ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง  (อ่าน 3233 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 12:07:59 pm »
0


ประวัติพระอัมพปาลีเถรี
             
    พระเถรีแม้รูปนี้ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาในภพนั้นๆ บรรพชาอุปสมบทในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี สมาทานสิกขาบทของภิกษุณีอยู่.

    วันหนึ่ง ไหว้พระเจดีย์ ทำประทักษิณเวียนขวา เมื่อพระขีณาสวเถรีเดินไปก่อน พลันถ่มน้ำลาย ก้อนน้ำลายก็ตกไปที่ลานพระเจดีย์ พระขีณาสวเถรีไม่เห็นก็เดินไป ภิกษุณีรูปนี้เดินไปข้างหลังเห็นก้อนน้ำลายนั้นก็ด่าว่า อีแพศยาชื่อไรนะ ถ่มน้ำลายลงที่ตรงนี้.

    ภิกษุณีรูปนี้ รักษาศีลในเวลาเป็นภิกษุณี เกลียดการเข้าอยู่ในครรภ์ ก็ตั้งจิตไว้ให้อยู่ในอัตภาพเป็นอุปปาติกะ.
    ด้วยการตั้งจิตนั้น ในอัตภาพสุดท้าย ภิกษุณีรูปนั้นก็บังเกิดเป็นอุปปาติกะ ที่โคนต้นมะม่วง ในพระราชอุทยาน กรุงเวสาลี.
    พนักงานเฝ้าอุทยานเห็นเด็กหญิงนั้นก็นำเข้าพระนคร เพราะบังเกิดที่โคนต้นมะม่วง นางจึงถูกเรียกว่า อัมพปาลี.


     :41: :41: :41:

    ครั้งนั้น พวกพระราชกุมาร [เจ้าชาย] มากพระองค์ เห็นนางสะสวยน่าชมน่าเลื่อมใส ทั้งแสดงคุณพิเศษมีเสน่ห์น่ารักน่าใคร่เป็นต้น ต่างก็ปรารถนาจะทำให้เป็นหม่อมห้ามของตนๆ จึงเกิดทะเลาะวิวาทกัน.
    คณะผู้พิพากษาได้รับคำฟ้องของนาง เพื่อระงับการทะเลาะวิวาทของพวกราชกุมารเหล่านั้น จึงตั้งนางไว้ในตำแหน่งคณิกาหญิงแพศยา ว่าจงเป็นของทุกๆ คน.

    นางได้ศรัทธาในพระศาสดา สร้างวิหารไว้ในสวนของตน มอบถวายแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ภายหลังฟังธรรมในสำนักของพระวิมลโกณฑัญญเถระ บุตรของตน ก็บวชเจริญวิปัสสนา อาศัยความที่สรีระของตนคร่ำคร่าลงเพราะชรา ก็เกิดสังเวชใจ

     :96: :96: :96:

    เมื่อจะชี้แจงถึงความที่สังขารไม่เที่ยงอย่างเดียว จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
   แต่ก่อน ผมของข้าพเจ้ามีสีดำเสมือนสีแมลงภู่มีปลายงอน เดี๋ยวนี้ ผมเหล่านั้นก็กลายเป็นเสมือน ป่านปอ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสแต่ความจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่แปรเป็นอื่น ฯ
    ....ฯลฯ........

    พระเถรีนี้พิจารณาทบทวนอนิจจตาความไม่เที่ยงในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด โดยมุขคือ การกำหนดความไม่เที่ยงในอัตภาพของตนอย่างนี้แล้ว ยกขึ้นสู่ทุกขลักษณะและอนัตตลักษณะในอัตภาพตนนั้น ตามแนวอนิจจลักษณะนั้น ขมักเขม้นเจริญวิปัสสนาอยู่ ก็บรรลุพระอรหัต โดยลำดับมรรค.
    ......ฯลฯ......





    พระอัมพปาลีเถรีเปล่งอุทานเป็นคาถาพรรณนาอปทานของท่านว่า
    ข้าพเจ้าเกิดในสกุลกษัตริย์ เป็นภคินีของพระมหามุนีพระนามว่าปุสสะ ผู้มีพระรัศมีงามดังมาลัยประดับศีรษะ ข้าพเจ้าฟังธรรมของพระองค์แล้วมีใจเลื่อมใส ถวายมหาทานแล้วปรารถนารูปสมบัติ.
    นับแต่กัปนี้ไป ๓๑ กัป พระชินเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นนายกเลิศของโลก ทรงส่องโลกให้สว่าง ทรงเป็นสรณะของ ๓ โลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว

    ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในสกุลพราหมณ์ กรุงอมรปุระที่น่ารื่นรมย์ โกรธขึ้นมาก็ด่าภิกษุณีผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว [อริยุปวาท] ว่า ท่านเป็นหญิงแพศยาประพฤติอนาจาร ประทุษร้ายศาสนาของพระชินเจ้า ครั้นด่าอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ตกนรกอันร้ายกาจ เพียบพร้อมด้วยทุกข์ใหญ่หลวง เพราะบาปกรรมนั้น จุติจากนรกนั้นแล้ว มาเกิดในหมู่มนุษย์ มีลามกธรรมทำให้เดือดร้อน ครองความเป็นหญิงแพศยาอยู่ถึงหกหมื่นปี ก็ยังไม่หลุดพ้นจากบาปอันนั้น เหมือนอย่างกลืนพิษร้ายเข้าไป.


     :sign0144: :sign0144: :sign0144:

    ข้าพเจ้าเสพเพศพรหมจรรย์ [บวชเป็นภิกษุณี] ในศาสนาพระชินเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ด้วยผลแห่งบุญนั้น ข้าพเจ้าก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นไตรทศ [ดาวดึงส์]
    เมื่อถึงภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเกิดเป็นโอปปาติกะ ที่ระหว่างกิ่งมะม่วง ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่อว่าอัมพปาลี ข้าพเจ้าอันหมู่สัตว์นับโกฏิห้อมล้อมแล้ว ก็บวชในศาสนาของพระชินเจ้า บรรลุฐานะอันมั่นคงไม่สั่นคลอน เป็นธิดาเกิดแต่พระอุระของพระผู้เป็นพุทธะ.

     ans1 ans1 ans1

     ข้าแต่พระมหามุนี
     ข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในฤทธิ์ทั้งหลาย ในความหมดจดแห่งโสตธาตุ [หูทิพย์] เป็นผู้เชี่ยวชาญเจโตปริยญาณ [รู้ใจผู้อื่น]
     ข้าพเจ้ารู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในภพก่อนๆ [ระลึกชาติได้] ชำระทิพยจักษุหมดจด [ตาทิพย์] หมดสิ้นอาสวะทุกอย่าง [อาสวักขยญาณ] บัดนี้จึงไม่มีภพใหม่ [ไม่ต้องเกิดอีก].
     ข้าพเจ้ามีญาณสะอาดหมดจด ในอรรถปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทาและปฏิภาณปฏิสัมภิทา เพราะอำนาจของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด กิเลสทั้งหลาย
     ข้าพเจ้าก็เผาเสียแล้ว ภพทุกภพข้าพเจ้าก็ถอนเสียแล้ว
     ข้าพเจ้าตัดพันธะเหมือนกะช้างตัดเชือก ไม่มีอาสวะ อยู่ในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ข้าพเจ้าก็มาดีแล้ว.

     วิชชา ๓ ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธะ ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้ากระทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว.
     ก็พระอัมพปาลีเถรี ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็พิจารณาทบทวนข้อปฏิบัติของตนแล้ว ก็เอื้อนเอ่ยคาถาเหล่านั้นเป็นอุทานแล.

           
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา วิสตินิบาต อัมพปาลีเถรีคาถา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=467
ภาพจาก http://topicstock.pantip.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Tumdee

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 51
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 05:21:42 pm »
0
อ้างถึง
พระอัมพปาลีเถรีเปล่งอุทานเป็นคาถาพรรณนาอปทานของท่านว่า
    ข้าพเจ้าเกิดในสกุลกษัตริย์ เป็นภคินีของพระมหามุนีพระนามว่าปุสสะ ผู้มีพระรัศมีงามดังมาลัยประดับศีรษะ ข้าพเจ้าฟังธรรมของพระองค์แล้วมีใจเลื่อมใส ถวายมหาทานแล้วปรารถนารูปสมบัติ.
    นับแต่กัปนี้ไป ๓๑ กัป พระชินเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นนายกเลิศของโลก ทรงส่องโลกให้สว่าง ทรงเป็นสรณะของ ๓ โลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว

    ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในสกุลพราหมณ์ กรุงอมรปุระที่น่ารื่นรมย์ โกรธขึ้นมาก็ด่าภิกษุณีผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว [อริยุปวาท] ว่า ท่านเป็นหญิงแพศยาประพฤติอนาจาร ประทุษร้ายศาสนาของพระชินเจ้า ครั้นด่าอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ตกนรกอันร้ายกาจ เพียบพร้อมด้วยทุกข์ใหญ่หลวง เพราะบาปกรรมนั้น จุติจากนรกนั้นแล้ว มาเกิดในหมู่มนุษย์ มีลามกธรรมทำให้เดือดร้อน ครองความเป็นหญิงแพศยาอยู่ถึงหกหมื่นปี ก็ยังไม่หลุดพ้นจากบาปอันนั้น เหมือนอย่างกลืนพิษร้ายเข้าไป.

     :sign0144: :sign0144: :sign0144:

    ข้าพเจ้าเสพเพศพรหมจรรย์ [บวชเป็นภิกษุณี] ในศาสนาพระชินเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ด้วยผลแห่งบุญนั้น ข้าพเจ้าก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นไตรทศ [ดาวดึงส์]
    เมื่อถึงภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเกิดเป็นโอปปาติกะ ที่ระหว่างกิ่งมะม่วง ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่อว่าอัมพปาลี ข้าพเจ้าอันหมู่สัตว์นับโกฏิห้อมล้อมแล้ว ก็บวชในศาสนาของพระชินเจ้า บรรลุฐานะอันมั่นคงไม่สั่นคลอน เป็นธิดาเกิดแต่พระอุระของพระผู้เป็นพุทธะ.

ช่วงนี้เป็นหัวใจของเนื้อเรื่องที่สำคัญ

  การกล่าวเล่า ของ อริยสาวิกา นั้น ท่านกล่าวเล่า บุพพกรรม ของท่าน ว่า โทษเพียงเรื่องเดียวนิดหน่อย รับ กรรม เป็นยาวนาน ถึง 3 พระพุทธเจ้า

   แค่ ถ่อยคำ ด่า พระอริยะที่เป็นพระอรหันต์    ว่า อีแพศยาชื่อไรนะ ถ่มน้ำลายลงที่ตรงนี้
   
   นึกถึงตรงนี้ คนที่ด่า พระอริยะ กันประจำอย่างสมัยนี้ แล้ว ทั้งอัดเสียงด่า ทำตำราด่า ทั้งออกประกาศด่า นึกดูแล้ว ว่าจะใช้กรรมอย่างไร อีกทั้งอย่างพวกที่ปรามาส พระอริยะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ รู้ ด้วย จะเป็นอย่างไร ?

   
   :49:
บันทึกการเข้า

pongsatorn

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 12:45:46 am »
0
 st11 st12
บันทึกการเข้า

doremon

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 171
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 12:47:12 am »
0
 st12 st12 st12 st12

 บรรดา พวก ปาก จัด ปาก ร้าย จะได้ รู้จัก ระวัง วาจา เสียบ้าง

 อ่านซะ เนาะ พวกชอบ ปรามาส ครูบา อาจารย์

  :49:
บันทึกการเข้า

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ภิกษุณีอรหันต์ กำเนิดจากต้นมะม่วง
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 04:06:57 pm »
0
 st12 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ