย้มแจ่มใส ในแต่ละวันหากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตามหน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่หรือหากมี ก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่า และถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตากว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์
 
 3.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคนนอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการคนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็ง และกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วเราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เราเช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น
 
 4.แบ่ง ปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลาเช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้องหรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนนหรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้นการให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและทำให้เราได้รับมิตรไมตรี สนองตอบกลับมาด้วย

 

 5.ปลุกปลอบให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิตและ เกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆ ที่มาจากใจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ ชีวิตต่อไปได้
 
 6.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดีการกล่าวคำชื่นชมต่อผู้ อื่นไม่ ว่าจะเป็นเรื่องใดๆย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จแต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐาน ของความเป็นจริง และจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชมเราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้นเพราะคำชมจะเป็นการ เสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆ ขึ้นไป
 
 7.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่าไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านายเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่นก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดี ยิ่งขึ้นและผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไปเมื่อเขาทำงานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเราแนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายเราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามีหรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆ หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่นทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเราทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต
 
 8.การให้ อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่นโดย ทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานาแต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเองเพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรูแต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป
 
 9.ฝึก จิตให้สงบและสบาย ด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสืออยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อ ในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียวจะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติ และทุกๆ คืนก่อนนอนก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบเสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควร
 
 ที่ กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแต่สามารถปฏิบัติในชีวิต ประจำวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไปอีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุน ให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกายใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่นและยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้ เริ่มทำแต่วันนี้เลยนะคะเพราะมีคนบอกว่า "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"
 
ที่มา เด็กซ่าดอทคอม
33  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ไปอ่านมา ครับ มันเกี่ยวกันหรือไม่ครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2011, 09:37:30 am
คือ ช่วงนี้ ผม นั่งสมาธิ แล้ว จะรู้สึก ประมาณ

ขนลุก แบบ ที่เวลา ฉี่เสร็จ นะครับ

จะ เป็น บ่อย มาก เป็น นาน จนต้องเลิกนั่ง
แล้ว ตอนนี้ เริ่ม มาเป็น ตอน ที่ ไม่ได้  นั่งสมาธิ ด้วยแล้ว
เพียงแค่ ตั่งใจ ทำอะไร สักหน่อย ก็ จะเกิดอาการ เหมือน ฉี่เสร็จจนขนลุก ทุกที
ขาจะ เหมือนอ่อนแรง ไม่มีแรงยืน
ยกเว้น ตอน ทำงานที่ต้องใช้แรง จะไม่เป็น อาการนี้
ผม เป็น อะไร ครับ แล้ว จะ แก้ อย่างไร ได้ บ้างครับ

ผม คิดว่า ร่างกายผม แข็งแรงดี ครับ เพราะ ทำงานใช้แรง อยู่ เป็น ปรกติทุกวัน
แล้ว ก็นอน วันละประมาณ 6-8 ชั่วโมง

จากคุณ    : a235
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11289728/Y11289728.html
34  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอเชิญพบกับ มวยคู่เอก คาดเชือกมาแล้วไม่รู้กี่มหากัปป์ เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2011, 09:26:44 am



แผนผังนี้มุ่งเน้นให้การเข้าใจถึงสิ่งที่ “เหนือปัญญาโลก” หรือ โลกุตระธรรม (ถอดม่านมายาออก)

เหนือกว่าชั้นมนุษย์
เหนือกว่าชั้นเทวดา
เหนือกว่าชั้นพรหม-อรูปพรหม

นิพาน คือการ ตัด วงจรการเกิด ใน วัฏสงสาร “ทั้งหมด”
อริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐสุด ความจริงแห่งวงจรทุกข์ ซึ่งมหาศาสดาเป็นผู้ค้นพบ
กิเลส เป็นสิ่งที่เหนี่ยวรัดให้หลงอยู่ในวัฐสงสารไม่จบสิ้น
กุศลเป็นทางความคิดดีที่ทำให้หลุดพ้น
อวิชา ตันหา อุปทาน  ถูกดับให้สิ้นด้วย ปัญญา ที่เกิดจาก สติปัฏฐาน 4
กำลังที่จะปราบฝั่งกิเลส คือ โภชฌงค์ 7 อันเป็นกำลังในการปฏิบัติ ฌาน
ตัวที่ร้ายที่สุดคือ ทิฐิ ที่ยังมองธรรมยังไม่ขาด
สูงสุดคือ อุเบกขา คือการปล่อยวาง ขั้นเหนือสุดของพรหม
จึงจะพบขั้นสูงกว่า คือ “ธรรม” นั่นเอง

โพชฌงค์ 7 เป็นหลักธรรมส่วนหนึ่งของ โพธิปักขิยธรรม 37 (ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้
เกื้อหนุนแก่อริยมรรค อันได้แก่ สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7
และมรรคมีองค์ 8)

โพชฌงค์ 7
1. สติ (สติสัมโพชฌงค์) ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
2. ธัมมวิจยะ (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
3. วิริยะ (วิริยสัมโพชฌงค์) ความเพียร
4. ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) ความอิ่มใจ
5. ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ความสงบกายใจ
6. สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
7. อุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง

กิเลส แปลว่า สิ่งเกาะติด สิ่งเปรอะเปื้อน สิ่งสกปรก
กิเลส คือ สิ่งที่แฝงติดอยู่ในใจแล้วทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัว มีอุปมาเหมือนสีที่ใส่ลงไปในน้ำ
ทำให้น้ำมีสีเหมือนสีที่ใส่ลงไป ใจก็เช่นกัน ปกติก็ใสสะอาด แต่กลายเป็นใจดำ ใจง่าย ใจร้าย
ก็เพราะมีกิเลสเข้าไปอิงอาศัยผสมปนเปอยู่
กิเลสที่ชอบซุกหมักหมมอยู่ในใจคนมากที่สุด คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เพราะกิเลสชอบซุกหมักหมม
อยู่ในใจของคน จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสาสวะ หรือ อาสวกิเลส แปลว่า กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิต

กิเลส 10
1. อโนตตัปปะ ความไม่รู้สึกตื่นกลัวต่อการทุจริต
2. โทสะ ความโมโห โกรธ ความไม่พอใจ
3. โมหะ ความหลงใหล ความโง่
4. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา
5. ทิฏฐิ ความเห็นผิดเป็นชอบ
6. วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงใจ สงสัย ไม่แน่ใจ ลังเลใจ ในสิ่งที่ควรเชื่อ
7. โลภะ ความพอใจ ชอบพอ เต็มใจ ในโลกียอารมณ์ต่างๆ
8. ถีนะ ความหดหู่ เงียบเหงา
9. อหิริกะ ความไม่ละอายต่อการกระทำผิด ทุจริต
10. มานะ ความ ทะนงตน ถือตัว เย่อหยิ่ง


สำคัญที่การกำหนดทิศทางเดินว่าจะไปทางไหน เริ่มต้นอย่างไร อันนี้สำคัญกว่ามากๆ
เพราะพระพุทธเจ้าท่านเน้นย้ำ เน้นนัก เน้นหนาว่า ละกิเลสให้ได้
เห็นโทษของกิเลส กิเลสเป็นของน่ากลัว น่ารังเกียจ ต้องละให้ได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

นี่แหละ คือ “ปัญญา” โดยจักต้องควบคู่กับสมาธิ “ฌาน” เป็นฐานกำลังทำให้จิต
ตั้งมั่นสงบนิ่ง ประหารกิเลสได้หมดจด

เพิ่มเติมและแก้ไข ข้อมูล ว่า ต้องอาศัย กำลังของ ฌาน
เสมอกับ ปัญญาในการดับกิเลสด้วยครับ

แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 54 15:42:07

แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 54 14:05:16

จากคุณ    : สวรรค์รำไร


http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11300060/Y11300060.html
35  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สมาธิ ใน พุทธศาสนา นั้นจริง ๆ หวังผล แต่นั้นในการภาวนา เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2011, 09:17:03 am
คือ บางท่านก็บอกว่า ต้องทำสมาธิ และ บางท่านก็บอกว่า ไม่ต้องทำสมาธิ

อย่างนั้น ก็อยากทราบว่า สมาธิ ในพระุพุทธศาสนา สอน ให้เราทำอย่างไร

และหวังผลในสมาธิ เท่านั้น กันครับ

  :c017: :25:
36  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / มาฟัง(อ่าน)พระพุทธเจ้าตรัสเล่ากันครับ ทำไมจึงตรัสรู้ ครับ เมื่อ: สิงหาคม 24, 2011, 10:34:23 am
มาฟัง(อ่าน)พระพุทธเจ้าตรัสเล่ากันครับ ทำไมจึงตรัสรู้ ครับ


ทุกรกิริยา #อ้างอิง:บาลี โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค ม. ม. ๑๓/๔๕๒/๔๙๕
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/543

ทรงแน่พระทัยว่าไม่อาจตรัสรู้เพราะการทำทุกรกิริยา #อ้างอิง:บาลี มหาสีหนาทสูตร มู. ม. ๑๒/๑๖๒/๑๘๖
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/544

ทรงตริตรึกเพื่อตรัสรู้ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ปฐมสูตร สัมโพธิวรรค ตติยปัณณาสก์ ติก. อํ. ๒๐/๓๓๒/๕๔๓
http://www.84000.org/tipitaka/read/?12/252

ทรงเที่ยวแสวงเพื่อความตรัสรู้ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ทุติยสูตร สัมโพธิวรรค ตติยปัณณาสก์ ติก. อํ. ๒๐/๓๓๓/๕๔๔
http://www.84000.org/tipitaka/read/?18/173

ทรงคอยควบคุมวิตก ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี เท๎วธาวิตักกสูตร สีหนาทวรรค มู. ม. ๑๒/๒๓๒/๒๕๒
http://www.84000.org/tipitaka/read/?19/1205-1207

ทรงกำหนดสมาธินิมิต ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี อุปักกิเลสสูตร สุญญตวรรค อุปริ. ม. ๑๔/๓๐๒/๔๕๒
http://www.84000.org/tipitaka/read/?17/59-60

ทรงกลั้นจิตจากกามคุณในอดีต ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี จตุตถสูตร โลกกามคุณวรรค สฬา. สํ. ๑๘/๑๒๑/๑๗๓
http://www.84000.org/tipitaka/read/?18/173

ทรงค้นวิธีแห่งอิทธิบาท ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ปฐมสูตร อโยคุฬวรรค มหาวาร. สํ.๑๙/๓๖๒/๑๒๐๕
http://www.84000.org/tipitaka/read/?19/1205-1207

ทรงคิดค้นเรื่องเบญจขันธ์ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ปัญจมสูตร ภารวรรค ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๔/๕๙
ทรงคิดค้นเรื่องเวทนาโดยละเอียด ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี สูตรที่ ๔ เวทนาสํยุตต์ สฬา. สํ. ๑๘/๒๘๙/๔๓๙
ทรงแสวงเนื่องด้วยเบญจขันธ์ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ฉัฏฐสูตร ภารวรรค ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๖/๖๑.
ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ทสมสูตร พุทธวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑/๒๖
ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ (อีกนัยหนึ่ง) #อ้างอิง:บาลี มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐
http://www.84000.org/tipitaka/read/?16/250-252

ทรงพยายามในอธิเทวญาณทัสสนะเป็นขั้น ๆ #อ้างอิง:บาลี จาลวรรค อฎฺฐก. อํ. ๒๓/๓๑๑/๑๖๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?23/161

ก่อนตรัสรู้ทรงทำลายความขลาด ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ภยเภรวสูตร มูลปริยายวรรค มู. ม. ๑๒/๒๙/๓๐
http://www.84000.org/tipitaka/read/?12/30-45

ธรรมที่ทรงอบรมอย่างมาก ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี อัฏฐมสูตร สัญญาวรรค ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๔/๖๘
http://www.84000.org/tipitaka/read/?22/68

วิหารธรรมที่ทรงอยู่มากที่สุด ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๙, ๔๐๑/๑๓๒๔, ๑๓๒๙
http://www.84000.org/tipitaka/read/?19/1327-1347

ทรงพยายามในเนกขัมมจิต และอนุปุพพวิหารสมาบัติ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี นวก. อํ. ๒๓/๔๕๗/๒๔๕
http://www.84000.org/tipitaka/read/?23/245

ทรงอธิษฐานความเพียร ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ปัญจมสูตร กัมมกรณวรรค ทุก. อํ. ๒๐/๖๔/๒๕๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/251

ความฝันครั้งสำคัญ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ฉัฏฐสูตร พราหมณวรรค ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๖๗/๑๙๖
อาการแห่งการตรัสรู้ #อ้างอิง:
บาลี โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค ม. ม. ๑๓/๔๕๗/๕๐๕,
บาลี สคารวสูตร พราหมณวรรค ม. ม. ๑๓/๖๘๕/๗๕๔,
บาลี มหาสัจจกสูตร มู. ม. ๑๒/๔๕๘/๔๒๗
http://www.84000.org/tipitaka/read/?13/505-508

สิ่งที่ตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔
การตรัสรู้คือการทับรอยแห่งพระพุทธเจ้าในอดีต #อ้างอิง:บาลี สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๘/๒๕๓
การตรัสรู้คือการทรงรู้แจ้งผัสสายตนะโดยอาการห้า #อ้างอิง:บาลี ปัจจัตตยสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๔๐/๔๑
เกิดแสงสว่างเนื่องด้วยการตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี สัตตมสูตร ภยวรรค จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๗๗/๑๒๗
แผ่นดินไหว เนื่องด้วยการตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี อฎฺฐก. อํ. ๒๓/๓๒๒,๓๒๓/๑๖๗
การรู้สึกพระองค์ว่าได้ตรัสรู้แล้ว #อ้างอิง:บาลี ปาสราสิสูตร โอปัมมวรรค มู. ม. ๑๒/๓๒๓/๓๒๐
วิหารธรรมที่ทรงอยู่ เมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ #อ้างอิง:บาลี สูตรที่ ๑ วิหารวรรค มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๖/๔๘

โดย..พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ (สำนวนแปล ท่านพุทธทาส)
http://203.114.103.68/buddhakos/watna_books/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%8C%205%20%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1/05-%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4.pdf
หน้า: [1]