ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: 1 ... 505 506 [507] 508 509 ... 556
20241  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ที่ปรึกษา กมธ.ศาสนาฯ เสนอ ก.วัฒนธรรม ศึกษา 'พระสงฆ์เลือกตั้งได้' เมื่อ: สิงหาคม 15, 2012, 07:43:38 pm



ชง..วธ.ศึกษา'พระสงฆ์เลือกตั้งได้'

ที่ปรึกษากมธ.ศาสนาฯ เสนอ วธ.ศึกษา "พระสงฆ์เลือกตั้งได้" พร้อมแนะวธ.ดูแลชาวต่างชาติหมิ่น พระพุทธรูป หาช่องออกกฏกระทรวง ออกมาตรการดูแลให้เป็นรูปธรรม

      15ส.ค.2555 ศ.ดร.ฐาปนา บุญหล้า ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร  กล่าวภายหลังการประชุมที่กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ว่า ตนได้เสนอให้วธ.ไปศึกษาความเป็นไปได้ว่า พระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยควรที่จะสามารถเลือกตั้งได้เหมือนกับ นักบวช ศาสนาอื่น เช่น ประเทศศรีลังกา นักบวชสามารถเข้าไปเล่นการเมืองได้

      ดังนั้น จึงอยากให้วธ.ศึกษารายละเอียดว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะให้พระภิกษุสงฆ์สามารถเลือกตั้งได้เพราะนักบวชของไทย ก็ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเหมือนกับประชาชนทั่วไป

      ขณะที่นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดวธ. กล่าวว่า เรื่องขอเสนอให้พระสงฆ์สามารถมีสิทธิเลือกตั้งได้นั้น ตนเห็นว่า ตามหลักของพระพุทธศาสนา หรือธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณ มีข้อกำหนดไว้ว่า พระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หากทางที่ปรึกษากมธ.เห็นว่า ควรจะให้วธ.ดำเนินการศึกษา ตนจะต้องขอความเห็นจากมหาเถรสมาคม(มส.)ซึ่งเป็นผู้ครองและออกระเบียบปกครองคณะสงฆ์ก่อนว่า มีความเช่นไรกับเรื่องดังกล่าวต่อไป

      ด้านนางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) กล่าวว่า  นายสันตศักดิ์ จรูญ งามพิเชษฐ์ ประธานคณะกรรมาธิการฯเห็นว่า วธ.ควรที่จะดูแลเกี่ยวสินค้าพุทธพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนามาประดับตามสถานที่ต่างๆอย่างไม่เหมาะสม เนื่องจากกมธ.ได้รับร้องเรียนเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งห่วงว่า จะส่งผลกระทบต่อศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

      ที่สำคัญ วธ.จะต้องให้ความรู้ชาวต่างชาติได้เห็นว่า สิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ ถึงแม้จะใช้พระพุทธรูปเป็นเครื่องประดับตกแต่งแต่ก็ควรที่จะจัดไว้ในสถานที่เหมาะสมด้วย

      นางสุกุมล กล่าวต่อไปว่า นายสมชายได้ชี้แจงต่อประธานกมธ.ไปว่า วธ.ได้ทำหนังสือคู่มือการเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติของคนไทย โดยเฉพาะการใช้สัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา ไปมอบให้แก่สถานทูตทั่วโลกใช้แจกชาวต่างชาติ เพื่อให้ทราบธรรมเนียมปฏิบัติของชาวพุทธต่อรูปเคารพ องค์พระพุทธเจ้า ที่ถูกต้องรวมทั้งไม่ควรนำสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาไปตั้งตามสถานที่ที่ไม่เหมาะสมด้วย

      รวมทั้งยังได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการสัก ว่า ไม่ควรนำสัญลักษณ์ทางศาสนาทุกศาสนา มาสักลงบนร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม อย่างไรทาง กมธ. ได้เสอนแนะให้ ออกเป็นกฎกระทรวงในการป้องกันหรือใช้สัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาอย่างไม่เหมาะสมเพื่อให้มีมาตรการดูแลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในเรื่องนี้ตน ได้รับเรื่องจากกมธ.ไว้พิจารณาอีกครั้ง



ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20120815/137740/ชงวธ.ศึกษาพระสงฆ์เลือกตั้งได้.html#.UCuYH6Dvolg
20242  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ กูเกิล เสิร์ช (Google search) เมื่อ: สิงหาคม 15, 2012, 07:35:26 pm



เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ กูเกิล เสิร์ช (Google search)

ในแต่ละเดือนมีการค้นหาผ่านกูเกิล เสิร์ช มากกว่า 100,000 ล้านครั้ง หรือมากกว่า 3,000 ล้านครั้งต่อวัน
   
16-20% ของจำนวนคำค้นหาที่กูเกิลได้รับในทุก ๆ วัน เป็นคำค้นหาที่ไม่เคยมีมาก่อน
คำค้นหาบนกูเกิล จะเดินทางไปมาระหว่างดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉลี่ยระยะทางรวม 1,200 กิโลเมตร   
การค้นหาผ่านกูเกิล ใช้งานได้ 146 ภาษา

   
กูเกิล เสิร์ช รองรับการใช้งานได้ถึง 181 โดเมนเนมทั่วโลก (เช่น .co.jp สำหรับประเทศญี่ปุ่น)
กูเกิล เสิร์ช จะใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 1/4 วินาที เพื่อแสดงผลการค้นหา (กะพริบตาใช้เวลา 1/10 วินาที)

 
    เนื้อที่การจัดเก็บข้อมูลของกูเกิลเพิ่มขึ้นจากความจุมากกว่า 100 เพตาไบต์
    หรือประมาณ 100,000 เท่าของห้องสมุดในสภา คองเกรส

 
    บนหน้าโฮมเพจของกูเกิลทั่วโลก มีภาพ กูเดิลแสดงให้เห็นแล้วเกินกว่า 1,000 ภาพ.





ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/technology/149534
20243  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สามีภรรยาใช้เวลา 26 ปี.. "ปลูกดอกไม้รอบบ้าน" เมื่อ: สิงหาคม 15, 2012, 01:24:26 pm



สามีภรรยาใช้เวลา 26 ปี.. "ปลูกดอกไม้รอบบ้าน"


คู่สามีภรรยาใช้เวลาทุกเย็นและวันหยุดกว่า 26 ปี เพื่อปลูกดอกไม้รอบๆบ้านของพวกเขา

นี่คือผลงานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ที่ดอกไม้หลากหลายสีสันกำลังเบ่งบานอย่างสวยงามหลังจากที่พวกเขาใช้กำลังกายและความรักสร้างมันมากว่า 26 ปี

แอนน์ และโรบิน สแทรนจ  ได้ใช้เวลาว่างเพื่อจัดแต่งบ้านสวนของพวกเขา และยังคงปลูกดอกไม้เพิ่มเติมทุกวัน  ซึ่งที่ผ่านมาก็เกือบ3ศตวรรษแล้ว   ทุกๆปีทั้งคู่จะใช้เงินราว 100 ปอนด์เพื่อชื้อเมล็ดพันธุ์และกล้าไม้มาเพาะก่อนที่จะปลูกมันในช่วงกลางเดือนมิถุนายน

สแทรนจ อายุ 65 ปี กล่าวว่า วันหนึ่งเขาได้มองเห็นกระเช้าดอกไม้ที่แขวนไว้ซึ่งมันสวยงามมาก พวกเขาจึงเกิดแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานของพวกเขาเอง  และพวกเขาก็ได้ปลูกดอกไม้มากขึ้นและมากขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา   ที่สำคัญมันก็ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็น และขับรถผ่านด้วย







ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/รอบโลก/170942/สามีภรรยาใช้เวลา26ปีปลูกดอกไม้รอบบ้าน
20244  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / โพลโนเกียชี้คนยังฮิต "QWERTY"(พิมพ์ดีด) มากกว่า "ทัชสกรีน" เมื่อ: สิงหาคม 15, 2012, 12:59:47 pm


โพลโนเกียชี้..คนยังฮิต "QWERTY" มากกว่า "ทัชสกรีน"

หน้าจอสัมผัส หรือทัชสกรีนเข้ามายึดครองตลาดทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยความที่ใช้งานง่ายและดูทันสมัย อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่าคนจำนวนมากยังนิยม คีย์บอร์ดที่เรียกว่า QWERTY โดยระบุว่าดีที่สุด

จากการสำรวจของโนเกีย ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ของโลกสัญชาติฟินแลนด์ ผ่านทางบล็อก Conversations by Nokia ว่า
    สมาชิกในบล็อกนิยมวิธีการป้อนข้อมูลแบบใดมากที่สุด โดยให้เลือกระหว่าง คีย์บอร์ด QWERTY นัมเบอร์คีย์แพด หรือกลุ่มแป้นตัวเลข และการสั่งงานด้วยเสียง พบว่า
    ร้อยละ 48.64 เลือก QWERTY
    รองลงมาร้อยละ 34.69 เลือกทัชสกรีน
    ร้อยละ 8.91 เลือกนัมเบอร์คีย์แพด
    และร้อยละ 7.75 เลือกสั่งงานด้วยเสียง


   ขณะที่เมื่อดูแยกเป็นประเทศ ชาวอเมริกันนิยมใช้งานทัชสกรีนมากที่สุด ถึงร้อยละ 47.22
   ขณะที่ชาติในสหภาพยุโรป เช่น เยอรมนี อังกฤษ สวีเดนและฟินแลนด์
   รวมถึงประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างฟิลิปปินส์ นิยม QWERTY

   อย่างไรก็ตาม งานวิจัยดังกล่าวทำโดยโนเกีย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ยังใช้คีย์บอร์ด QWERTY ในการป้อนข้อมูลเป็นส่วนใหญ่



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNakUxTURnMU5RPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1pMHdPQzB4TlE9PQ==
20245  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สุดทึ่ง หญิงตาบอด ทำอาหารสุดคล่อง เข้าแข่งรายการ"ยอดกุ๊ก"ของ"ฟ็อกซ์ทีวี"(ชมคลิป) เมื่อ: สิงหาคม 15, 2012, 12:44:01 pm

เผยแพร่เมื่อ 10 มิ.ย. 2012 โดย PERLRacing


สุดทึ่ง หญิงตาบอด ทำอาหารสุดคล่อง เข้าแข่งรายการ"ยอดกุ๊ก"ของ"ฟ็อกซ์ ทีวี"(ชมคลิป)

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางคริสติน ฮา หญิงเวียดนามตาบอดวัย 33 ปี ซึ่งสามารถทำอาหารได้เหมือนคนปกติอย่างคล่องแคล่ว จะเข้าร่วมแข่งขันในรายการMasterChef"ของสถานีโทรทัศน์"Fox′s"

     ขณะที่เจ้าตัวเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ได้ฝึกฝนการทำอาหารด้วยตัวเอง ด้วยการช่วยแม่ซึ่งเป็นแม่ครัวชั้นยอดในตอนเด็ก ๆ  ทำให้กลายเป็นคนตาบอดที่ทำอาหารได้ และไม่เคยเข้าคอร์สเรียนฝึกทำอาชีพที่ไหนมาก่อน และว่า เธอต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นความจำในการทำอาหารด้วยการชิม หลังจากตาบอดสนิททั้งสองข้าง


     รายงานระบุว่า นางฮา มีอาการ"neuromyelitis optica" ซึ่งเป็นอาการที่กระทบกระเทือนต่อประสาทตาและไขสันหลัง โดยเธอต้องสูญเสียการมองเห็นกับดวงตาข้างหนึ่งเมื่อปี 1999 และตาบอดสนิทในปี 2007

     อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอทำอาหาร เธอใช้ประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นและการชิมรสชาดอาหาร ชดเชยการมองไม่เห็น และในการแข่งขันรอบแรก เธอยังชนะใจกรรมการได้ผ่านเข้ารอบต่อไปด้วย



ขอบคุณข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1345005409&grpid=&catid=06&subcatid=0600
20246  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดอรุณฯ โวย วธ. เมินซ่อมพระปรางค์วัดอรุณ ทรุดโทรมหนักคอม้ายอดปรางค์หักทลาย เมื่อ: สิงหาคม 15, 2012, 12:33:59 pm



วัดอรุณฯ โวย วธ. เมินซ่อมพระปรางค์วัดอรุณ ทรุดโทรมหนักคอม้ายอดปรางค์หักทลาย

วันนี้ (14 ส.ค.) พระครูอรุณธรรมนุวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม เปิดเผยว่า จากการที่กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)  ได้เข้ามาตรวจสอบพระปรางค์วัดอรุณ เมื่อครั้งประสบปัญหาน้ำท่วมกัดเซาะพื้นผิวหน้าวัดจนทรุดตัวลง และมีแนวทางที่จะบูรณะองค์พระปรางค์ เนื่องจากถูกเชื้อรากินองค์พระปรางค์ด้วยนั้น

แต่ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้หน่วยงานดังกล่าวได้เงียบหายไป มีเพียงงบประมาณ 5 ล้านบูรณะดินทรุดหน้าวัดเท่านั้น ซึ่งทางวัดเข้าใจกระทรวงวัฒนธรรม ที่มีงบประมาณจำกัด แต่อยากฝากถึงรัฐบาลให้ใส่ใจ สัญลักษณ์ของประเทศ ที่มีนักท่องเที่ยวมาเข้าชมเป็นจำนวนมาก ที่กำลังทรุดโทรม จนคอม้าขนาดเท่าคนอยู่บริเวณบนยอดพระปรางค์ถล่มลงมา เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ





พระครูอรุณธรรมานุวัตร กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังมีเศษถ้วย กินรี กระเบื้องต่างๆเริ่มหลุดร่อนมากขึ้น เพราะน้ำฝน และแรงลมต่างๆ ซึ่งตนไม่อยากให้พระปรางค์วัดอรุณ เหมือนกับพระธาตุพนมที่ถล่มลงมาเพราะแค่รอยน้ำซึมเล็กๆ เท่า ส่วนเงินเก็บค่าเข้าชมนักท่องเที่ยวนั้น  ทางวัดก็ไม่เพียงพอต่อการบูรณะพระอุโบสถ กุฎิสงฆ์  ที่ใช้งบประมาณ 25 ล้านบาท บูรณะได้เพียงแค่คณะเดียว

ซึ่งทางวัดอรุณมีทั้งหมด 8 คณะใช้เวลาซ่อมแซมคณะละ 2 ปี ซ่อมทั้งหมดต้องใช้เวลากว่า 16 ปี ที่สำคัญพระประธานในพระอุโบสถ ไม่เคยได้รับการบูรณะเลย อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลมาสนใจวัดอรุณ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ที่สำคัญทางวัดไม่อยากให้มีเศษก้อนอิฐ ที่เป็นองค์ประกอบหล่นมาใส่ประชาชนและนักท่องเที่ยว อาจจะทำให้เสียภาพลักษณ์ประเทศได้
 






“ทางสำนักโบราณคดี ได้เข้ามาดูแลตลอดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่ให้งบประมาณ ซึ่งวัดอรุณเคยบูรณะครั้งใหญ่ไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้บูรณะอีก มีเพียงบูรณะเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเพื่อให้สวยงาม ล่าสุดตระกูล โตกุกาว่า ซึ่งเป็นตระกูล โชกุน ที่ปกครองญี่ปุ่นมานับพันปี ได้เห็นข่าวพระปรางค์วัดอรุณทรุดโทรม จึงได้สนับสนุนงบประมาณมา 1 ล้านเยน หรือประมาณกว่า 3 แสนบาท  เพื่อบูรณะพระปรางค์

ซึ่งอาตมาได้ แจ้งกับทางตระกูลดังกล่าวไปว่า งบประมาณจำนวนนี้ ไม่เพียงพอต่อการบูรณะองค์พระปรางค์ แต่จะขอนำมาบูรณะพระประธานก่อนซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว เพราะไม่เคยได้รับการบูรณะเลย ทางตระกูลดังกล่าวก็ยินดี ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและมีคุณค่ามากที่ชาวต่างชาติเห็นความสำคัญของพระปรางค์วัดอรุณ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้อาตมาห่วงพระปรางค์มาก เพราะฝนตกหนัก ลมแรง องค์ประกอบล่วงหล่นลงมาเป็นระยะ”ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณฯ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/education/149446
20247  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เหรียญ "พระบรมรูปหล่อ..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" (โดยพระบรมราชานุญาต) เมื่อ: สิงหาคม 13, 2012, 09:15:05 pm



เหรียญ "พระบรมรูปหล่อ..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
โดยพระบรมราชานุญาต

เหรียญพระบรมรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจัดสร้างในชุด พระพุทธชินราช (จำลอง) โดยได้รับพระราชทาน พระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานที่ด้านหลังเหรียญ.....

รุ่นนี้เปิดตัวมาก็ฮือฮามาก เพราะมี มวลสารสุดยอดของสุดยอด จาก 2 แผ่นดินแห่งพระพุทธศาสนาหลักๆของไทย คือ ผงจิตรลดา และ ผงทองคำ 100 ปี ที่ลอกจากองค์หลวงพ่อโสธร ซึ่งมีผู้ไปสักการบูชา บูชาและปิดทองมาเป็นร้อยปี.....

ในส่วนของ อินเดีย–เนปาล ก็เป็นครั้งแรกที่มีมวลสาร เหนือพระแท่นวัชรอาสน์ ณ พุทธคยา ที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ เมื่อ 2,600 ปี มาผสมมวลสาร.....

โดย ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ได้มอบ ยอดพระศรีมหาโพธิ์ มวลดินศักดิ์สิทธิ์ น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งมหาปัญจนที เทียนศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธคยา และมวลสารจาก 4 สังเวชนียสถาน สมทบ และได้จัด พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา .....

      เหรียญพระบรมรูป จัดสร้าง พิมพ์ใหญ่ กลาง เล็ก
      เพื่อมอบให้ผู้บูชาสมทบทุนช่วย รพ.ตำรวจ และ โครงการ รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์--
      จองบูชาได้ถึง 31 สิงหาคมนี้ ที่แพทยสมาคมฯ 0-2314-1965-70
      หรือแบงก์กรุงศรีฯ กรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย และไปรษณีย์.....



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/column/life/sanamphra/282867
20248  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพ ห้องส้วมในบรรยากาศต่างๆ..ที่ดีที่สุดในโลก เมื่อ: สิงหาคม 13, 2012, 10:56:12 am


ชมภาพ ห้องส้วมในบรรยากาศต่างๆ..ที่ดีที่สุดในโลก


Cougar Peak Lookout in Montana


Hood River County, Oregon


Alaska’s Mount McKinley



Moose Mountain, Alberta, Canada



Aruba’s Arikok National Park, Netherlands



Bodie, California


Peruvian desert


Kananaskis Country in Alberta, Canada


California’s Death Valley



ที่มา Sanook
ขอบคุณ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1344694656&grpid=03&catid=12
20249  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพ "วัตถุมงคลและสิ่งล้ำค่า" ภายในองค์พระธาตุพนมชั้น 2...งามดังทอง เมื่อ: สิงหาคม 12, 2012, 08:44:30 pm

วัตถุมงคลและสิ่งล้ำค่าในองค์ พระธาตุพนมชั้น 2


ภาพมุมกว้าง มีน้อยคนที่จะเข้าไปได้


พระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์นับพันชิ้น


ครั้งหนึ่งในชีวิตของ ร.ต.ท.สุวิทย์ รอง สว.จร.สภ.เมืองนครพนม


ไพโรจน์ เทศนิยม นายกสมาคมผู้สื่อข่่าวและช่างภาพอาชญากรรมฯ ปีนในองค์พระธาตุพนม


ภาพฝาฝนังที่งดงาม ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์


สัมผัสในองค์เจดีย์เก่าแก่ อายุกว่า 2,500 ปี


พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนารถ ผบก.ป. และ พิสิษฐ อ้นมา
ประธานสโมสรนครพนม FC สัมผัสขอพรกับองค์พระธาตุ


ยอดฉัตรเจดีย์องค์เก่า ภายในพระธาตุพนม สมัยที่พังครืนทะลายลง เมื่อ 11 ส.ค.2518


มองดูเพชรนิล จินดา และเครื่องประดับล้ำค่า


วัตถุมงคลและสิ่งล้ำค่าในองค์ พระธาตุพนมชั้น 2
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม


ขอบคุณภาพจาก http://www.facebook.com/media/set/?set=a.364059540303080.79046.100000971114547&type=3
โดย Chana Wasurakka
20250  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นครนายก เปิด "พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์"..ยิ่งใหญ่ เมื่อ: สิงหาคม 12, 2012, 05:02:20 pm



เปิด "พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์"..ยิ่งใหญ่

คลื่นศรัทธาพุทธศาสนิกชนหลายพันคนแห่แหนร่วมพิธีเปิด และเที่ยวชม พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ อย่างมากมาย

เมื่อเวลา 09.09น. วันนี้ (12ส.ค.)พระราชพิพัฒน์โกศล (หลวงพ่อเณร) เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม จ.นนทบุรีประธานผู้ดำเนินการสร้างพุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดพุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ สวนพุทธชยันตี 2600 ปี ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 3 ต.สาริกา อ.เมืองนครนายก  โดยมีประชาชนหลายพันคนที่ทราบข่าวเดินทางมาร่วมพิธีและเที่ยวชมความงามของอุทยานฯ ดังกล่าว

พระราชพิพัฒน์โกศล กล่าวว่า
    พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ สวนพุทธชยันตี2600ปีแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 53 ไร่
    มีพระประธานปางแสดงโอวาทพระปาติโมกข์ 
    ขนาดหน้าตักกว้าง 9 เมตร สูง13.5 เมตร
    รายล้อมด้วย รูปปั้นพระอรหันตสาวก ขนาดหน้าตักกว้าง 90ซ.ม. สูง1.50 เมตร 1,250 รูป
    เพื่อให้ประชาชนได้มากราบไหว้ขอพรกัน


    เพราะปีนี้เป็นปีแห่งการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ จำนวน 800 รูปทำพิธีสวดเฉลิมฉลองพระพุทธรูปปางประทานโอวาทปาติโมกข์และพระอรหันต์ จำนวน1,250รูป 

    และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษาอีกด้วย.







ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/thailand/149061
20251  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พิพิธภัณฑ์บัว..ตามพระราชดำริ มทร.ธัญบุรี รวม 150 สายพันธุ์ เมื่อ: สิงหาคม 12, 2012, 04:27:21 pm



พิพิธภัณฑ์บัว..ตามพระราชดำริ มทร.ธัญบุรี รวม 150 สายพันธุ์

พิพิธภัณฑ์บัว ตามพระราชดำริ ที่จ.ปทุมธานี ปัจจุบันมีพันธุ์บัวมากกว่า 150 สายพันธุ์ มีทั้งพันธุ์บัวไทยและต่างประเทศ สนใจก็ไปเที่ยวชมศึกษาได้ที่คลองหก ...

ถิ่นบัวงาม เมืองรวงข้าว เชื้อชาวมอญ นครธรรมะ พระตำหนักรวมใจ สดใสเจ้าพระยา ก้าวหน้าอุตสาหกรรม คำขวัญ...จังหวัดปทุมธานี



สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริให้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) จัดตั้ง พิพิธภัณฑ์บัว ขึ้น ในปี พ.ศ.2546 พร้อมกับเข้าร่วม...โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ


จากนั้นได้...สำรวจเก็บรวบรวมพันธุ์บัว ปลูกรักษา ศึกษาวิจัยการใช้ประโยชน์ จัดทำฐานข้อมูลพันธุ์ พัฒนาสายพันธุ์บัว และกิจกรรมพิเศษสนับสนุนการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช



โดยเริ่มดำเนินการรวบรวมพันธุ์บัวจาก 40 สายพันธุ์ จวบจนปัจจุบันมีพันธุ์บัวมากกว่า 150 สายพันธุ์ ภายในพื้นที่ 18 ไร่ ที่ปลูกไว้ในสระ คูน้ำ และในอ่างบัว สายพันธุ์บัวที่รวบรวมไว้ที่พิพิธภัณฑ์ แบ่งตามพฤกษศาสตร์ ได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ

กลุ่มบัวปทุมชาติหรือกลุ่มบัวหลวง ซึ่งบัวในกลุ่มนี้จะมีลักษณะดอกแหลม ใบจะมีสีเขียวอมเทา ใบค่อนข้างกลมคล้ายจาน ก้านดอกก้านใบจะแข็งและเป็นพันธุ์พื้นเมืองแถบเอเชีย

กลุ่มบัวอุบลชาติหรือกลุ่มบัวสาย ซึ่งบัวสายนี้จะมีลักษณะก้านอ่อน โดยจะโดดเด่นในส่วนของดอก การซ่อนของกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสีสันหลากหลายสี มีกลิ่นหอม

กลุ่มบัวใบแปลกและใบใหญ่ คือ บัววิกตอเรีย หรือบัวกระด้ง จุดเด่นของบัวสายพันธุ์นี้จะอยู่ที่ใบ เพราะว่าใบบัววิกตอเรียมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เมตร เด็กที่มีน้ำหนักไม่เกิน 30 กิโลกรัม สามารถเข้าไปนั่งได้อย่างสบายๆ...!!!



สิ่งที่น่าประทับใจของพิพิธภัณฑ์บัวแห่งนี้ คือ เป็นแหล่งเดียวที่มี บัวจงกลนี ซึ่งเป็นบัวที่หาดูได้ยาก เพราะเป็นต้นกำเนิดและมีการกล่าวขานถึง ตั้งแต่ สมัยสุโขทัย มีการบันทึกใน ไตรภูมิพระร่วง และได้รับประกาศในเอกสารสมาคมบัวเมื่อปี พ.ศ. 2544 ว่าเป็น บัวที่มีอยู่ในประเทศไทยแห่งเดียวในโลก

นอกจากสายพันธุ์บัวไทยแล้ว ยังมีบัวสายพันธุ์ต่างประเทศอีกมากมาย เช่น บัวเจนเนอร์รัล เปอร์ซิ่ง ถิ่นกำเนิดอยู่ที่สหรัฐอเมริกา บัวขาวอียิปต์ ถิ่นกำเนิดอยู่ที่อียิปต์ เขตร้อนของเอเชีย บัวนิมเฟียเม็กซิกาน่า ซึ่งถือว่าเป็นบัวพันธุ์ พื้นเมืองของเม็กซิโก บัวคอมานเซ่ ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ฝรั่งเศส

...และ บัวมังคลอุบล เป็นบัวลูก ผสมระหว่าง N.Mexicana กับ PerryS Fire Opal ซึ่งเป็นบัวฝรั่งลูกผสมต้นแรกของ ประเทศไทยที่ชนะการประกวดบัวโลก ครั้งที่ 19 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และ ได้รับรางวัล Best New Hardy Waterlily 2004

พิพิธภัณฑ์บัว นอกจากจะเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์บัว เพื่อทำการศึกษาวิจัยการใช้ประโยชน์ด้านต่างๆจากบัวแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์  ซึ่งปัจจุบันมีการบูรณาการมาใช้กับการเรียนการสอนในหลายคณะวิชาของมหาวิทยาลัย มีการจัดกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานเอกชนและส่วนราชการต่างๆของจังหวัดปทุมธานี อาทิ...

...โครงการพารู้พาเที่ยวเกี่ยวกับเมืองปทุม โครงการนักพฤกษศาสตร์จิ๋ว โครงการอบรมทำผลิตภัณฑ์จากบัวหลวง โครงการปลูกบัวหลวงของจังหวัดปทุมธานี และ โครงการท่องโลกการเรียนรู้กับมหาวิทยาลัย


ผู้สนใจอยากแวะไปชม พิพิธภัณฑ์บัว ได้ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมู่ 1 ถนนรังสิต-นครนายก ต.คลองหก อ.ธัญบุรี ปทุมธานี หรือกริ๊งกร๊างไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่ 0-2549-3043, 08-9692-9808 หรือคลิก www.rmutt.ac.th

ไชยรัตน์ ส้มฉุน



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/edu/33263
20252  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / โครงการส่งเสริมพระสงฆ์ไทยไปศึกษาและปฏิบัติธรรมเชิงลึก ณ แดนพุทธภูมิ เมื่อ: สิงหาคม 12, 2012, 12:50:34 pm


20253  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / พระประวัติ "พระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน" ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระเครื่อง เมื่อ: สิงหาคม 12, 2012, 11:13:17 am

พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ 3ชั้น วัดสร้อยทอง


พระประวัติ "พระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน" ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระเครื่อง

พระสมเด็จ อรหัง วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร
    ก่อนกำเนิดพระเครื่อง พิมพ์สมเด็จวัดระฆังฯ นั้น พระสมเด็จอรหัง นับว่าเป็นยอดพระเครื่อง ต้นสกุลพระ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ แบบชิ้นฟัก มาก่อนนานแล้วผู้ริเริ่มพระเครื่องที่เรียกเราเรียกกันจนติดปากมาจนทุกวันนี้ว่า พระสมเด็จฯ และเป็นผู้สร้างพระสมเด็จ อรหัง ด้วยนั้นก็คือ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน

พระสมเด็จพระสังฆราช หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน นี้นับเป็นพระอาจารย์ผู้ยิ่งยงในวิทยาคมด้านเมตตามหานิยมผู้เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี และยังเป็นพระบรมราชาจารย์ของล้นเกล้าฯ ในรัชกาลที่ 2, ที่ 3 และที่ 4 อีกด้วย

พระสังฆราชญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ผู้ให้กำเนิดต้นสกุล พระพิมพ์สมเด็จ องค์นี้ ประสูติเมื่อวันศุกร์ เดือน 2 ขึ้น 10 ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 1095 หรือ พ.ศ. 2276 ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยา ในรัชกาลของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ท่านเป็นชาวกรุงเก่าชื่อ สุก และเข้าใจว่าก่อนถึงอายุ 34 ปี คือ พ.ศ. 2310 ซึ่งเป็นระยะที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งสุดท้ายนั้น ท่านได้บวชมาก่อนแล้วหลายพรรษา จนปรากฏชัดจากพงศาวดารว่า ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่ วัดท่าหอย เมื่อสมัยกรุงธนบุรี นี่เอง

พระอาจารย์สุก หรือ พระญาณสังวรเถระ หรือ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 ของราชวงศ์จักรีนี้ นับว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยืนดูการกระทำอันโหดร้ายของพม่าเมื่อคราวกรุงแตกมาแล้ว เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้อาราธนาลงมาอยู่ที่วัดราชสิทธารามนั้น ก็เห็นจะเป็นด้วย พระองค์ประสูติ เมื่อ  พ.ศ. 2279 ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์เช่นกัน

นับแต่พระองค์ได้รับราชการเมื่อปลายสมัยอยุธยาจนกรุงแตกแล้วนั้น ก็ได้ทราบถึงเกียรติคุณของ พระอาจารย์สุก มาบ้างแล้ว จึงได้อาราธนาท่านลงมาอยู่ที่วัดพลับเมื่อประมาณ พ.ศ. 2325

สมเด็จพระสังฆราช ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2363 ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือนอ้าย ขึ้น 2 ค่ำปีมะโรง และได้ย้ายจากวัดพลับมาอยู่ที่วัดมหาธาตุได้เพียงปีเศษก็สิ้นพระชนม์ ณ วัดมหาธาตุ พระนคร เมื่อวันศุกร์เดือน 10  แรม 4 ค่ำ ปีมะเมีย ในรัชกาลของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงนับว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์เดียว ที่ได้เห็นเหตุการณ์พม่าเผากรุงศรีอยุธยาและผนวชอยู่ในพระบวรพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยอยุธยา, สมัยกรุงธนบุรี, จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์, รวมพระชนมายุได้ถึง 90 ปี

พระญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ระหว่างอยู่ที่วัดราชสิทธารามนั้น ปรากฏว่าได้เป็นที่นับถือของชาวบ้านตลอดขึ้นไปจนถึงเจ้านายเชื้อพระวงศ์ ต่างก็พากันไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เห็นจะเป็นเพราะบรรดาสานุศิษย์เหล่านั้นต่างก็ได้เห็นกฤตยาคมอันขลังด้านเมตตาพรหมวิหารของท่าน ซึ่งสามารถเรียก ไก่เถื่อน จากป่าเป็นฝูง ๆ มากรับการโปรยทานจากท่านเต็มลานวัดทุก ๆ วันนั้นเอง

เหตุนี้ชาวบ้านสมัยนั้นจึงพากันเรียกท่านว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน เพราะท่านสามารถเรียกไก่เถื่อนออกมาจากป่าด้วยแรงอาคม และยิ่งได้ลิ้มรสอาหารเสกจากท่านด้วยแล้ว ไก่เถื่อนที่ว่าถึงกับไม่ยอมกลับเข้าป่า และเชื่องเป็นไก่บ้านไปเลย





การกำเนิดพระสมเด็จ อรหัง
    นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงโปรดให้พระอาจารย์สุกหรือพระญาณสังวรเถระ มาอยู่ที่วัดราชสิทธารามหรือวัดพลับ ที่ อ. บางกอกใหญ่ นครหลวงฝั่งธนบุรี แล้ว ต่อมาวัดนี้ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ การทรงผนวชของพระราชวงศ์แต่ละพระองค์นั้น
     ภายหลังมักจะเสด็จไปศึกษาวิปัสสนา ที่สำนักพระญาณสังวร ณ วัดราชสิทธารามอยู่เสมอ เช่นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น พระญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ก็ได้เป็นพระบรมราชาจารย์ของพระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์นี้ด้วย


จากการที่สมเด็จฯ ท่านยิ่งใหญ่ด้านอาคมขลังจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วนั้นจะเป็นด้วยทนการวิงวอนจากบรรดาสานุศิษย์หรือผู้คนที่นับถือท่านมากราย อยากจะได้พระเครื่องของท่านไว้คุ้มครองบ้างก็ได้ ด้วยเหตุนี้เอง, พระเครื่องพิมพ์สี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบชิ้นฟัก ซึ่งสร้างด้วยผงวิเศษสีขาวนั้น สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ จึงได้ให้กำเนิดพระสมเด็จดังกล่าวนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2360

เล่ากันว่า พระสมเด็จอรหัง ที่สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนได้เริ่มสร้างเป็นครั้งแรกนั้น ท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นพระราชาคณะอยู่ที่วัดพลับ พระเครื่องพิมพ์สมเด็จฯส่วนหนึ่งเมื่อได้รับการปลุกเสกแล้ว ท่านก็แจกจ่ายให้ไปบูชากันโดยถ้วนทั่วและเป็นที่เข้าใจกันว่า พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ปฐมฤกษ์นั้นก็คือ พิมพ์ เกศเปลวเพลิง ซึ่งด้านหลังจะไม่ปรากฏมีอักขระคำว่า อรหัง จารึกลงไว้เลย

สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ท่านได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการสร้างพระพิมพ์สมเด็จอรหังต่อมาอีก มีหลายพิมพ์ที่เสร็จแล้วท่านก็แจกสานุศิษย์ต่อไปโดยมิได้ลงกรุ แต่พระอีกจำนวนหนึ่งนั้น เมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และได้ย้ายมาอยู่ที่วัดมหาธาตุแล้ว ก็เข้าใจว่าพระสมเด็จอรหังส่วนหลังนั้น ท่านคงได้นำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่วัดมหาธาตุแห่งนี้ไว้เป็นจำนวนมากทีเดียว



สมเด็จอรหัง ปี 19 หลังลายเซ็น สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร (ด้านหลังมีเส้นพระเกสา) องค์นี้พิมพ์ โต๊ะกัง


พุทธลักษณะ, เนื้อ,และพิมพ์
    พระสมเด็จอรหัง ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนนี้ เท่านี้ปรากฏอยู่ในวงการพระเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว จะแยกแบบออกได้ถึง 5 พิมพ์ ด้วยกันดังนี้

    1.สมเด็จอรหัง พิมพ์สังฆาฏิ เป็นพระเนื้อผงสีขาวที่นิยมกันมากมีขนาดกว้าง 2 ซ.ม. สูง 3 ซ.ม. ครึ่ง พุทธลักษณะเป็นพระปางสมาธิประทับนั่งบนฐาน 3 ชั้น เห็นชายสังฆาฏิห้อยชัดเจนทุกองค์ ด้านขอบข้างองค์พระจะถูกอัดออกมาตามแบบแม่พิมพ์โดยไม่มีการตัดด้วยเส้นตอกเลย และโปรดสังเกตการประทับนั่ง เข่าจะแคบและตรง ส่วนด้านหลังจะปรากฏอักขระคำว่า อรหัง จารึกไว้ด้วย พระสมเด็จพิมพ์นี้แยกออกเป็น 2 แบบ คือ
       1.1 แบบเศียรโต และ
       1.2 แบบเศียรเล็ก


    2. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ฐานคู่ เป็นพระเนื้อผงสีขาว เข่ากว้างและโค้งกว่าพระพิมพ์สังฆาฏิ โดยเฉพาะฐานสร้างเป็นเส้นเล็กคู่ นอกจากนั้นทั้งขนาด, ขอบด้านข้าง, และหลัง คงเหมือนกับ พิมพ์สังฆาฏิ ทุกอย่าง

    3. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์เกศเปลวเพลิง นี่เป็นอีกพิมพ์หนึ่งซึ่งนอกจากจะมีน้อยแล้ว แม้จะหาชมก็ยากนัก พระพิมพ์นี้ทั้งความงามและขนาดจะเหมือนกับ พิมพ์สังฆาฏิ มีเพี้ยนอยู่บ้างก็ตรงที่มีเกศขมวดม้วนเป็นตัว อุ และรูปทรงค่อนข้างชะลูด ส่วนฐานประทับถึงแม้จะเป็นแบบ 3 ชั้น แต่ก็หนาวกว่ากันมาก พระพิมพ์นี้เป็นพระเนื้อผงสีขาว ด้านหลังเป็นแบบราบโดยไม่มีอักขระขอมปรากฏให้เห็นเลย ส่วนขนาดจะเท่ากับพิมพ์แรก ๆ

    4. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง ขนาดพระพิมพ์นี้จะเท่ากับ 3 พิมพ์แรกสัญลักษณ์ที่ควรจดจำกับพระสมเด็จพิมพ์โต๊ะกัง นี้ได้ง่าย ๆ ก็คือ เป็นพระผงผสมว่านเนื้อออกสีแดงคล้าย ปูนแห้ง แม้ค่อนข้างหย่อนงามไปบ้าง แต่ก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งที่หาชมได้ยาก ด้านหลังของพระพิมพ์นี้จะถูกปั๊มลึก ปรากฏเป็นอักขระคำว่า อรหัง นูนขึ้นมา ผิดกับ 3 พิมพ์แรกซึ่งถูกจารึกบุ๋มลงไปด้วยการจารึกเส้นเล็ก ๆ ด้วยมือตอนเนื้อพระยังไม่แห้ง

    5. พระสมเด็จอรหัง พิมพ์เล็ก พระพิมพ์นี้จะมีขนาดสูงเพียง 2.3 ซ.ม. เท่านั้น เป็นพระเนื้อผงสีขาว ซึ่งมีพุทธลักษณะเหมือนเช่นกับทุก ๆ พิมพ์ที่กล่าวไปแล้ว หากแต่ได้เพิ่มประภามณฑลล้อมรอบเศียรขึ้นมาอีกแบบเท่านั้นเอง นับว่าเป็นพระอีกพิมพ์หนึ่งที่หาชมได้ยากพอ ๆ กับพิมพ์เกศเปลวเพลิงทีเดียวสำหรับด้านหลังจะลงจารึกคำว่า อะระหัง ไว้ด้วยเช่นกัน





พระสมเด็จอรหัง มีสองกรุ
    พระสมเด็จอรหังทั้ง 5 พิมพ์ ดังได้กล่าวไปแล้วนั้น บางพิมพ์ตรงกัน แต่เนื้อกลับไม่เหมือนกัน หรือบางพิมพ์จารึกที่ลงไว้ด้านหลังกลับเป็นอักขระเล็กบ้าง, ใหญ่บ้าง, โดยไม่เท่ากันนั้น ก็เพราะพระสมเด็จอรหังนี้ มีแยกออกเป็น 2 กรุดังจะกล่าวไว้พอเป็นสังเขปดังนี้

  1. พระสมเด็จอรหัง กรุวัดมหาธาตุ กล่าวกันว่ามีผู้พบพระเพียง 3 พิมพ์เท่านั้น คือ
        1. พิมพ์สังฆาฏิ
        2. พิมพ์ฐานคู่
        3. พิมพ์เล็ก
   โดยจะเป็นพระเนื้อผงสีขาวทั้งหมดส่วนพิมพ์เกศเปลวเพลิงนั้น ต่างก็พูดกันว่า เป็นพระเครื่องพิมพ์แรกที่สมเด็จท่านอาจทำเป็นการทดลอง และได้แจกจ่ายไปก่อนแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ที่วัดพลับก็ว่าได้ พระสมเด็จกรุวัดมหาธาตุนี้ โดยทางเนื้อจะละเอียดขาวและมีความแน่นตัวมาก พระทุก ๆ องค์หากมิได้ใช้ หรือเมื่ออกจากกรุใหม่ ๆ จะมีฝ้าคราบขาวนวลหุ้มติดอยู่ทุกองค์บางองค์ก็ปิดทองล่องชาด และบางองค์ถึงกับเนื้องอกแบบพระวัดพลับก็มี ส่วนด้านหลังอักขระที่จารึกไว้นั้น ตัวอักษรจะเท่ากัน และค่อนข้างใหญ่กว่าของกรุวัดสร้อยทองอีกเล็กน้อย


   2. พระสมเด็จอรหัง กรุวัดสร้อยทอง พระสมเด็จกรุนี้ได้มีผู้พบภายหลังจากกรุวัดมหาธาตุ ได้เผยโฉมออกมาแล้ว พระที่พบคือสมเด็จอรหังพิมพ์สังฆาฏิ, พิมพ์โต๊ะกัง, และพิมพ์ฐานคู่ ซึ่งเป็นพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด พิมพ์แรกจะเห็นชายสังฆาฏิชัดเจน เช่นเดียวกับกรุวัดมหาธาตุแต่เนื้อจะหยาบกว่า แก่ผงเกสรดอกไม้และมีทรายปนอยู่ด้วย ส่วน พิมพ์โต๊ะกัง เป็นพระเนื้อสีแดง มีคราบกรุจับนวลขาวทั่วไป ตราปั๊มด้านหลังจะปรากฏแบบลึกนูนขึ้นมาชัดเจนอ่านง่าย ส่วนพิมพ์เล็กไม่ปรากฏพบอยู่ในกรุนี้เลย

    เรื่องสมเด็จอรหังกรุวัดสร้อยทองนี้ บางท่านก็ว่าสมเด็จพระสังฆราชสุก ท่านได้สร้างให้กับวัดนี้ไว้ แต่พระภิกษุผู้ชราชื่อ แพร ซึ่งอยู่ที่วัดสร้อยทอง ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า... พระสมเด็จกรุนี้ ความจริงแล้ว ผู้สร้างคือพระอาจารย์ กุย ซึ่งเป็นศิษย์ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนอีกองค์หนึ่ง ท่านได้สร้างไว้โดยใช้แม่พิมพ์เดิม แต่เนื้อและการลงจารึกด้านหลังจะเล็กผิดกว่ากันมาก

ส่วนเรื่องพระสมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง นั้นเข้าใจว่าได้มีชาวจีนสร้างเป็นกุศลร่วมลงกรุไว้ที่วัดสร้อยทอง พระพิมพ์นี้จึงมีสีแดง สีแห่งความรุ่งโรจน์ ซึ่งชาวจีนนิยมกันมาก และที่เรียกว่า พิมพ์โต๊ะกัง ก็เห็นจะเป็นเพราะตราด้านหลังคำว่า อรหัง ซึ่งโดยปกติแล้ว จะใช้เหล็กแหลมเขียน แต่พระสมเด็จอรหังสีแดงพิมพ์นี้กลับใช้ตราปั๊มลึกนูน โดยตัวอักขระหนังสือจะนูนขึ้นมาเหมือนกับตราปั๊มของร้านทอง ตั้งโต๊ะกัง ที่ปั๊มติดกับสร้อย เลยเป็นเหตุให้นักเลงพระยุคนั้นเห็นดีเห็นชอบเรียกชื่อพระพิมพ์นี้ว่า พระสมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง ตั้งแต่นั้นมา

เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าคุณจะมีพระสมเด็จอรหังพิมพ์โต๊ะกังหรือไม่โต๊ะกังก็ตามที ขอให้มีพระองค์พอสวยก็แล้วกัน ถ้าไม่พูดถึงพระพุทธคุณท่านเด็ดในทางมหานิยมอยู่แล้ว ผมขอรับรองว่าคุณ ๆ ที่มีพระพิมพ์นี้ไว้จะยืน ยิ้มแบบโต๊ะกัง ได้อย่างสบายมาก เพราะขณะนี้เขาเสนอราคาเช่ากันองค์ละใกล้แสนหรืออาจจะเลยแสนไปแล้วก็ว่าได้




พุทธคุณของพระสมเด็จอรหัง
  สำหรับเรื่องพุทธคุณการใช้จากผู้ได้ประสบการณ์กับพระสมเด็จพิมพ์นี้มาแล้วนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ดังกระฉ่อนเช่นพระสมเด็จวัดระฆังฯ หรือสมเด็จบางขุนพรหมก็ตาม ได้มีนักเผชิญโชคผู้ได้มีประสบการณ์อันมหัศจรรย์จากพระสมเด็จอรหังมาแล้ว ถึงกับตื่นตะลึงและหวงแหนกันยิ่งนัก
   เพราะพระสมเด็จพิมพ์นี้ดี ทางเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเหมือนเช่นพระสมเด็จวัดระฆังฯทุกอย่าง
  ยกเว้นพระสมเด็จอรหังสีแดงเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะมีมหานิยมแล้วยังเพิ่มด้านกระพันชาตรีไว้อีกทางหนึ่งด้วย


เพื่อให้เรื่องพระสมเด็จอรหัง ยอดพระ ต้นสกุลพระสมเด็จ ของ สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ได้จบลงอย่างสมบูรณ์ ต่อไปนี้ผมจึงขอเสนอเรื่องราวตอนหนึ่งที่คุณ เฉลิม แก้วสีรุ้ง ซึ่งเป็นชาวนนทบุรี ได้เผชิญกับอิทธิปาฏิหาริย์จากพระสมเด็จอรหังจนถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่มาแล้ว เป็นเรื่องทิ้งท้ายไว้ดังต่อไปนี้...

    เรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อ พ.ศ. 2508 คุณเฉลิมมีอาชีพรับซื้อขายผลไม้เป็นประจำอยู่ที่เมืองนนท์ วันหนึ่งมีชาวสวนข้างบ้านมาบอกจะขายทุเรียนส่วนหนึ่งให้ และขอร้องให้ไปดูด่วนด้วย คุณเฉลิมรักทุเรียนมากจนลืมลั่นกุญแจบ้าน และลืมจนกระทั่ง พระสมเด็จอรหัง พร้อมด้วยสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท กับกระเป๋าเงินซึ่งมีเงินอยู่ในนั้นถึงแปดพันบาทด้วย

    คุณเฉลิมมานึกขึ้นได้ก็เหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้วถึง 3 ชั่วโมง เขาจึงรีบกลับบ้านทันทีแต่ก็ต้องถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่เมื่อมาถึงบ้าน เพราะขณะนั้นประตูบ้านได้เปิดอ้า ข้าวของในบ้านถูกรื้อกระจัดกระจายเกลื่อน เสื้อผ้าส่วนหนึ่งและเข็มขัดนาคของภรรยาเขาได้ถูกคนร้ายลักไป

     แต่...คุณพระช่วย ครับ, คุณพระได้ช่วยคุณเฉลิมไว้อย่างปาฏิหาริย์จริง ๆ ด้วย
     ที่ว่าปาฏิหาริย์ก็เพราะ ทั้งสร้อยคอรวมทั้งพระและเงินอีกแปดพันบาท ที่กองอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างชนิดที่ใครโผล่เข้าไปในบ้านก็ต้องมองเห็นได้อย่างถนัดตาทีเดียวนั้น
     ของดังกล่าวยังคงอยู่ ณ ที่นั้นโดยไม่มีใครมาขยับไปไหนเลย


    เรื่องนี้คุณเฉลิมบอกกับผู้เขียนว่า นั่นคือผลแห่งการแคล้วคลาด อันเกิดจากอิทธิปฏิหาริย์ของพระสมเด็จอรหังได้พรางตาคนร้ายไว้แน่ ๆ หรือถ้าใครว่าไม่แน่ละก้อคนร้ายกลุ่มนั้นก็คงจะตาบอดเท่านั้นเอง

    คุณเฉลิมบอกว่า ขณะนี้ผมได้ย้ายบ้านและเป็นเจ้าของสวนลำไยอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว สาเหตุที่ได้เปลี่ยนอาชีพ จนพอจะมีกินกับเขาบ้างแล้วนี้ ก็เรื่อง พระสมเด็จอรหัง ท่านช่วยผมอีกเหมือนกัน

    ผมได้อาราธนาบูชาขอโชคลาภท่าน เพื่อขอทุนไปซื้อลำไย ด้วยการไปซื้อลอตเตอรี่ที่จังหวัด 2 ใบ
    คุณเฉลิมยืนยันว่า ไม่ชอบและไม่เคยซื้อกับเขาเลย นอกจากครั้งนี้เท่านั้น
    พอถึงเวลาหวยออก ทั้งเขาและภรรยาดีใจจนแทบเป็นลมเป็นแล้งเอาทีเดียว
    ทั้งนี้ก็เพราะสลากลอตเตอรี่ทั้ง 2 ใบนั้น ใบแรกถูกรางวัลที่ 3 และอีกใบหนึ่งก็ถูกเลขท้าย 3 ตัวด้วย


    นี่คือเรื่องราวที่คุณเฉลม แก้วสีรุ้ง ได้เล่าให้กับผู้เขียนฟังเมื่อ พ.ศ. 2512 ซึ่งขณะนั้นเขาและครอบครัวได้ครองเรือนกันอย่างผาสุกด้วยฐานะที่มั่นคงพอสมควรแล้ว และสิ่งเดียวที่ไม่มีใครมาพรากจากคอเขาได้เลยคือ พระสมเด็จอรหัง เนื้อผงสีขาวองค์เดียวที่เขารักหวงแหนราวกับชีวิตติดตัวเขาอยู่ตลอดเวลาทีเดียว

    เดี๋ยวนี้เราก็รู้แล้วว่า พระสมเด็จอรหัง นอกจากผู้สร้างจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระบรมราชาจารย์ของในหลวงทั้ง 3 พระองค์แล้ว ยังเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ อีกด้วย
   และสำหรับด้านพระเครื่องฯ พระสมเด็จอรหัง ก็คือพระต้นสกุลพระสมเด็จทั้งหมด
   อันเปรียบได้ดั่ง จักรพรรดิพระสมเด็จ ซึ่งเปี่ยมด้วยพุทธาคมมนต์ขลังด้านมหานิยมและแคล้วคลาด จากสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ผู้เลี้ยงไก่ป่าให้เชื่องได้ดังไก่บ้านไว้เต็มลานนั่นเอง



อ้างอิง
http://www.tumnan.com/miracle/miracle_l.html
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk-main-page.htm
ขอบคุณภาพจาก http://amuletshop.asia/,http://www.udommongkol.com/,http://www.be2hand.com/,http://c.static.fsanook.com/
20254  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บุญใหญ่แผ่นดินแม่..ศรัทธาไทยสู่เนปาล เมื่อ: สิงหาคม 11, 2012, 09:29:31 pm

บุญใหญ่แผ่นดินแม่..ศรัทธาไทยสู่เนปาล

“ลุมพินีแห่งศรัทธา พุทธบูชาถวายพ่อ–แม่ของแผ่นดิน”
งานบุญใหญ่ข้ามประเทศ ที่แสดงพลังศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ ที่น่าภาคภูมิใจสำหรับพุทธศาสนิกชนไทย

บุญใหญ่นี้มีที่มาที่ไปเริ่มมาตั้งแต่ปี 2554... “โครงการบูรณ-ปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสมหามงคล 84 พรรษามหาราชา และ 80 พรรษามหาราชินี

ดำเนินโครงการโดยคณะกรรมการกองทุนลุมพินีสถาน โดยมี สมเด็จพระพุทฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นประธานที่ปรึกษาโครงการฝ่ายสงฆ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธานที่ปรึกษาโครงการฝ่ายฆราวาส และ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการ



นับตั้งแต่ได้รับอนุญาตจากกองทุนพัฒนาลุมพินี รัฐบาลเนปาล ตลอดจนคณะกรรมการมรดกโลก ให้บูรณปฏิสังขรณ์...วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจสำหรับคนไทยว่า การบูรณะครั้งนี้ ถือเป็นการบูรณะครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่พุทธปรินิพพาน ครั้งแรกโดยพระเจ้าอโศกมหาราช ครั้งที่สองโดย ฯพณฯ อูถั่น เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ

ผ่านมาถึงวันนี้  “โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เหลือเพียงเฟสสุดท้าย เฟสที่ 3

ก่อสร้างถนนเข้าสู่สวนอันศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Garden) บริเวณจุดที่พระพุทธเจ้าประสูติ ความยาว 1 กิโลเมตร พร้อมทางเดิน 2 ข้าง รวมทั้งจัดสร้างลานประดิษฐาน “พระพุทธเจ้าน้อย” อาคารอเนกประสงค์ ห้องพยาบาลฉุกเฉินพร้อมห้องน้ำ เพื่อบริการแก่พุทธศาสนิกชน ที่เดินทางมาสักการะสถานที่ประสูติจากทั่วโลก

คุณหญิงสุดารัตน์ บอกว่า เรายังต้องเดินหน้าต่อ เพื่อให้พลังศรัทธาที่ยิ่งใหญ่สำเร็จลุล่วง เสร็จสมบูรณ์ วันนี้โครงการลุมพินีแห่งศรัทธา พุทธบูชาถวายพ่อ-แม่ของแผ่นดินยืนยันความสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่งทาง

ย้อนนึกถึงธรรมะของ พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ)

พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย เจ้าอาวาสวัดไทยลุมพินี ประเทศเนปาล ที่บอกว่า สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในโลกที่เกี่ยวกับพุทธศาสนามี 4 แห่ง ที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และนิพพาน...สี่แห่งนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า ใครได้ทำให้สังเวคธรรมเกิดขึ้น จะมีความห้าวหาญ มีกำลังเพียงพอแก่การไม่ตกนรก สถานที่สี่แห่งนี้เสมือนที่นัดพบที่พระพุทธเจ้านัดว่ามีพลังที่สุด



“ชาวโลกทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธนับเป็นพันๆล้านทั่วโลกมีความหมายปองที่จะมาที่ทั้งสี่แห่งนี้ มาไหว้พระแล้วก็ไป แต่ที่ลุมพินีเคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งพระพุทธเจ้า เป็นป่าใหญ่ แล้วก็ทรุดโทรม...ที่สำคัญในบรรดาที่ทั้งสี่แห่ง ถ้าไม่มีที่เกิด...ทั้งสามแห่งก็ไม่มี”

“แผ่นดินแม่” ที่ประสูติพระพุทธเจ้า พระราชรัตนรังษี บอกว่า แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินที่พระพุทธเจ้าประสูติ บุคคลที่ให้กำเนิดคือพระนางสิริมหามายา พระนางเป็นพุทธมารดา เสด็จมาที่นี่แล้วให้การเกิด อยู่ได้เพียง 7 วันก็เสด็จทิวงคต

แผ่นดินนี้จึงเป็นแผ่นดินที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกเองว่าเป็นแผ่นดินที่ควรจะรองรับฝ่าพระบาท...ฉะนั้นที่ตรงนี้จึงมีคำว่าแม่ เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ใครมาถึงที่ตรงนี้ก็มักมีความระลึกถึงสิ่ง 3 สิ่งที่เกี่ยวข้องกันกับการเกิด นั่นก็คือ การเกิดของเรา, การเกิดของบุคคลที่ท่านให้เราเกิดคือพ่อแม่ และการเกิดของบุคคลที่เราให้เขาเกิด ลูกเต้าเหล่ากอของเรา

ลุมพินีจึงมีพลังมากที่สุดเกี่ยวข้องกับการเกิด คนที่มาทำบุญที่นี่หรืออยากจะทำบุญที่นี่ ทำได้ 4 ทางทำกับพระที่บ้าน ใครมีแม่อยู่ที่บ้านก็ช่วยดูแลแม่ตัวเอง บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นแม่ของลูก...ก็ดูแลเขาดีๆ นั่นคือการทำบุญอย่างที่หนึ่ง



ถัดมา...ทำบุญให้แม่ของประเทศ ทำคุณงามความดีให้กับประเทศไทย และสุดท้ายทำบุญให้กับแม่ของโลกกับพระนางสิริมหามายาในสถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า

เทศกาลวันแม่นี้ แม่จะชวนลูกหรือลูกจะชวนแม่เป็นสะพานบุญสู่แผ่นดินแม่ร่วมกันและฟังเสวนาธรรม ระหว่างวันที่ 9–16 สิงหาคม 2555 ได้ที่ลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิล์ด (ฝั่งอิเซตัน)

สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกมาร่วมงาน ติดต่อร่วมบุญใหญ่ได้ที่ สำนักงานกองทุนโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัม– มาสัมพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล ในเวลาราชการ โทรศัพท์ 0-2971-7575 โทรสาร 0-2971-6777 เว็บไซต์ www.lumbi nidevelopment.org, www.sudarat.com

“เราทุกคนสามารถรวบรวมปัจจัยวันละบาท สองบาท พูดง่ายๆ ว่าใครจะทำบุญที่นี่ ขอให้คิดว่าเงินที่เราส่งค่าขนมให้ลูก เก็บไว้วันละเท่านั้นแหละ หรือ...สมัยเราเล็กๆ แม่เราให้เงินไปเรียนหนังสือวันละเท่าไหร่ก็เก็บวันละเท่านั้น รวบรวมไว้ รอดูประกาศว่า...จะส่งเงินอย่างไร ก็เอาเงินส่วนนั้นมาทำบุญ”

หรือไม่อย่างนั้น ถ้ามีคนรู้จักสักคนเดินทางมาอินเดีย ก็ฝากมาทำบุญที่นี่ หรือถ้าบุญกุศลมาถึงเรา มีปัจจัย หน้าที่พร้อม เราก็เดินทางมาเอง มาถวายเอง ทำบุญเอง




“ถ้าเกิดมีกำลังมากกว่านี้ ก็สามารถบอกคนที่รู้จัก เป็นสะพานบุญทอดต่อไป รวบรวมศรัทธาเพื่อจะฟื้นฟูลุมพินีวัน เป็นการให้ของขวัญวันเกิดกับตัวเราเองว่า ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ชาติหน้าไม่แน่ หากชาติหน้าเกิดใหม่ ขอให้เกิดในแผ่นดินดีๆ ในบิดามารดาดีๆ เกิดในชีวิตที่ดีๆ”


เราได้ร่วมกันสร้างเครดิตให้กับประเทศ เสมือนหนึ่งเป็นหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศ มาประกาศความเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยโดยใช้ศาสนา นี่จึงเรียกว่า... “เรามาเพื่อจะเป็นผู้ให้ ทำอะไรแล้วมันเบา”

ตรงกันข้าม... “ถ้าเรามาเพื่อเอา จะเอาอย่างโน้น จะเอาอย่างนี้ อย่างนี้ผิดหวังตั้งแต่คิด ประเทศนี้ไม่มีอะไรที่เราเอาได้เลย นอกจากที่จะเป็นส่วนของการปฏิบัติแล้วเพื่อให้เราจึงจะได้รับผลประโยชน์”

ศรัทธาเนี่ยเป็นเรื่องสำคัญ เราทำงานที่ใดก็ตามแต่ เราต้องมีศรัทธา ศรัทธาคือความเชื่อ

เชื่อในอะไร...หนึ่งเชื่อในพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นบุคคลต้นแบบ พระองค์เป็นบุคคลต้นแบบให้เราปฏิบัติ หน้าที่การงานได้สมบูรณ์ทั้งทางโลก ทางธรรม เรามีความศรัทธาบุคคลต้นแบบคือมนุษย์ต้นแบบก่อน



สอง...มีความศรัทธาต่อตัวเราเอง มีความเชื่อมั่นต่อตัวเราเอง เชื่อว่าเราเป็นชาวพุทธ เราต้องทำงานเพื่อที่จะได้ประกาศถึงความเป็นผู้มีศาสนาแล้วมีศักยภาพ พระพุทธเจ้าสอนอยู่นี่เอง...อยู่ที่ลุมพินีวัน พระองค์เกิดมาจากท้องแม่ พระองค์ตรัสว่า... “เราเป็นผู้เลิศที่สุด เราประเสริฐที่สุด เราเจริญที่สุด”

คำว่า “เรา” พระองค์ตรัสแทนมนุษย์ทั้งหลายว่ามนุษย์นี่แหละเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ไม่มีใครจะประเสริฐเกินกว่ามนุษย์ เทวดาทั้งหลายในโลกหล้าจะไม่สามารถลิขิตชีวิตมนุษย์ที่มีคุณธรรมเต็มได้เลย ที่ตรงนี้จึงมีความศรัทธาต่อตัวเราเองว่า ทุกอย่างสำเร็จด้วยมือเรา

และสาม...เรามีศรัทธาต่อกฎแห่งกรรมว่าเราทำงานมากได้มาก...ทำน้อยได้น้อย ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ทำดีได้ดี...ทำชั่วได้ชั่ว



พระราชรัตนรังษี พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย ทิ้งท้ายว่า สิ่งเหล่านี้เราต้องมีความเชื่ออย่างมั่นคง ฉะนั้นบุคคลใดมีความศรัทธาแล้วทำงาน มันกระปรี้กระเปร่า มีความสุข ทำงานไม่หนัก ทำงานไม่มีเงื่อนไข...

“คนที่ศรัทธาต่องานสิ่งใด คนที่ศรัทธาต่อใครมักจะทำสิ่งใดๆ ไม่มีเงื่อนไขกับงานนั้น สิ่งนั้น และผู้นั้น...ศรัทธาที่ว่านี้จึงเป็นศรัทธาที่จับต้องได้ พิสูจน์ได้”



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/282626
20255  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / "สังฆราชสุก" องค์ไหนที่เป็นพระอาจารย์ "สมเด็จโต" องค์ที่ ๒ หรือ ๔..?? เมื่อ: สิงหาคม 11, 2012, 12:18:42 pm

พระสมเด็จอรหังเนื้อขาว


พระสมเด็จอรหัง กับ พระสมเด็จโต

ประวัติพระ
   พระสมเด็จอรหังเป็นพระเนื้อผงรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบสมบูรณ์ ไม่ใช่แบบพระสมเด็จโตที่ด้านกว้างจะสอบลงเล็กน้อยทำให้ด้านบนจะแคบกว่าด้านล่าง ซึ่งเป็นศิลปะสถาปัตยกรรมไทยที่ส่วนสูงจะสอบแคบลง เช่น เสาตามบ้านทรงไทยที่สอบลงเล็กน้อย พระสมเด็จอรหังจะมีด้านบนกับด้านล่างเท่ากันเหมือนกระจกเงา

   องค์พระจะมีสองเนื้อด้วยกัน คือเนื้อขาว และเนื้อแดง เนื้อขาวเป็นพระเนื้อผงทั่วไปที่ใช้ปูนเปลือกหอยเป็นมวลสารหลัก ส่วนเนื้อแดงเข้าใจว่ามีการผสมขมิ้นลงไป ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับปูนทำให้เนื้อปูนเปลี่ยนเป็นสีแดง แบบปูนกินหมาก ซึ่งเป็นที่มาของคำพังเพยว่า "ขมิ้นกับปูน"

   ส่วนด้านหลังองค์พระจะมีสองแบบ แบบแรกจะเป็นรอยจารเป็นอักษรเขมรว่า "อรหัง" แบบที่สองจะเป็นปั๊มตัว "อรหัง" ลึกลงไปด้านหลัง ที่เรียกกันว่า "หลังแบบ" ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๖ ร้านทองตั้งโต๊ะกังจะตอกโค้ตย่อของร้านหลังทองรูปพรรณ จึงเรียกกันว่า "หลังโต๊ะกัง"
   เชื่อกันว่าพระสมเด็จอรหังเนื้อขาวมาจากวัดมหาธาตุ ส่วนเนื้อแดงเป็นของวัดสร้อยทอง


พระสมเด็จอรหังเนื้อแดง
   

ประวัติศาสตร์
   ประวัติศาสตร์อันเกี่ยวข้องกับพระสมเด็จอรหัง ได้แก่ ประวัติสมเด็จพระสังฆราชในประเทศไทย ประวัติสังฆราชสุก ประวัติวัดมหาธาตุและวัดธาตุทอง ท้ายสุดก็คือประวัติร้านทองตั้งโต๊ะกัง


สมเด็จพระสังฆราช
   สมัยสุโขทัยก็มีการพูดถึงตำแหน่งสังฆราชไว้ในศิลาจารึกแล้ว เชื่อว่าตำแหน่งนี้มีที่มาจากประเทศศรีลังกา ที่ส่งพระราหุลเถระมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในไทย แบบที่เรียกว่าลัทธิลังกาวงศ์

   สมัยกรุงศรีอยุธยา กษัตริย์เริ่มเปลี่ยนแปลงจากพ่อปกครองลูกในยุคสุโขทัย มาเป็นสมมติเทวา ตำแหน่งสังฆราชจึงได้รับการเปลี่ยนแปลง เป็น สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ซึ่งเป็นการผลัดกันดำรงตำแหน่งของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายคามวาสี เป็นสังฆราชขวาและสมเด็จพระวันรัต เป็นสังฆราชซ้าย เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายยอรัญวาสี องค์ใดแก่พรรษากว่าองค์นั้นเป็นพระสังฆราช

   ต่อมาในสมัยปลายอยุธยา พระเจ้าเอกทัศน์ได้ตั้งราชทินนามเป็น สมเด็จพระอริยะวงศาสังฆราชาธิบดี สมัยกรุงธนบุรี พระเจ้าตากทรงโปรดตั้งเป็นสมเด็จพระอริยวงศาญาณ และในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงปรับปรุงเพิ่มเติมเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ซึ่งใช้สำหรับสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นสามัญชนจนถึงทุกวันนี้

   ลำดับสมเด็จพระสังฆราชในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีรายชื่อดังนี้
   องค์ที่ ๑ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) วัดระฆังโฆสิตาราม
   องค์ที่ ๒ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
   องค์ที่ ๓ สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ เดิมอยู่วัดเลียบ (วัดราชบูรณะ)
   องค์ที่ ๔ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ เดิมอยู่วัดพลับ(วัดราชสิทธา)

   
        ผู้อ่านเห็นไหมครับว่า สังฆราชสุก มีสองพระองค์ แล้วองค์ไหนเป็นสังฆราชสุก ไก่เถื่อนเล่า
        ก็ต้องดูประวัติของแต่ละองค์


สมเด็จพระสังฆราช สุก วัดมหาธาตุ

   
องค์ที่ ๒ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ท่านประสูติสมัยกรุงศรีอยุธยา ทรงดำรงตำแหน่งจากปี พ.ศ. ๒๓๓๖ ถึง พ.ศ. ๒๓๕๙ รวม ๒๓ ปี ท่านประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุฯ ตั้งแต่ต้นและได้รับสมณศักดิ์เป็นพระพนรัตน์ซึ่งเป็นตำแหน่งรองสมเด็จพระสังฆราชก่อนได้รับการสถาปนาเป็นพระสังฆราชในสมัยรัชกาลที่ ๑
   
   
สังฆราชสุก ไก่เถื่อน

   
องค์ที่ ๔ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ท่านประสูติในสมัยอยุธยาเช่นกัน ทรงได้รับตำแหน่งเป็นพระสังฆราชตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๖๓ ถึง พ.ศ. ๒๓๖๔ รวม ๒ ปี ท่านมีชื่อเสียงทางด้านวิปัสสนาธุระตั้งแต่ครั้งอยู่วัดท่าหอย อยุธยา ต่อมารัชกาลที่ ๑ ได้นิมนต์ท่านมาอยู่วัดพลับ (วัดราชสิทธา) และแต่งตั้งท่านเป็นพระญานสังวรเถร รัชกาลที่ ๒ ทรงตั้งท่านเป็นสมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งเป็นตำแหน่งพิเศษพระราชทานแก่พระเถระผู้ทรงเชี่ยวชาญทางวิปัสสนาธุระโดยเฉพาะ
   ท่านได้รับการเรียกหาจากชาวบ้านเป็นสังฆราชไก่เถื่อน เนื่องจากท่านสามารถเรียกไก่ป่าให้เชื่องได้


ทีนี้สังฆราชสุก องค์ไหนที่เป็น "พระอาจารย์สมเด็จโต" กันแน่
   
   คำตอบก็คือองค์ที่ ๒ สมแด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของสมเด็จโต เพราะตอนสมเด็จโตบวชเป็นพระเมื่อพ.ศ. ๒๓๕๒ นั้น สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ได้เป็นสังฆราชแล้ว และท่านประทับอยู่วัดมหาธาตุมาโดยตลอดจนสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๓๕๙

   ส่วนสังฆราชสุก ไก่เถื่อน เมื่อตอนสมเด็จโตบวช ยังดำรงตำแหน่งเป็นพระญาณสังวรเถระและยังอยู่วัดพลับ จึงไม่ใช่พระอาจารย์ของสมเด็จโต เพราะถ้าใช่สมเด็จโตก็ต้องไปบวชที่วัดพลับ และเรียนหนังสือที่นั่น ท่านย้ายมาประทับที่วัดมหาธาตุก็เพราะท่านได้รับแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชและประทับอยู่เพียง ๒ ปีเท่านนั้น และตอนนั้นสมเด็จโตอายุ ๓๒ ปีเศษไม่ใช่พระบวชใหม่แล้ว

  ดังนั้นความเชื่อที่ว่าสมเด็จโตเป็นลูกศิษย์สังฆราชสุก ไก่เถื่อน จึงขัดแย้งกับความเป็นจริงตามประวัติศาสตร์
   สังฆราชสุก ไก่เถื่อน วัดพลับ เป็นคนละองค์กับสังฆราชสุก วัดระฆัง และไม่ใช่อาจารย์ของสมเด็จโต
   เพียงแต่มีชื่อพ้องกัน เกิดในสมัยอยุธยาเหมือนกัน และได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชทั้งสองพระองค์


วัดมหาธาตุ

วัดมหาธาตุ
   วัดมหาธาตุ เป็นวัดที่มีหลายชื่อ ปัจจุบันมีชื่อเต็มว่าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤดิ์ เพราะได้รับพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ ๖ สมัยยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เป็นวัดโบราณสมัยอยุธยา เดิมมีชื่อว่า วัดสลัก เมื่อต้นรัตนโกสินทร์มีการย้ายเมืองหลวงจากฝั่งธนบุรีมาสร้างฝั่งพระนคร ก็ได้สร้างวังหลวงและวังหน้าขนาบวัด ต่อมากรมพระราชวังบวรมหาสรุสีหนาทซึ่งเป็นน้องรัชกาลที่ ๒ ได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์และตั้งชื่อใหม่ว่า วัดนิพพานาราม

   ต่อมารัชกาลที่ ๑ โปรดให้เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎก ในปี พ.ศ. ๒๓๓๑ จึงทรงเปลี่ยนชื่อเป็น วัดพระศรีสรรเพชญ์ และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็นวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเพื่อสนองพระราชปณิธานอีกอย่างหนึ่งอันเกี่ยวข้องกับการปกครองคณะสงฆ์ไทย

   นั่นก็คือทรงดำริที่จะให้วัดมหาธาตุเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ตอนนั้นสังฆราชสุก ได้มาอยู่วัดมหาธาตุและได้เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกในสมณศักดิ์พระพนรัตน์ซึ่งเป็นตำแหน่งสังฆราชซ้าย รองจากสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ซึ่งเป็นสังฆราชองค์แรก
 
        แสดงว่ารัชกาลที่ ๑ ท่านทรงโปรดไม่น้อย และคงตั้งพระทัยไว้ว่าท่านจะได้เป็นสังฆราชองค์ต่อไป อีกประการหนึ่งวัดมหาธาตุเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองตั้งแต่สมัยโบราณ จะเห็นว่าเมืองใหญ่ทุกเมืองจะต้องมีวัดมหาธาตุอยู่คู่เมือง เพื่อเป็นศรีแก่เมืองนั้นและเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาด้วย

   จากนั้นเป็นต้นมาสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์ที่ได้รับแต่งตั้งจะต้องย้ายจากวัดเดิมมาประทับที่วัดมหาธาตุ โดยสังฆราชมีเป็นพระองค์แรกที่ทรงย้ายจากวัดเลียบ (วัดราชบูรณะ) มาที่วัดมหาธาตุ

        ต่อมาตามด้วยสังฆราชสุก ไก่เถื่อนซึ่งทรงย้ายจากวัดพลับ (ราชสิทธา) มาประทับที่วัดมหาธาตุ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ตอนนั้นวัดมหาธาตุอยู่ระหว่างการบูรณะปฏิสังขรณ์ สังฆราชนาคซี่งเป็นองค์ที่ ๖ จึงประทับอยู่ที่วัดเลียบ (วัดราชบูรณะ) ตามเดิม ไม่ได้ย้ายมาวัดมหาธาตุ เป็นอันสิ้นสุดธรรมเนียมที่สมเด็จพระสังฆราชเมื่อได้รับแต่งตั้งจะต้องย้ายมาประทับที่วัดนี้

   หลังเปลี่ยนการปกครอง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็มีดำริที่จะรื้อฟื้นธรรมเนียมนี้ขึ้นมาใหม่ โดยจะให้พุทธมณฑลที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองกึ่งพุทธกาลเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช และได้เตรียมสร้างพระตำหนักไว้รองรับ เพื่อต้องการให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เหมือนกับกรุงวาติกันซึ่งเป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนา และพระคาร์ดินัลรูปใดที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นพระสันตะปาปาจะต้องย้ายมาประทับที่นั่น

       น่าเสียดายที่โครงการนี้ไม่ได้รับความสำเร็จ ไม่มีสมเด็จพระสังฆราชรูปใดย้ายมาประทับอยู่ที่พุทธมณฑลเลย ก็เหมือนกับจอมพลถนอมที่ตั้งใจปรับปรุงบ้านพิษณุโลกให้เป็นที่อยู่ของนายกรัฐมนตรีแบบทำเนียบขาวของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

   วัดมหาธาตุยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรก ก็คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่รัชกาลที่ ๕ ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ในชื่อมหาธาตุวิทยาลัย ต่อมาทรงเปลี่ยนเป็นชื่อปัจจุบันในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ นับว่ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเกิดก่อนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

        ซึ่งสมัยผู้ทำเรียนอยู่สะกดชื่อโดยไม่มีการันต์ให้เกะกะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ เพื่อเป็นโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการฝ่ายพลเรือนคู่กับโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าที่เป็นโรงเรียนฝึกข้าราชการฝ่ายทหาร และได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อปัจจุบันในปีพ.ศ. ๒๔๕๙ สมัยรัชกาลที่ ๖
   

วัดสร้อยทอง

วัดสร้อยทอง
   เป็นวัดในเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ตัดแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้กับเขตจังหวัดนนทบุรี เดิมชื่อ "วัดซ่อนทอง" สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๔ ปลายรัชกาลที่ ๓ ซึ่งพระองค์โปรดคนที่สร้างวัดถึงกับมีคำพูดว่า "ใครสร้างวัดก็โปรด" เข้าใจว่าสร้างโดยผู้สืบเชื้อสายจากพระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค)

   ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง วัดถูกระเบิดทำลายเสียหายเนื่องจากอยู่ใกล้สะพานพระรามหกซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ เมื่อเครื่องบินพันธมิตรทิ้งระเบิดพลาดเป้า วัดก็ต้องรับเคราะห์ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกับวัดเลียบ (วัดราชบูรณะ) ที่ถูกระเบิดเกือบหมดวัดเนื่องจากอยู่ใกล้โรงไฟฟ้าวัดเลียบ

        วัดสร้อยทองเสียหายอย่างหนัก เหลือแต่หอระฆัง เจดีย์ และหลวงพ่อเหลือ ซึ่งหล่อจากทองเหลืองที่เหลือจากการหล่อพระประธานโดยหลวงปู่เบี้ยวเจ้าอาวาสในสมัยนั้น หลวงพ่อเหลือจึงได้รับความเลื่อมใสจากชาวบ้านละแวกนั้น เหมือนกับหลวงพ่อโบสถ์น้อยวัดอินทารามที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟบางกอกน้อย ซึ่งรอดจากระเบิดเช่นกัน

   ลำดับเจ้าอาวาสวัดสร้อยทองจากรูปแรกจนถึงหลวงปู่เบี้ยวมีดังนี้
      พระอาจารย์กุย
      หลวงปู่ดำ
      หลวงปู่เบี้ยว พ.ศ. ๒๔๔๕ – ๒๔๗๒
   (ที่มา : เว็บไซด์วัดสร้อยทอง)

   ท่านผู้อ่านจำชื่อพระอาจารย์กุยให้ดี เพราะจะไปพูดถึงใน ถอดรหัสพระสมเด็จวันพรุ่งนี้ รวมทั้งข้อมูลจากวัดสร้อยทองเกี่ยวกับปีการสร้างวัดด้วย
        เพราะถ้ามีการนำพระสมเด็จอรหังไปฝากกรุที่นั่น ก็ต้องเป็นปี ๒๓๙๔ หรือหลังจากนั้นไม่นาน
        สังฆราชสุก ไก่เถื่อนสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว เพราะทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชช่วงพ.ศ. ๒๓๖๓ ถึง ๒๓๖๕ ในช่วงนั้นยังเป็นสมัยรัชกาลที่ ๒ ขุนนางตระกูลบุนนาคยังไม่ขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโต วัดก็ยังไม่ได้สร้าง
   
        ประวัติศาสตร์จึงบอกเราว่า สมเด็จอรหังวัดสร้อยทอง
        ไม่ได้มาจากวัดมหาธาตุ และไม่ได้สร้างโดยสังฆราชสุก ไก่เถื่อน


ร้านทองตั้งโต๊ะกัง

ห้างทองตั้งโต๊ะกัง
   ชื่อ "ห้างทองตั้งโต๊ะกัง" "ตั้งโต๊ะกัง" และ "โต๊ะกัง" มาจากชื่อของผู้ก่อตั้งคือนายโต๊ะกัง แซ่ตั้ง ซึ่งเป็นคนจีนอพยพมาจากอำเภอเท่งไฮ้ ในมณฑลกวางตุ้ง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยประกอบอาชีพเป็นช่างทอง เมื่อฐานะการเงินดีขึ้นจึงได้เปิดร้านทองที่ย่านเยาวราชในซอยวานิช ถนนเยาวราช ต่อมากิจการเจริญรุ่งเรืองจากมีช่างทองไม่กี่คน จนมีเป็นร้อยคน

   สมัยนั้นคนไทยจะซื้อทองก็ต้องไปที่ร้านตั้งโต๊ะกัง เยาวราช จนเป็นธรรมเนียมถึงทุกวันนี้ว่าจะซื้อทองต้องไปเยาวราช และทองเยาวราชดีที่สุด ห้างทองตั้งโต๊ะกังได้ทำเครื่องหมายไว้ที่ทองรูปพรรณของร้านโดยการตอกโค้ตเป็นตัวหนังสือลึกลงไปในเนื้อทองเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของร้าน ตัวตอกจะเป็นตัวสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ และมีตัวอักษรจีนอยู่ข้างใน

       ซึ่งยังเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกวันนี้เพื่อให้ร้านทองแต่ละร้านรู้ว่าเป็นทองของตัวเองหรือไม่ เพราะร้านต้องรับผิดชอบเวลาซื้อคืน ถ้ามีโค้ตของร้านก็จะได้ราคาเต็มตามราคาทองของวันนั้น ถ้าไม่ใช่ทองของร้านก็จะมีส่วนลดไม่ซื้อในราคาเต็ม

   โค้ตดังกล่าวเป็นที่คุ้นตาของชาวบ้านสมัยนั้น
        ฉะนั้น เมื่อเห็นสมเด็จอรหัง มีการตอกอักษรขอม คำว่า อรหัง ลงไปหลังองค์พระ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนกัน ก็เรียกตามความเคยชินว่า พระสมเด็จอรหังหลังโต๊ะกัง

   ปัจจุบัน ห้างทองโต๊ะกังยังอยู่ที่เดิม ไม่มีสาขาที่ไหน อาคารที่ตั้งเป็นอาคาร ๗ ชั้นสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ เป็นอาคารอนุรักษ์ไปแล้ว พร้อมกับสัญลักษณ์ตราครุฑที่ได้รับพระราชทานในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ สมัยรัชกาลที่ ๖ นับเป็นอาคารสูง (High Rise) ยุคแรกในประเทศไทย ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฮอลันดาในยุคเห่อสถาปัตยกรรมฝรั่ง ชั้น ๖ ได้ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ทองคำโชว์อุปกรณ์และเครื่องมือทำทองแบบโบราณ

   

สรุป

     - สังฆราชสุกในยุคต้นรัตนโกสินทร์มี ๒ พระองค์ด้วยกัน คือ สังฆราชสุก (บางแห่งเขียนเป็น "ศุข") เดิมเป็นพระพนรัตน์ วัดมหาธาตุ สังฆราชองค์ที่ ๒ และสังฆราชสุก ไก่เถื่อน เดิมเป็นพระญาณสังวร วัดพลับ (วัดราชสิทธา) สังฆราชองค์ที่ ๔

     -   อาจารย์ของสมเด็จโตคือสังฆราชสุก วัดมหาธาตุ ไม่ใช่สังฆราชสุก ไก่เถื่อนวัดพลับ (วัดราชสิทธา)

     - สังฆราชสุก ไก่เถื่อนย้ายจากวัดพลับมาประทับที่วัดมหาธาตุเมื่อครั้งได้รับโปรดเกล้าเป็นสมเด็จพระสังฆราช ตามธรรมเนียมปฏิบัติสมัยนั้น และเป็นสังฆราชเพียง ๒ ปีก่อนจะสิ้นพระชนม์ในปีพ.ศ. ๒๓๖๕ พระชนมายุ ๘๙ พรรษา แสดงว่าท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่ออายุ ๘๗ พรรษาและย้ายจากวัดพลับไปที่วัดมหาธาตุ ระยะเวลาที่ประทับที่วัดมหาธาตุสั้นเกินไปที่จะสร้างพระสมเด็จไว้ที่นั่นและตอนนั้นท่านอายุมากแล้ว

     - พระสมเด็จอรหังวัดสร้อยทองไม่ได้มาจากวัดมหาธาตุที่สังฆราชสุก ไก่เถื่อนสร้างและนำไปฝากกรุที่นั่น เพราะวัดสร้อยทองสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๔ สังฆราชสุก ไก่เถื่อนสิ้นพระชนม์ไปร่วม ๓๐ ปีแล้ว

     - จากข้อมูลประวัติศาสตร์จึงสรุปได้ว่า สมเด็จโตกับสังฆราชสุก ไก่เถื่อนไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นศิษย์อาจารย์ และพระสมเด็จอรหังไม่น่าจะสร้างที่วัดมหาธาตุและไม่ได้นำไปฝากกรุไว้ที่วัดสร้อยทอง



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
prasomdej.net พระสมเด็จดอทเน็ต
http://www.prasomdej.net/old/history/1.html
20256  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชวนเที่ยว "สะดืออีสาน" พิสูจน์ "หินหล่อง" ลานหินทรายมหัศจรรย์ เมื่อ: สิงหาคม 11, 2012, 11:01:41 am



"สารคาม" ชวนเที่ยว "สะดืออีสาน"
พิสูจน์ "หินหล่อง" ลานหินทรายมหัศจรรย์

นายวีระวัฒน์ ชื่นวาริน ผวจ.มหาสารคาม เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จ.มหาสารคาม มีโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ อ.โกสุมพิสัย เพื่อส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยวท้องถิ่น ให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในวงกว้าง เช่น บึงกุย แหล่งน้ำขนาดใหญ่นอกเขตชลประทาน บรรยากาศช่วงยามเย็นตะวันจะตกดินมีความสวยงามมาก มีนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพกัน

    บึงแห่งนี้อยู่ติดถนนสายมหาสารคาม-ขอนแก่น และอีกแห่งที่ไม่ควรพลาด คือ
    จุดศูนย์กลางของภาคอีสาน หรือ"สะดืออีสาน" อยู่บริเวณทิศตะวันออกของโรงเรียนบ้านเขวา ต.เหล่า อ.โกสุมพิสัย
    โดยสร้างสัญลักษณ์ของสะดืออีสาน เพื่อให้ทราบว่าบริเวณนี้ คือ ศูนย์กลางของภาคอีสาน
    จากการสำรวจโดยกรมแผนที่ทหาร เมื่อปีพ.ศ.2534 ถือว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ว่าครั้งหนึ่งเคยมายืนอยู่ตรงศูนย์กลางของภาคอีสาน


    ผวจ.มหาสารคาม กล่าวต่อว่า เมื่อออกจากสะดืออีสาน มุ่งหน้าเข้าสู่ อ.โกสุมพิสัย สามารถแวะวนอุทยานโกสัมพี แหล่งอาศัยของลิงป่านับพันตัว โดยเฉพาะลิงแสมสีทองหายาก พบในป่านี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
   จากนั้นแวะเข้าไปกราบนมัสการขอพรหลวงพ่อมิ่งเมือง ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าวนอุทยานโกสัมพี พระพุทธรูปสมัยทวารวดี แกะจากเนื้อหินทรายนับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาว อ.โกสุมพิสัย มานานตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน




อัปโหลดโดย omyim5566 เมื่อ 15 ก.ย. 2010


     นายวีระวัฒน์กล่าวอีกว่า อีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คือ
     การพิสูจน์หลุมหิน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า"หินหล่อง" อยู่ห่างจาก อ.โกสุมพิสัย 20 กิโลเมตร บนเส้นทางโกสุมพิสัย-ขอนแก่น เมื่อถึงบริเวณปากทางบ้านเขื่อน ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนลาดยาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์

    ลักษณะเป็นลานหินทราย อยู่ในบริเวณป่าโคกบ้านโนนสูง ต.ดอนกลาง ตามพื้นลานหินจะมีหลุม
     มีลักษณะเป็นบ่อน้ำวงกลม วงรี ความกว้างแตกต่างกัน ตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ กว่า 3 เมตร เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ


    อีกทั้งมีรอยเท้ามนุษย์โบราณยาวกว่า 50 เซนติเมตร ก้าวเท้ายาวเกือบ 2 เมตร
    ชาวบ้านในพื้นที่นับถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยจัดประเพณีบุญเดือน 7 ขึ้นทุกปีก่อนทำนา ทำไร่
    จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่สนใจ แวะมาท่องเที่ยวพักผ่อนสถานที่เหล่านี้ได้ตลอดปี



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMGIzVXdNakV4TURnMU5RPT0=&sectionid=TURNeE9RPT0=&day=TWpBeE1pMHdPQzB4TVE9PQ==
20257  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เวลากับชีวิต "มนุษย์ได้เวลาเท่ากัน...แต่ชีวิต สั้น ยาว ไม่เท่ากัน" เมื่อ: สิงหาคม 11, 2012, 09:39:34 am



เวลากับชีวิต "มนุษย์ได้เวลาเท่ากัน...แต่ชีวิต สั้น ยาว ไม่เท่ากัน"
เวลากับชีวิต โดย นายแพทย์วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

    พุทธพจน์แห่งไตรลักษณ์ว่าด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    เตือนให้มนุษย์ได้ตระหนักรู้ถึง "สังขาร" ย่อมมีการเสื่อมสลายเป็นธรรมดาได้ทุกเมื่อ


    ดังนั้น การใช้ชีวิตประจำวันจึงอย่าประมาท หลายคน รู้ทั้งรู้ก็ยังทำ รู้ทั้งรู้ก็ยังทำไม่ได้ รู้ทั้งรู้ก็ปล่อยปละละเลย แต่ถ้าไม่รู้แล้วไม่ทำยังพอจะให้อภัยได้
     ในอดีตคนไทยมีวิถีชีวิตเรียบง่าย ส่วนใหญ่กว่า 80% อยู่ในชนบท ใช้ชีวิตอยู่ในท้องไร่ท้องนา การศึกษาก็เป็นไปตามอัตภาพและความสามารถของครอบครัวที่จะช่วยถักทอและต่อยอด





รูปแบบการใช้ชีวิต และการกินอยู่ของคนไทย
ตามวิถีชุมชน แม้ยากจนแต่ไม่ขัดสน เพราะอาหารการกินส่วนใหญ่เป็นผักพื้นบ้านตามท้องนา ที่เกิดและเติบโตเองตามธรรมชาติ หรือถ้าอาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็ไม่อัตคัด เพราะมีโปรตีนจากปลา กุ้งตัวเล็กตัวน้อย ที่ได้จากท้องนา ด้วยการทอดแห งมสุ่ม ตกเบ็ด ยกยอ เป็นต้น มองสังคมสมัยก่อนในมุมสุขภาพ จะพบว่า ความเจ็บป่วยอันเป็นสาเหตุให้เสียชีวิต มักเกิดจากโรคระบาด โรคห่า หรือโรคจากความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ

ในเรื่องคุณภาพชีวิต ด้วยวิถีที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนยุ่งยาก สิ่งแวดล้อมไม่มีมลพิษ ชีวิตที่เปี่ยมปริ่มด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา และวัฒนธรรม ชีวิตครอบครัว จะเป็นครอบครัวใหญ่ ลูกหลานอยู่ด้วยกันหลายคน แม้แต่งงานก็มักจะเอาเขยหรือสะใภ้มาอยู่ในบ้าน และลูกหลานที่คลอดใหม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จะอยู่ด้วยกัน ช่วยกันเลี้ยงดูจนเติบโต

ลักษณะพิเศษของครอบครัวไทยสมัยเก่าๆ ปู่ ย่า ตา ยาย จะอยู่กับลูกหลาน อีกทั้งแรงกตัญญูกตเวทีของบุตรหลานที่มีต่อญาติผู้ใหญ่ ทำให้เป็นสังคมเอื้ออาทร จิตใจผุดผ่อง โอบอ้อมอารี มีวินัย เชื่อพ่อแม่ เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นพื้นฐานอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวสุขสันต์

วันเวลาหมุนผ่าน วิถีคนไทยก็ปรับตามกาลเวลา การโหยหาอดีตจึงทำได้เพียงคิดคำนึงโลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน วิถีของคนก็เปลี่ยน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนเดิม แม้การรับรู้จะเปลี่ยนไปนั่นคือ "เวลา" พระเจ้าหรือฟ้า ท่านประทานให้ "มนุษย์" ทุกคนเท่ากัน...แต่

โลกยุคใหม่ "Modern" ที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคหลังสมัยใหม่ "Post modern" การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เดิมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ก็กลายเป็นพื้นที่แคบลง เวลากระชับ เร่งรีบรีบกิน รีบเดินทาง รีบสะสมเงินทอง ทำงานกันมากมาย บ้างต้องกินในรถ ยุ่งเหยิงไปหมด

เห็นแก่ตัว กอบโกย ขาดศีลธรรม จิตใจเสื่อม ลืมตัว ลืมตน มีการแข่งขันสูง เหมือนบีบคั้นให้ทุกชีวิตไม่มีทางเลือก ไม่มีเวลาทบทวน ต้องยอมรับกับสภาพ และเดินไปตามสิ่งแวดล้อมกำหนดตัวเรา กำหนดจิตใจเราให้ยอมรับและทำตาม กระแสโลกดูเหมือนสิ่งนั้นมันใช่ มันถูก ซึ่งความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่





มนุษย์เราเกิดมามีทางเลือกเสมอ
หากเราเข้าใจปัจจัยแห่งเหตุว่า "วันนี้เป็นทั้งเหตุและเหตุผล" หากชีวิตในปัจจุบันดี ย่อมเกิดจากผลแห่งกรรมดีในอดีต แต่ถ้าวันนี้ เดี๋ยวนี้เราขาดการปฏิบัติดี ยังประมาท หลงใหล ลืมตัว ขาดความรับผิดชอบ แน่นอนว่า ท่านเองย่อมรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น

     ดังนั้น หากเราตระหนักว่าสิ่งต่างๆ ที่ดำรงอยู่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขอเพียงแต่ให้เราทุกคน
    "ให้เวลากับตัวเอง" ทบทวน ตั้งสติกำหนดรู้สาเหตุแห่งปัญหา แท้จริงแล้วคือ "ให้เวลากับตัวเอง" หรือให้เวลากับ "ร่างกาย" ที่เราอาศัยอยู่ ให้ร่างกายเราแข็งแรง มีความสุขด้วยการบำรุงรักษา ทั้งกาย ใจให้แข็งแรง

     นอกจากปัจจัย 4 คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่มแล้ว ร่างกายต้องการสารหลั่งความสุข "Serotonin" หรือปีติสุข ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ต่อเนื่องเป็นประจำ ร่างกายต้องการอาหารครบ 5 หมู่ ที่มีคุณภาพอย่างเหมาะสม พอเพียง ปรุงและบริโภคอย่างถูกสุขอนามัย ร่างกายต้องการความสงบ ความรื่นเริง อารมณ์สุนทรียะ ต้องการความสงบ มีการพักผ่อนที่พอเพียง

    บางคราวร่างกายต้องการความสงบของจิตใจ ปฏิบัติธรรมเพื่อรักษาสติ สมาธิ ปัญญา
    ร่างกายไม่ต้องการสิ่งเผาผลาญชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ เพราะทำลายชีวิตแบบตายผ่อนส่ง
    ร่างกายไม่ต้องการความอ้วน เพราะบุคลิกภาพดังกล่าวอืดอาด ยืดยาด ไม่กระฉับกระเฉง ไม่สง่างาม
    อีกทั้งยังเป็นรังโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดัน โรคไขมันในเลือดสูง
    และมักจะยุติชีวิตก่อนวัยอันควรด้วย "โรคหัวใจขาดเลือด โรคเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก โรคไตวาย"


รถใหม่ป้ายแดงเครื่องแรง อุปกรณ์ใหม่ ย่อมไม่มีปัญหาในการขับขี่ แต่เมื่อใช้ไปนานๆ เริ่มเข้าสู่ปีที่ 4 ปีที่ 5 อายุการใช้งานมากขึ้น หากผู้ใช้ขาดการบำรุงรักษา ไม่หมั่นตรวจตราระบบไฟ ระบบยาง หม้อกรองอากาศ หม้อน้ำ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะ หรืออุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพที่ดีย่อมมีปัญหาในการใช้งาน เจ้าของรถอาจเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง

"ร่างกาย" เหมือนรถยนต์ หากคนไม่ใส่ใจ ใช้งานโดยขาดการดูแลรักษาย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมถอยและหมดสภาพ ยากจะบอกว่า รถยนต์กับคน ไม่ต่างกัน คนก็ประกอบด้วย ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลมไฟ ตัวรถเหมือนร่างกาย คนขับรถเหมือนจิตวิญญาณ เป็นผู้ขับ เป็นผู้คิดและเป็นผู้สั่งให้ตัวรถหรือร่างกายไปตามความต้องการ





    เราใช้ "เวลา" ในการแสวงหาเงินทอง ความสะดวกสบาย
    แต่ลืม "เวลา" ที่ต้องให้กับชีวิต ให้กับ "ร่างกาย" ที่จิตใจอาศัยอยู่ การละเลย ทำให้ร่างกายต้องอ่อนล้า
    ถึงเวลาที่ต้องหันกลับมามองทบทวน ตั้งสติให้ "เวลา" กับ "ร่างกาย" ยอมเสียเวลาสักนิดเพื่อชีวิตที่ยืนยาว ด้วยการสร้างสุขภาพตามหลัก "3 อ"


    1. ออกกำลังกายให้ร่างกายได้หลั่งสารแห่งความสุข "Endorphins"
    อย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคที่บั่นทอนสุขภาพได้


    2. กินอาหารที่เป็นคุณต่อสุขภาพ เพื่อสร้าง Serotonin
    "กินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้นเนื้อสัตว์อื่นๆ พอประมาณ"
    เพราะการกินผัก ผลไม้ จะทำให้จิตใจเยือกเย็น มีพลัง อายุยืน
    ผู้เขียนลองสังเกตสัตว์ที่กินพืช และเนื้อสัตว์ด้วยกัน จะพบว่าพวกที่กินพืชผัก เช่น เต่า ช้าง ยีราฟ จะดูเยือกเย็นไม่ดุร้าย และที่สำคัญ คือ แข็งแรง อายุยืน


    ในขณะที่สัตว์กินเนื้อ จำพวกเสือ สิงโต จระเข้ จะมีนิสัยดุร้าย อายุขัยก็สั้นกว่า หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงแสนรักอย่างน้องหมา น้องแมว เป็นสัตว์กินเนื้อ แต่ในยามเจ็บไข้ก็ได้อาศัยใบหญ้าในการคลายพิษ

    3. ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เครียด หงุดหงิด
    ประเภทขี้วีน ขาเหวี่ยง จะเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง คนปกติย่อมมีบ้างกับอารมณ์โกรธ โมโห แต่ต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์ เพราะการสะสมอารมณ์เครียด ขุ่นมัวตลอดเวลา จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรค





    ดังนั้น หากท่านต้องการให้ชีวิตยืนยาว ก็ต้องให้ "เวลา" กับร่างกายของท่าน
    ประการสำคัญ ต้องเริ่มวันนี้ เดี๋ยวนี้ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง สร้างความสมดุลทางธรรม เข้ามาขัดเกลา และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตระหว่าง "ร่างกาย" "ชีวิต" และ "เวลา" ให้สมกับพุทธวัจน์ที่ว่า


    "ขออย่าให้ชีวิตประมาท จงทำหน้าที่ให้มีความถูกต้องกับชีวิตของเรา...รักร่างกายเขาบ้าง"
    ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและบุคคลอื่น เพื่อเข้าถึงความสุข สูงสุดแห่งชีวิต ด้วยการให้ "เวลา" กับ "ร่างกาย" ปัจจัยพื้นฐานในการมี "ชีวิต" ของเรา

     ดังคำที่พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) ได้เทศน์ไว้ว่า
    "มนุษย์ได้เวลาเท่ากัน...แต่ชีวิต สั้น ยาว ไม่เท่ากัน"...สาธุ



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1344505459&grpid=&catid=02&subcatid=0200
http://www.bloggang.com/,http://www.ready4lady.com/,http://www.siamdara.com
20258  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพและคลิป.."สภา" นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ 449 รูป สวดฉลองพุทธชยันตรี 2600 ปี เมื่อ: สิงหาคม 11, 2012, 08:52:40 am



"สภา" นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ 449 รูปสวดฉลองพุทธชยันตรี2600 ปี

นิมนต์พระ 449 รูปทำบุญสภาฉลองพุทธชยันตรี 2600 ปี “ปธ.รัฐสภา” วอนนักการเมืองเอาธรรมะนำหน้าพาชาติสงบ

เมื่อเวลา 14.20 น. วันนี้ (10 ส.ค.) ที่ห้องประชุมรัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในพิธีเจริญพุทธมนต์โครงการ“ฉลองพุทธชยันตรี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า” เนื่องในโอกาสฉลองพุทธชยันตรี 2600 ปี และเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา

โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา ในฐานะรักษาการประธานวุฒิสภา ส.ส.รัฐบาล ส.ส.ฝ่ายค้าน นายสุชน ชาลีเครือ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีตประธานวุฒิสภา เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เลขาธิการวุฒิสภา และข้าราชการระดับสูงของทั้ง 2 สภา เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

โดยนายสมศักดิ์ได้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จากนั้นนายนิคมถวายเครื่องราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ประธานฝ่ายสงฆ์ กล่าวสัมโมทนียกถา ธรรมาธิปไตยคนไทยเป็นสุข





โดยมีสมเด็จพระราชาคณะ รองสมเด็จพระราชาคณะ กรรมการมหาเถระสมาคม เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด พระสังฆาธิการ จำนวน 449 รูป เจริญพระพุทธมนต์ พร้อมกันนี้ประธานรัฐสภาได้ถวายต้นกล้าไม้กากระทิง ซึ่งเป็นไม้มงคลที่พระศรีอริยเมตไตรยประทับนั่งตรัสรู้ภายใต้ร่มไม้นี้ในอนาคต ให้แก่พระสังฆาธิการเพื่อนำไปปลูกยังวัดในพื้นที่ต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล และก่อให้เกิดความร่มเย็นแก่ประชาชนทั่วไปด้วย

ทั้งนี้นายสมศักดิ์ กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างพิธีว่าปัญหาของบ้านเมืองขณะนี้ เป็นเพราะการเมืองไทยคิดหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว และมีแต่กิเลส จึงทำให้บ้านเมืองไม่เจริญ ดังนั้นตนอยากให้นักการเมืองใช้ธรรมะนำหน้าการเมือง เพื่อเอาชนะกิเลส และทำให้ให้ประเทศไทยน่าอยู่ สังคมมีแต่ความสงบ  และเมื่อคนไทยมีแต่ความรัก ความเมตตาต่อกัน สังคมจะน่าอยู่ขึ้น

เหตุการณ์ซึ่งเป็นปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมา ประชาชนเขามองอย่างไม่สบายใจ ซึ่งผมไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดอีก ดังนั้นถึงเวลาที่เราต้องเริ่มต้นหันหน้าเข้าสู่ธรรมะ การเมืองต้องใช้ธรรมนำหน้า เพื่อให้ประเทศไทยไปรอด และยิ่งสถานการณ์ขณะนี้มีความจำเป็นทีต้องใช้ธรรมะในการแก้ปัญหาให้กับการเมืองไทย.













ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/politics/148806



20259  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา! เมรุวัดเกาะแก้ว ทาสีเขียวทั้งหลัง เปรียบที่ประทับพระอินทร์ ส่งดวงวิญญาณ เมื่อ: สิงหาคม 10, 2012, 07:18:56 pm




ฮือฮา! เมรุ "วัดเกาะแก้ว"ทาสีเขียวทั้งหลัง
เปรียบที่ประทับพระอินทร์ ส่งดวงวิญญาณขึ้นสวรรค์(ชมคลิป)

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม  ว่า  ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่เข้าไปกราบนมัสการพระพุทธรูปโบราณและรูปหล่อสมเด็จพระจ้าตากสินในวัดเกาะแก้ว ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต.กะมัง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา  ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง   หนึ่งในโครงการไหว้พระอยุธยามหามงคล  และทั้งหมดต่างต้องฮือฮาหลังพบว่า โดยรอบวัดทาสีใหม่ไว้อย่างสวยงามเหลืองอร่าม ยกเว้นเพียงเมรุเผาศพของวัด ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณลานจอดรถ ที่เป็นสีเขียว

ทั้งนี้   ทางวัดเกาะแก้ว ได้ว่า จ้างช่างมาทาสีเมรุเก่าของวัดที่สร้างมานาน 20 ปี และถูกน้ำท่วมเมื่อปลายปี 54 จนชำรุดที่ฐาน และมีการบูรณะเมรุใหม่พร้อมเตรียมการปรับภูมิทัศน์ใหม่ทั้งหมด   โดยเมรุทั้งหลังได้ทาเป็นสีเขียว แม้กระทั้งปล่องเมรุ มาถึงพื้นฐานของตัวเมรุ ยกเว้นส่วนของลวดลายซุ้มประตู ใบระกา ยังเป็นลวดลายสีทอง และลูกบันไดและพื้นเมรุเท่านั้นที่ยังคงใช้สีวัสดุของเดิม ซึ่งสร้างความสะดุดตาให้กับผู้พบเห็นมาก






พระสมชาย  จิตตะธันโต  ผู้ช่วยเจ้าอาวาส  เปิดเผยว่าวัดเกาะแก้ว   กล่าวว่า วัดเก่าแก่นี้ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา เป็นสถานที่ตั้งประดิษฐานอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช เพราะเคยเป็นที่ตั้งฐานทัพสมเด็จพระเจ้าตาก เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดอีกแห่งหนึ่งอยู่ในโครงการไหว้พระ 99 วัดของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปีที่ผ่านมาได้ถูกน้ำท่วมลึกกว่า 2 เมตร ได้รับความเสียหาย 

พระมหารุ่ง สุขุมาโร เจ้าอาวาสวัด  จึงได้ให้ทาสีใหม่เป็นเหลืองทองอร่าม ยกเว้นเมรุ ที่ให้ทาสีเขียวพระอินทร์แทน    เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจอดรถกราบไหว้พระเห็นแล้ว มีความสดชื่น ดูสดใส และที่สำคัญสีเขียวเป็นสีของพระอินทร์ที่สถิตย์อยู่บนสรวงสวรรค์  ศพที่เผาจะได้ขึ้นสรวงสวรรค์ไปด้วย ขณะนี้เพิ่งทาสีเสร็จยังไม่ได้ประกอบพิธีเผาศพใครเลย   โดยเฉพาะเมรุเสียค่าแรงไปกว่า 70,000บาท ค่าสีเกือบ 50,000 บาท





อย่างไรก็ตาม   หลังจากนี้ วัดเกาะแก้ว  จะปรับภูมิทัศน์รอบเมรุใหม่ทั้งหมดจะปลูกเป็นสวนหย่อมให้เหมือนสวนสวรรค์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในวัดจอดรถแล้วมีความสุข  ไม่หวั่นกลัวหรือเกรงกลัวเหมือนเมรุทั่วไป และสามารถเดินเข้ามาเที่ยวชมได้อย่างสายใจ ส่วนอนาคตจะมีการพัฒนาเตาเผาที่ปัจจุบันเป็นเตาเผาศพด้วยถ่าน ให้เป็นเตาเผาศพปลอดมลพิษด้วยเตาเผาไฟฟ้า



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1344594051&grpid=&catid=19&subcatid=1906
20260  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / " ไม่เอาอรรถกถา กับ เอาอรรถกถา "...ดีหรือไม่ดีอย่างไร.? เมื่อ: สิงหาคม 10, 2012, 12:02:47 pm


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

๗. อาณิสูตร
   
     [๖๗๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว
     เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด


     ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว
     อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง
     จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา


     แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้
     มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก
     เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ
     จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ


     [๖๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก
     เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน ฉันนั้นเหมือนกัน
     เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
     เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่
     พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้
     และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
          จบสูตรที่ ๗


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๗๐๔๖ - ๗๐๖๖. หน้าที่ ๓๐๒.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=7046&Z=7066&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=672
ขอบคุณภาพจาก http://4.bp.blogspot.com/
20261  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชมภาพ นิทรรศการเทิดพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี ที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อ: สิงหาคม 09, 2012, 10:33:24 pm




บรรยากาศ งานเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 9 ส.ค. บรรยากาศงานเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ครบรอบ 80 พรรษา นิทรรศการเทิดพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี ที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยภายในงานนั้นได้แบ่งออกเป็นทั้งหมด  4 โซน คือ

   1. พระแม่ของแผ่นดินชมพระฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่ และร่วมลงนามถวายพระพร
   2.นิทรรศการ “ศิลป์แห่งแพรไหม” การแสดงแฟชั่นโชว์ ผลงานของ 40 นักออกแบบเสื้อผ้าชั้นแนวหน้าของไทย ซึ่งจัดแสดงวันล่ะ1รอบ ช่วงเวลาประมาณ 19.00 น.
   3.นิทรรศการภาพถ่าย “พระราชกรณียกิจเพื่อปวงชน” โดยฝีมือช่างภาพชั้นแนวหน้าทั้ง 9 คน และ 
   4. นิทรรศการ “คู่พระบารมี” ซึ่งงานนิทรรศการดังกล่าวจะมีจัดไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม นี้..










ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/crime/148677
20262  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทึ่ง.! 'สัปเหร่อจิ๋ว'..เผาศพตั้งแต่อายุ 5 ขวบ วัดโล่สุทธาวาส อ่างทอง เมื่อ: สิงหาคม 09, 2012, 07:38:11 pm



ทึ่ง.! 'สัปเหร่อจิ๋ว'..เผาศพตั้งแต่อายุ 5 ขวบ

พลิกปูมชีวิตสัปเหร่อเมืองอ่างทอง ทำพิธีเผาศพมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ตั้งใจเรียนวิชาจนยึดเป็นอาชีพ

    เรื่องราวของสัปเหร่อชาวเมืองอ่างทองรายนี้คือนายกฤษฎา วัฒนะชาลี อายุ 25 ปีอยู่บ้านเลขที่71/57 ต. บ้านแห อ. เมือง จ. อ่างทอง ซึ่งทำหน้าสัปเหร่อที่วัดโล่สุทธาวาส ต. บ้านแห โดยนายกฤษฎา เล่าว่าตนเป็นเด็กนักเรียนวัดโล่สุทธาวาสตั้งแต่เล็ก เมื่อมีศพคนตายก็จะได้ยินเสียงและตนก็ชอบวิ่งมาที่งานศพเพื่อมาเก็บเงินที่เจ้าภาพเข้าโปรยทานให้กับศพ

     หลังจากนั้นตนก็ได้ขึ้นไปดูที่เมรุก็ได้พบกับสัปเหร่อวัดโล่สุทธาวาสคือนายสมหวัง มงคล (สัปเหร่อแจ้ง ) เป็นคนเผาศพ ตนสนใจจึงช่วยสัปเหร่อแจ้งหยิบโน่นหยิบหนีให้
     และเมื่อเสร็จงานสัปเหร่อแจ้งก็ให้เงินตนครั้งละ 10 บาท ตนดีใจมากเพราะไม่เคยได้เงินที่ละ10 บาทมาก่อนเลย
     ตั้งแต่นั้นมาตนก็มาช่วยสัปเหร่อแจ้งเผาศพทุกครั้งและสัปเหร่อก็ให้เงินทุกครั้งบางครั้งให้ 20 บาท
     ตนถึงกับไหว้แล้วไหว้อีกเลย จนสัปเหร่อแจ้งได้รับตนไว้เป็นลูกศิษย์ซึ่งในขณะนั้นตนอายุ 5 ขวบ


     หลังจากนั้นสัปเหร่อแจ้งก็สอนวิชาการทำการฌาปนกิจทุกขั้นตอนและได้อบรมในสิ่งที่ดีๆ สอนให้ใฝ่เรียนอย่าเกเรให้ช่วยพ่อแม่ทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระสัปเหร่อแจ้งยังได้สอนวิชาอาคมอีกมากมาย สอนวิธีการเผาศพแล้วการทำบุญไปให้ศพบ้างจะมีแต่ความเจริญแก่ตัวเอง โดยศพจะไม่มารังควาน เพราะสัปเหร่อเป็นดาบสองคม ทำดีก็ได้ดีแต่ถ้าทำไม่ดีก็จะเจ็บตัว





     นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า ตนชอบและรักในอาชีพสัปเหร่อมาก เพราะเป็นการช่วยเหลือคนแล้วเราจะได้กุศลผลบุญในภาคหน้า จนสัปเหร่อแจ้งได้เกษียณอายุแล้วให้ตนเป็นสัปเหร่อเต็มตัวเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา

     และตนมุ่งมั่นตั้งใจทำหน้าที่สัปเหร่ออย่างภาคภูมิใจเพราะรักในอาชีพนี้ตั้งแต่ 5 ขวบแล้วและเป็นอาชีพที่สุจริต ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดยังได้ พระครูนิเทศก์ธรรมรส เจ้าอาวาสวัดโล่สุทธาวาส เจ้าคณะตำบลศาลาแดงช่วยอบรมปฏิบัติธรรม
     อาชีพสัปเหร่อนี้ทำแล้วมันสบายใจ ทำให้มีอะไรดีๆเข้ามาเยอะมาก คือ
     บางทีเราตกทุกข์ได้ยากหรืออุปสรรคอะไร มันก็จะหายไป


     นายกฤษฎา กล่าวทิ้งท้ายว่า รายได้จากการเป็นสัปเหร่อแต่ละงานนั้นไม่สามารถเลี้ยงตัวได้ อย่าไปคิดเลี้ยงครอบครัวเลย เพราะแต่ละงานนั้นได้ประมาณ 700 บาทและตนก็ได้ทำบุญไปกับญาติเจ้าของงานที่เหลือก็ซื้อของมาทำบุญแพร่ส่วนกุศลให้กับศพทุกศพที่ตนทำการเผา
     ตนจะมีได้รายได้จากการรับจ้างขับรถให้กับทางวัดโล่สุทธาวาสครั้งละ 200 บาทซึ่งพระครูนิเทศก์ธรรมรสอุปถัมภ์จุนเจือตนเหมือนลูกเหมือนหลานและสั่งสอนให้ตนเป็นคนดีของสังคมไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด


       พระครูนิเทศก์ธรรมรส กล่าวว่า อาตมาเห็นนายกฤษฎามาตั้งแต่เป็นเด็ก ซึ่งมีความสนใจการเป็นสัปเหร่อตั้งแต่อยู่โรงเรียนวัดโล่สุทธาวาสมาช่วยสัปเหร่อแจ้งหยิบโน่นหยิบนี่ให้ โดยสัปเหร่อแจ้งก็ให้เงินไว้กินขนมครั้งๆ 10 บาทบ้าง 20 บาทบ้าง จนสัปเหร่อมาขออนุญาตรับไว้เป็นศิษย์ อาตมาก็ยินดีและดีใจที่เด็กในวัยนี้สนใจในอาชีพที่ไม่ค่อยมีใครอยากทำเลยถึงจะไม่ค่อยได้เงินแต่ได้บุญอันยิ่งใหญ่


ขอบคุณภาพข่าวจาก www.komchadluek.net/detail/20120809/137274/ทึ่ง!สัปเหร่อจิ๋วเผาศพตั้งแต่อายุ5ขวบ.html#.UCOsXKCT9ho
20263  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'กรมศิลป์' ประกาศ 16 บ้านโบราณ-วัด ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อ: สิงหาคม 09, 2012, 07:25:44 pm


'กรมศิลป์' ประกาศ 16 บ้านโบราณ-วัด ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน

วันนี้ (9 ส.ค.) นางโสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการวิชาการเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถาน เมื่อเร็วๆ นี้ มีมติเห็นชอบรายชื่อโบราณสถาน 16 แห่ง เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตามพ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2535 ดังนี้


    ส่วนกลาง 4 รายการ ได้แก่
    บ้านเลขที่ 130 เขตธนบุรี,
    ศาลเจ้าเกียนอังเกง เขตธนบุรี,
    บ้านพระยาชลภูมิพานิช เขตบางพลัด,
    วัดพระยาทำวรวิหาร เขตบอกกอกน้อย กรุงเทพฯ


วัดพระยาทำวรวิหาร เขตบอกกอกน้อย กรุงเทพฯ

   และโบราณสถานในเขตพื้นที่สำนักศิลปากรที่ 3
   พระนครศรีอยุธยา 11 รายการ ได้แก่
   บ้านขุนพิทักษ์บริหาร (บ้านเขียว) อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา,
   วัดดงหวาย อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา,
   วัดพระนอน อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา,
   วัดแก้วนอก (ร้าง) อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา,
   วัดธรรมมาราม อ.พระนครศรีอยุธยา,
   วัดทองบ่อ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา,
   วัดดง อ.เมือง จ.นครนายก,
   วัดโพธิ์ไทร อ.เมือง จ.นครนายก,
   วัดจินดาราม (ดงข่า) อ.ปากพลี จ.นครนายก,
   วัดบ้านธาตุเหนือ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี,
   วัดบ้านธาตุใต้ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี”
   อธิบดีกรมศิลปากร กล่าว


วัดดงหวาย อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา

นางโสมสุดา กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานในเขตพื้นที่สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี 1 รายการ เมืองศรีมโหสถ อ.ศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี

อย่างไรก็ตามจากนี้จะส่งรายชื่อโบรารสถานทั้ง 16 รายการให้ทางนิติกรตรวจสอบเรื่องการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและความถูกต้องทางกฎหมาย หลังจากนั้นก็ออกประกาศ 30 วัน หากไม่มีการคัดค้านจากประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตนจะลงนามในประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เพื่อนำไปลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานก็จะสมบูรณ์..


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/education/148589
http://thainews.prd.go.th/
http://4.bp.blogspot.com/
20264  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “พระสังฆราช” ถวายพระพร “ราชินี” ทรงยกย่อง พระผู้บำบัดทุกบำรุงสุขพสกนิกร เมื่อ: สิงหาคม 09, 2012, 07:03:32 pm

“พระสังฆราช” ถวายพระพร “ราชินี”
ทรงยกย่อง พระผู้บำบัดทุกบำรุงสุขพสกนิกร

“พระสังฆราช” ถวายพระพร “ราชินี” ทรงยกย่อง พระผู้บำบัดทุกบำรุงสุขพสกนิกร ด้านประชาชนพร้อมใจปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติตามวัดต่างๆ ให้หายจากพระอาการประชวร ขณะที่ กรมการศาสนา พาผู้พิการ ศาสนิก 5 ศาสนา ปลูกป่า เฉลิมพระเกียรติ

วันนี้ (9 ส.ค.) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระโอวาท เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2555 ความว่า การอยู่ร่วมกันของคนหมู่มากจำต้องมีหลัก ที่เรียกว่า ธรรมหรือคุณธรรม สำหรับเป็นที่ยึดถือหรือเป็นแนวในการดำเนินหรือปฏิบัติต่อกัน อันจะยังผล คือ ประโยชน์สุขแก่กันและกัน

ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามสมควรแก่สถานภาพ หลักดังกล่าวก็เช่น หลักการสงเคราะห์หรือช่วยเหลือกัน ได้แก่ ทาน การแบ่งปัน ปิยวาจา การพูดแต่สิ่งที่ดี อัตถจริยา การกระทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ สมานัตตตา ประพฤติต่อกันอย่างเสมอต้นเสนอปลาย เมื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือกันตามสมควรแก่สถานภาพอย่างทั่วถึง ก็จะไม่มีใครถูกทอดทิ้งให้เป็นปัญหาแก่สังคมและประเทศชาติ



สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันน้อยใหญ่ ที่ทรงดำเนินตามหลักธรรมด้วยทรงมุ่งส่งเคราะห์พสกนิกรของพระองค์ให้ได้รับประโยชน์สุขตามควรแก่สถานภาพอันเป็นพื้นฐานของการสร้างสรรค์สังคมและประเทศชาติให้เป็นสุข ดังปรากฏเป็นโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริในทุกภูมิภาคของประเทศเนื่องในมหามงคลสมัยพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555

ขอถวายพระพรชัยมงคล ขออำนาจพระรัตนัตตยาธิคุณ พระราชกุศลบารมิตาธรรมอภิบาลรักษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงพระเกษมสำราญนฤมล ทรงพระเจริญด้วยพระพรมงคลทั้งปวง เสด็จสถิตเป็นที่ร่มเย็นสุขสมบูรณ์ ตลอดกาลนาน ขอถวายพระพร

ด้านพระเทพคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร กล่าวว่า ทางวัดได้จัดปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รวมทั้งตักบาตร ปล่อยปลา บริเวณท่าน้ำวัดเทวราช  เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา รวมทั้งเชิญชวนประชาชนร่วมขอพรองค์เทพเทวราชเนรมิต เป็นองค์พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และชั้นจาตุมหาราช ดลบันดาลให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววันด้วย



พระมหาศาสนมุณี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ  กล่าวว่า ในโอกาสสำคัญเช่นนี้ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จัดปฎิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในระหว่างวันที่ 11-13 ส.ค.นี้ เพิ่อแสดงพลังแห่งความจงรักภักดีในฐานะที่พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามหาก อยากประชาชนมาร่วมปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลครั้งนี้ สอบถามได้โทร. 0-2 457 -9968, 0-2 467 -0811

ขณะที่พระครูอรุณธรรมานุวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม กล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วัดอรุณฯ ได้มีพิธีสวดอิติปิโส 108 จบ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลบริเวณหน้าพระปรางค์วัดอรุณฯ ในวันที่ 12 ส.ค. เวลา 17.00 น. จึงขอเชิญชวนประชาชนพาแม่สวดมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศล และสร้างบุญให้แก่แม่ของเราเองด้วย

นายปรีชา  กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา(ศน.) กล่าวว่า ศน.ได้ร่วมกับ องค์กรศาสนา ทั้ง 5 ศาสนา ได้แก่ องค์กรศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู  ซิกข์ พร้อมใจกันจัดกิจกรรมคาราวานศาสนิกสัมพันธ์ ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ระหว่างวันที่ 25-27 สิงหาคม นี้ ณ วัดมหาธาตุดอยกู่แก้ว อ.แม่จัน จ.เชียงราย



นอกจากนี้ยังได้พาเครือข่ายผู้พิการ กลุ่มนักเรียนเทคนิคดอนเมือง เข้าร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ที่จ.ชลบุรี ในวันที่ 24 ส.ค. เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสานต่อพระราชปณิธานในการรักษาผืนป่าของพระองค์ท่านด้วย

ส่วนนางสิรินชญา กันธิยะ ผอ.สำนักงานวัฒธรรมจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า จังหวัดนนทบุรี ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนนทบุรี จัดงานมหกรรมวัฒนธรรมนนท์ เทิดไท้ องค์ราชินี  80 พรรษา ขึ้น ในวันที่ 10 ส.ค.นี้ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 80พรรษา เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีเนื่องในโอกาสดังกล่าว..



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/thailand/148605
http://www.royjaithai.com
20265  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เถรวาท"บนดินแดนมังกร เมื่อ: สิงหาคม 09, 2012, 06:51:51 pm



"เถรวาท"บนดินแดนมังกร

เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่คณะสงฆ์ไทย-จีนร่วมเผยแผ่พระพุทธศาสนา “ไทย จีน เหมือนพี่น้องกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีงามมาโดยตลอด แม้จะมีเส้นแบ่งระหว่างประเทศขวางกั้น แต่ความสัมพันธ์ทางใจไม่มีอะไรขวางกั้น”

พระอาจารย์ยิ่นเล่อ เจ้าอาวาสวัดไป๋หม่าซื่อ หรือวัดม้าขาว กล่าวต่อคณะสงฆ์ไทย ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิตอุโบสถ วัดเหมอัศวาราม ซึ่งถือเป็นวัดไทยแห่งแรกในสาธารณรัฐประชาชนจีน และสร้างขึ้นในพื้นที่ของวัดไป๋หม่าซื่อ  เมืองลั่วหยาง  มณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีคณะสงฆ์จากประเทศไทยกว่า 160 รูป นำโดย สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถร สมาคม ไปร่วมพิธีครั้งนี้เมื่อวันที่ 21-22 ส.ค.ที่ผ่านมา



วัดเหมอัศวาราม มีจุดเริ่มต้นจากคณะสงฆ์สาธารณรัฐ ประชาชนจีนแสดงไมตรีจิตอันดียิ่งต่อคณะสงฆ์ไทย โดยทางวัดไป๋หม่าซื่อ มอบพื้นที่ของวัดกว่า 7 ไร่ ผ่านทาง สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เพื่อดำเนินการก่อสร้างวัดไทยแห่งแรกในสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้มอบหมายให้ พระพรหมสิทธิ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง

ที่สำคัญนอกจากเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างคณะสงฆ์ทั้ง 2 ประเทศแล้ว ยังถือเป็นการแสดงความสัมพันธ์ที่ดีของรัฐบาลไทยและจีนด้วย เนื่องจากที่ดินในสาธารณรัฐ ประชาชนจีนนั้นจะขึ้นอยู่กับการดูแลของรัฐบาลทั้งหมด

หันกลับมาทางประเทศไทยจุดเริ่มของวัดเหมอัศวาราม เกิดขึ้นจากคณะผู้มีจิตศรัทธาชาวไทยและคณะศิษยานุศิษย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ที่ต้องการจะสานสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนานิกายมหายานกับเถรวาท โดยมอบพระพุทธรูปความสูง 7.2 เมตร พร้อมทั้งสร้างวิหารเพื่อเป็นที่ประดิษฐานในวัดไป๋หม่าซื่อ เมื่อปี พ.ศ.2540 และเมื่อการก่อสร้างวิหารแล้วเสร็จ จึงมีการขอขยายพื้นที่ในการสร้างเป็นวัดเพื่อให้ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาและได้รับการอุปถัมภ์เป็นอย่างดีจากพระอาจารย์ยิ่นเล่อ เจ้าอาวาสวัดไป๋หม่าซื่อ ในการมอบที่ดินของวัดให้

จากนั้นจึงมีการเริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2552 ใช้เวลากว่า 2 ปี จึงแล้วเสร็จ มีศาสนสถานที่สำคัญครบถ้วนคือ อุโบสถ ศาลาราย หอกลอง หอระฆัง พระเจดีย์ ศาลพระพรหม โดยด้านหน้าอุโบสถจะมีรูปปั้นม้าสีทองซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวัด

จุดเด่นอีกหนึ่งแห่งซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของคณะสงฆ์ไทยและคณะสงฆ์จีน ที่ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่คือ พระพุทธเจดีย์ ความสูง 29 เมตร โดยพระพุทธเจดีย์นี้จะเป็นการจำลองภูเขาทองจากวัดสระเกศ มาประดิษฐานไว้ที่วัดเหมอัศวาราม พร้อมทั้งจะอัญเชิญส่วนหนึ่งของพระบรมสารีริกธาตุ จากวัดสระเกศเพื่อไปประดิษฐานด้วย



พระพรหมสิทธิ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ บอกว่า วัดไป๋หม่าซื่อเป็นวัดที่ชาวจีนให้ความนับถือมาก เนื่องจากเป็นวัดทางพระพุทธศาสนาแห่งแรกของจีน และมีการก่อสร้างมาแล้วอายุเกือบ 2,000 ปี ซึ่งการสร้างวัดไทยในพื้นที่วัดไป๋หม่าซื่อ ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีวัดในสังกัดพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานและวัดในสังกัดพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทอยู่ในพื้นที่เดียวกัน โดยจะมีการนิมนต์พระสงฆ์จากไทยมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเหม-อัศวารามด้วย ถือเป็นการสร้างสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาระหว่างนิกายและนับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทย จีนด้วย

ขณะที่ พระราชรัตนรังษี เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย และหัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เล่าว่า การสร้างวัดของพระพุทธศาสนานิกายอื่นในสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในจีนพระพุทธศาสนานิกายมหายาน มีความเข้มแข็งมาก แต่ขณะนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว ถือเป็นความยิ่งใหญ่เกินความคาดหมาย

“การสร้างวัดไทยในต่างประเทศนอกจากเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว  ยังเปรียบได้กับการมีโชว์รูมสถาปัตยกรรมไทยไปแสดงยังประเทศนั้นๆ เพื่อแสดงให้ชาวต่างชาติได้เห็นความงดงามของสถาปัตยกรรมไทยด้วย” พระราชรัตนรังษี กล่าวถึงข้อดีในการสร้างวัดไทยในต่างประเทศ

ทีมข่าวศาสนา ซึ่งมีโอกาสติดตามคณะสงฆ์จากประ-เทศไทยไปร่วมพิธีผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิตอุโบสถ วัดเหม-อัศวาราม ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เห็นด้วยว่า การสร้าง วัดไทยบนผืนแผ่นดินจีน เท่ากับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท เพราะนับตั้งแต่พระพุทธศาสนาเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว วัดเหมอัศวาราม นับเป็นวัดแรกของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ที่สามารถเข้าไปดำเนินการก่อสร้างได้อย่างเป็นรูปธรรม

และนั่นย่อมถือเป็นนิมิตหมายอันดีของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะเราเชื่อว่าการที่คณะสงฆ์ไทยสามารถไปสร้างวัดยังประเทศต่างๆได้นั้น ก็เท่ากับเป็นการได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังประเทศนั้นๆ ด้วย ซึ่งหากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาและเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศแล้ว

ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ที่จะตามมาก็คือ ความมั่นคงและยั่งยืนของพระพุทธศาสนานั่นเอง.



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/edu/282110
20266  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ต้องมนต์อีสาน ถิ่นแห่ง.."ตำนานและความศรัทธา" เมื่อ: สิงหาคม 08, 2012, 08:57:28 pm



ต้องมนต์อีสาน ถิ่นแห่ง.."ตำนานและความศรัทธา"

พาลัดเลาะเที่ยวภาคอีสานช่วงหน้าฝน ยลเสน่ห์เมืองแห่งธรรมะ และธรรมชาติ กราบไหว้สิ่งศักสิทธิ์เสริมสิริมงคล

หน้าฝนเป็นฤดูกาลที่การท่องเที่ยวในหลายจุดของประเทศมีนักท่องเที่ยวไปเยือนน้อยลง เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน และการเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาไปเยือนแดนอีสานที่มีความงามน่าค้นหาทุกฤดู กับ โครงการ“เที่ยวหน้าฝน  ยลธรรมะ และธรรมชาติ ” ที่จะทำให้ทุกคนหลงมนต์เสน่ห์ภาคอีสานจนถอนตัวไม่ขึ้น

การเดินทางตาม โครงการ“เที่ยวหน้าฝน  ยลธรรมะ และธรรมชาติ ” ตอน พลังศรัทธา สู่บูรพาจารย์แดนอีสาน จัดขึ้นโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมกับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ( มหาชน ) นิตยสาร PHOTOTECH และ TRAVEL LINE ซึ่งเป็นการทำให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของภาคอีสาน ที่ไม่ว่าฤดูกาลใดก็สามารถเดินทางมายลความงาม พร้อมรับรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ต่างๆได้อย่างเต็มที่



รูปปั้นหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ที่วัดป่าบ้านตาด


สถานที่แรกที่อยากแนะนำให้รู้จักคือ วัดป่าบ้านตาด ตั้งอยู่ที่บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี วัดชื่อดังของภาคอีสานที่เคยเป็นวัดที่จำพรรษาของ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ก่อนจะละสังขารไปด้วยวัย 98 ปี ทุกวันนี้วัดป่าบ้านตาด ยังคงมีบรรดาลูกศิษย์ที่เคารพและศรัทธา หลวงตามหาบัว เดินทางมากราบไหว้สักการะเถ้ากระดูก และผ่อนคลายจิตใจด้วยความสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา เพราะทางวัดได้จัดทำหุ่นขี้ผึ้งหลวงตาบัว




วัดป่าบ้านตาด


รวมถึงจัดบอร์ดนิทรรศการบอกเล่าประวัติ และเรื่องราวของหลวงตาบัว ไว้เตือนใจให้นักท่องเที่ยว รวมถึงเหล่าลูกศิษย์ทุกคนได้รับรู้และสำนึกในคำสอนของหลวงตาเมื่อเดินทางมาที่วัด พร้อมนำไปเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตในทางที่ดี นับเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่ใครมาเยือนอีสานแล้วต้องการทำบุญพร้อมปล่อยใจให้สงบควรแวะเวียนเข้ามา


รูปหล่อเหมือนเท่าตัวจริงของพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าสุทธาวาส



จากนั้นมาต่อกันที่ วัดป่าสุทธาวาส ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.สกลนคร เป็นวัดที่เคยเป็นที่จำพรรษาและเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ประดิษฐานรูปหล่อเหมือนเท่าตัวจริงของพระอาจารย์มั่น อีกทั้งยังจัดแสดงเครื่องอัฐบริขาร และอังคารธาตุ พร้อมทั้งประวัติความเป็นมาของท่านตั้งแต่เกิดจนมรณภาพ ในตู้จัดแสดงด้านข้างให้ผู้มาเยือนได้ซึมซับ และรับรู้ประวัติเรื่องราวของพระอาจารย์มั่น




วัดป่าสุทธาวาส


พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ วัดป่าสุทธาวาส

ลานจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้ ที่ วัดป่าสุทธาวาส



ภายในวัดยังมีเจดีย์บรรจุอัฐิหลวงปู่หลุย ซึ่งเป็นสถานที่ศักสิทธิ์ที่ชาวสกลนคร รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เคารพศรัทธา ต่างเดินทางเข้ามากราบไหว้เสริมสิริมงคลอยู่เป็นประจำ อีกทั้งยังมีบอร์ดนิทรรศการใต้ร่มไม้เกี่ยวกับประวัติของพระอาจารย์มั่น และความเป็นมาของวัดป่าสุทธาวาส ไว้เป็นแหล่งความรู้ให้ผู้มาเยือนอีกด้วย


วัดศาลาลอย


อีกหนึ่งสถานที่ที่ขาดไม่ได้ต้องยกให้ วัดศาลาลอย  ตั้งอยู่ที่ ต.โพธิ์กลาง จ.นครราชสีมา เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นวัดที่ท้าวสุรนารีหรือย่าโม พร้อมด้วยเจ้าพระยามหิศราธิบดีสวามี สร้างขึ้นหลังจากชนะข้าศึกจากทุ่งสัมฤทธิ์ โดยย่าโมได้สั่งให้ทหารทำแพเสี่ยงทายเป็นรูปศาลาเพื่อนำไปลอยน้ำตามลำตะคอง

พร้อมกับอธิษฐานว่า หากกระแสน้ำพัดพาแพลอยไปติดอยู่ที่ใดก็จะสร้างวัดตรงที่แห่งนั้นไว้เป็นอนุสรณ์  จึงได้สร้างวัดศาลาลอยขึ้นในตำแหน่งที่ตั้งปัจจุบัน ซึ่งทุกวันนี้ภายในบริเวณวัดมีสิ่งศักสิทธิ์ต่างๆให้ผู้มาเยือนกราบไหว้สักการะมากมาย และยังมีการละเล่นพื้นเมืองอย่างการร้องเพลงโคราชสำหรับแก้บน เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่สะดุดตาผู้ที่ผ่านไปผ่านมาทุกคนอีกด้วย




วัดศาลาลอย

พระพุทธประพัฒน์สุนทรธรรมพิศาล ศาลาลอยพิมาลวรสันติสุขมุนินทร์+รูปปั้นคุณย่าโมนั่งพนมมือ


โดยวัดศาลาลอยมีความโดดเด่นสะดุดตาคือรูปทรงของพระอุโบสถ เป็นศิลปะแบบประยุกต์รูปเรือสำเภาโต้คลื่น สร้างจากกระเบื้องดินเผาด่านเกวียน และได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นแนวบุกเบิกอาคารทางศาสนา จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ นอกจากสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นแล้ว

ภายในพระอุโบสถยังมีพระประธานปูนปั้นสีขาวปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปยืนประทับ ณ ประตูเมืองสังกัสนครโดยมีสมเด็จพระสังฆราชได้ทรงถวายพระนามว่า "พระพุทธประพัฒน์สุนทรธรรมพิศาล ศาลาลอยพิมาลวรสันติสุขมุนินทร์"



เพลงโคราชการละเล่นโบราณ



และศาลากลางสระน้ำที่อยู่ใกล้กันประดิษฐานรูปปั้นคุณย่าโมนั่งพนมมือ ซึ่งด้านข้างเป็นอนุสรณ์สถานเจดีย์บรรจุอัฐิท้าวสุรนารี ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามากราบไหว้สักการะ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่การเดินทางสู่ภาคอีสาน เพราะโคราชเปรียบเสมือนประตูสู่ภาคอีสาน


พระมหาธาตุเจดีย์ วัดพุทธนิมิตร(วัดภูค่าว)



ปิดท้ายการเดินทางด้วย วัดพุทธนิมิต ( วัดภูค่าว ) ตั้งอยู่ใน ต.สหัสขันธ์ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เป็นวัดที่มีความร่วมรื่นเป็นอย่างมาก ภายในบริเวณวัดจะปกคลุมไปด้วยร่มไม้และมีนกยูงอาศัยอยู่หลายสิบตัว มีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้สักการะสิ่งศักสิทธิ์อยู่หลายจุดด้วยกัน แนะนำว่าควรมีเวลามากพอสมควรสำหรับการเดินทอดน่องชมความงามของสถาปัตยกรรม และสักการสิ่งศักสิทธิ์ภายในวัดให้ครบทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็น พระมหาธาตุเจดีย์ ที่สร้างอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เพื่อใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และประดิษฐานพระพุทธนิมิตเหล็กไหล ทั้งองค์มีเนื้อสีดำ หรือศาลาที่เป็นที่เก็บพระเครื่อง ซึ่งเป็นพระเครื่องชั้นยอด โดยมีการติดพระเครื่องไว้รายรอบทั้งดาดฟ้าเพดาน



พุทธไสยาสน์นอนตะแคงซ้าย ที่ วัดพุทธนิมิตร(วัดภูค่าว)


พระมหาธาตุเจดีย์ ที่ วัดพุทธนิมิตร(วัดภูค่าว)


ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และประดิษฐานพระพุทธนิมิตเหล็กไหล


พระพุทธรูปภายในวัดพุทธนิมิตร(วัดภูค่าว)


และไฮไลท์สำคัญของวัดอีกอย่างคือ พุทธไสยาสน์นอนตะแคงซ้าย ซึ่งเป็นการสลักหินที่อยู่ในหน้าผาไม่สูงชันนัก เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ที่วัดพุทธนิมิตยังมีสิ่งศักสิทธิ์อีกมากมายรอให้ผู้คนเข้ามากราบไหว้พร้อมสงบจิตใจ

"การเดินทางมาเยือนถิ่นอีสานครั้งนี้ ทำให้ผมรู้ว่าการพักผ่อนทั้งทางจิตใจและร่างกายไปพร้อมๆกัน จะช่วยเสริมพลังงานให้เราหายทั้งความเหนื่อยกายและความไม่สบายใจไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะบางครั้งไม่จำเป็นต้องเที่ยวให้โลดโผนหรือพักผ่อนสถานที่หรูหรา แต่การเดินทางมาพบเรื่องราวประสบการณ์ใหม่ๆ พร้อมเปิดใจรับเรื่องราวเหล่านั้นอย่างเต็มที่ ก็ก่อให้เกิดความสุขและความสบายใจได้เช่นกัน"



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/article/821/148287
20267  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 4 ทักษะ..ชนะ 'เครียด' เมื่อ: สิงหาคม 08, 2012, 08:20:36 pm



4 ทักษะ..ชนะ 'เครียด'

ปวดเมื่อยไม่รู้สาเหตุ อาจเกิดจากเครียดสะสม! ฟังจิตแพทย์แนะหลักพิชิตเครียดด้วยตนเอง


ท่ามกลางการดำเนินชีวิตในสังคมที่ค่อนข้างเร่งรีบ แข่งขัน ทำงานหนัก ตลอดจนชีวิตส่วนตัว ครอบครัว เพื่อน คนรัก ฯลฯ ล้วนมีโอกาสสะดุด เกิดปัญหา และชักนำ “ความเครียด” ให้เกิดขึ้นได้ง่าย หากไม่หาวิธีกำจัด ปล่อยให้สะสม นอกจากสุขภาพจิตจะแย่แล้ว ยังส่งผลเสียต่อร่างกายได้ด้วย ดังนั้น ชิงควบคุมความเครียดก่อนดีกว่า อย่ายอมให้ “ศัตรูทำลายความสุข” มาควบคุมเรา!

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผศ.พญ.วินิทรา นวลละออ จิตแพทย์ และผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้บอกเล่าถึงแง่มุมของความเครียด ว่า อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องไม่คุ้นเคยเข้ามากระทบตัวเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องร้ายแรง บางทีอาจจะเป็นเรื่องดี ๆ ด้วยซ้ำ เช่น ถูกหวย แต่งงาน มีแฟน หรือ เรื่องแย่ ๆ เช่น ไม่มีสตางค์ ใกล้สอบ พอมากระทบแต่เป็นสิ่งที่เราไม่ได้เจอในทุกวัน เรียกว่า ความเครียดได้หมด

ซึ่งมีทั้งความเครียดดี ๆ ที่เรียกว่า ยูสเตรส (Eustress) เป็นความเครียดที่ทำให้สร้างสรรค์ เช่น ก่อนสอบเครียดมาก แต่เราจะรีบอ่านหนังสือ นั่นเป็นความเครียดที่ดีทำให้เตรียมพร้อม ส่วนความเครียดไม่ดี หรือ ดิสเทรส (Distress) ทำให้เสียสุขภาพ บั่นทอนจิตใจ เช่น อกหักแล้วเครียด ไม่มีใครเข้าใจเรา หรือ ดูข่าวสะเทือนใจแล้วรู้สึกสังคมแย่จังเลย ก็เครียดได้เหมือนกัน

สำหรับผลต่อร่างกายเวลาเครียดมาก ๆ นั้น ผศ.พญ.วินิทรา อธิบายว่า
     บางคนจะเริ่มปวดหัว บางคนปวดท้อง บางคนปวดเมื่อยตามตัว   
     เพราะฉะนั้น จะมีผู้ที่มาหาหมอบ่อย ๆ ด้วยอาการปวดเมื่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ ตกเย็นกลับบ้านเมื่อยทั้งตัว แต่เสาร์-อาทิตย์หายดี หรือ ปวดหัวโดยไม่มีสาเหตุ ไปที่ทำงานทีไรปวดหัวตลอด บางคนก็เป็นโรคกระเพาะ


   ส่วนผลกระทบเกี่ยวกับจิตใจ
   โดยส่วนใหญ่มักจะนอนไม่หลับ บางคนรู้สึกตื่นเต้นง่าย มีเรื่องอะไรกระทบนิดนึงหัวใจเต้นแรง
   เหงื่อแตก หน้าซีด บางคนจะหงุดหงิดง่ายขึ้น
   จากเดิมเรื่องนี้ไม่เคยรู้สึกอะไร แต่พอเครียด แล้วมีคนมาพูดกระทบนิดนึงจะโมโห ตวาดออกไป
   ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ซึ่งเป็นผลหลัก ๆ จากความเครียด


ใครที่มักตกอยู่ในภาวะเครียด ผศ.พญ.วินิทรา ได้แนะนำทักษะน่าสนใจไว้ฝึกใช้คลายเครียด โดยในระยะสั้น ควรออกมาจากสถานการณ์ที่รู้ว่าทำให้เครียด เช่น เครียดเรื่องทะเลาะกับเพื่อน วิธีที่ดีคืออาจจะต้องพักก่อน ถอยออกมาจากสถานการณ์นั้น ยืนเถียงกันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์

   ขณะที่ วิธีแก้ระยะยาว ต้องรู้ตัวก่อนว่าเรามักเครียดเรื่องอะไร ซึ่งแต่ละคนจะมีเรื่องประจำ ถ้าสังเกตดี ๆ จะมีแพทเทิร์นซ้ำ ๆ กันมาตั้งแต่เด็ก เช่น เรื่องนี้ทีไรเราเครียดทุกที คนอื่นไม่เครียด ถ้าเกิดหาแพทเทิร์นนี้เจอ แล้วมาดูว่าเราป้องกันอะไรได้บ้างก็จะช่วยได้ ซึ่งวิธีป้องกันแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

   วิธีมาตรฐานทั่วไปเลย คือ การออกกำลังกาย เล่นโยคะ รวมถึงการนั่งสมาธิ ซึ่งมีงานวิจัยรองรับมาแล้วว่าปฏิบัติประจำช่วยป้องกันความเครียด ช่วยให้หายเร็วขึ้น หรือ ความเครียดส่งผลกับเราน้อยลง


และอีกเทคนิคหนึ่ง คือ ทำความเข้าใจว่าความเครียดแต่ละอย่างธรรมชาติมาไม่เหมือนกัน และหลายอย่างมักเกิดจากปัจจัยตัวเรา ยกตัวอย่าง คุยกับเพื่อนทีไรแล้วเครียด ทะเลาะกับเพื่อนตลอด ปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเพื่อน เพราะกับคนอื่นเขาไม่เห็นทะเลาะ ทำไมทะเลาะกับเราคนเดียว หรือ แฟนพออยู่กับคนอื่นก็ดีหมด แต่อยู่กับเราทะเลาะกันตลอด อาจจะต้องมาดูว่าปัจจัยเกิดจากตัวเราหรือไม่ แล้วปรับที่ตัวเรา ซึ่งตรงนี้เป็นขั้นบุคลิกภาพแล้ว ต้องปรับระยะยาว เป็นต้น

เข้าใจ และรับมืออย่างถูกต้อง เราเองก็เป็นฝ่ายชนะความเครียดได้ ทั้งยังส่งผลดีต่อคนรอบข้างด้วย.



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/article/15176/148127
20268  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวพุทธแห่กราบ 'หลวงพ่อเพชร' พระอุระแตก แน่นวัด เมื่อ: สิงหาคม 08, 2012, 11:46:40 am



ชาวพุทธแห่กราบ 'หลวงพ่อเพชร' พระอุระแตก แน่นวัด

ประชาชนแห่กราบไหว้ "หลวงพ่อเพชร" พระประธานอายุกว่า 200 ปี จนแน่นวัดบ้านแก่ง จ.อุตรดิตถ์ หลังพระอุระแตกเห็นเศียรและใบหน้าพระอีกองค์อย่างชัดเจน ระบุอาจเป็นพระทองคำแท้ตามความเชื่อของคนโบราณ...





เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2555 ภายหลัง หลวงพ่อเพชร พระประธานสมัยอยุธยา ซึ่งทำด้วยศิลา สร้างในปี 2493 ขนาดหน้าตัก 3.80 เมตร ฐานพื้นด้านล่างองค์พระกว้าง 5 เมตร สูง 4.50 เมตร ประดิษฐานภายในอุโบสถวัดบ้านแก่งใต้ หมู่ 3 ต.บ้านแก่ง อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ เกิดรอยแตกบริเวณหน้าพระอุระ จนสามารถมองเห็นใบหน้าและเศียรพระพุทธรูปอีกองค์ที่อยู่ด้านในอย่างชัดเจน

ทำให้ประชาชนต่างหลั่งไหลมากราบไหว้จนแน่นขนัด พร้อมทั้งมีการนำดอกไม้ธูปเทียนและแผ่นทองคำเปลว มาปิดใบหน้าและเศียรพระที่โผล่มาจากด้านใน โดยคณะกรรมการวัดได้นำหลอดไฟนีออนมาประดับตกแต่งองค์พระ พร้อมจัดดอกไม้ธูปเทียนแพ และจัดทำรูปพระหลวงพ่อเพชรมาให้พุทธศาสนิกชนเช่าบูชาด้วย






พระครูปัญญา วัชรกิจ เจ้าอาวาสวัดบ้านแก่งใต้ กล่าวว่า ได้เรียกคณะศรัทธาของวัดและคณะกรรมการวัดมาประชุมร่วมกัน เพื่อการดำเนินการต่อองค์หลวงพ่อเพชร ที่อยู่ข้างในองค์พระใหญ่ ซึ่งในที่ประชุมได้ตกลงกันว่า จะให้องค์หลวงพ่อเพชรอยู่ในสภาพเดิมเช่นนี้ ซึ่งจะไม่มีการกระเทาะปูนเพิ่มเติม หรือทุบพระองค์ใหญ่ออกแต่อย่างใด ส่วนรายได้จากการร่วมทำบุญทั้งหมดจะนำมาบูรณะศาสนสถานของวัดต่อไป


ขณะที่ นายเกรียงไกร กิจประเสริฐ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านแก่ง เปิดเผยว่า พระพุทธรูปองค์ดังกล่าว อายุเกือบ 200 ปี เป็นพระสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับการบอกเล่าจากคนเฒ่าคนแก่ว่า
    องค์พระด้านในเป็นพระทองคำแท้ ที่คนสมัยโบราณกลัวข้าศึกที่จะเข้าตีกรุงศรีอยุธยามาเห็นพระพุทธรูป
    จึงได้นำศิลาแลงมาโบกปิดทับไว้หลายชั้น จนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้น
    และตนในฐานะกรรมการวัดได้ประชุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดว่าจะเปิดให้ประชาชนกราบไหว้ประมาณ 3 เดือนในช่วงเข้าพรรษา จากนั้นจะปิดอุโบสถ.



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/region/281917
20269  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา.! วัดกรุงเก่าสร้าง 'ศาลาลอยน้ำ' ปฎิบัติธรรมช่วงน้ำท่วม เมื่อ: สิงหาคม 07, 2012, 08:17:13 pm



ฮือฮา.! วัดกรุงเก่าสร้าง 'ศาลาลอยน้ำ' ปฎิบัติธรรมช่วงน้ำท่วม

ฮือฮาวัดดังกรุงเก่าสร้างศาลาปฎิบัติธรรมหลังใหญ่จุ 50 คนลอยน้ำได้ พร้อมสร้างเรือขนาดใหญ่รับมือน้ำท่วม

วันนี้ ( 7 ส.ค. ) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดโตนด หมู่ 5 ต.บางนางร้า อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา หลังรับแจ้งจากประชาชนว่าที่วัดแห่งนี้มีการสร้างศาลาปฎิบัติธรรมที่สามารถลอยน้ำได้ และยังสร้างเรือขนาดใหญ่เอาไว้ เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำท่วม

    โดยพบว่าศาลาดังกล่าวสร้างขึ้นด้วยโครงเหล็กเบา ลักษณะเป็นทรงไทย
    กว้างประมาณ 3 เมตร ยาว 5 เมตร มีหลังคาสูงแบบทรงไทย
    กั้นผนังด้วยแผ่นสังกะสีอย่างดีทาสีเหลือง มีช่องประตู และหน้าต่าง   
    ส่วนพื้นเป็นไม้ธรรมดา รอบๆยังมีระเบียงสามารถเดินได้รอบ และมีห้องน้ำ 1 ห้องด้วย
    ที่แตกต่างจากศาลาทั่วไปคือด้านล่างหนุนด้วยโป๊ะต่อกัน 8 ลูก เพื่อพยุงเวลาลอยน้ำ





   
    พระครูอุปจิต บุศศวัฒ์ อายุ  65 ปี เจ้าอาวาสวัดโตนด  กล่าวว่า
    ศาลานี้สร้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนและญาติโยมมาปฎิบัติธรรมในวันพระ และเห็นว่าเมื่อปีที่ผ่านมา เกิดอุทกภัยใหญ่ วัดถูกน้ำท่วมหนัก จึงถือโอกาสนี้สร้างศาลาลอยน้ำได้ ด้วยการทำโป๊ะหนุนเอาไว้ด้านล่าง


    เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมอีกครั้ง ศาลานี้จะลอยน้ำได้รวมทั้งเป็นที่พักพิงของประชาชนได้ด้วย 
    สามารถจุคนได้ 50 คน พื้นด้านล่าง แบ่งช่องเอาไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ 
    ใช้เงินลงทุนไป 3 แสนกว่าบาท และอยู่ระหว่างการเตรียมสร้างอีก 1 หลัง


    นอกจากนี้ยังได้สร้างเรือเหล็กขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 4 เมตร กว้าง 2 เมตร ไว้ด้วย 1 ลำ
    เพื่อใช้บรรทุกประชาชนหากเกิดน้ำท่วมในอนาคต



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/thailand/148202
20270  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วันแม่อย่าลืมดู "ดาวเคียงเดือน-ฝนดาวตก" เมื่อ: สิงหาคม 07, 2012, 08:07:47 pm



วันแม่อย่าลืมดู "ดาวเคียงเดือน-ฝนดาวตก"

ชวนดูดาวเคียงเดือน ดาวพฤหัสบดีเคียงดวงจันทร์-ฝนดาวตก รับวันแม่ 12 ส.ค. หากพลาดต้องรออีก 114 ปี หลังเคยยลกันแล้วเมื่อ22ปีก่อน

วันนี้ (7 ส.ค.) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  แจ้งว่า ในวันแม่แห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 12 ส.ค.ของทุกปี
    จะมีปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าสนใจชวนติดตามเป็นประจำทุกปี
    โดยในช่วงเช้าของวันแม่แห่งชาติ จะมีปรากฎการณ์ดาวเคียงเดือน
    สังเกตเห็นดาวพฤหัสบดีเคียงข้างดวงจันทร์อยู่ทางเหนือของดวงจันทร์ประมาณ 0.11 องศา


   นอกจากนี้ยังมีฝนดาวตกเปอร์เซอิดส์ (Perseids Meteor Shower)   
   หากท้องฟ้าเปิด จะสังเกตฝนดาวตกเปอร์เซอิดส์ได้อย่างชัดเจน   
   ในช่วงหลังเที่ยงคืนวันที่ 12 ถึงรุ่งเช้าวันที่ 13 ส.ค.
   เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีแสงจันทร์รบกวนจน มีจุดศูนย์กลางการกระจายอยู่ทางทิศเหนือ บริเวณกลุ่มดาวค้างคาว(Cassiopeia) และกลุ่มดาวเปอร์เซอิดส์ (Perseids) ฝนดาวตกเปอร์เซอิดส์เป็นฝนดาวตกที่มีความสว่างเป็นอันดับสองรองจากฝนดาวตกลีโอนิดส์และในปีนี้คาดการณ์ว่า จะมีปริมาณฝนดาวตกมากกว่า 100 ดวง ต่อชั่วโมง





ทั้งนี้ฝนดาวตกเปอร์เซอิดส์  เกิดจากเศษฝุ่นของดาวหาง 109P/Swift-Tuttle ที่ทิ้งไว้เมื่อ 20 ปีก่อน และเมื่อโลกโคจรผ่านบริเวณที่มีเศษฝุ่นเหล่านั้น จะสังเกตเห็นฝุ่นของดาวหางลุกไหม้ในชั้นบรรยากาศโลกเป็นแสงสว่างวาบ และถึงแม้ว่าเศษฝุ่นของดาวหาง 109P/Swift-Tuttle จะถูกทิ้งไว้เป็น 20  ปีแล้ว แต่เศษฝุ่นของดาวหางเหล่านี้ก็ยังทำให้ชาวโลกได้สัมผัสความสวยงามของฝนดาวตกวันแม่เป็นประจำทุกปี ทั้งนี้ ดาวหาง 109P/Swift-Tuttle เคยมาเยือนโลกครั้งล่าสุดเมื่อปี 2533 และจะโคจรมาเยือนโลกครั้งต่อไปต่อไปในปี 2669
 

    อย่างไรก็ตามช่วงเดือนส.ค. พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยเป็นช่วงกลางฤดูฝน
    ทำให้สภาพท้องฟ้าไม่เอื้ออำนวยต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์เท่าใด
    ยกเว้นในภาคใต้ตอนล่างที่เป็นช่วงฝนค่อนข้างน้อย 
    จึงเป็นโอกาสของคนในพื้นที่ภาคใต้ที่จะได้ชื่นชมความสวยงามของท้องฟ้าในเดือนสิงหาคมได้ดีกว่าภูมิภาคอื่น.



ขอบคุณภาพข่าวจาก  http://www.dailynews.co.th/technology/148234
20271  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “คู่ต่างขั้ว” แต่ทำไมรักยืดยาว.? เมื่อ: สิงหาคม 07, 2012, 11:58:35 am



“คู่ต่างขั้ว” แต่ทำไมรักยืดยาว.?

ว่ากันว่า “คู่รัก” ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกเรื่อง แล้วอะไรทำให้ 2 คนนิสัยต่าง สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ยืดยาว?

อาจารย์หยกฟ้า อิศรานนท์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มีงานวิจัยต่างประเทศได้มีการทำสำรวจ จากสถิติการหย่าซึ่งเพิ่มมากขึ้น โดยเปรียบเทียบว่าแต่งงานวัยไหนหย่าเร็วกว่ากัน ก็พบว่า

    คนที่แต่งงานก่อนอายุ 20 มีเปอร์เซ็นต์ที่จะหย่าสูงกว่าคนที่แต่งงานหลังจากอายุ 20
    ซึ่งก็เป็นไปได้ในด้านของประสบการณ์ชีวิตที่ตอนเด็ก ๆ อาจจะเจอคนไม่เยอะ
    มีประสบการณ์ชีวิตไม่มาก ทำให้การตัดสินใจผิดพลาดไป
    แต่เมื่อรออีกสักพักหนึ่ง เจอประสบการณ์ เจอคนมากขึ้น
    ลองผิดลองถูก เห็นประสบการณ์จากคนอื่น ๆ เกิดการเรียนรู้
    บางทีก็ช่วยให้ค่อย ๆ ตัดสินใจได้ดีขึ้น


    สำหรับคู่รักที่อยู่ด้วยกันไปได้ยาว ๆ มักจะมีความเหมือน หรือ ความสอดคล้องกันในอะไรบางอย่างตรงกลาง
    จะเห็นว่าหลาย ๆ คู่ที่นิสัยไม่เหมือนกัน แต่ทำไมอยู่กันได้ยาว
    กระทั่งเป็นคุณตาคุณยาย คุณตาอารมณ์ร้อนมาก คุณยายใจเย็นมาก
    ความคิดก็ไม่เหมือนกัน แต่เขามีบางอย่างที่เหมือนกัน

    อาจารย์หยกฟ้า กล่าวว่า
    คู่รักที่จะอยู่ด้วยกันได้ยาว ๆ ถึงแม้จะมีความแตกต่าง แต่ควรจะมีความเหมือนกันตรงกลาง
    ความเหมือนกันตรงนี้อาจจะเป็นค่านิยม หรือ อะไรบางอย่างที่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าเป็นค่านิยมหลักสำคัญของชีวิต
    สมมติค่านิยมเรื่องการใช้ชีวิตแบบหัวโบราณ ถ้าคนหนึ่งหัวโบราณมาก ๆ
    อีกคนหนึ่งหัวเสรีมาก ๆ หัวนอกมาก ๆ อยู่ด้วยกันไปก็อาจจะอยู่ด้วยกันไม่ยืด
    ถ้าอันนี้คือสิ่งที่ทั้งคู่รู้สึกว่าเป็นหลักสำคัญของชีวิต

    “แต่หากเรื่องดังกล่าว ไม่ใช่สิ่งสำคัญของชีวิต เขาก็อยู่ได้ ถ้าสิ่งสำคัญของชีวิตคือเรื่องอื่น ซึ่งเป็นแกนกลาง และกาวใจยึดให้อยู่ด้วยกันได้ เช่น มีทัศนะคติเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนกัน หรือ รักโลกเหมือนกัน เป็นต้น”

   เป็น “รักลงตัว” รูปแบบหนึ่ง ของใครหลาย ๆ คน.



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/article/15176/148065
20272  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อะเมซิ่ง! 'พระประธานท้องแตก' พบเศียรพระผุดกลางท้อง เมื่อ: สิงหาคม 07, 2012, 11:31:06 am



อะเมซิ่ง! 'พระประธานท้องแตก' พบเศียรพระผุดกลางท้อง


อะเมซิ่ง ชาวบ้านแก่ง อุตรดิตถ์ แตกตื่นแห่กราบไหว้ "พระประธานท้องแตก" พบตรงกลางท้องมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สร้างด้วยหินศิลาแลงปรากฏอยู่...

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 6 ส.ค. 2555 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก นายวีระกิตติ์ อินทรประสิทธิ นายอำเภอตรอน จ.อุตรดิตถ์ ว่า มีชาวบ้านจำนวนมากแห่ไปดูและกราบไหว้พระประธานท้องแตก ที่บริเวณวัดบ้านแก่งใต้ ซึ่งข้างในท้องพระประธานที่แตกออก กลับพบว่ามีเศียรพระผุดอยู่ตรงกลาง

หลังจากรับแจ้งผู้สื่อข่าวจึงรีบเดินทางไปยังที่วัดบ้านแก่งใต้ หมู่ 3 ต.บ้านแก่ง อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ พบว่ามีชาวบ้าน ส่วนใหญ่อยู่ในเขตเทศบาลตำบลบ้านแก่งและใกล้เคียงหลายสิบคน กำลังเดินนำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปในอุโบสถที่กำลังก่อสร้างและปรับปรุงอยู่





เมื่อเข้าไปภายในอุโบสถพบว่า บริเวณด้านในมีพระประธาน ตั้งสูงสง่าอยู่ ชื่อ พระหลวงพ่อเพชรปางขัดสมาธิเพชร หน้าตักกว้าง 5 เมตร สูง 6 เมตร และมีชาวบ้านพากันกราบไหว้ แถมบางคนยังใช้โทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายรูปบันทึกภาพพระประธานดังกล่าวด้วย

จากการสังเกตของผู้สื่อข่าวพบว่า เป็นพระประธานที่ใช้ปูนปั้นทั้งองค์ มีการทาสีเหลืองเพื่อตกแต่งให้ดูสวยงามเฉพาะที่บริเวณหน้าท้องพระประธาน ยังพบร่องรอยของการกระเทาะปูนหลุดแตกออกจากกัน จนทำให้มองเห็นเป็นใบหน้าของพระพุทธรูปศิลาแลงทรงเครื่อง ซึ่งมีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยโผล่อยู่กลางท้องของพระประธาน

จากการเปิดเผยของ พระครูปัญญา วัชระกิจ เจ้าอาวาสวัดบ้านแก่งใต้ ทราบว่า เดิมทีอุโบสถวัดแห่งนี้ สร้างครั้งแรกประมาณ 60 ปีมาแล้ว เป็นทรงครึ่งไม้ครึ่งปูน แต่เกิดการชำรุดทรุดโทรมลงตามกาลเวลา ทางวัดจึงได้ว่าจ้างให้คณะช่างจาก จ.พิจิตร เข้ามาก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นแทนหลังเดิมที่ชำรุด และยังทำการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระประธานหลวงพ่อเพชร ที่ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถพร้อมๆ กัน


โดยใช้เวลาในการก่อสร้างมาถึง 4 ปี แต่ก็ยังไม่เสร็จดี วันนี้ คณะช่างจาก จ.พิจิตร ได้เข้ามาทำงานตามปกติ   
    ขณะที่กำลังทำการซ่อมแซมองค์พระประธานอยู่
    ก็พบว่ามีปูนจำนวนมากหลุดร่วงออกจากบริเวณท้องของพระประธาน
    ช่างจึงสังเกตเห็นว่า บริเวณที่ปูนหลุดออกมานั้นมีเศียรพระซ่อนอยู่ข้างใน
    จึงรีบวิ่งมาบอก ตนจึงได้รีบไปดู และบอกคณะกรรมการวัด
    จากนั้นชาวบ้านที่ทราบข่าวจึงมาดู กราบไหว้ และบอกเล่าต่อๆ กันไป






ด้านนายพิเชษฐ์ จันทร์บุญศรี กรรมการวัดบ้านแก่งใต้ เล่าว่า วัดบ้านแก่งใต้ สร้างเมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏ ทราบเพียงแต่ว่าเมื่อปี พ.ศ.2494-2499 พระยาพิชัยดาบหักเคยมาฝึกมวยกับครูเที่ยงที่วัดบ้านแก่งใต้แห่งนี้ ที่ผ่านมาตนเคยได้รับยิน ได้รับฟังมาจากผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ในองค์พระประธานดังกล่าว จะมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ สร้างด้วยหินศิลาแลง ซ่อนไว้อยู่ภายใน มีการบรรจุของมีค่าเอาไว้

ที่เห็นปัจจุบันนี้คนเฒ่าคนแก่ใช้ปูนสร้างปิดทับองค์จริงเอาไว้ คาดว่าสร้างสมัยช่วงกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ที่พม่ายกทัพเข้ามาตีและยึดเมือง ชาวบ้านสมัยก่อนจึงช่วยกันสร้างพระปูนองค์ใหม่ที่มีรูปโฉมลักษณไม่สวยงามปิดบังไว้ ไม่ให้พม่าเห็นองค์จริง เพื่อป้องกันการลักขโมย หรือทำลายทิ้ง

ทั้งนี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้ยินแต่คำบอกเล่า เกิดความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และเมื่อมาพบเห็นของจริงวันนี้ จึงเชื่อว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าผู้แก่พูดสืบทอดต่อกันมากว่า 200 ปีนั้น เป็นเรื่องจริง ชาวบ้านส่วนใหญ่เชื่อกันว่าพระท่านสร้างปาฏิหาริย์ ให้ชาวบ้านทั่วไปได้เห็นว่ามีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ศิลาแลงทรงเครื่องอยู่ด้านในจริงๆ

   พระครูปัญญา กล่าวทิ้งท้ายว่า เดิมทีจะเปิดโอกาสให้ญาติโยมได้สักการะกราบไหว้บูชา
   ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 9 ส.ค.นี้
   จากนั้นจะให้ช่างที่บูรณะ โบกปูนปิดทับองค์พระศิลาแลงทรงเครื่องไว้เหมือนเดิม

สำหรับในวันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.) อาตมากับนายอำเภอตรอน จะได้พูดคุยกันและจะได้เชิญคณะกรรมการวัดอีกหลายๆ คน มาปรึกษากันว่าจะทำแบบไหน นอกจากนั้น ได้เตรียมทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าคณะตำบลบ้านแก่ง และเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ให้รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไป.


 
ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/region/281659
20273  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา กูเกิลเปิดสำนักงานใหม่ในกรุงลอนดอน "ตระการตางานสร้างสรรค์" (ชมภาพ) เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 08:02:14 pm


ฮือฮา กูเกิลเปิดสำนักงานใหม่ในกรุงลอนดอน
"ตระการตางานสร้างสรรค์"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ว่า กูเกิลได้เปิดสำนักงานใหม่ในกรุงลอนดอน โดยตึกใหม่นี้ถูกสร้างด้วยไอเดียสร้างสรรค์ไม่แพ้ตึกกูเกิลในสหรัฐ โดยประกอบด้วยห้องเต้น โรงยิม สถานที่นวด สวนลับ และห้องผ่อนคลายจำนวนหลายห้อง

รายงานระบุว่า สำนักงานกูเกิลแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ 160,000 ตร.ฟุต โดยผู้ออกแบบภายในได้รับอนุญาตให้สร้างพื้นที่ทำงานที่มีเอกลักษณ์และกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากทำงาน ซึ่งเต็มไปด้วยการลงสีอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากนี้ ผู้บริหารกูเกิลยังให้ผุู้ออกแบบจัดสรรพื้นที่ปลูกต้นไม้ ในพื้นที่พิเศษชื่อว่า"Bikedry"







นอกจากนี้ สำนักงานแห่งนี้ ยังมีห้องที่มีเอกลักษณ์สร้างสรรค์อื่น ๆ เช่น ห้อง"กูเกิล กรีน" และ"แกรนนี่ แฟลต"ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ และเก้าอี้หมุนได้ หรือแม้แต่พื้นที่ทำงาน ห้องประชุม ก็ยังถูกออกแบบในสไตล์สบาย ๆ คล้ายห้องในบ้านบิ๊ก บราเธ่อร์ ซึ่งเต็มไปด้วยวอลล์เปเปอร์และเฟอร์นิเจอร์กระจ่างตาและหลากสีสันด้วย





ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1344230228&grpid=01&catid=&subcatid=
20274  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระราชินีพระราชทาน "คำขวัญวันแม่แห่งชาติ" เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 07:37:43 pm



พระราชินีพระราชทาน "คำขวัญวันแม่แห่งชาติ"


สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่ประจำปี 2555 "มือของแม่นั้นคือมือช่างปั้น ขึ้นรูปอันอ่อนลออจนหล่อเหลา อยากให้เป็นงานดีที่งามเงา อยู่ที่คอยขัดเกลา แต่เบามือ"

วันนี้ (6 ส.ค.) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2555 เพื่ออัญเชิญลงหนังสือวันแม่แห่งชาติ ปี 2555 ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ความว่า "มือของแม่นั้นคือมือช่างปั้น ขึ้นรูปอันอ่อนลออจนหล่อเหลา อยากให้เป็นงานดีที่งามเงา อยู่ที่คอยขัดเกลา แต่เบามือ"

ส่วนบรรยากาศประชาชนลงนามถวายพระพร ที่ศาลาศิริราช 100 ปี รพ.ศิริราช ตลอดทั้งวันพสกนิกรจำนวนมาก จากทั่วทุกสารทิศต่างทยอยกันนำแจกันดอกไม้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นมาทูลเกล้าฯ ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และมีพระวรกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ เป็นหลักชัยให้กับชาติบ้านเมืองตลอดไป





อาทิ คณาจารย์ และนักศึกษาจาก ม.ราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา คณะมูลนิธิกฤตานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะสมาคมนักธุรกิจสัมพันธ์แห่งประเทศไทย คณะลูกเสือ เนตรนารี และยุวกาชาดจาก รร.บางมดวิทยา(สีสุกหวาดจวนอุปถัมภ์) พระมหามาโนช โกวิโล เจ้าอาวาสวัดป่าไขแสงธรรมาราม จ.ปทุมธานี นางจินตนา ชูศรี

เหล่ากาชาดจังหวัดสุราษฎร์ธานี คณะสมาคมศิษย์เก่าพระนครใต้ คณะนักศึกษาแพทย์จากประเทศกลุ่มสมาคมอาเซียนที่เดินทางมาร่วมงาน “อาเซียนเดย์ 2012” ซึ่งจัดโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล คณะครูนักเรียน รร.อนุบาลสุภมงคล เขตบางเขน  คณะครูนักเรียน รร.อ้อมอารีพิทยา อ.เกาะคา จ.ลำปาง

พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และคณะ พล.อ.ต.ปัญญา ศรีสำราญ เจ้ากรมสารบรรณทหารอากาศ และคณะ พล.ต.ธรรมนูญ กฤษน้อย ผบ.ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิสร จ.สระบุรี 

คณะผู้พิพากษาศาลสมทบ ศาลคดีเยาวชนและครอบครัว จ.เพชรบูรณ์ คณะชมรมผู้สูงอายุตำบลนาเฉลียง อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ คณะอาจารย์นักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีพงษ์สวัสดิ์ จ.นนทบุรี และคณะข้าราชการสำนักงานสหกรณ์จังหวัดปทุมธานี





ขณะที่การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในกรุงเทพมหานคร ที่โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน รัชดา โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน(กปถ.) กรมการขนส่งทางบก ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ  บริษัท แฮลเชี่ยนเมทอล จำกัด และสถานีวิทยุ จส.100

     แถลงเปิดโครงการ “ข้อเข่าขาเทียมสำหรับคนพิการขาขาดระดับเหนือเข่า ที่ประสบอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา”





    โดยมีการสาธิตการใช้งานข้อเข่าขาเทียม จาก นายยุทธนา นามสง่า นักกีฬาเทเบิลเทนนิส ตัวแทนทีมชาติไทย ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในกีฬาคนพิการ พาราลิมปิคเกมส์  ระหว่างวันที่ 29 ส.ค.-9 ก.ย.นี้ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ รองประธานโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เปิดเผยว่า เนคเทค ร่วมกับศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูฯ และบริษัท แฮลเชี่ยนเมทอล จำกัด  วิจัยพัฒนาข้อเข่าขาเทียมแบบสี่จุดหมุน และส่วนประกอบแกนในไม่รวมฝ่าเท้าขึ้น ตั้งแต่ปี 2552

ปัจจุบันผ่านการรับรองตามมาตรฐานสากล และผ่านการทดสอบทางการแพทย์ในคนพิการขาขาดระดับเหนือเข่า ผลทดสอบพบว่าคนไข้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ  และเดินได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการใช้ขาเทียมเดิม   ถือเป็นการช่วยลดการนำเข้าวัสดุข้อเข่าขาเทียมจากต่างประเทศ

โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กปถ. 4 ล้านบาท เพื่อติดตั้งข้อเข่าขาเทียม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น  ให้กับผู้พิการขาขาดระดับเหนือเข่า จากการประสบอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน 80 ราย รายละ 1 ขา น้ำหนักตัวไม่เกิน 80 กิโลกรัม  มีการทำงานที่ไม่ได้ยกของหนักมาก  และไม่เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ   ผู้พิการสนใจแจ้งความประสงค์ที่สถานีวิทยุ จส.100 โทรศัพท์ 1137.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.dailynews.co.th/royal/148054
http://www.royjaithai.com/
20275  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผวาผีปอบ ชาวบ้าน 2 พันคนร่วมนิมนต์พระ-พ่อขะจ้ำ ทำพิธีไล่วิญญาณ (ชมคลิป) เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 12:39:19 pm
ชาวบ้าน “บ้านดอนขี-ดอนสวรรค์” เมืองน้ำดำ
ขวัญกระเจิง-อยู่ไม่เป็นสุข หวาดผวาหนักกลัวผีปอบบุกกระชากวิญญาณ


ผวาผีปอบ ชาวบ้าน 2 พันคนร่วมนิมนต์พระ-พ่อขะจ้ำ ทำพิธีไล่วิญญาณ อ้างตาย 5 รายวันละคน

ที่บ้านดอนขี – ดอนสวรรค์  หมู่ที่  5 และ 6 ต.อิตื้อ  อ.ยางตลาด  จังหวัดกาฬสินธุ์  ประชาชนกว่า 2,000 คน  นำโดยนายอดุลย์  จันทะพิลา  ผู้ใหญ่บ้านดอนขี  หมู่ที่ 5  พ่อทองสุข  นนทะนำ  พ่อขะจ้ำหมู่บ้าน  และนางกาญจนา  ภูชมศรี  รองนายกเทศบาลตำบลอิตื้อ  นิมนต์พระอาจารย์ธานินทร์  อนตธฺโร  เกจิที่มีชื่อเสียงด้านพิธีกรรมพื้นถิ่นอีสาน เดินทางมากำจัดปอบในพื้นที่หลังประชาชนอยู่ในอาการผวาอย่างหนักเนื่องจากมีคนตายแบบกะทันหันเรียงกันวันละศพ

พิธีเริ่มต้นขึ้นจากการบวงสรวง ขอขมาและบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน  ก่อนที่จะปลุกเสก เซียงข้อง ออกไล่จับปอบในหมู่บ้าน  มีอาสาสมัครชาวบ้านร่วมพิธีกรรมจนสามารถจับปอบใส่ในกระบอกไม้ไผ่ได้ถึง 6 ตัว  จากนั้นเจ้าพิธีได้ทำพิธีส่งวิญญาณที่จับได้ที่บรรจุในกระบอกไม้ไผ่  ด้วยวิธีฌาปนกิจตามประเพณี  ด้วยความเชื่อว่าดวงวิญญาณที่เป็นผีปอบนั้นไม่ไปสู่สุขคติจึงต้องหาตัวตายตัวแทนรับช่วงต่อจนเป็นสาเหตุให้มีคนเสียชีวิต





นางกาญจนา  ภูชมศรี    อ.ยางตลาด  จ.กาฬสินธุ์  กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่  1 สิงหาคม จนถึงวันที่5สิงหาคมทั้งบ้านดอนขี และบ้านดอนสวรรค์หมู่ที่ 5 และ 6 มีผู้เสียชีวิตแบบกะทันหันทั้งที่เป็นคนแก่สูงอายุมีโรคประจำตัวและคนหนุ่มรวมแล้ว 5 ราย การเสียชีวิตเรียงกันวันละ 1 คน  ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นสาเหตุให้คนในหมู่บ้านผวากันอย่างหนักและมั่นใจว่าเป็นฝีมือของผีปอบ

พ่อทองสุข  นนทะนำ  อายุ  73  ปี  พ่อขะจ้ำ  ระบุว่า  ก่อนหน้านั้นหมู่บ้านข้างเคียงมีคนตายเรียงกัน  3 ศพ  และเคลื่อนมาที่หมู่บ้านนี้ซึ่งอยู่ติดกัน  ลักษณะการตายเป็นไปอย่างกระทันหันเมื่อเช้าคุยกันดี ๆ พอตกบ่ายนอนหลับตายไปหรือช็อคตายไป  คนในหมู่บ้านจึงอยู่ไม่เป็นสุขเพราะหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงปรึกษาหารือและทำพิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านเพื่อเสี่ยงทายก่อนจะลงความเห็นว่าเป็นฝีมือของผีปอบ ทั้งหมดเป็นความเชื่อของคนในหมู่บ้านที่ถือปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1344173556&grpid=&catid=19&subcatid=1906
http://www.dailynews.co.th/


20276  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โพลเผยพระสงฆ์-เณรเฉลี่ยสูบบุหรี่วันละ 8 มวน ร้อยละ 10 ได้มาจากญาติโยมถวาย เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 12:26:15 pm

หลวงพี่เอี้ยง วัดมะนาวหวาน ตอน พระสูบบุหรี่ !!


โพลเผยพระสงฆ์-เณรเฉลี่ยสูบบุหรี่วันละ 8 มวน
 ร้อยละ 10 ได้มาจากญาติโยมถวาย

วันที่ 5 ส.ค. นายอนุสรณ์ คูธนะวนิชพงษ์ อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล (มว.) จ.นครราชสีมา ได้เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง "สถานการณ์การสูบบุหรี่ของพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และลูกศฺษย์วัด ในจ.นครราชสีมา"

      พบว่า กลุ่มตัวอย่างสูบบุหรี่ร้อยละ 40.2 หรือสูบเฉลี่ยวันละ 8 มวน
      แบ่งเป็นพระภิกษุร้อยละ 36 สามเณรร้อยละ 34 ลูกศฺษย์วัดร้อยละ 0.8
      โดยร้อยละ 10 นำบุหรี่ที่ญาติโยมนำมาถวาย
      ทั้งนี้ พบว่า ร้อยละ 81.5 รู้ว่าวัดมีนโยบายปลอดบุหรี่


อย่างไรก็ตาม ข้อมูลระบุว่า พระสงฆ์มีอาการอาพาธที่เกิดจากการสูบบุหรี่จำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ โรคมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง หรืออาการติดเชื้อในกระแสเลือด



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1344177172&grpid=&catid=19&subcatid=1904
http://index-g.com/
20277  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 99 ปุจฉาพระสังฆราช "การสร้างพระเครื่อง เข้าข่ายสีลพตปรามาสรึเปล่า.?" เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 11:48:45 am



99 ปุจฉาพระสังฆราช

วันที่ 3 ตุลาคม 2555 ที่กำลังจะถึงนี้ เป็นวาระครบรอบวันประสูติปีที่ 99 ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครับ

หนึ่งในกิจกรรมหลากหลาย ที่จัดเตรียมกันไว้ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้ทำหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ 99 คำถาม เกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราช

คณะศิษย์ปรึกษาหารือกัน ยกรับสั่งต่อลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า “ที่นี่เป็นพระของประชาชน” จึงสรุปเป็นหลักการว่า คำถามประดามีที่ว่า ก็ควรจะออกมาจากประชาชน


ประเด็นคำถาม ไม่ว่าจะเป็นความศรัทธาเลื่อมใส หรือความสงสัยด้านใด ส่งคำถามได้ที่ ตู้ ปณ.90 ถนนราชดำเนินนอก กทม. 10200

หรืออีเมล์ asksomdej@gmail.com ภายในวันที่  10 ส.ค.นี้

ผมเองถือเป็นคนวัดเก่า คุ้นเคยกับพระมาตลอดชีวิต รับข่าวแล้วก็ตั้งใจว่า นี่น่าจะเป็นหน้าที่หนึ่งของตัวเอง

แต่ก็คิดได้ว่า สิ่งที่เป็นประเด็นของคำถาม...ก็มักเป็นข้อสงสัย และเมื่อวัดน้ำหนักและขนาดความศรัทธา ที่คนพุทธคนหนึ่งจะพึงมีต่อพระประมุขสงฆ์ วัตรปฏิบัติโดยตรงๆของพระองค์ท่าน ที่ผ่านสู่การรับรู้ สะอาด สงบ สว่าง

ไม่มีอะไรเป็นข้อสงสัย

เรื่องของความศรัทธาที่แปลว่าความเชื่อนี้ เป็นที่น่าอัศจรรย์ เกิดขึ้นเต็มที่ในใจของผู้ใดแล้ว ข้อเคลือบแคลงสงสัยก็มักจะไม่มี

ว่ากันด้วยพระเมตตา...นานมาแล้ว ผมเคยได้ฟังเรื่องของหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งในวัด ที่พระองค์ทรงคุ้นเคย ประทานข้าวประทานน้ำ

วันหนึ่ง หมาขี้เรื้อนตัวนั้น ก็หายไป

เมื่อทรงถามถึงมัน ก็ไม่ได้คำตอบชัดเจน ก็จะตอบกันได้ชัดเจนได้อย่างไร ก็ในเมื่อคณะศิษย์ก็รับรู้ว่า เกิดจากความปรารถนาดี  ที่ไม่อยากเห็นจุดใดจุดหนึ่งในวัดบวรนิเวศไม่งามตา และหนึ่งในความไม่งามตานั้นก็คือหมาขี้เรื้อน

“ไปเอาเขากลับมา” รับสั่งแค่นั้น เคราะห์ดีประการแรก ที่มันยังอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ที่พอควานหาตัวได้ เคราะห์ดีประการต่อมามันยังไม่ตาย...ไม่ช้า...หมาขี้เรื้อนตัวนั้นก็ได้กลับมาเป็นชีวิตหนึ่งในวัดบวรฯเหมือนเดิม

เรื่องราวหลายเรื่อง เกี่ยวเนื่องด้วยพระเมตตา...คงไม่ใช่เป็นประเด็นคำถาม หรือใครคิดว่าจะเป็นคำถาม ผมคิดว่า ก็น่าจะถามไปได้ เพราะนี่คือหนึ่งในเรื่องดีๆที่มนุษยชาติในโลกนี้ควรได้สดับรับฟังกันไว้

แต่วัตรปฏิบัติ...ปกครองคณะสงฆ์ ปกครองวัดบวรฯ สั่งสอนประชาชน ก็คงมีบางเรื่อง...ที่เป็นคำถามได้





ในประวัติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ตอนหนึ่ง...มีผู้ไปขอให้ทรงสร้างรูปเหรียญ เพื่อให้ทหารนำติดตัวไปใช้ในสงคราม ทรงปรารภว่า เกรงจะเข้าข่ายสีลพตปรามาส

แต่เมื่อทรงเห็นว่า รูปเหรียญที่ทรงสร้างใช้ประโยชน์ในแง่เป็นเครื่องทำให้เขาอุ่นใจ ก็ตัดสินพระทัยสร้างประทานให้ไป กลายเป็นที่มาของการสร้างรูปเหรียญและพระกริ่งปวเรศฯ ในเวลาต่อๆมา

เรื่องนี้ เป็นจุดที่ผมขอตั้งเป็นหนึ่งคำถาม...สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเคยวินิจฉัยประเด็นสีลพตปรามาส ไว้บ้างหรือไม่?

หนึ่งในองค์คุณที่พระโสดาบันท่านละเว้นได้ คือข้อสีลพตปรามาส ความเชื่อว่าศีลและพรต เป็นที่มาของความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผมตีความเอาเองว่า พระโสดาบันเป็นพระไม่เชื่อเรื่องงมงายในสิ่งไร้เหตุผล

ผมสงสัยมานาน...การสร้างพระเครื่อง...ที่พระหลวงปู่หลวงพ่อ ดังๆทำกัน รวมทั้งพระเครื่องหลายรุ่นในวัดบวรฯ ถ้าเข้าข่ายสีลพตปรามาส ก็แสดงว่า หลวงปู่หลวงพ่อผู้สร้าง ท่านไม่ใช่พระอริยะ ปีนไม่พ้นบันไดแรกขั้นพระโสดาบัน

นี่เป็นเพียงความเข้าใจแบบชาวบ้าน หากจะช่วยวิสัชนาให้แจ่มชัดได้ในคราวนี้ ผมขออนุโมทนาล่วงหน้า.

กิเลน ประลองเชิง



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/column/pol/chuckthong/281308
https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net
http://upload.wikimedia.org/
20278  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โคราชเทียนพรรษาล้นวัด แนะหลอดไฟฟ้าได้ประโยชน์กว่า เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 11:35:59 am


โคราชเทียนพรรษาล้นวัด แนะหลอดไฟฟ้าได้ประโยชน์กว่า

ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนครราชสีมา รายงานว่าภายหลังจากเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนา คือวันเข้าพรรษา ซึ่งพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ที่มาทำบุญจะนำเทียนพรรษา เครื่องสังฆทาน หลอดไฟ และข้าวสาร อาหารแห้ง นำมาถวายแก่พระสงฆ์ ตามวัดในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา

โดยเฉพาะที่วัดป่าสาละวัน ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา มีพุทธศาสนิกชนนำเครื่องสังฆทาน และเทียนพรรษามาถวายกันอย่างต่อเนื่อง จนทำให้วัดป่าสาละวันมีเทียนพรรษามากเกินกว่าที่ทางวัดจะใช้ จึงทำให้ทางวัดเตรียมที่จะนำไปถวายตามวัดต่างๆ ในพื้นที่ชนบทที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ และเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง

พระครูปลัดสุวัฒน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดป่าสาละวัน เปิดเผยว่า วันเข้าพรรษาปีนี้ มีพุทธศาสนิกชนนำเทียนพรรษามาถวายวัดเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเทียนพรรษาขนาดความยาว 1 - 3 เมตร ซึ่งมีผู้นำมาถวายกว่า 200 คู่

นอกจากนี้ยังมีเทียนพรรษาขนาดเล็กกว่า 1 เมตร อีกกว่า 500 คู่ แต่ทางวัดป่าสาละวันใช้จริงๆ เพียงไม่ถึง 10-15 คู่ โดยเทียนพรรษาขนาด 3 เมตรจะใช้เพียง 3-4 คู่ ตั้งไว้ในโบสถ์ ศาลาการเปรียญ และวิหารบูรพาจารย์จุดละคู่เท่านั้น




ส่วนเทียนพรรษาที่เหลือกว่า 600 คู่นั้นทางวัดไม่ได้ใช้งาน เนื่องจากทางวัดอยู่ในเขตตัวเมือง มีไฟฟ้าใช้ทุกจุด จึงไม่มีความจะเป็นต้องจุดเทียนพรรษา หากแต่มีความต้องการหลอดไฟมากกว่า โดยเฉพาะหลอดไฟนีออนชนิดผอม เนื่องจากทางวัดมีการจัดกิจกรรมปฏิบัติธรรมตลอดทั้งปี

ซึ่งจะมีพุทธศาสนิกชนมาปักกลดปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการติดตั้งหลอดไฟฟ้าตามจุดต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้มาปฏิบัติธรรม ซึ่งวันเข้าพรรษาปีนี้มีผู้มาถวายหลอดไฟไม่มากนัก หากเทียบกับเทียนพรรษา

    จึงอยากฝากบอกพุทธศาสนิกชนว่า การถวายหลอดไฟ กับการถวายเทียนพรรษา มีอานิสงค์เช่นกัน
    ส่วนเทียนพรรษาที่เหลืออยู่เป็นจำนวนมากเหล่านี้ ทางวัดก็ไม่อยากทิ้งไว้เฉยๆ จึงได้ประสานไปยังวัดต่างๆ ในชนบทห่างไกล ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ เช่น สำนักสงฆ์ในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว และอำเภอปากช่อง


    เพื่อนำเทียนพรรษาเหล่านี้ไปถวาย และใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ไม่ให้เป็นการสูญเปล่า และผู้ที่มาถวายก็จะได้อานิสงค์ทั่วหน้ากัน พระครูปลัดสุวัฒน์ฯ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/politics/20120804/464725/เทียนพรรษาล้นวัดแนะหลอดไฟฟ้าได้ประโยชน์กว่า.html
http://www.koratforum.net
http://www.koratdailynews.com/
20279  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา!สาวใหญ่รู้วันตาย สั่งเพื่อนจัดงานศพ ใบ้หวยถูกเฉียดล้าน เมื่อ: สิงหาคม 05, 2012, 08:49:33 pm


ฮือฮา!สาวใหญ่รู้วันตาย สั่งเพื่อนจัดงานศพ ใบ้หวยถูกเฉียดล้าน

ชาวบ้านน้ำเค็มฮือฮา!  สาวใหญ่รู้วันตายตัวเอง สั่งเพื่อนจัดงานศพ ใส่เสื้อสีม่วงมาแดนซ์หน้าโลง อึ้งวิญญาณเข้าสิงเพื่อนบอกห่วงลูกชาย ไม่อยากไป พร้อมให้เลขเด็ด ญาติๆ ซื้อตาม ได้เงินนับล้านบาท ...

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.55 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านในหมู่บ้านน้ำเค็ม ซึ่งเป็นหมู่บ้านสึนามิ หมู่ที่ 2 ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ณ บ้านเลขที่ 2 ชุมชนร่วมสุขทวีทรัพย์มั่นคง ได้มีการบำเพ็ญการกุศลศพของ นางสาว ระรวย หรือ ภา บำเมโค อายุ 39 ปี ซึ่งเสียชีวิตลงเมื่อเช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 55 ด้วยโรคลมปัจจุบัน ขณะนอนพักอยู่ในบ้านของตนเอง ซึ่งนายสุจินต์ แก้วเพ็งกรอ อายุ 48 ปี สามี ได้นำศพมาจัดขึ้นในบ้านหลังดังกล่าว กำหนดเผาวันที่ 6 สิงหาคม 55



สำหรับการเสียชีวิตของ นางสาวระรวย นั้น ไม่ได้เกิดจากอาการเจ็บป่วย แต่นอนเสียชีวิต หลังจากกลับมาจากร่วมงานทำขวัญนาค ลูกชายของเพื่อนในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งเพื่อนๆ หลายคนที่ไปร่วมงานบวชในคืนนั้นต่างแปลกประหลาดใจ กับคำพูดของนางสาวระรวย ที่บอกว่าเขาจะไม่ได้มาร่วมเต้นแล้ว และให้ซื้อโลงให้ด้วย จัดงานให้ด้วย ขอมีดนตรี เปิดเพลงมันส์ๆ ให้ทุกคนไปแดนซ์ในงานศพให้ชมด้วย โดยขอให้ใส่เสื้อสีม่วงที่ชอบ ห้ามสวมสีดำ ซึ่งเพื่อนๆ ทุกคนก็รับปากรับคำ เพราะคิดว่าพูดเล่น


นางยินดี ภีระโคตร อายุ 49 ปี เพื่อนสนิทของผู้ตาย เล่าว่า งานเลิกเวลา ตี 1 เศษ ได้กลับบ้านโดยขี่รถ จยย.ตามกันมาจนถึงบ้านพัก และแยกย้ายเข้าบ้าน มาทราบข่าวตอนเช้าว่าเพื่อนเสียชีวิต ได้มาดูและนำศพไปให้หมอตรวจดูที่โรงพยาบาลตะกั่วป่า พบว่าเสียชีวิตแล้ว ตนรู้สึกตกใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเพื่อนคนนี้

และเมื่อคืนวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคืนที่ 8 ของการสวดศพของนางระรวย ทางเจ้าภาพและเพื่อนๆ ของผู้ตายได้ไปร่วมงานศพกับนับร้อยคน ซึ่งเป็นคืนเพื่อนๆ ได้ทำตามสัญญารับคำกับผู้ตายไว้ มีการนำเครื่องเสียงมาติดตั้งในงาน ทุกคนที่ไปร่วมงานส่วนใหญ่จะสวมเสื้อสีม่วง และหลากสี เมื่อได้เวลาทางศาสนา พระสงฆ์ ได้สวดพระอภิธรรม เพื่อนๆ และญาติได้นั่งร่วมงานกัน

หลังจากพระสวดเสร็จ เดินทางกลับ ตนได้จุดธูปบอกดวงวิญญาณของผู้ตายว่า ต่อไปนี้เพื่อนทุกคนจะทำตามที่รับคำไว้นะ ขอให้ดวงวิญญาณมารับรู้ด้วย ขณะที่กำลังเต้นกันอยู่นั้น เกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อ นางวิภาพร คุ้มเขต อายุ 37 ปี เพื่อนสนิทของผู้ตาย ได้วิ่งออกจากที่วงเต้น ไปหยุดอยู่หน้าบ้านเพื่อนห่างกันประมาณ 200 เมตร

จากนั้นได้ร้องไห้ตลอดเวลา ทางเพื่อนๆ ถามว่าเป็นอะไร นางวิภาพร ได้พูดเป็นภาษาใต้ ว่า ภา ไม่อยากกลับไป เป็นห่วงลูกเต้ ด.ช.เทพทัศน์ แก้วเพ็งกรอ อายุ 4 ขวบ ดังนั้น ทางญาติได้เรียกให้นายสุจินต์ สามีผู้ตาย อุ้มน้องเต้มาพบ เมื่อนำน้องเต้ มาถึง วิญญาณของผู้ตายที่สิงอยู่ในร่างของ นางวิภาพร ก็กระโจนเข้ากอดลูกชาย เสียงร้องไห้ร้องเรียกลูกอยู่ตลอด

ขณะนั้นผู้ที่มุงดูต่างน้ำตาคลอ และเชื่อว่าเป็นผู้ตายมาหาลูกจริงๆ จนพี่สาวของผู้ตายเข้ามาบอกว่า ให้น้องไปเถอะไม่ต้องเป็นห่วงเต้ พี่จะดูแลให้ ในที่สุดวิญญาณก็ออกจากร่างไป และนางวิภาพร ก็รู้สึกตัว



สำหรับการตายของ นางสาวระรวย หรือ ภา เป็นข่าวรำลือไปทั่วทั้งอำเภอ เมื่อผู้ตายรู้ว่าตัวเองจะตาย ให้เพื่อนจัดงานให้ด้วย และระหว่างจัดงานศพ ได้ไปกระซิบลูกชาย น้องเต้ วัย 4 ขวบ ให้ญาติๆ ไปซื้อหวย 3 ตัว 590 งวดที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา น้องเต้ บอกว่า แม่บอกให้ซื้อจะได้เงินเป็นล้านบาท จนมีญาติในงานศพ ซื้อหวยได้เงินนับล้านบาทจริง.


ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/region/281414
20280  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลือหึ่ง "เปรต" อาละวาดวัดเขาแก้ว อ่างทอง เมื่อ: สิงหาคม 05, 2012, 08:08:21 pm


ลือหึ่ง "เปรต" อาละวาดวัดเขาแก้ว อ่างทอง

วันที่ 3 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากพระประทุม คุณงักโร พระลูกวัดเขาแก้ว 237 ม.8 ต.องครักษ์ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ว่ามีแม่ชีพบเปรตภายในวัด จึงรุดไปตรวจสอบ พบที่วัดดังกล่าวกำลังประกอบพิธีพุทธาภิเษกกุมารทอง โดยมีหลวงพ่อชวน กตปุญโญ เจ้าอาวาสวัดเขาแก้วปลุกเสกเดี่ยว มีลูกศิษย์มาเป็นจำนวนมาก

 แม่ชีพะเยาว์ อันมั่น อายุ 58 ปี กล่าวว่า บวชอยู่ที่วัดเขาแก้วมานานกว่า 10 ปีแล้ว อาศัยนอนพักที่หอสวดมนต์เนื่องจากที่วัดไม่มีกุฏิให้ ที่ผ่านมาไม่เคยพบเห็นสิ่งผิดปกติ แต่เมื่อประมาณกลางเดือนก.ค.ที่ผ่านมาขณะปฏิบัติธรรมที่หอสวดมนต์รู้สึกว่ามีอะไรมาอยู่ข้างกาย

เมื่อหันไปดูพบตัวประหลาดยืนอยู่ มีรูปร่างสูงมาก และลักษณะคล้ายไม่มีกระดูก เข้าใจว่าเป็นเปรตจึงรีบสวดมนต์แผ่เมตตาให้ แต่เปรตดังกล่าวไม่ยอมหนีไปไหน จึงตัดสินใจสวดบทชุมนุมเทวดา จากนั้นเปรตดังกล่าวก็ไหลลงรูข้างกำแพงไป เมื่อเดินตามไปดูเห็นว่าเปรตดังกล่าวกลายร่างเป็นนกบินหนีไป

 แม่ชีพะเยาว์กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นไม่กี่วันเจอเปรตที่ต้นหว้าที่มีอายุ 100 ปี เก่าแก่คู่วัดมา ยืนสูงเท่าต้นหว้า จึงรีบนั่งสมาธิแล้วก็สวดชุมนุมเทวดา แล้วเปรตก็หายไปอีก หลังจากทราบเรื่องเจ้าอาวาสให้ย้ายไปนอนที่อื่นเพราะบริเวณหอสวดมนต์เป็นที่แรง

หลังจากย้ายที่นอนแล้วไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติอีกเลย กระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาพบเห็นเปรตอีกครั้งบริเวณต้นตะเคียน 3 พี่น้องที่อยู่หน้ากุฏิหลังเก่า แต่หลังจากสวดชุมนุมเทวดาเปรตดังกล่าวก็หายไปเช่นกัน จึงคิดว่าเปรตทั้งหมดมาขอส่วนบุญอย่างแน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามชาวบ้านข้างเคียงพบว่ามีผู้พบเห็นเปรตภายในบริเวณและนอกวัดเขาแก้วมาตลอด แม้กระทั่งตำรวจที่ออกตรวจรักษาความปลอดภัย เมื่อถึงภายในวัดเขาแก้วยังพบเห็นจนต้องหนีกระเจิงมาแล้วหลายนาย



ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNME16azVNVEE0T1E9PQ==&subcatid
หน้า: 1 ... 505 506 [507] 508 509 ... 556