ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - ลูกคิด
หน้า: 1 2 [3]
81  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สมัยพุทธกาล "อรหันต์ประเภทไหนมีมากที่สุด" เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 02:58:36 pm
ตามพุทธทำนาย พุทธวงศ์ นะครับ

   หลังจาก 2000 ปีไปแล้ว คงเหลือ พระอนาคามี เป็นส่วนใหญ่ครับ

   ส่วนพระอรหันต์ ถ้ามี ก็คำตอบนี้ตอบไว้ด้านบนแล้วครับ

   พระปัญญาวิมุตติ เป็นหลักอยู่แล้วครับ

   แต่พระพุทธดำรัส ของพระพุทธเจ้า ก่อนปรินิพพาน ตรัสว่า

    ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติตาม อริยมรรค ตราบนั้นโลกนี้ยังไม่ว่าง จากพระอรหันต์

   แต่ผมว่าการถามหา พระอรหันต์ นั้น เป็นเรื่องที่เราทั่วไปเข้าใจอยาก

   ที่บ้านผมมีอยู่ 2 องค์ นั่น ก็คือ พ่อ และ แม่ ผมเอง

   ผมจึงทำบุญ ด้วย กตัญญูกับท่านเป็น หลักก่อน
 
   ส่วนพระอรหันต์ ที่เขาพูดกันทั่วไป นั้นผมแทบจะไม่สน ผมสนเำพียงหลักธรรม เท่านั้นครับ....

   เพราะหลักธรรม มีความสำคัญ ถ้าธรรม นั้นทำให้พ้นจากความทุกข์ ทางใจได้จริง ผมถึงจะยอมรับแนวภาวนา

   ครับ....

   :25:
82  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เทคนิคฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 06:03:30 pm
 :08:

ทึ่งตรงทานไขมันด้วย นี่แหละ
83  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ธรรมชาติบำบัดกับการสั่งจิตใต้สำนึก ... เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 11:16:56 am
ธรรมชาติบำบัดกับการสั่งจิตใต้สำนึก ...

การ สั่งจิตใต้สำนึกอยู่บนทฤษฎีที่ว่า จิตของเราเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของร่างกาย หรือเรียกว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" จิตของเราประกอบขึ้นด้วย 2 ส่วน ได้แก่จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก

**จิตสำนึก  เป็นตัวกำหนดกริยาท่าทาง การเข้าสังคม เดินเหิน ทำการงานในชีวิตประจำวัน มีพลังงานเพียง 10 % เท่านั้น

**ส่วนจิตใต้สำนึก  เป็น ตัวเก็บรับข้อมูลต่างๆ ทั้งหลายในชีวิตตั้งแต่อดีตกาลอันไกลโพ้นจนถึงปัจจุบัน สั่งจิตให้เพิ่ม-ลดน้ำหนักคน สั่งจิตใช้กระดาษตัดตะเกียบให้ขาด

ทั้งข้อมูลที่ดีและเลว จิตใต้สำนึกยังควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน ทั้งหัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ตับม้าม ต่อมฮอร์โมนต่างๆ โดยระบบประสาทอัตโนมัติ จิตใต้สำนึกมีอำนาจถึง 90%



ถ้า จิตใต้สำนึกของเรารับรู้แต่ข้อมูลดีๆ อวัยวะภายในของเราก็ทำงานสงบเรียบร้อย เป็นปกติ แต่ถ้าจิตใต้สำนึกของเรารับรู้แต่ข้อมูลแย่ๆ ความเร่งรีบ เคร่งเครียด ผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจ ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนเราจะต้องมีสิ่งที่ไม่สมหวังในชีวิตบ้าง แต่ถ้า ไม่รู้จักวิธีที่จะระเหิดความกดดันเหล่านั้นออกไป ประสบการณ์และอารมณ์ด้านลบเหล่านี้จะถูกสะสมอยู่ในจิตใต้สำนึก และรบกวนการทำงานของอวัยวะภายในได้ เช่นผู้ที่เครียดจัด มักอาหารไม่ย่อย ปวดกระเพาะ ใจเต้นสั่น หอบเหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ อารมณ์แปร ปรวน น้ำตาลในเลือดสูง กระทั่งมีภาวะไขมันในเลือดสูงด้วย เนื่องจากการทำงานของตับ ของต่อมฮอร์โมนต่างๆ รวนเรไป ไม่สามารถหมุนใช่ไขมันในร่างกายให้เป็นปกติได้

ด้วย เหตุนี้ ถ้าเรามีวิธีผ่อนคลายความเครียดก็เท่ากับช่วยเปิดโอกาสให้อวัยวะในทำงานเข้า สู่ภาวะปกติ ซึ่งถ้าได้รับการปฎิบัติผ่อนคลายด้วยการสั่งจิตใต้สำนึกให้สงบ เช่น การฝึกสมาธิ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้า - ออก หรืออาณาปานสติ ก็จะทำให้จิตสงบ สะอาด สว่าง และว่องไวในการทำงาน ช่วยลดความเครียดปรับสภาพร่างกายและจิตใจสู่ดุลยภาพ จึง ใช้วิธีนี้บำบัดโรคได้อีกหลายโรค เช่น โรคนอนไม่หลับ โรคความดันเลือดสูง ภูมิแพ้ หอบ หืด เครียด ภาวะอาหารไม่ย่อย โรคแผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
84  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มนุษย์ ที่ชอบหาเรื่อง จริง ๆ เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 11:18:04 am














..>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

ชอบหาเรื่อง กันจริง ๆ เลย นะครับ

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
85  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ลดน้ำหนักแบบ ชาวพุทธ เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 04:53:51 pm
ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ


โรคอ้วน กำลังคุกคามประชากรโลก จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรน้ำหนักตัวสูงกว่ามาตรฐานถึง 50% และกว่า 30% เป็นโรคอ้วน จนถึงประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจเจริญสูงสุดก็มีปัญหาเรื่องโรคอ้วนเพิ่มขึ้น ปัญหาโรคอ้วนระบาดทั่วโลกจนองค์การอนามัยโลกต้องประชุมเพื่อหาสาเหตุ

โรคอ้วนเดิมเข้าใจว่าเกิดจากความไม่สมดุลของพลังงานจากการรับประทานอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายเผาผลาญ จึงเหลือสะสมเป็นไขมัน

แต่จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบันกลับพบว่า โรคอ้วนเป็นปัญหาของพันธุกรรมซึ่งแฝงและแสดงออกเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง

พบพันธุกรรมกว่า 25 จุดควบคุมน้ำหนักตัว เป็นขบวนการซับซ้อนหลายขั้นตอน ตั้งแต่การสะสมและการกระจายของเซลล์ไขมัน การสันดาป การตอบสนองของการเผาผลาญพลังงานในภาวะปกติหรือเมื่อออกกำลังกาย ระบบควบคุมปริมาณอาหาร การเลือกชนิดของอาหารที่จะรับประทานและความรู้สึกอิ่ม โดยสมองเป็นศูนย์กลางควบคุม

คนอ้วนมีการปรวนแปรของระบบภายในสมองมีสารเคมีหลั่งหลายชนิดผิดปกติ ทำให้การสั่งงานของระบบทางเดินอาหาร ระบบต่อมไร้ท่อและระบบเผาผลาญผิดปกติ เช่น รู้สึกชอบรับประทานอาหารซึ่งมีพลังงานสูงและรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา

พฤติกรรมดัง กล่าวจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง กระตุ้นการสร้างอินซูลินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดเป็นไกลโคเจนไปเก็สะสมในตับ กล้ามเนื้อ และบางส่วนเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในเซลล์ไขมันอย่างต่อเนื่องและพบว่าพลังงาน ที่สะสมในเซลล์ไขมันจะไม่สามารถนำกลับมาเผาผลาญได้ เมื่อรับประทานเกินกว่าร่างกายเผาผลาญส่วนเกินก็เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไปตลอด

จึงพบว่าในผู้สูงวัยซึ่งมีกิจกรรมลดลง มีไขมันบริเวณหน้าท้องเพิ่ม คือ อ้วนลงพุงขึ้นทั้งๆ ที่รับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิม การรักษา น้ำหนักตัวให้ลดลงมาจึงควรลดอาหารซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลขึ้นสูงรวดเร็ว เพราะอาหารชนิดดังกล่าวจะกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน ปริมาณอินซูลินที่สูงจะควบคุมให้ระดับน้ำตาลลดลงต่ำอย่างรวดเร็วทำให้หิว ง่ายต้องรับประทานบ่อยครั้ง

จึงมีทฤษฎีให้รับประทานอาหารชนิดเพิ่มน้ำตาลแบบค่อยเป็นค่อยไป (low glycemic index diet) เช่น ผัก ผลไม้และเมล็ดธัญพืช เพื่อให้รู้สึกอิ่มนานๆ

แต่ในทางปฏิบัติคงจะยาก จนกว่าเราจะเข้าใจว่ารับประทานเพื่อระงับความหิว ไม่ควรรับประทานเพื่อระงับความอยาก หรือเพื่อความสนุกสนาน

การระงับกิเลศฝืนความอยากรับประทาน ที่ถูกยั่วยวนทางตา หู กลิ่น รส จากสื่อต่างๆ จึงเป็นเรื่องทำได้ยาก ในขณะที่เมืองไทยก็อุดมไปด้วยสารพัดอาหารแสนอร่อยทุกซอกซอยให้ลิ้มลอง ดังนั้นคุณจะต้องมีสติไตร่ตรองเท่านั้นจึงจะสามารถระงับความอยากรับประทานได้

ส่วนการควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกายก็เป็นเรื่องยากในคนอ้วน เพราะการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันที่สะสมแล้วจะต้องออกกำลังแบบออกแรง มาก (moderate-intensity activity) เช่น การเต้นแอโรบิค 1 ชั่วโมง/วัน จะทำให้เหนื่อยมาก เกิดปัญหาข้อเสื่อมจากข้อต้องรับน้ำหนักตัว และการเสียดสีของผิวก็ทำให้ผิวหนังอักเสบ

คนอ้วนจึงไม่ชอบออกกำลังกาย ส่วนการออกกำลังกายแบบเบา (light intensity activity) เช่น การเดินหรือการว่ายน้ำต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง การออกกำลังกายของคนอ้วนจึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดังนั้นการออกกำลังกายของคนอ้วนจะไม่มีประโยชน์ในด้านลดน้ำหนักแต่การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

การออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคอ้วนก็เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเป็นธุรกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ศูนย์ออกกำลังกายลดน้ำหนักผุดขึ้นทุกศูนย์การค้าและทุกตึกสูงเพื่อให้ ผู้ที่ชอบตามใจปากได้เผาผลาญพลังงานส่วนเกินออก ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็ทราบดีว่าการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คือการรับประทานให้พอดี

ในทางพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าได้หาทางแก้ไขไว้เรียบร้อยมานานกว่า 2500 ปีแล้ว คือการสอนให้พิจารณาอาหารก่อนรับประทาน ต้องมีสติ ต้องรู้เท่าทันกิเลศ

การเจริญสติในพระพุทธศาสนาก็เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดพุทธะภายในใจ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิตอย่างถูกต้อง

การพิจารณาอาหารเป็นการเจริญสติรับรู้กับอิริยาบถ ในขณะรับประทานอาหาร รับประทานอาหารเพียงเพื่อให้มีพลังงานสำหรับปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และการรับประทานอาหารหนักมื้อเพล(มื้อเที่ยง) รับประทานน้อยในมื้อเย็น ช่วยให้ไม่มีพลังงานเหลือขณะพักผ่อนในเวลากลางคืน ในขณะขบเคี้ยวก็ต้องกำหนดรู้ชนิดอาหารจึงรับประทานช้าลง ช่วยให้ระดับน้ำตาลไม่พุ่งสูงเร็ว การหลั่งอินซูลินจะช้าทำให้ไม่หิวบ่อย

การมีสติจะทำให้เกิดความยับยั้งที่จะรับประทานตามความอยาก  เกิดปัญญาหยั่งทราบว่าถ้าทำตามความอยากก็จะเกิดปัญหาสุขภาพคือแก่เร็ว เจ็บป่วยตามมา

โดยสรุปการรับประทานแบบพุทธะ คือ มีสติกับการรับประทานอาหาร ดังนี้

- ไม่เพลิดเพลิน สนุกสนานกับการรับประทานอาหาร
- ไม่คำนึงว่าอาหารจะทำให้สวยงามหรือเกิดกำลังกายแข็งแรง
- รับประทานเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสะดวก สบาย และเพียงเพื่อระงับเวทนา คือความหิว
- ไม่สร้างเวทนาอื่นขึ้นมาเพิ่ม เช่น อาการแน่นอึดอัดหรือสะสมเป็นไขมัน คือเกิดโรคอ้วนตามมา

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การเจริญสติ ทำให้การทำงานของสมองด้านขวาเด่นชัดขึ้นซึ่งอาจมีผลทำให้ระบบการควบคุมในสมองกลับสภาพปกติ

ดังนั้นการฝึกสติโดยสวดบทพิจารณาอาหารอย่างเข้าใจความหมายก่อนรับประทานอาหาร จะมีอานิสงค์จะช่วยควบคุมน้ำหนักป้องกันโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ




ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Health Today
86  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / Re: แม่ฆ่าลูกตาย ขณะเล่นเกมส์ เหตุโมโหร้องไห้รบกวน ขณะเล่นเกมส์ปลูกผัก เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 01:15:09 pm


ผมว่าแย่ กว่าสัตว์อีกนะครับ กับคนที่ ฆ่าลูก ตัวเอง
87  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: ประกาศ อนุโมทนา บุญกุศลเรื่อง กิจกรรมการเผยแผ่เว็บ www.madchima.org เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2010, 12:01:05 pm
 :happybirthday3: ครบปีแล้ว หรือเนี่ย

ผมว่า พระอาจารย์ น่าจะจัดวัตถุมงคลแจกให้กับ ผู้เป็นสมาชิก ครบปี ด้วยนะครับ

( ผมพูดจริง ๆ ครับ แบบว่าอยากได้มานานแล้ว เท่าที่ผมทราบ ตะกุด อยากได้จริง ๆ)

อนุโมทนา กับ พระอาจารย์ และ ทีมงานด้วยครับ

 :25: :25: :25:
88  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: การให้อภัย เป็นสิ่งที่ควรทำหรือ ในกรณีอย่างนี้... เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 11:16:17 am
การให้อภัย เหมือนกับการแผ่ เมตตา หรือป่าวคะ

แต่บางครั้งก็ต้องนึกถึงพระดำรัสของพระพุทธเจ้าคะ

   สละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ

   สละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต

   สละชีวิต เพื่อรักษาธรรมะ

  ผมว่าถ้าเขามาตบหัว ผมทุกวัน จะให้อภัยเขาคนนั้น  แล้วละก็ ไม่ทำใจอยากนะครับ

  ถ้าหยุดทำร้ายเราแล้ว จริง ๆ นี่สิควรจะให้อภัย

   :96:
89  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: มีหนังสือ ธรรมะ ไฟล์ PDF ให้โหลดอ่านคะ เชิญตามเข้ามาเลยนะคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 12:34:49 pm
ชอบอ่านครับ แต่ต้องอ่านหลายวันครับ

พยายามจะฝึกอ่านให้จบเหมือนการ์ตูน ทำไม่ได้สักที ครับ
 :25:
90  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เวลาพ่อแม่ ทำบุญ เราได้บุญหรือป่าวคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2010, 01:05:56 pm
ยังไม่มีใครตอบเรื่องนี้ เลยครับ ช่วบหน่อยครับ

ผมก็ตามอ่านอยู่เหมือนกัน
91  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: “ธรรมจักร” บนธงชาติอินเดีย กับ “เสาอโศก” สัมพันธ์กันอย่างไร เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 10:05:43 am
พึ่งทราบเหมือนกันครับ

แต่คนอินเดียวใส่ล้อเกวียน ไม่น่าจะเกี่ยวกับ พุทธศาสนา :c017:
92  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ความเมตตา ทำไมจึงเป็นเหตุให้พัฒนาเป็นความโกรธได้คะ เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 01:46:29 pm
อนุโมทนา กับ หลาย ๆ คน ที่รื้อเรื่องนี้มาให้อ่าน

 :25: :25:
93  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อริยสัจจะ 4 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:36:08 pm
มีผู้ดำเนินการ เผยแผ่ธรรมะ ที่เป็นฆราวาส มากมาย

 แต่ก็ไม่เห็นมีใครกล่าวกระทบกระเทียบ ใครเลย จริงๆ 

:25: :25:
94  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นอนกรน แก้ไขได้ ฮับ เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:26:55 pm
นอนกรนแก้ไขได้

<



นอนกรน เป็นภาวะผิดปกติอย่างหนึ่งของการนอนที่ไม่ควรละเลย เพราะผลกระทบจากการนอนกรนสร้างปัญหาต่อการดำเนินชีวิตและปัญหาเกี่ยวกับ สุขภาพมากมาย การนอนกรนมีทั้งประเภทที่อันตรายและไม่อันตราย ซึ่งมีลักษณะดังนี้

๑. ประเภทที่ไม่อันตราย คือการกรนที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน ซึ่งจัดเป็นชนิดไม่อันตราย ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ กลุ่มนี้มักมีการอุดกลั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย
๒. ประเภทที่อันตราย เกิดจากการที่มีทางเดินหายใจแคบมากเวลาหลับ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเสียงกรนไม่สม่ำเสมอ เมื่อยังหลับไม่สนิทจะยังเป็นการกรนที่สม่ำเสมอ แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ มีเสียงกรนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยจะมีช่วงที่กรนเสียงดังและค่อยสลับกันเป็นช่วงๆ และจะกรนดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะมีช่วงหยุดกรนไปชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการหยุดหายใจ
อันตรายจากการนอนกรนที่มีการหยุดหายใจขณะหลับ
๑. ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกนอนไม่พอ ทำให้เกิดอาการง่วงนอน ซึ่งเป็นผลเสียต่อการเรียน การทำงาน หรือเกิดอุบัติเหตุในการขับรถหรือการควบคุมเครื่องจักรกล
๒. ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความสามารถในการจดจำลดลง หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ
๓. มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆมากขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง เช่น อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด (อาจทำให้เสียชีวิตทันที เพราะหัวใจทำงานผิดปกติขณะเกิดภาวะหยุดหายใจในช่วงนอนหลับ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าไหลตาย) ได้มากกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร
๔. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ

การรักษาการนอนกรน
๑. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์
๒. ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายและกล้ามเนื้อแข็งแรง
๓. หลีกเลี่ยงการนอนหงาย โดยพยายามนอนในท่าตะแคงข้าง และนอนศีรษะสูงเล็กน้อย
๔. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยานอนหลับ หรือยากล่อมประสาทก่อนนอน
๕. กรณีที่เป็นการนอนกรนชนิดอันตรายที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย รักษาโดย
- เครื่องช่วยหายใจ เป็นเครื่องครอบจมูกขณะหลับ เพื่อทำให้หายใจสะดวกขึ้น วิธีนี้ปลอดภัยและได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกราย
- จี้กระตุ้นให้เพดานอ่อนหดตัวลง โคนลิ้นหดตัวลง
- การผ่าตัวเอาส่วนที่ยืดยานออก

อาการนอนกรนไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสียงที่สร้างความรำคาญเท่านั้น แต่อันตรายจากการนอนกรนอาจรุนแรงถึงขั้นหยุดหายใจและนำมาซึ่งการเสียชีวิต ได้ หากสังเกตุเห็นคนใกล้ตัวมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการนอนกรนควรพบแพทย์เพื่อทำ การวินิจฉัยและเข้ารับการรักษา
   
95  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 3 พระสูตรที่ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 12:52:54 pm
อ้างถึง
อ่านแล้ว ก็เห็นด้วย ครับ คุณ tumnum หงาย

แ่ต่ เดี๋ยวโดนกล่าวว่าเป็นพวกมาร อีก

 :25:
96  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: แม่ แม้หมดลมหายใจก็ยังไม่หมดรัก เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 11:26:26 am
ผมไม่เห็นวีดีโอ เลยครับ ผมใช้โปรแกรม IE8 ครับ

เห็นแต่น่าโล่ง ๆ ต้องทำอย่างไรครับ
97  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาวะจิตของคุณ อยู่ในภพภูมิใด เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 10:21:52 am
ภาวะจิตคุณ..อยู่ในภพภูมิใด


เอามาฝาก...เพื่อสำรวจจิตตัวเองนะคะว่า..ตอนนี้เราสั่งสมบุญมาอยู่ในระดับใด จะได้เป็นกำลังใจในการเร่งสร้างบารมีต่อไปค่ะ
ที่มา : “ภูมิจิต ๑๓” ระดับจิตสัตว์อันจะนำไปสู่ภพต่างๆ หรือหมดสิ้นภพต่างๆ จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net

“ภูมิจิต ๑๓” ระดับจิตสัตว์อันจะนำไปสู่ภพต่างๆ หรือหมดสิ้นภพต่างๆ


มนุษย์สามารถจะพยากรณ์ชาติภพหน้าของตนเองได้จากกรรมที่กระทำเสมอในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากจิตของคนเรา ซึ่งมีระดับที่ค่อนข้างคงที่และตรวจวัดได้เมื่อมีอายุสูงขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงน้อยลง และระดับจิตคงที่นี้เอง ที่ยังผลให้ไปเกิดภพต่างๆ อีกทั้งจิตนี่แหละ คือ ผู้ก่อสร้างภพชาติทุกขณะจิต หากจิตระลึกภาวนาถึงสิ่งใดอยู่เสมอก็จะสร้างภพสร้างชาติในสิ่งนั้นๆ เช่น การระลึกถึงตรึกแต่เรื่องเงินทอง จิตก็จะสร้างภพชาติแห่งความโลภ อันเป็นเหตุให้เกิดภพเปรตได้ หากจิตระลึกแต่พระพุทธเจ้า จิตก็จะสร้างภพแห่งความดีงาม ยังผลให้ไปเกิดถึงสวรรค์ชั้นดุสิตได้ แต่หากจิตระลึกถึงการสิ้นไปของชาติภพ ก็จะไม่ส่งผลให้เกิดชาติภพต่อไป คือ นิพพาน การพิจารณาระดับจิตของตนจะช่วยให้เรารู้ตัว และพัฒนาระดับจิตให้สูงขึ้นได้ดีขึ้น จิตของคนเรามีระดับหลายระดับด้วยกัน สามารถพิจารณาได้ไม่ยากเป็น ๑๓ ประเภท เรียงจากต่ำสุดไป ดังนี้คือ

นรกภูมิ คือ จิตที่ก่อแต่กรรมเลว แล้วหลงผิดคิดว่าดีเพราะเชื่อคนเลวในคณะ

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดยัง “นรก” จะมีลักษณะทำความชั่วมากกว่าความดี ไม่เชื่อเรื่องกรรม ศีลบกพร่องถึงขั้นไม่มีเลย มีความเชื่อเดียวกันเองในกลุ่มย่อย ที่ไม่สอดคล้องกับธรรมสากล คนที่ต้องตกนรกแน่นอน เช่น คนที่ติดสุราต้องกินทุกวันแม้มีคนทักท้วงห้ามก็จะโมโหใส่, คนที่มีมิจฉาอาชีวะ ต้องโกงกินหรือเบียดเบียนผู้อื่นเป็นอาชีพ, คนที่คบชู้และทำร้ายจิตใจผู้ที่รักตนอย่างหนัก, คนที่ไม่สนใจทำบุญทำทาน รังแต่จะจับผิดนินทาคนที่ตั้งใจทำความดี เป็นต้น คนเหล่านี้ ไม่อาจหลุดพ้นนรกไปได้เลย

เปรตภูมิ คือ จิตที่ตระหนี่ เพราะหลงผิดคิดว่าไม่ทำร้ายใครก็ถือว่าตนดีแล้ว

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเปรต แม้ไม่ถูกทรมานในนรก ก็จะต้องพบกับความหิวโหยทรมานอยู่เป็นนิตย์ จะมีลักษณะไม่ทำความดี ไม่ทำบุญทำทานเลย ตระหนี่ถี่เหนียวอยู่ตลอดเวลา ถือคติว่า “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด” และคิดว่าทำไมต้องช่วยคนอื่นด้วย นี่เป็นทรัพย์อันชอบธรรมของตนแล้ว สมควรเลี้ยงดูตนเอง ไม่สมควรแบ่งปันแก่ใคร แม้นไม่ทำร้ายใครมาก แต่ไม่มีบุญเลี้ยงตัวเลยเมื่อตายลง จึงเกิดเป็นเปรตที่หิวโหยอยู่เป็นนิตย์ ลักษณะของคนประเภทนี้ ไม่สามารถหลุดพ้นจากความเป็นเปรตไปได้

เดรัจฉานภูมิ คือ จิตที่ทำดีต่อคนเลว แล้วทำเลวต่อผู้อ่อนแอกว่าเพราะความกลัว

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องหาอาหารด้วยการกินกันเป็นทอดๆ เมื่อจะกินต้องล่าผู้อื่น เมื่อถึงคราวเคราะห์ต้องถูกผู้อื่นล่ากิน และต้องตายอย่างทรมาน ชีวิตทั้งชีวิตลำบากลำบน แม้มีอาหารกินบ้าง แต่ก็ยังต้องเสี่ยงชีวิต ต้องแก่งแย่งอาหารกับเดรัจฉานอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นคนที่ทำดีแต่กับคนที่มีอำนาจเหนือตน หรือข่มตนได้ และตนเองจะข่มเหงผู้อื่นที่อ่อนแอหรืออำนาจน้อยกว่าตนต่อไป เช่น นายจ้างที่ยอมนักการเมือง แต่เบียดเบียนใช้แรงงานพนักงานอย่างหนัก จนพวกเขาไม่สามารถไปทำบุญได้ทุกวันพระ คนเหล่านี้ เมื่อตายลงชดใช้กรรมในนรกแล้วจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อ มีจิตเป็น “เดรัจฉาน” คือ นิยมอำนาจและการกดขี่กันเป็นทอดๆ

มนุษย์ภูมิ คือ จิตที่พุ่งไปสู่ความหมดสิ้นไปแห่งกรรม เพราะความเบื่อการเกิด

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นคน มีความสุขอยู่บ้าง มีวิวัฒนาการสูงที่สุดในสรรพสัตว์ทั้งหลาย สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่ายที่สุด และมีโอกาสสะสมบุญบารมีมากที่สุดเหนือกว่าภพอื่นๆ ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ไม่ปรารถนาจะเกิดอีก เพราะเหนื่อยล้ากับการเกิด หรือกลัวการเกิด อยากชดใช้กรรมให้หมดสิ้นไป หากเป็นมนุษย์ที่บรรลุโสดาบัน จะเกิดในภพที่ไม่ต่ำกว่ามนุษย์ หากเป็นเทวดาที่ไม่อยากเกิดอีก ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ หากเป็นเทวดาที่อยากชดใช้กรรมก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์เช่นกัน หรือเป็นผู้ที่รอการเกิดเป็นมนุษย์มานานและได้ชดใช้กรรมในภพอื่นๆ หมดสิ้นแล้วจึงถึงคิวเกิด
 
จตุโลกภูมิ คือ จิตที่ทำความดีแบบมีเงื่อนไข เป็นบุญไม่สมบูรณ์เจือด้วยบาป

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “จตุมหาราชิกา” ซึ่งเป็นเทวดาที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สมประกอบ มีความบกพร่องต่างๆ เช่น ยักษ์ จะมีรูปร่างไม่เหมือนเทวดา หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว, นาค แม้ถอดกายทิพย์เป็นเทวดาสวยงาม แต่มีร่างเหมือนงูขนาดใหญ่, กุมภัณฑ์มีรูปร่างพิกลพิการในแบบต่างๆ, คนธรรพ์ ที่มีรูปกายแบบเทวดาสมบูรณ์แต่ไม่วายต้องได้รับผลกระทบจากการที่สถิตอยู่ ใกล้โลก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะปกติเป็นคนชอบทำบุญ แต่เป็นบุญเจือบาป ทำดีแบบมีเงื่อนไขต้องการสิ่งตอบแทน เช่น ลาภสักการะ ทำบุญเจือกิเลสประเภทต่างๆ เช่น ช่วยคนไปด่าไป ทำให้เขาทุกข์ใจ เทวดาชั้นนี้จึงมีภาระเกี่ยวข้องกับโลกมาก ต้องสะสมบุญบารมีมาก จึงไปสู่ภพที่ดีขึ้นได้

ดาวดึงส์ภูมิ คือ จิตที่ทำความดีอย่างบริสุทธิ์ แต่อาลัยอาวรณ์ห่วงหาญาติมิตร

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดาวดึงส์” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อันพ้นจากเขตของพื้นโลก สงบจากความวุ่นวายของมนุษย์ จัดเป็นสวรรค์ที่แท้จริงชั้นแรก แต่ยังคงต้องมีหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันไปดูแลมนุษย์โลก ทำให้ต้องขึ้นๆ ลงๆ สวรรค์และโลกในยามที่ต้องไปช่วยเหลือมนุษย์ เห็นที่เป็นเช่นนี้ เพราะจิตยังอาลัยในโลกมนุษย์ พวกพ้องและญาติมิตรมาก แม้ทำบุญด้วยจิตบริสุทธิ์ เป็นบุญที่ไม่เจือด้วยบาปแบบเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาก็ตาม ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำบุญสม่ำเสมอ มีจิตใจมั่นคงเชื่อในศาสนา แต่ยังมีความอาลัยในโลกมาก ห่วงญาติมิตรมาก ทำให้ไปไม่ไกล อยู่เพียงสวรรค์ชั้นต้น รอคอยเวลามาช่วยมนุษย์โลกเสมอ

ยามาภูมิ คือ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อให้พ้นไปจากความเป็นมนุษย์ปุถุชน

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ยามา” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกอีก เพราะไม่ต้องรับหน้าที่หมุนเวียนกันดูแลโลกมนุษย์มากเหมือนเทวดาชั้น ดาวดึงส์ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะได้ทำบุญใหญ่ไว้มาก หรือจิตไม่มีความห่วงหาอาลัยในโลก มีความยินดีในผลบุญและการเสวยสุขบนสวรรค์อันแท้จริง ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่มักทำบุญใหญ่และทำสม่ำเสมอ เช่น เป็นเจ้าภาพในงานสร้างอุโบสถ, การบวชพระทั้งชีวิต ดำรงตนในศีลไม่บกพร่อง แต่ไม่บรรลุธรรมหรือการฝึกจิตใดๆ มีจิตไม่อาลัยในโลก อยากหลุดพ้นจากเรื่องวุ่นวายทางโลก บุคคลที่ดำรงตนเช่นนี้ ประพฤติตนเช่นนี้สม่ำเสมอ จึงมาเกิดที่สวรรค์ชั้นนี้ได้

ดุสิตภูมิ คือ จิตที่ทำความดีเพื่อมหาชน เพื่อความเป็นพระโพธิสัตว์โปรดผู้คน

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ดุสิต” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่ต้องมีภาระวุ่นวายกับเรื่องทางโลกแล้วยังมีโอกาสได้พบกับพระ โพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรรอการจุติอยู่ที่ชั้นดุสิต ทำให้นอกจากไม่ต้องยุ่งเรื่องทางโลกแล้ว ยังมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโพธิสัตว์อีกด้วย ระดับจิตแบบนี้ เป็นผู้ที่ทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลบุญให้เป็นของตนเอง ทำเพราะเมตตาสงสารอยากช่วยเหลือผู้อื่นเป็นวิสัย เช่น เป็นผู้ชอบเก็บสุนัขจรจัดมาเลี้ยงเพราะสงสาร เป็นต้น

นิมานรดีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อแก่งแย่งแข่งขันเอาหน้าแต่จิตริษยาอาฆาต

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “นิมารดี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่สนใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เอาแต่แก่งแย่งแข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกันเป็นใหญ่ มีฤทธิ์มีอำนาจเอาไว้เอาชนะคะคานกัน ดังนั้น จึงมาเกิดสวรรค์ชั้นสูงกว่าพระโพธิสัตว์ เพราะจะอยู่นานกว่า และมีโอกาสได้เกิดเป็นคนไม่บ่อย ได้สะสมบุญบารมีน้อยกว่า เอาแต่ตีรันฟันแทงทำสงครามกันบนสวรรค์ ไม่มีผู้ใดสอนได้ เพราะมีจิตมิจฉาทิฐิ ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญไว้มากมายเพื่อให้ตนเหนือคนอื่น เช่น พวกคุณหญิงคุณนายที่ทำบุญมากๆ เอาหน้าเอาตา ให้เขาออกชื่อประกาศใหญ่โต เพื่ออวดดีอวดเด่นแข่งกัน แต่กลับมีจิตใจริษยากันเอง

เพิ่มเติมให้ครับ โดยผู้ดูแลห้องกฎแห่งกรรม (ไปขอให้ผู้รู้ช่วยมาเติม กันเข้าใจผิด)

- นิมมานรดีภูมิ อยู่สูงขึ้นไปจากชั้นดุสิต ๓๓๖๐๐๐ โยชน์ มีทิพยสมบัติงดงามตระการตา เทวดาชั้นนี้มีความสุขสมบูรณ์มาก ปรารถนาสิ่งใดจะเนรมิตได้ด้วยฤทธิ์ของท่านเหล่านั้น

ผู้ที่จะมาเกิดชั้นนี้ได้นั้น ต้องบำเพ็ญทาน หรือทำสังฆทานอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด อีกทั้งเป็นผู้ที่สมาบัติ ๘ (รูปฌาณ ๔ อรูปฌาณ ๔ ) เมื่อครั้งยังมีชีวิต หรือเป็นชั้นของผู้ที่ชอบเล่นฤทธิ์ค่ะ

อีกประการหนึ่ง สวรรค์ชั้นนี้เป็นชั้นที่ ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา มาจุติเป็นพระมเหสีของท่านท้าวนิมมานเทวราช (หัวหน้าสวรรค์ชั้น ๕) นะคะ ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา เป็นผู้สร้างมหาทานบารมีตลอดชีวิต ความดีตลอดชีวิต และยังเป็นพุทธอุปฐากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันด้วยค่ะ

ในพระไตรปิฎก ยังมีกล่าวถึงเพื่อนของท่านวิสาขาที่ไม่เคยทำทานเลย คอยโมทนาบุญของท่านอย่างเดียว ยังไปเกิดเป็นนางฟ้าชั้นดาวดึงส์ค่ะ

Numsai

จบในส่วนที่เพิ่มเติมครับ ขอขอบคุณ Komodo ผู้ดูแลห้องกฎแห่งกรรม

ปรนิมมิตวสวัสตีภูมิ จิตที่ทำความดีมาก เพื่อเป็นหนึ่งเหนือใคร มีจิตริษยาอาฆาต

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “ปรนิมมิตวสวัสตี” ซึ่งเป็นเทวดาที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและที่อยู่อาศัย แต่มีจิตมาร คือ ความริษยาอาฆาต ไม่คิดช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หลงทางเข้าสู่มิจฉาทิฐิ หลงผลบุญที่มากมาย ฟุ้งเฟ้อด้วยยศถาบรรดาศักดิ์แต่หาความสุขไม่ได้ มีฤทธิ์มีอำนาจมาก บ้างฝึกจิตขั้นสูง แต่ยังไม่พ้นอวิชชา คิดอยากเป็นใหญ่เหนือผู้ใด คิดครองโลกครองสวรรค์ ก่อสงครามบนสวรรค์ไม่จบไม่สิ้น มีอายุยืนยาวนานที่สุด มีโอกาสเกิดเป็นคนเพื่อมาสะสมบุญบารมีได้น้อยครั้ง ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะทำบุญใหญ่มามาก แต่มีจิตริษยาอาฆาต เช่น กอบกู้แผ่นดิน แต่มีจิตอาฆาตศัตรู แทนที่จะตกนรกเพราะทำสงคราม กลับดื้อด้านขึ้นสวรรค์ จึงต้องอยู่นานเป็นมารสวรรค์

เพิ่มเติมให้ครับ โดยผู้ดูแลห้องกฎแห่งกรรม (ไปขอให้ผู้รู้ช่วยมาเติม กันเข้าใจผิด)

ขออนุญาตท่านเจ้าของกระทู้ เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง เรื่องสวรรค์ชั้น ปรนิมิตเทวราช

สวรรค์ชั้น ๖ นี้แบ่งออกทั้ง ๒ ฝ่ายนี้ก็คือ ฝ่าย “เทพ”กับฝ่าย “มาร” มีเขตแดนกั้นระหว่างกลาง ไม่มีการไปมาหาสู่กัน ต่างฝ่ายต่างอยู่ไม่บุกรุกล่วงล้ำดินแดนกัน

สำหรับฝ่ายเทพ เทวดา มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่ปกครองดูแลความเรียบร้อยและร่มเย็นเป็นสุข คือ ท้าวปรนิมิตเทวราช

ผู้ที่จะเกิดในชั้นนี้ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เคยทำความดีอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ทั้งการทำทาน ศีล และภาวนา การทำทานต้องเป็นมหาทาน สร้างประโยชน์แก่ชนหมู่มาก ด้วยใจที่เลื่อมใสศรัทธา ตลอดชีวิต อาจจะเป็นการสร้างถาวรวัตถุ การสร้างโบสถ์วิหาร (อาจจะอยู่นอกเขตพระพุทธศาสนาก็ได้ ) อีกทั้งผุ้นั้นจะต้องทำสมาธิ จนได้สมาบัติ 8

ส่วนฝ่ายมาร ก็มีผู้ปกครอง คือ ท้าวปรนิมตรสวัตตีมาราธิราช มีกายขาวคล้ายก้อนเมฆ ส่วนพญามารชั้นรอง ๆลงไปนั้นมีกายหม่นเป็นลำดับจนกระทั่งสีดำในที่สุด ผลบุญจากที่ท่านเจ้ากระทู้กล่าวไว้ค่ะ

สภาพสวรรค์ชั้น ๖ ฝ่ายมารนั้น เมื่อเข้าไปแล้ว มีแต่ความอึดอัด ไม่โปร่งโล่งสบาย เหมือนฝ่ายเทพค่ะ

ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของกระทู้ ท่านผู้อ่าน ท่านผู้โมทนาบุญทุกท่านค่ะ

Numsai

จบในส่วนที่เพิ่มเติมครับ ขอขอบคุณ Komodo ผู้ดูแลห้องกฎแห่งกรรม

พรหมภูมิ จิตที่เสพติดในรสสุขแห่ง “ฌาน” และความสงบสุข ไร้กิเลสกามใดๆ

ระดับจิตเมื่อสัตว์ตายลงแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้น “พรหม” ซึ่งเป็นพรหมที่ไม่มีเพศ จึงไม่มีการเสพกาม ไม่มีคู่ครอง ต่างอยู่อาศัยอย่างสงบสงัดดุจฤษีต่างๆ ในป่า ในวิมานของตน ระดับจิตแบบนี้ เป็นเพราะมีความยินดีในการเสพความสุขจากฌาน แต่ยังไม่แจ้งในธรรม ไม่รู้ว่าแท้แล้วการเวียนว่ายตายเกิดคืออะไร จิตยังมีความยินดีในฌาน จึงเกิดภพชาติใหม่ ต้องไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งห่างไกลจากความวุ่นวายและกิเลสทั้งปวง แต่ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงได้ คนที่ไปเกิดเป็นพรหมมักบำเพ็ญพรหมจรรย์นั่งสมาธิฝึกจิตจนได้ฌาน

อรหันตภูมิ จิตที่ปล่อยวางการยึดถือทั้งมวล เพราะมีดวงตาเห็นธรรม พบสุขแท้

ระดับจิตไร้กิเลส มีความสุขแท้ ไร้ซึ่งความทุกข์ใดๆ เมื่อตายลงสามารถไม่เกิดอีกได้ ซึ่ง ระดับจิตนี้พบเฉพาะผู้บรรลุอรหันต์เท่านั้น บุคคลที่จะพัฒนาภูมิจิตถึงระดับนี้ได้ จะต้องผ่านแต่ละขั้นก่อน คือ การละสักกายทิฐิ หรือความอวดดีถือตน หากบุคคลยังไม่ละ ยังไม่ถูกครูบาอาจารย์กำราบให้ยอมจำนน บุคคลจะยังไม่บรรลุแม้โสดาบัน ไม่อาจบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ บุคคลจะบรรลุธรรมด้วยตนเองได้ ก็เมื่อบุคคลนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ หรือพระปัจเจก ซึ่งบารมีเต็มในชาติสุดท้ายเท่านั้น ในระหว่างชาติที่พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ จนถึง ๕,๐๐๐ ปีนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเป็นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกมาเกิดอีก

สุขาวดีภูมิ จิตที่บรรลุธรรมแล้วโปรดสรรพสัตว์ ยอมเกิดใหม่ช่วยสัตว์เรื่อยไป

ระดับจิตที่ไร้กิเลส บรรลุธรรม ดับสิ้นเชื้ออวิชชาแล้ว เมื่อตายลงสามารถเกิดได้อีก เพื่อลงมาช่วยมวลสรรพสัตว์ อันเกิดได้เพราะ “พระพุทธเจ้า” ในอดีต ที่ทรงมีมหาปณิธานไม่ยอมบรรลุนิพพาน เพื่อโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ให้หมดก่อนตน บังเกิดภพใหม่ขึ้น ที่เรียกว่า “สุขาวดีพุทธเกษตร” เป็นที่ๆ บุคคลสามารถบรรลุธรรมได้ พบความสุขแท้ได้ พ้นทุกข์ทั้งมวลได้ และยังสามารถกลับมาเกิดช่วยคนได้อีกตามแต่จิตปรารถนา ปกติ ภพนี้จะไม่แนะนำหรือแสดงให้คนทั่วไปได้รู้เห็น นอกจากจะเป็นผู้มีบุญบารมีมาก มีจิตเมตตาจริงๆ

การเกิดขึ้นของภพต่างๆ นั้น เช่น พรหมโลก ก็ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ใน ๖ ชั้น พรหมโลกเองก็มีชั้นต่างๆ มากมายยิ่งกว่าสวรรค์ทั้งหกชั้น เสมือนเป็นภพโลกอีกภพหนึ่ง อันเกิดจากดวงจิตที่พึงพอใจในการบำเพ็ญฌาน และรสชาติแห่งฌานมากกว่าการบรรลุธรรม พรหมโลก จึงเป็นโลกที่บริสุทธิ์สงบสงัดจากกิเลสชั่วคราว แต่ไม่แจ้งในธรรม ยังมีความยินดีในภพภูมิ และยังมีโอกาสลงมาเกิดในโลกได้อีก ในบรรดาฤษีมากมายที่ตายไปไม่บรรลุธรรม ก็ไปรวมกันที่พรหมโลก แต่ละดวงจิตก็เต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์ บางดวงจิตก็โปรดสัตว์ด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่เพราะไม่บรรลุธรรม จึงไม่สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้บรรลุธรรม ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ และพบสุขที่แท้จริงได้ ดวงจิตที่โปรดสัตว์เหล่านี้ จะนำพลังอิทธิฤทธิ์มาให้แก่ผู้ที่นับถือศรัทธาตน เช่น มหาเทพต่างๆ ในฮินดู เป็นต้น

ภพบางภพก็เกิดขึ้นด้วยผลบุญบารมีและอิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ เช่น พระอมิตาภพุทธเจ้า, พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า อันได้แก่ สุขาวดีพุทธเกษตร นั่นเอง
 
บทสรุปส่งท้าย

จิตของคนเรามีระดับที่ค่อนข้างคงที่แน่ชัด เรียกว่า “ภูมิจิต” ซึ่งภูมิจิตนี้สอดคล้องกับ “ภพภูมิ” ที่สัตว์จะไปเกิดต่อในชาติภพหน้า เพราะจิตนั้นมีความคงที่ระดับหนึ่งจนเกิดสภาวะเหมือน “ภพ” ซ้อนขึ้นมาทั้งๆ ที่อยู่บนโลก ยกตัวอย่างเช่น แต่ก่อนเป็นเหมือนคนทั่วไป พอทำบุญครั้งแรกเกิดจิตที่เป็นกุศล มีปีติสุข จากนั้นจึงทำบุญบ่อยๆ จิตใจก็มีสุขสดชื่น ภูมิจิตก็เปลี่ยนจากความเป็นโลกีย์ กลายเป็นสวรรค์ขึ้นมาทันที มองโลกก็เหมือนอยู่สวรรค์ มีความสุขในจิตของตนเทียบเท่ากันกับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นจริงๆ จิตใจของคนผู้นั้นก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทั้งๆ ที่ยังอยู่บนโลก และเมื่อตายลงจิตก็ระลึกถึงแต่สิ่งเหล่านี้ ปกติแล้ว เมื่อสัตว์ตายลง จิตดวงสุดท้าย คือ “จุติจิต” จะส่งให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ หากจิตระลึกถึงสิ่งใดมาก ก็จะส่งผลให้ไปเกิดยังภพภูมิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวนั้น ดังนั้น เมื่อสัตว์ตายลง จึงมีโอกาสที่จิตจะส่งไปยังภพที่จิตเกี่ยวพันอยู่จึงเป็นไปได้สูงมาก ด้วยเหตุนี้ บุคคลควรหลีกให้พ้นจากอบายภูมิทั้งสาม อันได้แก่ นรกภูมิ, เปรตภูมิ, เดรัจฉานภูมิ อันเป็นภพภูมิชั้นต่ำ ที่มีความทุกข์มากกว่าความสุข มีความลำบากเป็นนิตย์

สำหรับผู้ที่ยึดถือหรือเชื่อถือแต่พวกพ้องกลุ่มย่อยของตนที่ดีแต่พูดเอาอก เอาใจ ตรงใจ ถูกใจ เพราะปล่อยตัวตามใจอยาก นั้น จะนำพาตนเองเข้าสู่ “นรกภูมิ” เป็นแน่แท้ การจะหลุดพ้นออกมาได้ จะต้องเลิกยึดมั่นในความเชื่อของกลุ่มย่อย ที่เชื่อกันเองในกลุ่มเล็กๆ อย่างผิดๆ เช่น พรรคพวกที่คุยสังสรรค์และสร้างความเชื่อกันว่า การข่มขืนผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงสนุก และการที่ผู้หญิงร้อง เพราะมีความสุขมาก แท้แล้วเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เป็นพฤติกรรมการเลียนแบบนายนิรบาล ที่ลงไปทรมานสัตว์ในนรก และตนก็อยากระบายลงในผู้อื่นบ้าง ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ในสรรพสัตว์ไม่ถูกทิ้งถูกเพียงกลุ่มเดียว จึงสร้างให้ได้พบเจอกับนายนิรบาล ซึ่งหากปรารถนาจะเป็นนายนิรบาล จำต้องเริ่มหัดทำบุญ แม้ว่าจะเป็นบุญเจือบาปก็ต้องเริ่มทำ ไม่ใช่ความเลว โดยการเลียนแบบนายนิรบาล บุคคลจะได้เป็นอย่างที่ตนปรารถนาก็ต่อเมื่อเขาประพฤติจนพร้อมที่จะเป็น จักรวาลจึงจะส่งพลังหนุนนำให้ แต่หากหักหาญเป็นเอง ใช้พลังอำนาจของตนเอง ก็จะถูกสมดุลจักรวาลตอบโต้กลับ ทำให้ตนเอง ต้องได้รับวิบากกรรมซ้ำซ้อน ต้องตกนรกซ้ำๆ

สำหรับผู้ที่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ถือว่าไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ไม่เคยเอื้อเฟื้อช่วยเหลือใคร จำต้องเลิกความยึดมั่นในความดีที่ไม่แท้จริงของตน การไม่ทำร้ายใครและไม่ช่วยเหลือใครนั้น ไม่ใช่ความดี เป็นแค่การไม่ทำเลวเพิ่มเท่านั้นเอง แต่บุคคลยังต้องพิจารณาว่าตนเองได้เกิดเป็นมนุษย์กินสัตว์ได้อื่นมากมาย เพราะอะไร สัตว์บางชนิดที่กินได้เฉพาะใบพืชชนิดเดียวเท่านั้นเพราะอะไร หรือนั่นเพราะการไม่ทำบุญ หรือทำบุญมาไม่เท่ากันใช่หรือไม่ บุคคลหากยังเวียนว่ายตายเกิด ยังต้องมีการทำบุญเป็นเสบียงเลี้ยงตัว

สำหรับผู้นิยมกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า และยอมก้มจำนนต่อผู้มีอำนาจมากกว่า มักยอมจำนนเป็นบริวารคนเลว แล้วทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่าตน เป็น “เดรัจฉาน” มาเกิดโดยแท้ เหมือนสัตว์ใหญ่ที่กินสัตว์เล็ก ข่มเหงเบียดเบียนกันเป็นทอดๆ หากต้องการหลุดพ้นจากภพนี้ จะต้องไม่ยอมก้มจำนนต่อคนเลว หลีกเลี่ยงคนเลว เลิกข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า เลิกเลียนแบบรุ่นพี่ หรือผู้มีอำนาจ แล้วหันมาสนับสนุนคนดี และช่วยผู้อ่อนแอ จึงจะพ้นได้

เมื่อพ้นจากอบายภูมิทั้งสามนี้แล้ว ก็จะได้เกิดแต่ภพที่ยังมีความสุขอยู่บ้าง ซึ่งบางภพเป็นสวรรค์ที่ทำให้หลงเพลิดเพลิน และหลงลืมการทำสิ่งที่ดีงาม สุดท้ายหมดวาระบุญต้องมาเกิดใหม่ เป็นมนุษย์ทำงานลำบากลำบน และตกต่ำกว่าสวรรค์เดิมที่ตนเคยอยู่ ดังนั้น บุคคลจึงควร “ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” เพราะความไม่แน่ไม่นอน เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทุกขณะทีเดียว หากยังมีภพชาติใหม่อยู่เรื่อยๆ ก็จะยังต้องเสี่ยงเกิดเสี่ยงกรรมอีกเรื่อยๆ หากหมดสิ้นภพชาติได้ จึงหมดสิ้นเวรสิ้นกรรม พบแต่ความสุขอย่างเดียว แต่หากมีกำลังบุญบารมีมาก คิดช่วยเข็ญสรรพสัตว์แล้ว พึงพัฒนาภูมิจิตให้ถึงสุขาวดี

กด 1900 222 200 ทำบุญให้ วัดพระบาทน้ำพุ กด 1 ครั้ง ทำบุญ 9 บาท
 

  ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ คลิก
ขอเชิญทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ด้วยการบริจาคอวัยวะกับสภากาชาดไทย คลิก
ขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้รู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน
ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดติดถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ

--
"กลุ่มนิทานเพื่อนรัก" ต้องการติดต่องาน
แสดงละครนิทาน นิทานหุ่นมือ ละครมาสคอต จัดงานวันเกิดสำหรับเด็ก
วิทยากรเกี่ยวกับกิจกรรมส่งเสริมการอ่านสำหรับครูอาจารย์
และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ โปรดโทรสอบถามได้ที่ http://friends.igetweb.com/index.php
--------------------------------------------------
มัมทูคิดส์เป็นร้านค้าออนไลน์สำหรับแม่และเด็ก จำหน่าย ของเล่นเสริมพัฒนาการเด็กของใช้แม่และเด็ก รถเข็นเด็ก คาร์ซีท เตียง หนังสือเสริมพัฒนาการ  เสื้อผ้าเด็ก ฯลฯ  ร้านเราเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ายี่ห้อต่างๆ อย่างถูกต้องทุกรายการค่ะ
http://www.mom2kids.com/home.php?aff=surapar&lf=b
98  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มิจฉัตตะ คืออะไรครับ เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 10:09:58 am
เมื่อวานในข้อสอบวิชา พระพุทธศาสนา ถามว่า มิจฉันตะ คืออะไร มีจำนวนเท่าใด

คำตอบก็คล้ายคลึงกัน คือ มิจฉา แปลว่า ความผิด ไม่ถูก ผมคิดว่าตอบมั่วเพราะไม่รู้

เพื่อคลายความสงสัย ขอท่านผู้รู้ช่วยชี้แจงให้ทราบด้วยครับ
 :c017: :25:
99  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทุกข์เพียงกาย ใจไม่ทุกข์ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:39:54 pm
ทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขํ อริยสจฺจํ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นทุกข์อย่างแท้จริง คือ

ชาติปิ ทุกฺขา
ความเกิดก็เป็นทุกข์

ชราปิ ทุกฺขา
ความแก่ก็เป็นทุกข์

มรณมฺปิ ทุกฺขํ
ความตายก็เป็นทุกข์

โสก ปริเทว ทุกฺข โทมนสฺ สุปายาสาปิ ทุกฺขา
ความโศก ความรำไรรำพัน ความทุกข์(ความไม่สบายกาย)
โทมนัส(ความไม่สบายใจ) และความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์

อปฺปิเยหิ สมฺปโยโค ทุกฺโข
ความประสบด้วยสิ่งที่ ไม่เป็นที่รักที่พอใจทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์

ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข
ความพลัดพราก จากสิ่งที่รัก ที่พอใจทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์

ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺขํ
ปรารถนาอยู่ย่อมไม่ได้ แม้อันใด แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์

สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา
โดยย่อแล้ว อุปาทานขันข์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์


****************************


รู้...ทุกขะ-อริยะ-สัจจะ แท้

รู้...เกิด แก่ เจ็บ ตาย รูปกายนี้

รู้...โศกเศร้า เหงาคร่ำครวญ ป่วนฤดี

รู้...ทุกข์มี เพราะขันธ์ห้า อุปาทาน


สัจจญาณ...รู้สังขาร ทุกข์จริงแท้

กิจจญาณ...รู้จักแก้ (ด้วย)กัมมัฏฐาน

กตญาณ.....รู้ทุกข์แล้ว ทุกข์ไม่นาน

ทุกข์นิพพาน สันติสุข ไม่ทุกข์ใจ.


เจริญในธรรมโดยทั่วกัน

ธัมโมชญา




ขอบคุณบทความจาก ธรรมะไทย
100  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พี่ส่าว กับ น้องชาย ซึ้งของแท้ครับ เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 12:34:41 pm
เรื่องซึ้งๆระหว่างพี่สาวกับน้องชาย
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้อง พรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่า หันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน "ใครขโมยเงินไป"พ่อตวาด ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่น ล่ะ" พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้นน้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า "ผมขโมยเองครับ" ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย" คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้ เสียงดัง และนานมากน้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้แล้วพูดว่า "พี่ครับไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว" ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความ จริงกับพ่อ หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย ตอนนั้นน้องของฉันอายุ8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของ จังหวัดเช่นกัน คืนนั้นพ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆพ่อ ได้พูดว่า "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน" ทันใดนั้นน้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า "ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ "ทำไมถึง คิดโง่ๆอย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้" คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน ฉันค่อยๆเอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า "ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบา กเช่นนี้ไปได้" แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะ เรียนต่อไปได้ ใครจะรู้ได้....... วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ.... ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะ ส่งเงินมาให้พี่" ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี.....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ....... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ" ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ" น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี" ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ "พี่ไม่สนใจว่า ใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม" จากนั้นน้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง" ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่ม ของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะ พาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ" แม่ยิ้มแล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมา ทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ" ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของ เขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาด แผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะและ........" น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง "เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ" ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของ ฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป... เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง" สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า " ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการหา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง" คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด" น้ำตาปริ่มดวงตา ของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย..... ฉันบอกกับน้องว่า "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..." "ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า " ใครคือคนที่คุณรักที่ สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ"..... และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ "ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง2ชม. เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ....... นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ" เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก....... "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุดคือน้องชายของฉันค่ะ" ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรักและห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่สำหรับคน คนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อนหรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง
101  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระอุปคุต ผู้มีฤทธิ์มาก เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 03:03:16 pm
พระอุปคุต" พระแห่ง...โชคลาภคุ้มกันภัยทั้งปวง

      พระอุปคุต เป็นรูปเคารพที่สร้างขึ้นแทนพระอรหันต์สาวกสำคัญรูปหนึ่ง ซึ่งได้รับการยกย่องว่า มีความเป็นเลิศทางอิทธิฤทธิ์ ในสมัยหลังพุทธกาล
เช่นเดียวกันกับที่ พระโมคคัลลาน์ ได้รับการยกย่องสมัยเมื่อครั้งพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ
พระอุปคุต เป็นภาษาบาลี ในขณะที่ภาษาสันสกฤตเขียนว่า "อุปคุปต์" ซึ่งตรงกับภาษาที่พี่น้องชาวไตยบางท้องถิ่น ขานนามท่านว่า "ส่างอุปคุป"
โดยมีความหมายว่า "ผู้คุ้มครองมั่นคง" ชาวล้านนารู้จักพระอุปคุต ในนามผู้ปกป้องคุ้มครองภัย โดยเฉพาะการมีปอยหลวง งานพิธีกรรมของส่วนรวม
จะมีการอาราธนาพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำ มาคุ้มครองการจัดงาน เพื่อมิให้เกิดเหตุเภทภัย และให้งานลุล่วงไปด้วยดี  นอกจากจะเรียกว่า "พระอุปคุต"
แล้วยังมีการเรียก "พระอุปคุตเถระ" หรือ "พระเถรอุปคุต" ชื่อนี้เรียกเป็นภาษาชาวบ้าน โดยนำเอาคำว่า เถระ อันเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้บอกถึงความมั่นคง
ในพระธรรมวินัย หรือบวชพระครองเพศสมณะมาแล้วตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป และยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก ดังเช่น พระนาคอุปคุต พระกีสนาคอุปคุต ฯลฯ
ในบางท้องถิ่นล้านนา เชื่อว่า พระอุปคุตจะตะแหลง (แปลงร่าง) เป็น สามเณรน้อย ขึ้นมาบิณฑบาตใน วันเป็งปุ๊ด หรือ เพ็ญพุธ (วันเพ็ญที่ตรงกับวันพุธพอดี)
 เริ่มตั้งแต่ตีหนึ่งของวันพุธ ผู้คนจึงมักเห็นสามเณรน้อยเดินบิณฑบาตไปตามถนน ทางสี่แพร่งสามแพร่ง ตลอดจนถนนหนทางตามริมน้ำท่าน้ำต่างๆ จนกระทั่ง
 ตี๋นฟ้ายก หรือแสงเงินแสงทองออกมา จึงเนรมิตกายหายไป
        เชื่อกันว่า หากผู้ใดมีบุญบารมีได้ใส่บาตรพระอุปคุต มักทำให้ร่ำรวยเงินทอง ปราศจากภัยทั้งปวง มีสมาธิจิตดี ไม่หลงลืม ชีวิตเป็นสุข
ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้สร้าง พระอุปคุต ปางต่างๆ ที่นิยมกันมากได้แก่ ปางล้วงบาตร หมายถึง กิ๋นบ่เสี้ยง หรือกินไม่หมด ให้คุณทางทรัพย์สินเนืองนอง มากมาย ร่ำรวย   
พระอุปคุต ปางห้ามมาร ให้คุณในทางคุ้มครองป้องกันภัยต่างๆ ปางสมาธิ หรือ พระบัวเข็ม ให้คุณในด้านสติปัญญาดี จิตใจผ่องใส ดำเนินชีวิตเป็นสุข ด้วยปัญญาบารมี
ด้วยประวัติอันทรงฤทธิ์ดังกล่าว พุทธศาสนิกชนจึงสร้างรูปพระอุปคุตขึ้นบูชา โดยมีความเชื่อว่า จะสามารถปกป้องคุ้มครองภยันตรายต่างๆ อันอาจจะเกิดขึ้น
ดังจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบัน เมื่อจะจัดงานพิธีสำคัญต่างๆ ขึ้น มักจะมี พิธีอธิษฐานบูชาพระอุปคุต เป็นเบื้องต้น เพื่อให้ช่วยคุ้มครองให้งานนั้นๆ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
พระอุปคุต ผู้เป็นพระอรหันตสาวก ที่ทรงมหิทธานุภาพ ชอบความวิเวกวังเวง และอยู่ตามลำพังผู้เดียว ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับผู้อื่น เป็นพระอรหันต์หลังสมัยพุทธกาล
เพราะไม่พบประวัติของท่านในพระไตรปิฎก แต่ปรากฏอยู่ใน จารึกพระเจ้าอโศก ซึ่งเขียนขึ้น เมื่อร้อยกว่าปีหลังพุทธปรินิพพาน และยังปรากฏอยู่ใน พระปฐมสมโพธิกถา
ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส โดยอยู่ปริจเฉทที่ ๒๘ ที่มีชื่อว่า มารพันธ-ปริวรรต  ตามประวัติกล่าวว่า พระอุปคุต เกิดในตระกูลวานิช
บิดาประกอบอาชีพค้าเครื่องหอม อยู่ที่เมืองมถุรา มีพี่น้องทั้งหมดรวมทั้งตัวท่านเองสามคน  เดิมบิดาของท่านได้ให้คำสัญญากับ พระสาณวารี (สาณสัมภูติ) ไว้ว่า
หากมีบุตรชายจะให้อุปสมบทในพุทธศาสนา แต่ก็บ่ายเบี่ยงเรื่อยมา โดยอ้างว่า จะต้องเอาไว้ช่วยกิจการของครอบครัว  จนกระทั่งมีบุตรคนที่สาม คือ ตัวท่าน
ซึ่งได้มีโอกาสฟังพระธรรมจากพระสาณวารี จนเกิดดวงตาเห็นธรรม ประสงค์จะอุปสมบท บิดาท่านจึงต้องจำยอมอนุญาต  เมื่อพระอุปคุตบวชแล้ว
ก็ได้เจริญวิปัสสนาญาณโดยลำดับ จนบรรลุพระอรหันต์ผล และได้เป็นอาจารย์สั่งสอนทางสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด
 ในสมัยนั้น ดังปรากฏมี พระอรหันต์ที่เป็นศิษย์ของพระอุปคุตถึง ๑๘,๐๐๐ รูป  นอกจากนี้แล้ว พระอุปคุตยังสำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร
เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่า ท่านเนรมิตเรือนแก้ว (กุฏิแก้ว) ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล)
แล้วก็ลงไปอยู่ประจำที่กุฏิแก้วตลอดเวลา เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา หรือเมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ หรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือ ด้วยความเต็มใจเสมอ
      คติความเชื่อเกี่ยวกับพุทธคุณ ของผู้ที่บูชา พระอุปคุต เชื่อว่า มีพุทธโดดเด่นด้านโชคลาภ และคุ้มกันภัยภิบัติอันตรายทั้งปวง วิธีสวดขอลาภ ให้จุดธูปเทียนบูชา
พร้อมกับดอกไม้หอม เครื่องหอม น้ำหอมต่างๆ เทหยดใส่ในขันน้ำมนต์ ณ ที่บูชาพระ ในร้านค้าขาย หรืออาคารสำนักงาน แล้วอธิษฐานขอให้กลิ่นควันธูปเทียน
ลมพัดไปทางไหน ขอให้ดลใจผู้คนเข้ามาอุดหนุนตลอด ขอให้ดำเนินกิจการด้วยความราบรื่น มีความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ  เมื่ออธิษฐานจุดธูปเทียนบูชาแล้ว
ให้สวดนะโม ๓ จบ และสวดคำบูชาขอลาภพระอุปคุต ๑ จบ แล้วทำน้ำมนต์สวดด้วยคำบูชาขอลาภพระมหาอุปคุต อีก ๑ จบ เสร็จแล้ว เอาน้ำมนต์ประพรมร้านค้า
และสินค้าในร้านค้า หรือทำธุรกิจ ให้เอาน้ำมนต์ประพรมภายในสำนักงาน และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ในการทำธุรกิจนั้นทั้งหมด
อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่  www.AUPAKUT.com
102  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชายชรา กับ ลังเหล็ก เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 07:20:08 pm
สังคมคนไทย ถือเรื่อง กตัญญู กตเวทิตา

คือเลี้ยงดูตอบแทนบุพพการี

แต่ ตอนนี้วิถีชีวิตไทย เริ่มเปลี่ยนเป็น สากล

ก็ได้แต่หวังว่า การรณรงค์ เรื่องคุณธรรม จะเข้าถึงเยาวชนมากขึ้น

เพื่อให้โลก และ ประเทศไทย เป็นประเทศที่เย็น



 ข้าพเจ้าได้รับฟังเรื่องของ “ความมีน้ำใจ” มาตลอดทั้งชีวิตซึ่งมันมีอยู่ในตัวของทุกคนคงไม่จำเป็นจะต้องอธิบายกระมังว่า “ความมีน้ำใจ”   หมายความว่าอะไรแต่สิ่งที่น่าเสียใจที่เราควรจะนำมากล่าวถึงกันคือ  “ความมีน้ำใจ”  นี้   คนไทยเรามีมากจนอาจจะกล่าวได้ว่า   เป็น   “วัฒนธรรม”  ของคนไทยเรา  มาถึงปัจจุบันนับว่าจะหดหายไปทุกที  ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนลองช่วยกันวิเคราะห์กันว่าอะไรทำให้เป็นเช่นนี้

         ประการแรกเห็นจะเกิดจาก  “ความปลอดภัย”  ที่มีน้อยในปัจจุบันนี้  ขอยกตัวอย่างให้เห็นสักหนึ่งตัวอย่าง  สมมติท่านได้รับบาดเจ็บ  โดยวิสัยคนไทยเราจะต้องมีน้ำใจหยุดรถลงไปให้ความช่วยเหลือ  แต่มาในสมัยนี้  ท่านจะต้องคิดหนักว่า  สมควรจะช่วยหรือไม่  เพราะมีข่าวอยู่บ่อยๆว่าคนร้ายมักทำอุบายให้ลงไปช่วยแล้วทำการจี้ปล้น  โดยเฉพาะตอนกลางคืน  ท่านคงไม่กล้าลงไปช่วยอย่างแน่นอน  เพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้าเล่าให้ฟังว่า   เขาลงไปช่วยแล้วนำผู้บาดเจ็บจากการถูกรถชนส่งโรงพยาบาล   ปรากฎว่าพอผู้บาดเจ็บฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบ  กลับกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้ชน  นี่ละค่ะ  เหตุการณ์แบบนี้ทำให้  “ความมีน้ำใจ” หมดสิ้นไป 

        ประการสุดท้ายน่าจะเกิดจาก “ธุระไม่ใช่ “ และ  “ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”   ข้าพเจ้า                     

จำความได้แต่เดิมมานั้น  เมื่อเราเห็นใครทำอะไรอยู่ที่เราพอจะช่วยได้ เช่น  รถเสีย กำลังแก้อยู่  ถ้าเรามีความรู้  เราก็จะเข้าไปถาม  และให้ความช่วยเหลือ  แม้แต่เห็นกำลังเข็นรถอยู่   เราก็จะเข้าไปช่วยเข็น  แต่ปัจจุบันนี้  มักจะเห็นว่า “ธุระไม่ใช่” หรือ  ในหน้าที่การงาน  แม้จะไม่ใช่หน้าที่ของเรา  แต่เห็นว่าพอจะช่วยกันได้  เราก็มักจะเข้าช่วยเท่าที่จะช่วยได้  แต่มาสมัยนี้  มักจะมองดูเฉยๆปล่อยให้คนมีหน้าที่ทำก็ทำกันไป ถ้าเสนอตัวเข้าไปถามเขา  เขาก็จะตอบว่า  “ไม่ใช่หน้าที่ของฉันเขามีหน้าที่ทำก็ทำไปซิ” สำหรับตัวข้าพเจ้าคิดว่า “ความมีน้ำใจ” จะต้องเกิดขึ้นในจิตใจมาตั้งแต่เด็ก  เห็น ผู้ใหญ่ทำอะไรที่เราจะช่วยได้ก็เข้าไปช่วยเหลือโดยไม่ต้องมีใครบอกใครสอน ยิ่งในสมัยนี้ผู้ใหญ่มักไม่ใคร่ยอมให้เด็กทำอะไรแทนที่จะให้เด็กช่วยทำอะไร  กลับตรงกันข้ามเห็นเด็กไม่ต้องทำอะไรเลยดังนั้น  แทนที่เด็กจะเกิด “ความมีน้ำใจ” กลายเป็นความ “เห็นแก่ตัว” เกิดความคิดว่า  เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จะต้องทำให้ตนตลอดไป  จากประสบการณ์ความเป็นครูมายาวนานได้พบเจอกับหลายครอบครัวที่เมื่อแก่ตัวลง  ลูกไม่เคยเหลียวแล  ข้าพเจ้าคิดว่าอย่าไปโทษลูกเลยเพราะว่าตัวพ่อและแม่นั่นแหละที่ไม่เคยให้ลูกทำอะไรให้คนอื่นเลย  ลูกเลยไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้คนอื่นได้อย่างไร

           ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนตระหนักว่า  ถึงเวลาแล้วนะที่พวกเราในฐานะ “ครู”

จะต้องช่วยกันอบรมแนะนำ นักเรียน หรือทำอย่างไรก็ตามให้คนรุ่นหลังได้ช่วยกันรักษาวัฒนธรรมอันดีงามของไทยเราไว้ต่อไป   ก่อนที่จะจากกันตัวผู้เขียนอยากจะฝากบอกกับครูทุกคนว่า  มาเป็น  “คนมีน้ำใจ”  กันเถิดนะคะ

 

เอกสารอ้างอิง

บทความ เรื่องความมีน้ำใจ  โดย : พ.อ.สุทิน  สัมปัตตะวนิช

เครดิตเว็บนี้ด้วยครับ
http://learners.in.th/blog/amenatook/297730
103  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บวชเพราะแม่ยาย เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 07:15:13 pm


ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภแม่ยายหูหนวกคนหนึ่ง ...

     เรื่องมีอยู่ว่า ในเมืองสาวัตถีมีพ่อค้าคนหนึ่ง มีศรัทธาเลื่อมใส่ในพระพุทธศาสนา ถือศีลห้าเป็นประจำ วันหนึ่งเขาไปฟังธรรมที่วัดเชตวัน ขณะนั้นแม่ยายได้ไปเยี่ยมครอบครัวของเขา แต่แม่ยายคนนี้หูแกค่อนข้างตึง เมื่อไปถึงบ้านพบแต่ลูกสาวอยู่บ้านไม่พบลูกเขยจึงเอ่ยปากถามลูกสาวว่า
          "นี่ลูกผัวเอ็งนะยังรักเอ็งอยู่รึเปล่า มีเรื่องทะเลาะกันบ้างไหม?"
          ลูกสาวตอบว่า "แม่..คนดีๆ อย่างลูกเขยแม่คนนี้นะ แม้บวชแล้วก็ยังหายาก"
          ยายแกฟังคำพูดของลูกสาวไม่ชัดได้ยินแต่คำว่าบวชเท่านั้น จึงร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจกว่า
          "อ้าว..ผัวเอ็งไปบวชแล้วหรือ"


     ชาวบ้านเรือนข้างเคียงกันได้ยินเช่นนั้นก็พากันพูดว่า "พ่อค้าไปบวชเสียแล้ว" คนที่เดินผ่านไปมาจึงพูดคุยกันแต่เรื่องพ่อค้าออกบวชแล้วฝ่ายพ่อค้าเจ้าของ เรื่องหลังจากฟังธรรมเสร็จก็เดินกลับบ้าน ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งได้เดินตรงมาจับแขนเขาถามว่า "ข่าวว่าท่านบวชแล้ว ลูกและเมียของท่านพากันร้องไห้อยู่ที่บ้านมิใช่หรือ" พ่อค้าไม่พูดอะไรได้แต่คิดว่า เรายังไม่ได้บวชก็มีคนว่าเราบวชแล้ว ข่าวดีเช่นนี้ไม่ควรให้หายไปไหน ตกลงเราควรจะบวชในวันนี้ละ "จึงเดินกลับวัดเชตวันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระองค์ หลังจากอุปสมบทได้ไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุ พระพุทธองค์จึงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...


     กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นพ่อค้าในเมืองพาราณสีมีแม่ยายหู ตึงเช่นกัน วันหนึ่งเขาเดินทางไปนอกเมืองด้วยราชกรณียกิจอย่างหนึ่งได้เกิดเรื่องทำนอง เดียวกันนี้ขึ้น เมื่อเขากลับเข้าเมืองมาทราบข่าวนั้น จึงไปทูลลาพระราชาออกบวชด้วยการกล่าวเป็นคาถาว่า

          "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน ในกาลใด บุคคลได้รับสมัญญาว่าผู้มีกัลยาธรรมในโลก ในการนั้นนรชนผู้มีปัญญาว่าผู้มีกัลยาณธรรมในโลก ในกาลนั้นนรชนผู้มีปัญญาไม่ควรให้ตนเสื่อมจากสมัญญานั้นเป็นธุระสำคัญแม้ ด้วยหิริ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน สมัญญาว่าผู้มีกัลยาณธรรมในโลกข้าพระองค์ได้รับแล้วในวันนี้ ข้าพระองค์พิจารณาเห็นสมัญญานั้นอยู่ จักขอบวชในวันนี้ เพราะข้าพเจ้าองค์ไม่มีความพอใจในการบริโภคกามคุณในโลกนี้"
          เขาได้บวชเป็นฤาษีอยู่ป่าหิมพานต์จนตลอดชีพ ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :  คำพูดของผู้คน สามารถชักจูงความคิดของคนให้กระทำความดีความชั่วได้


ขอขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.dhammathai.org
104  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เคล็ดลับเพิ่มความจำให้..สมอง เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 08:41:43 am
เคล็ดลับเพิ่มความจำให้..สมอง


ความจำ, สมอง, เคล็ดลับ
1. จิบน้ำบ่อย ๆ

สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ทำงานอยู่กับบ้าน

2. กินไขมันดี

คนไม่ค่อยรู้ว่าสมอง คือ ก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที

หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่า นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรม เราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริง กับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่าง จึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไป เรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงาน และเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal

ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ

สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอา ออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%
105  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: ฝากกลอน ด้วย คร้า เมื่อ: กันยายน 06, 2010, 11:45:20 am
ขอร่วมด้วย ครับ

แต่เป็นคำเมือง นะครับ

"กิ๋นหื้อปอต๊อง หย้องหื้อปอตั๋ว "

คำแปล : กินให้พอดีกับท้อง แต่งตัวให้พอดีกับตัว
ขยายความ : อันนี้ตรงเป๊ะกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่กำลังรณรงค์กันอยู่ทุกวันนี้
มี คำโบราณอีกคำหนึ่งที่สอดคล้องกับคตินี้คือ "ปากกว้างกว่าต๊อง" หมายถึงคนที่มีปากใหญ่กว่าท้อง...ท้องมันร้องว่าพอ พอ...แต่ปากเจ้าของกลับไม่ยอมหยุดกิน คนที่ตายด้วยโรคอาหารเกินจึงมีมากกว่าคนที่เป็นโรคขาดอาหาร...


"กิ๋นนักหื้อเต้าป๋ายก้อย กิ๋นน้อยหื้อเต้าหัวแม่มือ"

คำแปล : กินมากให้เท่าปลายนิ้วก้อย กินน้อยให้เท่าหัวแม่มือ
ขยาย ความ : พระพุทธองค์ทรงอุปมาไว้ว่า "แม้จะเนรมิตภูเขาทองคำสักสองลูก ก็ยังไม่จุใจคนที่มีตัณหาเพียงคนเดียว" นั่นเพราะคน ๆ นั้นเขา"อยาก"อะไรเท่าหัวแม่มือมากกว่าเท่าปลายนิ้วก้อย...


"เก็บผักหื้อเอาตึงเครือ เก็บบ่าเขือหื้อเอาตึงขวั้น"

คำแปล : เก็บผักให้เอาทั้งเครือ เก็บมะเขือให้เอาทั้งขวั้น
ขยาย ความ : เครือของผักมีทั้งใบแก่ใบอ่อน ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ทางสารอาหาร และขวั้นของมะเขือนั้นถึงแม้เราจะไม่รับประทานแต่ก็ต้องเก็บออกจากต้น เพราะหากทิ้งไว้คาต้น มันจะเป็นเหตุขัดขวางความเจริญเติบโตของมะเขือ่อนที่กำลังผลิงอกตามหลัง มา...
ตรงกับสำนวนที่ว่า...ปัญญาชนมองแต่ต้นถึงปลาย คนงมงายมองแต่ปลายทางเดียว

106  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อะไีีร เป็นสิ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนา ต่างจากศาสนาอื่น คะ เมื่อ: สิงหาคม 19, 2010, 08:52:45 am
ไม่รู้จัก อริยสัจ ครับ

 :25:
107  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อะไีีร เป็นสิ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนา ต่างจากศาสนาอื่น คะ เมื่อ: สิงหาคม 18, 2010, 08:30:17 pm
ทำไมต้อง นิพพาน ครับ ในเมื่อถ้าเราอยู่ก็มีชีวิตที่ดี มีความสุขแล้ว

ผมก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมจะต้อง วิปัสสนา

???
108  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การประกาศตนเป็นพุทธบริษัท ต้องทำอย่างไร ครับ เมื่อ: สิงหาคม 16, 2010, 12:08:59 pm
ผมก็ยังสงสัย อยู่ดีว่าตัวผมเอง ก็ไม่เคยพูดว่าเป็น พุทธศาสนิกชน

แต่ พ่อ และ แม่ ผมก็เหมาผมลงเป็นพุทธศาสนิกชน

คิดดังนี้แล้ว มีวิธีอย่างไรให้ผมเป็น พุทธศาสนิกชน ด้วยตัวผมเอง

วิธีประกาศตนเป็น พุทธมามกะ นั้น ที่ถูกต้อง ควรทำอย่างไรครับ

 :17: :25:
109  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: เพื่อลูกแม่จะสู้ ( ใกล้วันแม่แล้ว ) เมื่อ: สิงหาคม 11, 2010, 09:16:34 am
ลูก ล้มกลิ้ง ใครหนอ วิ่งเข้ามาช่วย

แล้วปลอบด้วย คำหวาน กล่อมขวัญให้

พร้อมจูบที่เจ็บ ชะงัด ปัดเป่าไป

ที่แท้ไซร์ นั่นก็คือ แม่ฉันเอง
 ;) ;) :25: :25:
110  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ความเมตตา ทำไมจึงเป็นเหตุให้พัฒนาเป็นความโกรธได้คะ เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 03:40:20 pm
เห็นใจคุณครู จังพวกผมจะตั้งใจเรียนครับ

เข้าพรรษานี้ พวกผมสมาทานศีล 5 ครับ

 :25:
111  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นั่งกรรมฐาน จำเป็นต้องไปนั่งกรรมฐานที่ วัด หรือป่าวครับ เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 05:23:00 pm
ตัวผมเอง บางทีก็มีความรู้สึก ว่าเวลานั่งกรรมฐาน แล้วทำที่บ้านไม่ค่อยได้

แต่พอไปวัด นั่งในวิหาร แล้วรู้สึกนั่งได้ดี เป็นเพราะอะไรครับ

การนั่งกรรมฐาน จำเป็นต้องนั่งกรรมฐาน ที่วัดทุกครั้งหรือป่าวครับ
 :17: :17:

112  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: RDN ( Radio net online ) ทดสอบสถานีวิทยุ มัชฌิมา อาร์ดีเอ็น เมื่อ: มิถุนายน 04, 2010, 12:59:49 pm
ขอฟัง นิทานชาดก ครับ

ว่าจะนำไปเป็นละครประกอบเสียง วันประชุมผู้ปกครองครับสัก 30 นาที
 :25: :c017:
113  กรรมฐาน มัชฌิมา / กิจกรรมของ สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน / Re: RDN ( Radio net online ) ทดสอบสถานีวิทยุ มัชฌิมา อาร์ดีเอ็น เมื่อ: มิถุนายน 01, 2010, 02:19:05 pm
ฟังกรรมฐาน ไม่เข้าใจ แต่ชอบฟัง เรื่อง นิทานชาดก คร้าบ ได้ประโยชน์ จริง ๆ ครับ
114  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: การสมัคร เพื่อฝากภาพ และ วิธีการโพสต์รูป step by step เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2010, 08:34:47 am
ขอด้วยอีกคน
 :88:
หน้า: 1 2 [3]