ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กินเจมีที่มาจากแดนภารต(จบ)  (อ่าน 1654 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28415
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
กินเจมีที่มาจากแดนภารต(จบ)
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2013, 08:02:17 am »
0



กินเจมีที่มาจากแดนภารต(จบ)
วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม

การที่เราจะกินเนื้อสัตว์ได้โดยไม่บาปมีอยู่ ๒ วิธีคือ ปล่อยให้มันสิ้นอายุขัยไปเองหรือสัตว์นั้นตายโดยอุบัติเหตุ แต่ความจริงก็คือไม่มีใครรอให้สัตว์ตายเองด้วย ๒ วิธีแบบนั้น มีวิธีเดียวที่เราปฏิบัติกันคือ จัดการฆ่าทันทีแล้วนำศพมันมาปรุงอาหาร ซึ่งเป็นการละเมิดศีลข้อปาณาติบาตเรื่องการทำชีวิตผู้อื่นให้ตกร่วง แนวคิดเรื่องการกินเจจึงมีที่มาจากความเมตตากรุณาต่อสัตว์อันเป็นแนวทางของพุทธศาสนาสายมหายาน

 :s_good: :s_good: :s_good:

กินเจไม่ใช่แค่กินเจเฉยๆ

คำว่า 'เจ' ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาสายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า ‘อุโบสถ’ ของเถรวาท คือการถือศีล ๘ รักษากายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่การถือศีล ๘ ของมหายานเป็นการกินเจด้วยจึงมีคำเรียกติดปากว่า 'ถือศีลกินเจ'
       ครั้นจะให้คนหันมาถือศีล ๘ กินเจแล้วยังอดอาหารเย็นด้วยคงเป็นไปได้ยาก จึงมีการประยุกต์ใหม่เป็นการเชิญชวนให้คนหันมาหยุดบริโภคเนื้อสัตว์ในเทศกาลกินเจเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล ๗ พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์ รวมเป็น ๙ พระองค์ กำหนดให้มีการกินเจ ๙ วันในเดือน ๙ เรียกว่า  ‘เก๊าอ่วงเจ’ ที่โรงเจมีการทำอาหารเจให้ประชาชนได้กินฟรี ๓ มื้อ
   
      คนที่สมาทานกินเจก็ให้นุ่งขาวห่มขาว ๑ วันเพื่อไปไหว้ ‘ฮุดโจ้ว’
      ฮุด แปลว่า พระ  , โจ้ว แปลว่า ปู่     

ฮุดโจ้วจึงหมายถึง ผู้สำเร็จมรรคผลหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ในที่นี้หมายถึงพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์นั่นเอง ใครไม่ว่างไปไหว้ฮุดโจ้วหรือไม่แต่งชุดขาวก็ไม่ถือเป็นเรื่องเคร่งครัด แต่ที่สำคัญระหว่างกินเจ ๙ วันให้รักษากายวาจาใจให้บริสุทธิ์หรือถือศีล ๕ ให้เคร่งครัด นี่คือความหมายของเทศกาลกินเจไม่ใช่แค่กินเจเฉยๆ


 :welcome: :welcome: :welcome:

เจเกี่ยวข้องกับเต๋า

ประเพณีการกินเจของชาวจีนนอกจากจะมีที่มาจากพุทธศาสนาสายมหายานแล้ว ยังได้รับอิทธิพลจากลัทธิเต๋าอีกด้วย เต๋าสอนการดำเนินชีวิตที่สอดรับกับธรรมชาติ ผู้ให้กำเนิดเต๋าคือ เล่าจื๊อ เกิดเมื่อ ๖๑ ปีก่อนพุทธศักราช คัมภีร์ของเต๋ามีชื่อเรียกว่า เต๋าเต็กเก็ง
      เต๋า แปลว่า ทาง
      เต็ก แปลว่า คุณธรรมความดี
      เก็ง แปลว่า พระสูตร
      รวมความเต๋าเต็กเก็งแปลว่า คัมภีร์แห่งคุณธรรม

เต๋าคือ หลักการดำเนินชีวิตที่ถือเอาธรรมชาติเป็นใหญ่ เต๋าไม่นับถือเทพเจ้า เทพเจ้าใดๆ ไม่อาจมีอิทธิพลกับชีวิตมนุษย์ มนุษย์ควรดำเนินชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติ คนทำดีหรือเลว ธรรมชาติจะให้คุณและโทษเอง การเชื่อในธรรมชาติและเชื่อในกฎแห่งการกระทำ ทำให้เต๋ามีลักษณะคล้ายพุทธศาสนา มีผู้เปรียบเปรยว่าเล่าจื๊อคือ ปัจเจกพุทธะ รู้แต่สอนใครไม่ได้ คำสอนเต๋าจึงไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นศาสนาแต่เป็นแค่หลักปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่มีคำสอนคล้ายพุทธ

สัญลักษณ์ของเต๋าคือ หยินหยางบ่งบอกถึงความสมดุล ด้วยแนวคิดที่ถือเอาธรรมชาติและการกระทำเป็นใหญ่ เต๋าจึงมีแนวคิดเรื่องการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ เต๋าสอนเรื่องการกินเจ โรงเจมักมีเครื่องหมายหยินหยางประดับอยู่ ไม่ต้องสงสัยว่าคำสอนของเต๋าได้แทรกซึมอยู่ในโรงเจด้วย ในโรงเจจึงมีทั้งแนวคำสอนของพุทธแบบมหายานและเต๋าผสมกัน


 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

พระเทวทัต การปรากฏแนวคิดงดเนื้อสัตว์ในคัมภีร์เถรวาท

ในพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทมีเรื่องราวที่พูดถึงการงดเนื้อสัตว์เช่นกัน เมื่อพระเทวทัตซึ่งเป็นญาติของพระพุทธเจ้าทูลขอให้พระพุทธองค์บัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ ใครฉันเป็นอาบัติ
     แต่พระองค์ปฏิเสธ พระองค์มองว่า
     การปฏิบัติของภิกษุควรเป็นทางสายกลาง
     มีชีวิตเป็นไปด้วยความเลี้ยงง่าย
     ชีวิตของภิกษุขึ้นอยู่กับชาวบ้าน
     ชาวบ้านกินอะไรภิกษุก็ควรฉันเช่นนั้น

 
     แล้วตรัสถึงเนื้อที่ภิกษุไม่ควรบริโภค คือ
       - เนื้อที่ภิกษุได้เห็นได้ยินว่า เนื้อที่เขานำมาถวายนี้เขาฆ่าเพื่อภิกษุโดยเฉพาะ
       - หรือเพียงแต่สงสัยว่าเนื้อนี้เขาฆ่าเพื่อถวายภิกษุ ก็ถือว่าเนื้อนี้ห้ามฉัน
       - ส่วนเนื้อที่ภิกษุฉันได้คือ เนื้อที่ภิกษุไม่ได้เห็นไม่ได้ยินไม่ได้สงสัย
    หากอยู่ในเงื่อนไขนี้ถือว่าฉันได้   
    อีกเหตุผลที่เป็นไปได้ก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ในชมพูทวีปบริโภคแป้งกับถั่วกันอยู่แล้ว
    พระองค์จึงไม่ทรงกำหนดสิกขาบทข้อนี้ตามข้อเสนอของพระเทวทัต


 :49: :49: :49:

‘ลังกาวตารสูตร’ ต้นกำเนิดของมหายานไม่กินเนื้อสัตว์

คัมภีร์ลังกาวตารสูตรเป็นพระสูตรของพุทธศาสนาสายมหายาน นิกายโยคาจาร คัมภีร์นี้กล่าวกันว่าเป็นรากฐานของพุทธศาสนานิกายเซน คัมภีร์นี้มีการรวบรวมขึ้นในช่วง พ.ศ. ๙๐๐-๑๒๐๐ ประกอบไปด้วย ๙ บท บทที่ ๘ เป็นบทที่กล่าวถึงคำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
     "ภิกษุไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์ใดๆ เพราะเหตุว่าสังสารวัฏนี้ไม่มีสัตว์ตนใดไม่เคยเป็นญาติกับเรามาก่อน"
     แล้วตรัสถึงโทษของการฉันเนื้อสัตว์ว่า
     "เนื้อสัตว์มีกลิ่นเหม็นทำให้ผู้บริโภคเนื้อสัตว์เป็นที่หวาดระแวงของหมู่สัตว์ เมื่อไปยังที่ใดสัตว์เหล่านั้นจะหวาดกลัววิ่งหนี เพราะประสาทสัมผัสของสัตว์เหล่านั้นได้กลิ่นคาวจากผู้บริโภคเนื้อสัตว์"
     "เนื้อสัตว์เกิดจากน้ำอสุจิและเลือดภิกษุไม่ควรบริโภค ผู้บริโภคเนื้อสัตว์มักนอนหลับไม่สบายมีจิตกระสับกระส่าย ร่างกายก็เป็นที่สะสมของโรคภัยไข้เจ็บ เป็นผู้นำทุกข์มาสู่ตน"

     แล้วตรัสถึงรายชื่ออาหารที่สาวกควรฉัน มี ข้าวสาลี ถั่วราชมาสและถั่วต่างๆ เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม น้ำตาล น้ำอ้อย เหล่านี้เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับพระสาวก

อย่างไรก็ตามคัมภีร์ลังกาวตารสูตรมิได้กล่าวถึงผักต้องห้ามทั้ง ๕ ประเภท และยังอนุญาตผลิตภัณฑ์จากสัตว์เช่น เนยใส น้ำผึ้ง สันนิษฐานว่า การห้ามผลิตภัณฑ์จากสัตว์และผักต้องห้ามทั้ง ๕ น่าจะถูกเพิ่มเข้าไปหลังจากที่พุทธศาสนาได้เข้าสู่ประเทศจีน โดยเข้าไปผสมกับลัทธิเต๋าซึ่งเป็นลัทธิที่เผยแพร่การกินเจอยู่ก่อนหน้าแล้ว ลัทธิเต๋ามีความเชื่อเรื่องพลังธรรมชาติย่อมมีความเชื่อเกี่ยวกับพลังด้านลบของผักต้องห้ามและผลิตภัณฑ์จากสัตว์
    ในที่สุดเมื่อพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศจีนจึงรวมการห้ามกินผัก ๕ ประเภทรวมทั้งห้ามผลิตภัณฑ์จากสัตว์เข้าไปด้วย ทำให้การงดเนื้อสัตว์ของพุทธศาสนามหายานกลายเป็นการกินเจไปในที่สุด 

                                   
 ans1 ans1 ans1
                                                               
การกินเจมีจุดเริ่มต้นมาจากแป้งกับถั่วของชาวฮินดูในดินแดนชมพูทวีป ต่อมาพัฒนาเป็นคำสอนเรื่องการไม่บริโภคเนื้อสัตว์ผ่านคัมภีร์ลังกาวตารสูตรของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน แล้วเดินทางข้ามภูเขาเข้าไปในจีนผสมผสานกับลัทธิเต๋าของเล่าจื้อ จนกระทั่งพัฒนามาเป็นการกินเจในที่สุด

เทศกาลกินเจปีนี้ขอให้เรากินเจอย่างเข้าใจที่มาแห่งความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและความเชื่อซึ่งเดินทางมายาวไกลหลายหมื่นลี้ และอย่าลืมรักษากายวาจาใจของท่านให้บริสุทธิ์


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20131012/170299.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

ฟ้าใหม่แจ่มใส

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 226
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: กินเจมีที่มาจากแดนภารต(จบ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2013, 09:04:36 am »
0
ไม่น่าแปลกใจเพราะสมัยนั้น พระเทวฑัตร ก็เคยทูลขอพร ข้อนี้

 :49:
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องว่า ยายกบ เพราะชวนมาศึกษาธรรมะ

Jojo

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 237
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: กินเจมีที่มาจากแดนภารต(จบ)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2013, 09:08:21 am »
0
 st12 st12 st12 :c017:
บันทึกการเข้า
ฉันมาเพราะเธอนะ ยายกบ มาศึกษาธรรมะบ้าง ยินดีที่รู้จักทุกท่านคะ
ช่วยเมตตา แนะนำด้วยมิตรภาพ นะคะ