ญาณ คือ ปัญญา ซึ่งแบ่งออกเป็น
1. โลกียญาณ เป็นญาณที่สามารถเสื่อมได้เหมือนฌาน เพราะยังอยู่ในขั้นโลกียะ
2. โลกุตรญาณ เป็นญาณขั้นโลกุตระ คือ อยู่เหนือ หรือพ้นจากทางโลก จะไม่เสื่อมสลายไปแบบโลกียญาณ
ญานสามารถแบ่งได้เป็น ญาณ 3 และ ญาณ 16
คำว่า ญาณ ในความหมายเฉพาะ หมายถึง พระปรีชาหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้า ความรู้แจ้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียกเต็มว่า โพธิญาณ หรือ สัมมาสัมโพธิญาณ มี 3 อย่าง หรือที่เรียกว่าวิชชา3
วิชชาญาณ 3 คือ
1. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกถึงขันธ์ที่เกิดในอดีตได้ คือ ระลึกชาติได้
2. จุตูปปาญาณ ความรู้ในจุติและอุบัติของสัตว์โลกได้ เรียกว่า ทิพพจักขุญาณ หรือ ทิพยจักษุญาณ บ้าง
3. อาสวักขยญาณ ความรู้ในการกำจัดอาสวกิเลสให้สิ้นไป
ญาณที่1-2 จัดเป็นโลกียญาณสามารถเสื่อมไปได้ ส่วนญานที่3 คือ อาสวักขยญาณไม่เสื่อมไป เพราะเป็นโลกุตรญาณ
ญาณ3 ในส่วนอดีต-อนาคต-ปัจจุบัน
ได้แก่
1. อตีตังสญาณ หมายถึง ญาณในส่วนอดีต รู้เหตุการณ์ในอดีต
2. อนาคตังสญาณ หมายถึง ญาณในส่วนอนาคต รู้เหตุการณ์ในอนาคต
3. ปัจจุปปันญาณ หมายถึง ญาณในส่วนปัจจุบัน รู้เหตุการณ์ปัจจุบันว่่าใครทำอะไรอยู่
1,2,3 เสื่อมได้
ญาณ3 ในการหยั่งรู้อริยสัจจ์ (รอบสามอาการสิบสอง คือ การพิจารณาอริยสัจ4 สามรอบ)
ได้แก่
สัจจญาณ หมายถึง ญาณในการหยั่งรู้อริยสัจจ์แต่ละอย่าง
กิจจญาณ หมายถึง ญาณในการหยั่งรู้กิจในอริยสัจจ์
กตญาณ หมายถึง ญาณในการหยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจจ์
ทั้ง3ญาณนี้ไม่เสื่อม เพราะเป็นโลกุตรญาณ
ญาณ16 และ วิปัสสนาญาณ 9
ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค และคัมภีร์วิสุทธิมรรค มีการบรรยายขั้นต่างของการวิปัสสนา เป็น 16 ขั้น หรือเรียกว่า ญาณ16 (โสฬสญาณ) เป็นญาณที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญวิปัสสนา โดยลำดับตั้งแต่ต้น จนถึงจุดหมายคือมรรคผลนิพพาน คือ
1. นามรูปปริจเฉทญาณ หมายถึง ญาณกำหนดแยกนามรูป
2. นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ หมายถึง ญาณจับปัจจัยแห่งนามรูป
3. สัมมสนญาณ หมายถึง ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์
4. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณตามเห็นความเกิดและความดับแห่งนามรูป วิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้(ระหว่างเกิดถึงดับ เห็นเป็นดุจกระแสน้ำที่ไหล)
5. ภังคานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณตามเห็นจำเพาะความดับเด่นขึ้นมา(ระหว่างดับถึงเกิด)
6. ภยตูปัฏฐานญาณ หมายถึง ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว ไม่แน่นอน ดุจกลัวต่อมรณะที่จะเกิด
7. อาทีนวานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณคำนึงเห็นโทษภัยของสิ่งทั้งปวง ผันผวนแปรปรวน พึ่งพิงมิได้
8. นิพพิทานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณคำนึงเห็นด้วยความเบื่อหน่าย
9. มุจจิตุกัมยตาญาณ หมายถึง ญาณหยั่งรู้อันใคร่จะพ้นไปเสีย
10. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อจะหาทางหนี
11. สังขารุเบกขาญาณ หมายถึง ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขาร
12. สัจจานุโลมิกญาณ หมายถึง ญาณเป็นไปโดยควรแก่การหยั่งรู้อริยสัจจ์(พิจารณาวิปัสสนาญาณทั้ง๘ที่ผ่านมา ว่าเป็นทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์ก็เห็น สมุทัย นิโรธ มรรค โดยแต่ละญาณเป็นเหตุเกิดมรรค ทั้ง๘ ตามลำดับ )
13. โคตรภูญาณ หมายถึง ญาณครอบโคตร คือ หัวต่อที่ข้ามพ้นภาวะปุถุชน (ถ้าเป็นอริยบุคคลแล้ว จะเรียกว่าวิทานะญาณ)เห็นความทุกข์จนไม่กลัวต่อความว่าง ดุจบุคคลกล้าโดดจากหน้าผาสู่ความว่างเพราะรังเกียจในหน้าผานั้นอย่างสุดจิตสุดใจ
14. มัคคญาณ หมายถึง ญาณในอริยมรรค
15. ผลญาณ หมายถึง ญาณอริยผล
16. ปัจจเวกขณญาณ หมายถึง ญาณที่พิจารณาทบทวน
แต่เมื่อกล่าวถึงวิปัสสนาญาณโดยเฉพาะ อันหมายถึงญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา หรือญาณที่จัดเป็นวิปัสสนา จะมีเพียง 9 ขั้น คือ ตั้งแต่ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถึง สัจจานุโลมิกญาณ (ตามปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (ขั้นหนึ่งใน วิสุทธิ7) ที่บรรยายในคัมภีร์วิสุทธิมรรค แต่ในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ นับรวม สัมมสนญาณ ด้วยเป็น10ขั้น)
วิปัสสนาญาณคืออุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ภังคานุปัสสนาญาณ นั้นเห็นอนิจจัง
วิปัสสนาญาณคือภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวานุปัสสนาญาณ นิพพิทานุปัสสนาญาณ นั้นเห็นทุกขัง
วิปัสสนาญาณคือมุจจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ สังขารุเบกขาญาณ นั้นเห็นอนัตตา
ตอบข้อ1.
ในญาณทั้ง16 นี้ มีเพียงมรรคญาณ และผลญาณเท่านั้น(ญาณที่14-15) ที่เป็นญาณขั้นโลกุตระ คือ เหนือหรือพ้นจากทางโลก จึงหลุดพ้นหรือจางคลายจากทุกข์ตามมรรค,ตามผลนั้นๆ จึงไม่เสื่อมสลายไป ส่วนที่เหลือยังจัดเป็นขั้นโลกียะทั้งสิ้น จึงเสื่อมสลายไปได้
ตอบข้อ2.
ญาณที่เกิดในอัปปนาสมาธิไม่ต่างจากญาณที่เกิดในอุปจารสมาธิและขณิกสมาธิ
แต่องค์ธรรมที่ใช้พิจารณาต่างกัน กล่าวคือ ในอัปปนาสมาธิ หรือสมาธิขั้นฌาน จะใช้องค์ฌานในการพิจารณาไตรลักษณ์
จากฌาน1 ทำไปๆ เกิดเข้าฌาน2 เกิดปีติสุข แล้วปีติสุขดับไป ก็เข้าฌาน4 เกิดเป็นอุเบกขา ทำให้เห็นความไม่เที่ยงของปีติสุข
หรืออยู่ฌาน4 นิ่งสงบในเอกัคคตารมณ์อยู่ดีๆก็หลุดออกมาอยู่อุปจารสมาธิ(เฉียดฌาน) กลับมาอยู่กับบริกรรม(คำบริกรรมหรือลมหายใจ หรือเกิดความคิดวิ่งเข้ามาใหม่) ก็เห็นความไม่เที่ยงของเอกัคคตาเช่นกัน
ส่วนอุปจารสมาธิและขณิกสมาธิ ยังคงมีความคิดและยังรู้สึก(มีเวทนา)ทางกายอยู่
จึงใช้กาย เวทนา จิต ธรรม (สติปัฏฐาน4) ในการพิจารณาองค์ธรรมในขั้นวิปัสสนาได้
โดยใช้สติพิจารณาองค์ธรรมที่ปรากฏ เช่น ลมหายใจ(กาย) มีเข้าก็ต้องออก เวทนา พิจารณาทุกข์จากเหน็บกินที่ขา
จิต ก็ดูว่่า จิตมีราคะ ไม่มีราคะ ฯลฯ ดูธรรม คือ ไตรลักษณ์ (ไม่เที่ยง จางคลาย ดับหาย ปล่อยวาง)