ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: 1 ... 8 9 [10]
 91 
 เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 07:22:30 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้ 

 92 
 เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 01:31:14 pm 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เผยพระพุทธรูปขุดพบฝั่งลาว เป็นพระสิงห์สาม

เจ้าคณะจังหวัดเชียงรายชี้ พระพุทธรูปที่ขุดค้นเจอในแม่น้ำโขงฝั่ง สปป.ลาว เป็นพระสิงห์สาม ศิลปะเชียงแสน อายุระหว่าง 500-800 ปี

วันที่ 17 มี.ค. 67 จากกรณีที่มีการขุดค้นเจอพระพุทธรูปโบราณจำนวนหลายองค์ ที่ริมแม่น้ำโขง พื้นที่บ้านดอนผึ้ง เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 16 มี.ค. ที่ผ่านมา ชาวบ้านที่ทราบข่าวทั้งฝั่งลาวและไทยต่างพากันมากราบไหว้ โดยเช้าวันนี้ก็ยังมีผู้ที่ทราบข่าวมามุงดูการค้นหากันเป็นจำนวนมาก

โดยทางชุดค้นหาได้นำรถแบ็กโฮมาขุดทรายทำเป็นแนวรอบจุดที่จะทำการขุดค้น ขนาดประมาณ 15x20 ม. และใช้เครื่องไดโว่สูบน้ำที่อยู่ข้างในออกมา และนำรถแบ็กโฮลงขุดค้นเพิ่มเติม ซึ่งล่าสุดวันนี้ได้มีการขุดค้นเจอพระเครื่องทรงยืน สูงขนาดประมาณ 4 นิ้ว พระพุทธรูปไม่มีเศียร หน้าตักประมาณ 9 นิ้ว และพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หน้าตักประมาณ 32 นิ้ว




ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ วัดพระธาตุดอยผาเงา ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อสอบถามพระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เผยว่า พระพุทธรูปที่ขุดค้นที่ฝั่งลาว เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน เป็นพระสิงห์สาม ซึ่งแต่เดิมพื้นที่บริเวณนี้เป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน แต่มีช่วงหนึ่งในอดีตที่แม่น้ำโขงเปลี่ยนเส้นทางไหล และส่งผลให้พื้นที่บางส่วนก็กลายเป็นพื้นที่ของ สปป.ลาว ตามเส้นทางการไหลของแม่น้ำโขง ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้พระพุทธรูปในครั้งนี้ถือว่าองค์พระมีสภาพสมบูรณ์ สวยงาม เสียดายที่ไม่ได้ค้นพบในฝั่งไทย



เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เผยอีกว่า การขุดพบพระพุทธรูปในฝั่งลาวในครั้งนี้เป็นการขุดพบครั้งที่ 3 ก่อนหน้านี้เคยมีการขุดพบพระพุทธรูปริมแม่น้ำโขงมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกที่บ้านดอนสะหวัน เมื่อปี 2553 ครั้งที่ 2 ที่บ้านใหม่ร่มเย็น เมื่อปี 2556 และครั้งล่าสุดที่บ้านดอนสะหวัน ทั้งหมดอยู่ในเขตเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว




บริเวณที่ขุดเจอพระพุทธรูปครั้งนี้น่าจะอยู่ใกล้กับพระพุทธนวล้านตื้อ ที่สูญหายไปเมื่อครั้งอดีตเมื่อน้ำโขงเปลี่ยนทางไหล ถ้าสามารถนำพระนวล้านตื้อขึ้นมาจากน้ำโขงสำเร็จคาดว่าจะส่งผลดีต่อทั้งพุทธศาสนิกชนทั้งฝั่งไทยและลาว และใน อ.เชียงแสน ก็จะได้รับความสนใจ จะมีคนมาท่องเที่ยวอีกมาก แต่การค้นพบในครั้งนี้ก็ต้องแสดงความดีใจกับพี่น้องชาวลาว ที่เจอพระพุทธรูปดังกล่าว ส่วนพุทธศาสนิกชนชาวไทยก็สามารถข้ามไปกราบไหว้สักการะบูชาได้

พระพุทธิญาณมุนี เผยอีกว่า การค้นพบพระหรือสมบัติในแม่น้ำโขง จะถือว่าเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของทางฝั่ง สปป.ลาว เนื่องจากแม่น้ำโขงอยู่ในเขตของลาว ประเทศไทยจะลงไปขุดค้นของในน้ำโขงโดยพลการไม่ได้ จะถือเป็นละเมิดสิทธิ์ ในอนาคตหากแม่น้ำโขงลดระดับมากกว่านี้ อาจจะเจอทรัพย์สมบัติที่จมอยู่ใต้น้ำโขงอีกมากมาย.






Thank to : https://www.thairath.co.th/news/local/2771229
17 มี.ค. 2567 17:03 น. | ข่าว>ทั่วไทย>ไทยรัฐออนไลน์

 93 
 เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 12:05:36 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
เลื่อนกระทู้

 94 
 เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 09:53:23 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
เลื่อนกระทู้

 95 
 เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 09:00:25 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้ 

 96 
 เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 07:52:09 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
เลื่อนกระทู้

 97 
 เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 07:15:19 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



คนพาลเห็นบาปเหมือนของหวาน

ว่าด้วย : พระอุบลวรรณาเถรี
เหตุการณ์ : พระศาสดาทรงปรารภพระอุบลวรรณาเถรี ผู้ไปอยู่ในป่า ถูกข่มขืน จึงมีข้อกำหนดให้ภิกษุณีอยู่ในละแวกบ้านเท่านั้น

พระอุบลวรรณาเถรีตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามปทุมุตตระ กระทำบุญทั้งหลายสิ้นแสนกัลป์ ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐีในกรุงสาวัตถีในพุทธุปบาทกาลนี้
 
มารดาบิดาได้ตั้งชื่อนางว่าอุบลวรรณา เพราะนางมีผิวพรรณเหมือนกลีบอุบลเขียว เมื่อนางเจริญวัย พระราชาและเศรษฐีทั้งหลายต่างส่งบรรณาการไปขอนางจากบิดา เศรษฐีคิดว่าไม่สามารถเอาใจคนทั้งหมดได้ จึงได้ถามธิดาว่าจะบวชได้ไหม คำของบิดาเป็นเหมือนน้ำมันที่ต้มแล้วตั้ง ๑๐๐ ครั้ง อันเขารดลงบนศีรษะ เพราะความที่นางมีภพสุดท้าย นางจึงบวช
 
เมื่อบวชแล้วไม่นาน นางตามประทีป กวาดโรงอุโบสถ ยืนถือนิมิตแห่งเปลวประทีป แลดู ยังฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้เกิด กระทำฌานนั้นให้เป็นบาท บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญาทั้งหลาย
 
@@@@@@@

ในกาลนั้น พระศาสดายังไม่ทรงห้ามการอยู่ป่าของพวกนางภิกษุณี พระเถรีนั้นเที่ยวจาริกไปในชนบท แล้วกลับมาสู่ป่าอันธวัน พวกชนสร้างกระท่อม ตั้งเตียงกั้นม่านไว้ในป่าแก่พระเถรีนั้น พระเถรีเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี แล้วออกมา

ฝ่ายนันทมาณพผู้เป็นบุตรของลุงของพระเถรี มีจิตปฏิพัทธ์ต่อพระเถรีตั้งแต่กาลที่ท่านยังเป็นคฤหัสถ์ ได้เข้าไปซ่อนภายใต้เตียงในกระท่อม เมื่อพระเถรีกลับมา เขาปลุกปล้ำข่มขืนพระเถระแล้วหนีไป แผ่นดินใหญ่ได้แยกออก สูบเขาลงไป เขาไปเกิดในอเวจีมหานรก
 
เมื่อพระศาสดาทรงสดับเรื่องแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา ตรัสว่า
    "บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นพาล เมื่อทำกรรมลามก ย่อมยินดีร่าเริง ประะดุจได้เคี้ยวกินของหวานมีน้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด เป็นต้น"
 
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า
    "คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้ง ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ก็เมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้น คนพาลย่อมประสพทุกข์"
 
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น


@@@@@@@

สมัยต่อมา มหาชนสนทนากันในธรรมสภาว่าพระขีณาสพทั้งหลายยังยินดีกามสุข ยังเสพกาม เพราะพระขีณาสพเหล่านั้นไม่ใช่ไม้ผุ ไม่ใช่จอมปลวก มีเนื้อและสรีระสดใสอยู่
 
เมื่อพระศาสดาทรงทราบ จึงตรัสว่า
 "พระขีณาสพทั้งหลายไม่ยินดีกามสุข ไม่เสพกาม  เหมือนอย่างว่า หยาดน้ำตกลงบนใบบัว ย่อมไม่ติด ไม่ตั้งอยู่ ย่อมกลิ้งตกไป และเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาด ไม่ติด ไม่ตั้งอยู่ ที่ปลายเหล็กแหลม ย่อมกลิ้งตกไปแน่แท้ ฉันใด กามแม้ ๒ อย่าง ย่อมไม่ซึมซาบ ไม่ตั้งอยู่ในจิตของพระขีณาสพ ฉันนั้น"
 
ดังนี้แล้วเมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
    "เรากล่าวบุคคลผู้ไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย เหมือนน้ำไม่ติดอยู่ในใบบัว เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติดอยู่ที่ปลายเหล็กแหลม ว่าเป็นพราหมณ์ "

พระศาสดารับสั่งให้เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศลมา แล้วตรัสเรื่องกุลธิดา บวชแล้ว อยู่ในป่าเหมือนอย่างกุลบุตรทั้งหลาย คนลามกถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมเบียดเบียนภิกษุณีผู้อยู่ในป่า ด้วยการดูถูกดูหมิ่นบ้าง ด้วยการทำอันตรายแก่พรหมจรรย์บ้าง เพราะฉะนั้น พระราชาควรทำที่อยู่ภายในพระนครแก่ภิกษุณีสงฆ์
 
พระราชาทรงรับสั่งให้สร้างที่อยู่เพื่อภิกษุณีสงฆ์ในพระนคร ตั้งแต่นั้นมาพวกภิกษุณีย่อมอยู่ในละแวกบ้านเท่านั้น







ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : พระอุบลวรรณาเถรี พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ เล่มที่ ๔๑ หน้า ๒๑๓-๒๑๗
URL : https://uttayarndham.org/node/4714

 98 
 เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 07:01:53 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



พุทธแท้ - พุทธเทียม : ธรรมะยู-เทิร์น โดยอิทธิโชโต

ธุ วา มญฺญตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจฺจติ ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ ทุกฺขํ นิคจฺฉติ ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล คนเขลายังเข้าใจว่ามีรสหวาน แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลาย่อมประสบทุกข์เมื่อนั้น (พุทธพจน์)

เมื่อมีปัญหา คนส่วนใหญ่คิดว่าร้อนก็ไปหลบในที่เย็น เท่านี้ ยังไม่พอ ยังไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง!

ธรรมะจะเกิดขึ้นจริงๆ ต้องเอาใจใส่ รักษากาย วาจา ใจ จะคิดจะพูดจะทำอะไรให้มีสติอยู่เสมอ อยู่เฉยๆ นั่งดูเฉยๆ ธรรมะคงจะเกิดขึ้นได้ยาก เหมือนเราจะปลูกผัก นั่งดูเมล็ดผักกาดมันจะเกิดไหม เราก็ต้องเอาเมล็ดไปเพาะ ไปปลูก ไปรดน้ำมันจึงเกิดพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้น

อย่างที่มีปัญหาเกี่ยวกับศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ จริงๆ แล้วพระพุทธศาสนาไม่มีปัญหา แต่ที่มีปัญหาคือคนที่บอกว่าตัวเองเป็นพุทธแต่ไม่ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนต่างหาก ปัญหาไม่ใช่มาจากศาสนาอื่นด้วย เราต้องกลับมาถามตัวเองว่า ในจำนวน ๑๐๐ คน มีกี่คนที่เป็นพุทธแท้ๆ จะได้สัก ๑๐ คนไหม ถ้าพุทธแท้ ๑๐ คนใน ๑๐๐ คน อยู่ที่ไหนก็ไม่มีปัญหา อยู่กับสิงสาราสัตว์ก็ไม่มีปัญหา อยู่กับคนก็ไม่มีปัญหา เพราะรู้หมด จะไปมีปัญหาอะไร แต่ที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ถ้ารู้แล้ว เข้าใจแล้วก็ไม่มีปัญหา

แต่คนไม่เข้าใจ ปากก็ว่าพุทธ แต่วิธีการไม่ใช่ ก็เหมือนสมัยพุทธกาล บวชกับพระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังทะเลาะกันให้เห็น ถือพวก ถือตัวตน ถือเจ้าของจนลืมว่าอะไรควรไม่ควร สมัยนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าให้เห็น แต่ยังมีพระธรรมก็ยังไม่ปฏิบัติ สมัยก่อนมีพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ฟังกัน

@@@@@@@

ปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เพราะคนไม่ใส่ใจ ถ้าใส่ใจเรื่องศาสนา ก็จะไม่มีปัญหา พระวิ่งหาลาภ ยศ สรรเสริญ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ลาภไปหามาทำไม ยศ ไปหามาทำไม สรรเสริญ ไปหามาทำไม

สุดท้าย เราไม่ต้องไปแก้คนอื่น ต่างคนต่างดูของตัวเจ้าของ ต่างคนต่างชำระความไม่ดีในจิตในใจของตัวเองก็จะไม่มีปัญหาอย่างที่เป็นอยู่ แต่นี่มันไม่ใช่ ต่างคนต่างเสริม ลาภ สักการะให้แก่กัน ก็เรื่องกิเลสทั้งนั้น เหมือนเรื่องหรูหรา มันเป็นเรื่องของกิเลสพระ พระจะไปหาอะไร ก็ต้องไปหาศีลหาธรรมสิ ธรรมวินัยมีก็หามาสิ โลกวัชชะ ก็มีอยู่ ทำอะไรให้โลกติเตียน คือมันไม่งาม ก็ยับยั้งเสีย

พระเราไม่ต้องไปมีหรอกรถ เอามาทำไม เอามาแสดงธรรม หรือแสดงกิเลส พระขอข้าวเขากินวันละมื้อ จะมีอะไรนักหนา อะไรที่มันเกินงาม เกินพอดีก็ต้องถามตัวเอง เหมือนโทรศัพท์นี้ บางทีเห็นพระใช้ดีกว่าฆราวาสอีก ทั้งๆ ที่ขอข้าวเขากิน เอามาอวดกิเลสเจ้าของ ขายความอยากให้เขาเห็น เป็นเรื่องขายขี้หน้าทั้งนั้น

ถ้ารู้ว่าตัวเจ้าของเป็นพระต้องสำนึกว่าเราเป็นผู้ขอ ถ้าเป็นผู้ขอเลยเถิดเช่น โยม อาตมาต้องการโทรศัพท์เครื่องใหม่ ต้องการรถคันใหม่ มันวิเศษตรงไหน มันประเสริฐตรงไหน ที่พระพุทธเจ้าให้หาอรรถหาธรรม ทำไมไม่หา ไม่ทำ

ทางดับทุกข์ก็เปิดกว้างสำหรับทุกคนอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับศาสนาด้วยซ้ำ ทำให้ได้ ทำให้ถึงพร้อมก็จะดีเอง ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน นับถือศาสนาไหนก็ตาม ถ้าได้ปฏิบัติก็จะพบธรรมแท้ เป็นพระแท้ด้วยตัวเอง

 




THANK TO :-
image by : https://www.pinterest.com/
website : https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/223681
07 มี.ค. 2559 | 00:00 น.

 99 
 เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 05:48:01 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
เลื่อนกระทู้

 100 
 เมื่อ: มีนาคม 18, 2024, 05:32:31 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้ 

หน้า: 1 ... 8 9 [10]