ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนไทย “ใจบุญ” ลดลง สถิติร่วงอันดับ 1 มาอยู่ที่ 4 เน้นทุ่มให้วัด  (อ่าน 1222 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

คนไทย “ใจบุญ” ลดลง สถิติร่วงอันดับ1มาอยู่ที่ 4
เน้นทุ่มให้วัด แต่จิตอาสาต่ำกว่า"เมียนมาร์-ปินส์"

“การบริจาคเงิน การเป็นอาสาสมัครอุทิศเวลา และการช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่ได้รับความเดือดร้อน”  เหล่านี้คือ ดัชนีชี้วัด “ความใจดี” ที่องค์กรการกุศล Charities Aid Foundation นำมาวัดเพื่อจัดทำ World Giving Index 2013 หรือผลสำรวจความใจบุญสุนทานของประชากรโลก ประจำปี 2556

ปรากฏว่าประเทศไทยติดอันดับที่ 4 ของการบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลมากที่สุดของโลก รองจาก ประเทศเมียนมาร์ สหราชอาณาจักร มอลตา ไอร์แลนด์และไทยอยู่ในอันดับที่ 4 เช่นเดียวกัน ซึ่งในปี 2553-2554 ไทยเคยติดอันดับ 1 ของโลก

รองศาสตราจารย์ ดร. ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในรายการ “คิดยกกำลัง 2” ที่ออกอากาศทางช่ององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมาว่า “คนไทยสละทรัพย์มาก สละเวลาน้อย โดยเฉพาะการทำบุญกับวัด แต่ไม่ได้ให้กับองค์กรการกุศล กับคนที่เดือดร้อน ซึ่งหลายประเทศก็ทำกัน แต่ของไทยจะทุ่มให้กับวัดเป็นส่วนใหญ่”


 :49: :49: :49:

จากผลการสำรวจพบว่าประเทศฟิลิปปินส์และเมียนมาร์ สองชาติในอาเซียนเป็นผู้นำไทยในเรื่อง จิตอาสาที่สละเวลาเพื่อทำประโยชน์กับสาธารณะหรือรวมตัวตั้งกลุ่มจิตอาสามากกว่าคนไทย

อาจารย์ชลิดาภรณ์กล่าวอีกว่าการทำบุญไม่ใช่เรื่องผิดและเป็นเรื่องที่เข้าใจได้แต่คำถามน่าคิดคือทำไมประเทศอื่นถึงลงเงินและลงแรงช่วยสาธารณประโยชน์มากซึ่งในไทยมีคำอธิบายมากมายแต่มีคำอธิบายหนึ่งที่อาจสะท้อนให้เห็นถึงเหตุผลจากคำถามที่ว่า การช่วยเหลือ การแก้ปัญหาสาธารณะ เป็นหน้าที่ของใคร หมายความว่าคนที่เชื่อว่าเรื่องของส่วนรวม ของสาธารณะประโยชน์เป็นหน้าที่ของรัฐ ของรัฐบาล ของระบบราชการ จะไม่ลงมือลงแรงทำอะไรเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งอาจสะท้อนสิ่งที่เกิดของสังคมไทยได้ที่มักบริจาคเงินมากกว่าอุทิศเวลากับงานกุศลต่างๆ


“ความเชื่อทางศาสนา การหักภาษีได้ การสร้างภาพลักษณ์ อาจเป็นคำอธิบายหนึ่งสำหรับคนที่ลงมือลงแรงสละเวลา แต่อีกส่วนหนึ่งมาจาก “ความโกรธ” ที่มีนัยยะทางการเมือง เพราะมีปัญหาเยอะแยะแต่รัฐบาลไม่ทำอะไรเลย ความโกรธนี่ทำให้คนกลุ่มต่างๆ ลุกขึ้นต่อสู้ และทำให้คนชนชั้นกลางเข้ากระโดดเข้ามาทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์มากขึ้น ซึ่งนอกจากความโกรธจะเป็นตัวเร้าให้คนชนชั้นกลางออกมาทำอะไร แต่ก็แฝงด้วยความกลัวที่หากรัฐบาลไม่ทำอะไร ประชาชนทุกข์ยากเข้าก็จะลุกฮือใหญ่ เกิดปัญหามาถึงชนชั้นกลางเองในที่สุด” อาจารย์ชลิดาภรณ์ กล่าว

ไม่แน่ว่าถ้าคนไทยนำ “ความโกรธ” ทางการเมืองมารวมตัวกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมบ้างอาจช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยได้ไกลกว่าก็เป็นได้...

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1397966604&grpid=01&catid=&subcatid=
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

waterman

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 302
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
บันทึกการเข้า